๓
ศึกษาดูใจครั้งที่หนึ่ง…เริ่ม!
สามวันก่อนข้านอนหายใจทิ้งไปวัน ๆ ไม่คิดว่าวันนี้จะได้ทำในสิ่งที่คิดว่ายังอีกยาวไกล
“งานแต่งใช่ว่าจะเริ่มวันนี้หรือพรุ่งนี้เสียเมื่อไร”
ข้าทวนคำพูดของท่านพ่อเมื่อสามวันก่อนตอนที่เราพูดถึงเรื่องการแต่งงานของข้า
“ยังมีเวลาศึกษาอีกมาก/ยังมีเวลาศึกษาอีกมาก”
ก่อนที่จะหันหน้ามาพูดประโยคที่สองพร้อมกับลี่หลานที่มีท่าทางสับสนระคนสงสัยไม่แพ้กัน
ตอนนี้เราสองคนพี่น้องยืนอยู่บนอัฒจันทร์สูงลิ่ว มองดูสิ่งมีชีวิตตัวน้อยกำลังวิ่งเล่นไล่จับกับคนในพรรคอย่างสนุกสนานอยู่สนามประลองด้านล่าง
ไม่สิ! อย่าเรียกว่าวิ่งไล่จับเลย มันดูละมุนเกินไป
“เจี่ยเจีย นี่มันคือการข่มขวัญเราขอรับ”
ขนาดน้องชายข้ายังรับไม่ได้กับภาพที่เห็น แล้วข้าจะรับได้หรือ!
วันนี้ข้ามาเยี่ยมชมพรรคมารเฮยหลาง จุดประสงค์อันแท้จริงคือการดูตัวกันระหว่างข้าและหลางยี
แล้วดูสิ่งที่ว่าที่ประมุขพรรคต้อนรับข้า ปล่อยฝูงหมาป่าหิวโซลงสนามประลองแล้วให้คนในพรรคต่อสู้กับหมาป่าที่พร้อมจะขย้ำทุกสิ่งเพราะความหิวโหย
“เสี่ยวตี้ เขาอาจแค่อยากแสดงความแข็งแกร่งของสมาชิกในพรรคให้เราชมก็ได้”
“เจี่ยเจียคิดเช่นนั้นจริงหรือขอรับ”
“ไม่”
ข้าเดาว่าหลางยีจับตาดูพวกเราตลอดตั้งแต่ที่เข้ามาในพรรคมารเฮยหลางแล้ว
พอพวกเราแสดงอาการในสิ่งที่เขาคาดหวังอยากจะเห็นถึงค่อยปรากฏกายออกมา
“เป็นอย่างไรบ้างลี่กูเหนียง ลี่หลาน การแสดงด้านล่างถูกใจหรือไม่”
แล้วก็เป็นอย่างที่ข้าคิดเอาไว้ ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มโตเต็มวัยเดินออกมายืนชมการแสดงข้าง ๆ ลี่หลาน
เขาตั้งใจเรียกข้าตามมารยาททั่วไป แต่กลับเรียกน้องชายข้าอย่างสนิทสนม
แบบนี้ก็ดี!
ใบหน้าของหลางยีคมเข้ม ไม่ว่าจะด้วยเพราะเครื่องหน้าที่ลงตัวของเขาหรือสีผิวออกคล้ำเล็กน้อยจากการกรำแดดเยอะ สิ่งนี้ช่วยส่งให้เขาดูเหมือนตัวร้าย
แต่พอเขายิ้มเท่านั้น ดูแพรวพราวเจ้าชู้เป็นที่สุด!
“นับว่าแข็งแรง ดุดัน ไม่เกรงใจใครขอรับ”
ลี่หลานตอบกลับด้วยท่าทางนอบน้อมหลายส่วน แม้จะไม่ชอบเขาในฐานะหนึ่งในผู้ที่อาจจะเป็นพี่เขย แต่ด้วยเรื่องของความอาวุโสกว่า
อย่างไรก็ต้องให้เกียรติเขาหลายส่วน!
