ณารา เหว่ย ซุปเปอร์สตาร์สาวระดับเอเชีย สวมชุดฮั่นฟูสีส้มแดง ปักลายนกยูงรำแพน สวมหมวกโค้งคล้ายพัดที่ถูกกางออกประดับเพชรพราวระยับยามต้องแสงไฟในห้องแต่งหน้า ดวงหน้างามแตะแต้มเครื่องสำอางแปลงโฉมสาวสวยทันสมัย ให้กลายเป็นองค์หญิงแห่งอาณาจักรต้าเถียน งดงามสมกับบทบาท “องค์หญิงกุ้ยเฟย” นางเอกของเรื่อง ยอดหญิงแห่งบัลลังก์มาร” ประกบคู่กับ “จางอี้เหลียง” ผู้รับบท “จอมยุทธฟานซื่อปิง” ประมุขพรรคมาร
“วันนี้เป็นฉากใหญ่ด้วย ตื่นเต้นมั้ยณา” “เหว่ยอี้ฟาน” หญิงวัยสี่สิบห้า ผู้เป็นทั้งน้าสาว และรับหน้าที่ผู้จัดการส่วนตัวของณาราเอ่ยขึ้น
เธอเป็นหญิงหน้าตาดี ร่างท้วม สูงไม่ถึง 160 เซนติเมตร ดวงหน้าเกลี้ยงเกลา ดวงตาชั้นเดียวรับกับจมูกเล็ก ริมฝีปากบางเฉียบ ดูอ่อนเยาว์จนหลายครั้งเมื่อต้องไปกองละคร มักจะถูกเรียกว่าน้องเสียมากกว่าน้า
“ไม่ตื่นเต้นหรอกค่ะ น้าอี้ฟานก็รู้ว่า ณากำลังคิดถึงเรื่องอื่นมากกว่า” ณาราเอ่ยเบาๆ พอให้ได้ยินกันเพียงสองน้าหลาน
“อ้อ เรื่องนั้นน่ะเหรอ ไม่ต้องคิดมากหรอกณา วันนี้นายอี้เหลียงไปขัดขวางงานสำคัญของตำรวจไม่ได้หรอก เพราะต้องเข้าฉากกกับณาไง”
“นั่นล่ะค่ะ ณาเสียดาย ที่ไม่ได้ไปลุยจับคนร้ายเอง”
“แต่ณาก็ทำให้ตำรวจรู้ไม่ใช่เรอะว่า คนของจางอี้เหลียงจะขนยาเควันนี้ เราไปกันดีกว่า ได้เวลาทำมาหารับประทานแล้ว”
“ค่ะ น้าอี้ฟาน” ซุปเปอร์สตาร์สาวยิ้มน้ยๆ ก่อนจะก้าวนำน้าสาวมายังห้อสตูดิโอ
ทันทีที่ช่างกล้อง ช่างไฟพร้อม ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังนั่งประจำตรงที่นั่งหน้าจอมอนิเตอร์เรียบร้อย การถ่ายทำฉากสำคัญก็เริ่มต้นขึ้น
รถม้าอันมีองค์หญิงกุ้ยเฟย เชื้อพระวงศ์สาวประทับอยู่ แล่นออกจากประตูเมือง มุ่งไปตามหนทางข้างหน้า ผ่านหมู่บ้าน ป้าไม้ และเขาสูง มุ่งหน้าสู่เมืองเหลียว ตามพระประสงค์ขององค์ฮ้องเต้ พระเชษฐา เพื่อส่งองค์หญิงกุ้ยเฟยไปผูกมิตรไมตรีกับกษัตริย์เเมืองเหลียว เพื่อยุติสงครามยืดเยื้อยาวนานมาหลายร้อยปี
ภายใต้ผ้าคลุมรถม้า สีสันสดใสนั้น ใครเลยจะรู้ว่า องค์หญิงน้อยวัยยังไม่เต็มสิบแปดชันษาดี กำลังกรรแสงด้วยความอดสูพระทัย ที่ไม่อาจเลือกอิสรภาพให้กับตนเองได้เลย
เสียแรงที่เกิดเป็นหญิงสูงศักดิ์ แต่กลับไม่อาจทำอะไรตามที่ใจต้องการได้
แม้แต่ความตาย นางก็ยังไม่อาจหยิบยื่นให้ตนเองได้เลย
เพราะหากนางตาย เมืองเหลียวก็คงหาข้ออ้างส่งทหารเข้ามาในแผ่นดินต้าซ้องเป็นแน่
“หักห้ามพระทัยบ้างเถิดเพคะ องค์หญิง” ฮุ่ยเจียว นางกำนัลคนสนิทขององค์หญิงปลอบปโลม