“ไม่เกรงใจใครอย่างที่เสี่ยวตี้กล่าว ว่าแต่ท่านหลางยีไม่ลองดูบ้างหรือเจ้าคะ คงจะน่าเกรงขามกว่าผู้คนด้านล่างเป็นเท่าตัว”
ข้าเหลือบตามองลงไปด้านล่างอัฒจันทร์จากนั้นก็ตวัดสายตาไปมองเขา พยายามอย่างมากที่จะไม่ทำให้มันดูท้าทายจนเกินไป แต่หลางยีคงดูออกกระมัง มิเช่นนั้นเขาคงไม่กระตุกยิ้มเช่นนี้
“เกรงว่าจะทำให้ลี่กูเหนียงผิดหวังแล้ว เพราะแผนของข้าในวันนี้ไม่ได้เพื่อทำให้ลี่กูเหนียงประทับใจในตัวข้าถึงเพียงนั้น”
เหอะ! หากการเดาะลิ้นไม่ทำให้ดูเสียมารยาท ข้าคงทำมันใส่เขาไปนานแล้ว คิดว่าข้าอยากประทับใจในตัวเขาเช่นนั้นหรือ
ไม่มีทาง!
“วางใจได้เจ้าค่ะ เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับข้าน้อยมาก ตั้งแต่เกิดมาข้ายังไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นเลย”
ข้าตอบเขาไปด้วยน้ำเสียงสดใส ใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ในใจกลับยกดาบขึ้นมาพร้อมฟาดฟันเขาให้เป็นเครื่องหมายกากบาทตัวสีแดงโต ๆ
“อ้อ”
เขารับคำสั้น ๆ บ่งบอกว่าคำพูดของข้าไม่มีผลต่อใจ มือหนาผายมือไปอีกทางด้านหนึ่ง
“เช่นนั้นวันนี้ข้าจะพาลี่กูเหนียงและลี่หลานเดินชมพรรคมารเฮยหลางของเราก็แล้วกัน”
“ดีเจ้าค่ะ”
ข้ารีบตอบรับเขา ไม่ใช่เพราะอยากให้เขาพาเยี่ยมชมบ้านแต่อย่างใด แค่อยากทำให้วันนี้จบ ๆ ไปเสียจะได้มีเหตุผลไปบอกท่านพ่อได้ว่าคนนี้ ‘ไม่ผ่าน’
“เชิญ”
เขาออกตัวเดินนำเราสองพี่น้องไปก่อน สถานที่แรกที่เขาพาข้าไปก็คือ…
คอกม้า!
“ท่านหลางยีอยากให้เราช่วยป้อนหญ้าให้ม้าเช่นนั้นหรือเจ้าคะ ดีเลย ข้าไม่ได้ทำมานานมากแล้ว”
ด้วยความที่สมัยก่อนป้อนหญ้าป้อนนมให้แพะในสวนสัตว์บ่อย ๆ ข้าจึงเข้าใจว่าเขาพามาป้อนอาหารม้า
“อ้าปากเร็ว”
ข้ายื่นหญ้าให้ม้าตัวหนึ่งที่อยู่ในคอก แต่มันกลับถอยห่างจากข้า มิหนำซ้ำยังสะบัดหน้าใส่ด้วย
“เหตุใดไม่กิน เสี่ยวตี้ลองป้อนดู”
ข้ายื่นหญ้าให้น้องชาย ลี่หลานยื่นมือมารับไว้ไม่ขัดใจพี่สาว เมื่อนางอยากให้เขาป้อนหญ้าให้ม้าเขาก็ทำ ต่อให้ในชีวิตนี้จะไม่เคยทำมาก่อนเลยก็ตาม
“กิน!”
เพียงแค่ยื่นมือออกไปนิดหน่อยเท่านั้น ม้าแสนรู้ก็งับหญ้าที่น้องชายข้าป้อนให้พร้อมเคี้ยวกร้วม ๆ ต่างจากตอนที่ข้าเป็นคนป้อนให้ลิบลับ
“ท่านหลางยี”
พรรคมารเฮยหลาง ว่าที่ประมุขพรรคเลือกปฏิบัติต่อข้าไม่พอ แม้แต่ม้ายังเลือกปฏิบัติต่อข้าด้วย
“ว่าอย่างไรลี่กูเหนียง”
หลางยีเดินเข้ามาใกล้้ข้าที่ข้างคอกม้า เขาอยู่ในท่าเอามือกอดอกค้างไว้ คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างตั้งคำถาม
“ม้าตัวเมียใช่หรือไม่ เหตุใดตอนที่ข้าป้อนจึงไม่สนใจแต่พอบุรุษป้อนให้เท่านั้น แทบจะกินมือเสี่ยวตี้แล้ว”
ลี่หลานรีบชักมือออกเมื่อข้ากล่าวว่าม้าจะกินมือเขาแล้ว ท่าทางตกใจเล็กน้อยของเขาเรียกรอยยิ้มมุมปากจากข้าได้
“ม้าคอกนี้ล้วนเป็นตัวเมียทั้งสิ้น”
ก็นั่นนะสิ!
หลางยีไม่ได้หัวเราะแต่แววตากลับปิดความขำขันไว้ไม่มิด คงไม่ใช่กำลังตลกข้าที่โวยวายพูดเยอะเพราะโดนม้าสาวเมินหรอกกระมัง
“แต่ว่านะลี่กูเหนียง” เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง จ้องตาข้าแล้วกล่าวคำพูดชัดถ้อยชัดคำ “ข้าไม่ได้พามาให้อาหารม้า แต่จะพาไปขี่ม้าต่างหาก”
เพล้ง!
มีใครได้ยินเสียงเศษซากของแตกหรือไม่ เป็นหน้าข้าเอง แล้วข้าจะเอาตัวออกจากสถานการณ์นี้อย่างไร
“ขี่ม้าหรือเจ้าคะ…”
“แม่นางลี่สนใจหรือไม่ ขี่ม้าชมพรรคมารของเรา”
ขอบคุณที่ถามประโยคนี้เพื่อหาทางรอดให้ข้า แต่ข้า ไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว
“เปลี่ยนได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าเหนื่อยเจ้าค่ะ”
หลางยีไม่ได้แสดงท่าทีผิดหวัง เขายอมรับการตัดสินใจของข้า แล้วพาไปดูสถานที่ใหม่นั่นก็คือ…
สนามประลองยุทธ์!
“ท่านหลางยี บอกตามตรงว่าข้าไม่สันทัดเรื่องการต่อยตีกับผู้ใด ไม่ว่าจะด้วยวรยุทธ์หรือยุทโธปกรณ์”
หลางยีหัวเราะในลำคอ ข้าถึงได้หันมามองหน้าเขาแล้วตั้งคำถาม
“ท่าทางของข้าดูน่าขันหรือเจ้าคะ”
ข้าไม่ได้ตรองก่อนตั้งคำถาม เมื่อน้องชายสะกิดแขนเบา ๆ ถึงได้เสริมอีกประโยคเพื่อไม่ให้ดูเหมือนกำลังหาเรื่อง
“ข้าแค่อยากรู้เท่านั้น อยากหัวเราะด้วยเจ้าค่ะ”
“ลี่กูเหนียงมิต้องคิดมาก ข้าไม่ใช่คนถือสาเรื่องยิบย่อย เราไปกันเถิด ข้าจะให้คนมาประลองยุทธ์ให้ดู”
เมื่อเจ้าบ้านเชิญเช่นนี้แล้ว ข้าจึงเดินตามเขาไปอย่างขัดขืนไม่ได้
ช่วงเช้าวันนี้คนที่ชอบเรื่องการประลองที่สุดเห็นทีจะเป็นลี่หลาน
ส่วนข้านั้นกัดฟันตลอดการดู เพราะสมาชิกพรรคมารเฮยหลางประลองกันแบบหากฆ่าให้ตายได้ก็ฆ่า ดิบเถื่อนเกินหัวใจข้าจะรับไหว
คู่ไหนข้าทนมองไม่ได้ก็จะหันไปสำรวจหลางยี ทำให้ข้านึกถึงคำพูดของน้องชายที่ว่าเขาเจ้าชู้
ทว่าสิ่งที่ข้าสัมผัสได้จากเขาไม่ใช่เรื่อง ‘เจ้าชู้’
แต่เป็นเรื่องที่ว่าเขาเองก็ไม่ได้อยากแต่งข้าเข้าจวนเหมือนกัน วันนี้นับว่ายังมีเรื่องดีอยู่บ้าง
ณ ห้องรับแขก
หลังจากชมการประลองยุทธ์ครบคู่ที่เตรียมไว้แล้ว หลางยีก็พาข้าและน้องชายมาที่ห้องรับแขก เตรียมทานอาหารกลางวันร่วมกันกับผู้นำสูงสุดของพรรค
“เจี่ยเจียเหนื่อยมากหรือขอรับ สีหน้าชัดว่าเหนื่อย”
ข้าพยักหน้ารับอย่างไม่ปิดบัง
“การประลองยุทธ์ของพรรคนี้กินพลังชีวิตเจี่ยเจียเหลือเกิน”
แต่ละคู่ มีคู่ไหนไม่เลือดสาดบ้าง!