ขณะที่เบื้องนอกนั้น รถม้ากำลังแล่นไปตามทางแคบๆ เข้าสู่ช่องเขาขาด
แต่แล้ว เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อจู่ๆ ก็มีชายชุดดำนับสิบคนๅออกมาจากแนวป่าข้างทาง ในมือของชายเหล่านั้น ถือกระบี่เตรียมพร้อม
พอเห็นว่าขบวนรถม้าพร้อมทหารองครักษ์ผ่านมา ชายชุดดำก็บุกเข้าโจมตี เกิดการต่อสู้กับทหารองครักษ์ ต่างฝ่ายต่างต่อสู้กันด้วยเพลงกระบี่ อย่างไม่มีใครยอมใคร
“ถวายอารักขา รีบพาองค์หญิงหนีไปเร็ว” ทหารองครักษ์นายหนึ่งร้องตะโกน ขณะที่คนบังคับรถม้า ฟาดแส้ลงกับหลังม้าเร่งเร้าให้มันเร่งฝีเท้าหนีภัย
ทว่าการต่อสู้ที่เกิดขึ้นก็ทำให้ม้าตื่นตระหนก อีกทั้งชายชุดดำคนหนึ่งวิ่งตะกายอากาศด้วยวิชาตัวเบาอันล่ำเลิศเข้ามา วาดกระบี่เชือดคอคนขับรถม้า ม้าตระหนกอยู่แล้ว จึงวิ่งเตลิดอย่างไร้ทิศทาง
“กรี๊ด”
องค์หญิงกุ้ยเฟย และนางกำนัลฮุ่ยเจียวกรีดร้องลั่น ความเร็วด้วยแรงฝีเท้าม้า พาให้ผ้าคลุมรถม้าสะบัดไหวตามแรงลมปะทะเข้ามา เผยให้เห็นว่า รถม้ากำลังแล่นเข้าหาหน้าผาสูงชัน
มันไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังฮ่อตะบึงเข้าสู่ความตาย
หากยังไม่ทันที่รถม้าจะพุ่งลงสู่ปากผาชัน จอมยุทธหนุ่มคนหนึ่งก็ปราดเข้ามา ใช้กำลังภายในของเขา ยันรถม้าทั้งคัน ให้หยุดออยู่ตรงปากผานั่นเอง
ปล่อยให้ม้าตกหน้าผาตายไปอย่างไม่นึกใยดี
หลังเหตุการณ์ร้ายผ่านพ้นไป จอมยุทธหนุ่มก้พุ่งตัวขึ้นมาบนรถม้า เลิกผ้าคลุมรถม้าออก เพื่อจะพบว่า หญิงสาวทั้งสองหมดสติไปเสียแล้ว
คัท..
สิ้นเสียงผู้กำกับ ณารา และนักแสดงสมทบหญิงก็ลืมตาขึ้น ก้าวลงจากรถม้า
“ค่อยๆ ลงนะณารา” จางอี้เหลียงไม่พูดเปล่า เข้ามาประคองดาราสาวลงจากรถม้าอย่างทนุถนอม ท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่ต่างมองมาเป็นตาเดียว
ดูเถอะ จางอี้เหลียงทำราวกับว่า ภายในสตูดิโอแห่งนี้มีเพียงเขากับณาราสองต่อสองอย่างนั้นแหละ
“ขอบคุณนะคะอาเหลียง”
“เล็กน้อยน่ะ มานั่งพักก่อนนะ” จางอี้เหลียงจูงมือณารามายังมุมหนึ่งซึ่งถูกจัดเป็นมุมพักผ่อนสำหรับนักแสดง
“วันนี้คุณมีคิวถ่ายต่อรึเปล่าครับ”
“ไม่ค่ะ” ณาราส่ายหน้าช้าๆ
“ถ้างั้น ให้ผมไปส่งนะครับ ผมเองก็ไม่มีคิวแล้วเหมือนกัน”
“คุณไม่กลัวเป็นข่าวกับฉันเหรอคะอาเหลียง”
“ทำไมผมต้องกลัวด้วยล่ะ ผมต้องดีใจถึงจะถูก ที่ได้เป็นข่าวกับนักแสดงแถวหน้าของเอเชียอย่างคุณ”
“คุณก็พูดเกินไปนะคะ ณาไม่ได้โด่งดังถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ”