“เช่นนั้นเรากลับกันเลยดีหรือไม่ เจี่ยเจียอ้างแค่ว่าเหนื่อยแล้วใครก็เข้าใจ”
ข้าส่ายหน้าเบา ๆ แม้จะเหนื่อยจนไม่อยากพูดกับใคร แต่อยากปิดจบการดูตัวครั้งแรกให้สวยงามที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ทนให้จบเถิด อย่างไรก็มาแล้ว วันนี้เหนื่อยแล้ว วันหน้าอาจเหนื่อยกว่า”
ว่าแล้วข้าก็ยื่นมือไปตบไหล่น้องชายเบา ๆ ไม่ได้ให้กำลังใจเขา แต่ให้เขาเป็นกำลังใจให้ข้า
“…อาหารพร้อมแล้ว”
ข้าและลี่หลานหันไปมองต้นเสียงก็เห็นว่าหลางยีเดินเข้ามาในห้องรับแรกด้วยใบหน้าติดรอยยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ส่งไปไม่ถึงดวงตา
หรือเขาจะได้ยินข้าสนทนากับน้องชายเมื่อครู่…
ช่างเถิด! ข้าไม่จำเป็นต้องสนใจความคิดเขา
(จบลี่จู)
หลางยี…
วันนี้เป็นวันแรกที่ข้าได้ต้อนรับแขกคนสำคัญของพรรค ทุกอย่างที่ข้าทำในวันนี้เพื่อปฏิเสธนางโดยไม่ต้องเอ่ยเป็นคำพูด
ใช่แล้ว! ข้าไม่คิดแต่งสตรีใดเข้าจวนในตอนนี้ แม้ว่าจะเป็นสตรีที่บิดาหมายปองให้ข้าก็ตามที
ตามธรรมเนียมของพรรคเรา บุรุษสามารถแต่งสตรีเข้าจวนได้แค่คนเดียว ทำให้ข้าไม่อยากโดนผูกมัดในตอนนี้
ภาพลักษณ์ภายนอกของข้า หลายคนบอกว่าเจ้าชู้มากใช่หรือไม่
ความจริงแล้วก็เหมือนที่เขาว่ากัน!
“...เรื่องอยู่ใกล้จมูกข้าเช่นนี้มีหรือจะไม่มีคนรายงานให้ข้าฟัง”
ในระหว่างรอตั้งโต๊ะอาหารกลางวัน ท่านพ่อหรืออีกฐานะหนึ่งคือประมุขพรรคมารเฮยหลางให้คนเชิญข้ามาที่ห้องทำงานใหญ่
ข้าเตรียมใจไว้แล้วว่าเรื่องนี้จะต้องโดนท่านพ่อจับเจตนารมณ์ได้ ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องเก็บซ่อนความในใจ
“ข้าไม่อยากแต่งงานในตอนนี้”
ตุบ!
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้ายืนกรานคำพูดของตัวเอง แต่เป็นครั้งแรกที่ตบโต๊ะจนเนื้อไม้แตกออกเป็นซีก ๆ ออกแรงแฝงกำลังภายในแบบนี้
ท่านพ่อโกรธข้าจริงแล้ว!