“ไม่ดัง แต่มียอดติดตามในเฟซกับอินสตราแกรมเกือบยี่สิบล้านคน ผมว่า คุณถ่อมตัวเองมากกว่า คุณไปทานข้าวกับผมนะ มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง ถือเป็นการฉลองเปิดกล้องถ่ายทำวันแรกด้วย”
ณารายิ้มน้อยๆ แสดงให้เขาเข้าใจว่าเธอเองกำลังเคอะเขิน ทั้งที่ความจริงแล้ว เธอไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลย ตรงกันข้าม เธอกำลังรอคอยอะไรบางอย่างอยู่ต่างหาก
แต่แล้ว จางอี้เหลียงก็ชะงักไปครู่ เมื่อโทรศัพท์มือถือส่งเสียงเรียกเข้าขึ้นขัดจังหวะ
“ผมขอตัวไปรับโทรศัพท์ก่อนนะครับ”
จางอี้เหลียงผละจากไปครู่ใหญ่ก็เดินกลับมา สีหน้ารื่นรมย์เมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“ณารา ผมขอโทษนะครับ ที่ไปเลี้ยงข้าวคุณไม่ได้แล้ว คือ ญาติผมไม่สบายน่ะครับ ผมต้องรีบไปโรงพยาบาลด่วน”
“ไม่เป็นไรค่ะ เอาไว้โอกาสหน้าก็ได้ ฉันฝากเยี่ยมญาติของคุณด้วยนะคะ ขับรถดีๆ นะคะอาเหลียง”
“ครับ” จางอี้เหลียงรับคำ ก่อนเร่งฝีเท้าจากไป ทิ้งให้ณรานั่งอยู่เพียงลำพัง
คล้อยหลังดาราหนุ่ม หญิงสาวก็กระตุกยิ้มมุมปาก เดาได้ในทันทีว่า ภารกิจสำคัญของเธอจะต้องเสร็จสิ้นลงแล้วอย่างแน่นอน
จางอี้เหลียงก้าวเร็วๆ มายังลานจอดรถอย่างรีบร้อน ขณะที่เสียงการสนทนาทางโทรศัพท์เมื่อครู่ยังคงดังก้องอยู่ในหัว
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วพี่เหลียง เอเย่นรายใหญ่ที่ขนยาเคไปที่เมืองไทยถูกจับแล้ว”
ทันทีที่กองทัพจากเมืองหลวงยกพลขึ้นบกที่เกาะจวินจวู พร้อมด้วยเจิ้งหมิง จี้หมิน และเจิ้นหยาง บรรดาหญิงตั้งครรภ์ที่ถูกจับตัวไป ก็ถูกช่วยพาขึ้นเรือกลับมายังฝั่ง เมื่อไม่ได้รับยาจากคนของเจ้าเกาะ ความทรงจำของพวกนางก็ค่อยๆ กลับคืนมา ที่ต้องลุ้นระทึกก็คือ หญิงตั้งครรภ์จำนวน 5 นาง ได้คลอดลูกบนเรือ ดีที่เจียงจื่อหยารอบคอบ ให้หมอตำแยในเมืองฉางโจวติดตามไปด้วยหลายคน จึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางใช้เวลาเกือบครึ่งเดือน เฉินลู่ซีก็ส่งหญิงตั้งครรภ์กลับสู่ครอบครัวได้สำเร็จ“อวี้เอ๋อ” จางเหวินชิง กอดภรรยาไว้ในอ้อมแขนทั้งน้ำตาอาบสองแก้ม นึกว่าชาตินี้จะไม่ได้พบภรรยาเสียแล้ว“ท่านพี่” นางเองก็กอดสามีเอาไว้แน่นเช่นกัน“ขอบคุณใต้ท้าว องครักษ์เจิ้ง ที่ช่วยคลี่คลายคดีความทุกข์ให้ครอบครัวข้า ขอบคุณครับ” จางเหวินชิงคารวะจากใจขณะที่เสี่ยวหง ปิงปิงและซวงเอ๋อเองก็ต่างโผเข้ากอดสามีของนาง ก่อนจะรีบผละออก เมื่อเห็นว่าณารายืนมองมายิ้มๆ“เจี้ยนฟาง” นางทั้งสามปรี่เข้ามาหาณารา ต่างกวาดสายตามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วมาหยุดอยู่ตรงกลางลำตัว“เอ๊ะ เจ้าไม่ได้ตั้งครรภ์นี่” ซวงเอ๋อทักขึ้นด้วยความประหลาดใจ“อึม” ณาราพยักหน้า