“เจ้ามันพูดไม่รู้เรื่อง เพียงแค่แต่งงานเท่านั้นยังทำไม่ได้แล้วจะมารับหน้าที่ประมุขพรรคต่อจากข้าได้อย่างไร”
ข้ายิ้มเย้ยหยัน หลุบตาลงต่ำซ่อนความไม่พอใจ โต้ตอบเสียงแผ่วเบา แต่คำพูดเสียดแทงจิตใจคนฟัง
“เหมือนที่ท่านแต่งท่านแม่หรือขอรับ ถ้าการแต่งสตรีที่ไม่ได้รักเข้าจวนมาแล้วปล่อยร้างไว้เช่นนั้น มิสู้ไม่ต้องแต่งใครเข้ามาเลย”
“หลางยี!” ท่านพ่อชี้หน้าข้า เรียกชื่อข้าเสียงขึงขัง
ข้าหรือจะสะทกสะท้าน ข้าไม่อยากให้สตรีคนใดต้องมาเป็นเหมือนท่านแม่ของข้าอีก มิสู้แสดงท่าทางต่อต้านนางตั้งแต่ตอนนี้
“ฮึ่ม! ข้าจะทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดเหมือนเด็กไม่รู้จักโตแบบนี้จากเจ้า กลับไปดูแลแขกได้แล้ว”
ข้าผงกศีรษะให้เขาหนึ่งครั้ง ไม่รั้งอยู่ต่อเสวนาเรื่องใด ภายนอกข้าอาจดูไม่ใส่ใจในคำพูดของท่านพ่อ แต่ภายในคุกรุ่นจนคนอื่นสัมผัสได้
ไม่ว่าจะเดินผ่านสมาชิกพรรคคนใดล้วนไม่มีใครกล้าเข้ามาทักทายเช่นในยามปกติ
“ทนให้จบเถิด อย่างไรก็มาแล้ว วันนี้เหนื่อยแล้ว วันหน้าอาจเหนื่อยกว่า”
ข้าชะงักทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของลี่จู นางก็คงไม่อยากแต่งให้ข้าเช่นกัน ในเมื่อเป็นเช่นนั้นข้าก็ไม่อยากให้นางทนอยู่ที่นี่ต่อ เดินเข้าไปในห้องรับแขกแล้วกล่าวว่า
“อาหารพร้อมแล้ว”
นางมีท่าทางสนเท่ห์ราวกับกลัวว่าข้าจะได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของตน
แต่ไม่นานก็กลับมาทำสีหน้าราบเรียบที่ดูอย่างไรก็น่ารัก ใบหน้าจิ้มลิ้มดวงนี้ ต่อให้ทำหน้านิ่งก็ยังดูน่ารักอยู่ดี
“เชิญทั้งสอง”
ข้าผายมือไปที่ห้องอาหาร ในจังหวะที่ลี่จูเดินผ่านข้าไปนั่นเอง อยู่ ๆ ในหัวก็คิดแผนการณ์บางอย่างออก
เมื่อพ้นร่างของสองพี่น้องแล้วข้าก็เอ่ย…
“ข้าปฏิเสธนางไม่ได้มิได้หมายความว่านางจะทำไม่ได้ เช่นนั้นให้เจ้าเป็นคนปฏิเสธเองก็แล้วกัน”
เพียงนึกถึงสถานการณ์ตอนนั้นข้าก็แทบจะกลั้นความดีใจเอาไว้ไม่อยู่แล้ว
“ขออภัยไว้ล่วงหน้า ข้าเองก็มีความจำเป็น!”
(จบหลางยี)
๑๐เจ้าไม่ได้สิ้นรักข้า “ฮูหยิน เจ้าไม่ได้สิ้นรักข้า!”นี่คือประโยคแรกที่ข้ากล่าวหลังจากที่ถลันกายเข้าไปในห้องนอนรอยยิ้มบนใบหน้าข้าหายไปทันทีเมื่อเห็นสภาพนางที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนเตียง พอเห็นหน้าข้านางก็รีบหันหน้าไปทางอื่น ยกมือขึ้นปาดน้ำตาความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อครู่หายไปแทนที่ด้วยความเจ็บปวด เหตุใดนางจึงร้องไห้น้ำตาอาบหน้าเช่นนี้“ฮูหยิน…”อาชิ่งรู้งานรีบเดินออกไปจากเรือนนอนปล่อยให้เราสองคนอยู่ในห้องด้วยกันเพียงลำพัง“ฟูจวินอยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ ไม่ต้องเข้ามา”ข้าชะงักเท้าตามที่นางสั่ง แม้จะทราบว่านางเป็นเช่นนี้เพราะกำลังตั้งครรภ์อยู่ แต่ข้าก็ไม่อาจห้ามความเศร้าที่กอบกุมจิตใจได้“ฮูหยินร้องไห้ด้วยเหตุใด บอกฟูจวินได้หรือไม่”“ไม่บอกเจ้าค่ะ อยากร้องไห้ต้องมีสาเหตุด้วยหรือ” ปลายเสียงนางสะบัดแต่สะอื้นฮัก ๆ เพราะร้องไห้เห็นร่างบางที่หันหลังใส่ตัวสั่นเช่นนี้ข้าก็ไม่สนใจสิ่งใดแล้ว เดินไปนั่งด้านหลังนางแล้วสวมกอดร่างบางเอาไว้จากด้านหลัง“ฮูหยิน อยากร้องก็ร้อง แต่อย่าห้ามฟูจวินให้กอดเจ้าเลย ในเวลานี้เจ้าไม่ควรให้ตัวเองอยู่คนเดียว”นางเห็นหน้าข้าแล้วอาจหงุดหงิด แต่ทำแบบนี้ย่อมดีเสียกว่าทิ้ง
๙เบื่อหน้าเขานัก บุตรสาวข้าเลี้ยงง่ายยิ่งนัก! ท่านพ่อของข้ากล่าวว่าตอนเด็กนางเหมือนข้าไม่มีผิด เวลาใครอุ้มก็จะมองหน้าคนนั้น มองนิ่ง ๆ ด้วยสายตาสำรวจ นอกจากครั้งแรกที่ร้องไฮ้ตอนเป็นทารกแล้ว ข้าก็ไม่ได้ร้องไห้อีก หลางลู่หลินก็เช่นกัน! สิ่งนี้ทำให้ข้าเริ่มสงสัยว่านางเป็นแบบข้าหรือไม่ มีความทรงจำของชาติภพปัจจุบันติดมาด้วยหรือเปล่า มีวันหนึ่งข้าลองทดสอบดู พูดเป็นภาษาอังกฤษภาษาสากล แต่นางเพียงมองหน้าข้าด้วยสายตาว่างเปล่า ชัดเจนว่าไม่เข้าใจ คิดได้สองแง่ หนึ่งนางแค่ไม่ชอบร้องไฮ้ มีความเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่เกิด สองนางอาจมากันคนละยุคกับข้า การทดสอบของข้าดำเนินการมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งนางอายุเข้าสามหนาวข้าก็หยุดทดสอบ คิดได้ว่า… ไม่ว่าใครจะมาเกิดนางก็ตาม อย่างไรนางก็คือบุตรสาวของข้า ใช้ชีวิตเป็นมารดาของหลางลู่หลินโดยไม่ตั้งคำถามกับตนเองในใจอีก เข้าปีที่สามของการใช้ชีวิตเป็นมารดา ปีนี้ลู่หลินพูดได้เยอะขึ้น วิ่งเล่นได้เร็วขึ้น ดูสดใสตามวัยโดยเฉพาะยามที่ได้เล่นกับบิดาและน้าชาย กอปรกับข้าตั้งครรภ์อ่อน ๆ หน
๘ผู้ซึ่งสมหวังที่สุดข้าเรียนรู้วิธีการกรี๊ดแล้ว!“กรี๊ด~เจ็บ!”ที่ผ่านมาข้าคิดว่าตนเองกรี๊ดไม่เป็นจนกระทั่งวันนี้ เจ้าตัวน้อยของแม่มอบบทเรียนให้กันตั้งแต่วันแรกที่กำลังลืมตาดูโลกเลย “ฮูหยิน เบ่งเจ้าค่ะ…อื้อ~” “อื้อ~”ข้าออกแรงเบ่งพร้อมเปล่งเสียงตามท่านหมอหญิง แต่เจ้าตัวน้อยของข้าก็ไม่ยอมออกเสียที“เบ่งอีกเจ้าค่ะฮูหยินน้อย เอาให้สุดแรงครั้งนี้ออกแน่เจ้าค่ะ”อีกครั้งเดียวแน่หรือ!“ฮูหยินน้อย อาชิ่งช่วยเบ่งเจ้าค่ะ”สาวใช้คนสนิทใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้ข้า น้ำเสียงสั่นเครือบ่งบอกสภาพจิตใจในตอนนี้“เอาล่ะเจ้าค่ะ เบ่งเจ้าค่ะ”“อีกทีใช่หรือไม่…อื้อ~” ข้าพยายามเบ่งอีกครั้ง แต่ผลก็เหมือนเดิมคือยังไม่ออกมีหลายเสียงบอกว่าข้าจะได้บุตรชาย แต่ก็มีหลายเสียงบอกว่าข้าจะได้บุตรสาวสุดท้ายข้าเลือกเชื่อว่าเป็นบุตรสาวเพราะสามีกระซิบกับท้องข้าเบา ๆ ทุกครั้งที่มีโอกาสเช่น…‘พ่อไปเรียนทำผมมาแล้ว จะถักเปียให้เจ้าทุกวันดีหรือไม่ลูกสาว’ไม่ก็กล่าวกับอาไท่ว่า…‘ทำชิงช้าน้อยใต้ต้นไม้ให้บุตรสาวข้าหน่อย’เป็นเช่นนี้ตลอด! นานวันเข้าข้าก็คาดหวังว่าตัวเองจะได้บุตรสาวเช่นเดียวกับฟูจวิน“ท่านหมอ ไม่ออก…ฮึก”เมื่อค
๗นางอาจจะมาแล้ว“เกิดอันใดขึ้นกับนาง!”“ฮูหยินเป็นลมขอรับ”ข้าบีบมือตนเองแน่น ต่อให้นางจะเป็นลมข้าก็ไม่วางใจ ถามเขาถึงสถานที่ที่นางอยู่่ในตอนนี้“ฮูหยินอยู่ที่ใด”“เรือนนอนขอรับ”เมื่อทราบสถานที่ที่นางอยู่แล้วข้าก็ไม่รีรอ ใช้พลังภายในที่มีทั้งหมดเร่งความเร็วมาที่เรือนหอ ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงห้องนอนที่ได้ยินเสียงสนทนาของหลางผิงและท่านหมอประจำจวนข้าถลันกายเข้าในด้านในโดยไม่สนหน้าใครทั้งสิ้น“ฮูหยิน!”ใบหน้านางซีดมากจนข้าหายใจไม่ออก มารู้ว่าตนมือสั่นก็ตอนที่เอื้อมมือไปจับมือบาง“ฟูจวิน ใจเย็น ๆ เจ้าค่ะ ทำใจดี ๆ”ทำใจดี ๆ เช่นนั้นหรือ กล่าวเช่นนี้แล้วข้าจะยังใจเย็นได้ไหวหรือ นางเป็นอันใดถึงต้องกล่าวให้ข้าทำใจดี ๆ“ฮะ ฮูหยิน พูดแบบนี้ข้าใจไม่ดีเลย”ข้าเริ่มกล่าวเสียงตะกุกตะกักแล้ว ในตอนนั้นเองที่หมอประจำจวนเรียกความสนใจจากข้า“ท่านประมุขน้อย ฮูหยินไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายขอรับ แต่เป็นข่าวดี”ข่าวดี!“บอกเขาเถิดเจ้าค่ะท่านหมอ”เสี่ยวกูกู่เอ่ยขึ้น แววตาของนางฉายความขบขันจนข้าวางใจว่าภรรยาไม่ได้ป่วยเป็นอันใดจริง ๆ“ยินดีกับท่านประมุขน้อยด้วยขอรับ ฮูหยินตั้งครรภ์แล้วขอรับ”ตะ ตั้งครรภ์หรือ!“ฮูห
๖ฮูหยินเป็นอันใดลี่จู…กลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาวครั้งนี้ข้ารู้สึกเบาใจขึ้นกว่าเดิมโดยไม่แน่ใจถึงสาเหตุหรือเป็นเพราะเห็นทุกคนต่างพยายามปรับตัวเข้าหากันรวมถึงปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ข้าจึงเบาใจว่าจะไม่มีปัญหาความขัดแย้งภายในครอบครัวหลังกลับจากพรรคมารป๋ายหลงเมื่อวาน ข้าคิดจะนอนหลับพักผ่อน แต่ไม่วายโดนฟูจวินลากไปห้องหนังสือให้ช่วยฝนหมึกให้ในตอนนั้นเองที่ข้าทราบว่าเขาไม่ได้ต้องการคนฝนหมึก เขาแค่อยากให้ข้านั่งอยู่ใกล้ ๆช่วงค่ำพวกเราทานอาหารกับประมุขเฮยหลางที่ข้าเปลี่ยนมาเรียกท่านพ่อแล้วท่านพ่อกล่าวว่าพอได้ทานอาหารร่วมกันสามคน ความรู้สึกของการเป็นครอบครัวกลับมาอีกครั้ง สีหน้าแช่มชื่นของท่านเป็นตัวแสดงความสุขได้อย่างชัดเจนเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน…ข้าปรับตัวกับที่นี่ได้แล้ว!ฟูจวินทราบว่าข้าชอบดอกไม้จึงลงมือปลูกดอกไม้ให้ข้าด้วยตนเองดอกไม้ที่ลงมือปลูกโดยเขาแม้จะไม่งามเท่าคนสวนปลูก แต่ข้าเห็นถึงความตั้งใจนั้นและรักเขาเพิ่มอีกนิดหนึ่งวันหนึ่งข้ากำลังนั่งเย็บรองเท้าคู่ใหม่ให้ฟูจวินกับอาชิ่ง สาวใช้ประจำพรรคก็เดินเข้ามาในศาลา“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ”ข้าพยักหน้าให้นางรายงานได้“หลางผิงกูเหนียงมา ใ
๕ต่างคนต่างตามใจกันข้าจำคำพูดที่ฟูจวินกล่าวไว้วันแต่งงานได้ เขาบอกว่าสาบานเป็นพี่น้องกับลี่หลานแล้วตอนนั้นข้ารู้สึกทะแม่ง คิดอยู่นานว่าลี่หลานหรือจะยอมญาติดีกับเขาโดยง่ายแล้ววันนี้ข้อสงสัยของข้าก็ได้รับการพิสูจน์!ลี่หลานยังคงมองฟูจวินเป็นศัตรูที่แย่งความรักกับพี่สาวเขาไม่เสื่อมคลาย เพียงแต่ไม่มีสิทธิ์ห้ามฟูจวินเข้าใกล้ข้าอย่างกาลก่อน“...เจี่ยเจีย อาเตียนั่งรอที่โต๊ะอาหารแล้วขอรับ”ลี่หลานผายมือเชิญข้าไปยังห้องรับประทานอาหารในเรือนรับแขก เขาชายตามองฟูจวินเพียงครู่เท่านั้นก็ตวัดสายตามามองข้าไม่มองฟูจวินอีกเลย!“เชิญเจี่ยเจียอย่างเดียวหรือ ไม่เชิญเจี่ยฟุหรือ”ฟูจวินถามลี่หลานยิ้ม ๆ ก่อนที่จะยื่นมือมาสอดเอวข้าแล้วดึงเข้าใกล้กว่าเดิมลี่หลานแสดงท่าทางหวงผ่านแววตา ไม่ได้แสดงท่าทางต่อต้านเป็นเด็ก ๆ เช่นเคยเห็นเขาควบคุมตัวเองได้ดีแบบนี้ข้าก็ดีใจ!“เชิญเจี่ยฟุทางนี้”ข้าส่งยิ้มให้ลี่หลานทันทีเมื่อเขาเรียกฟูจวินเช่นนี้คำกล่าวเมื่อครู่ลี่หลานย่อมฝืนใจ แต่เมื่อเห็นข้าส่งยิ้มดีใจให้ ที่กล่าวไปเมื่อครู่ก็ไม่ดูฝืนอีกต่อไป“ไปทานข้าวกันขอรับเจี่ยเจี่ย เจี่ยฟุ”“ไป”ถือเป็นก้าวที่ดี ลี่หลานรั