เจ้าเป็นถึงฮูหยินรองของตำหนักอ๋อง ใครเล่าจะข่มขู่เจ้าได้ แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ อย่างไรข้าก็ต้องพาตัวทั้งเจ้าและพ่อบ้านไปรับโทษอย่างแน่นอน” สิ้นคำพูดของท่านอ๋อง 9 ไห่หลานก็พาตัวจ้าวหลงซินออกมา โดยมีเฉินลู่ซี และมือปราบเจิ้นหยางเดินตามเข้ามาในห้องเช้าวันต่อมา นอกจากข่าวใหญ่ เรื่องคนของศาลซื่อเหอ นำกำลังทหารจากเมืองหลวงไปยังเกาะจวินจวูแล้ว ยังมีข่าวของฮูหยินรองแห่งตำหนักอ๋อง ปองร้ายธิดาคนเล็กของท่านอ๋อง มิหนำซ้ำยังลักลอบเป็นชู้กับพ่อบ้านจ้าวหลงซิน เป็นที่พูดถึงทั่วเมืองเมื่อเรื่องร้ายผ่านไปแล้ว ไห่ถวนก็ขอตัวตามเจิ้งหมิงกลับเกาะจวินจวู ขณะที่ณาราในร่างจ้าวเจี้ยนฟางเอง ต้องรออยู่ที่ตำหนักอ๋อง ให้เจิ้งหมิงทำธุระของเขาให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ค่อยพาผู้ใหญ่จากเมืองหลวงมาสู่ขอนางตามประเพณีแม้จะมีชีวิตสุขสบายดีแล้ว ณาราก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่ดี ที่ไม่สามารถบอกให้ใครล่วงรู้ได้ว่า เธอไม่ใช่จ้าวเจี้ยนฟาง ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถทำให้ท่านอ๋อง 9 เสียใจเรื่องธิดาได้ จึงทำได้เพียงเก็บคำเสียค่ำคืนหนึ่ง ท่านอ๋อง 9 นอนกระสับกระส่ายอยู่บนที่นอน จิตดิ่งลึกลงสู่ห้วงนิทรารมย์ ที่มีเพียงม่านหมอกขาวจนมองไม่เ
นึกไม่ถึงว่า เสี่ยวชุ่ยจะฝ่าฝืนคำสั่ง คิดปองร้ายจ้าวเจี้ยนฟาง“ข้าผิดไปแล้ว ท่านอ๋อง เมตตาข้าด้วย”“ข้าจะให้ใต้ท้าวเฉิน เป็นคนตัดสินความเรื่องนี้เอง”ท่านอ๋อง เมตตาข้าด้วย”“เสี่ยวชุ่ย บอกข้ามาว่าใครสั่งการให้เจ้าทำร้ายท่านหญิงน้อยเช่นนี้” ฮุ่ยเหนียงปราดเข้าหาคนผิด จิกเล็บลงกับเรือนผมของนางสุดแรง จนหน้าหงาย ดวงตาจับจ้องหน้าสาวรับใช้วาวโรจน์ มิใช่เพราะต้องการให้นางสาภาพความจริง ตรงกันข้าม ฮุ่ยเหนียงต้องการให้นางปิดปากให้สนิทต่างหาก“ฮูหยินรอง ข้าข้า”“พูด” ท่านอ๋อง 9 ตวาดลั่น ดวงหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ“หากเจ้าไม่บอก ข้าจะตัดลิ้นเจ้าซะ” ฮุ่ยเหนียงบอกเป็นนัยๆ ว่า หากนางเปิดปาก จะตัดลิ้นสาวรับใช้เสียให้รู้แล้วรู้รอดหากยังไม่ทันที่เสี่ยวชุ่ยจะเอ่ยอะไรออกมา ร่างนอนนิ่งอยู่บนเตียงก็กระตุกเฮือก ชักตาตั้ง กระอักเลือดสีแดงสดออกมา“ท่านอ๋อง ท่านหญิงแย่แล้วเจ้าค่ะ” ไห่หลานโวยวายพลางร้องไห้โฮๆ“เด็กๆ พานางไปขังไว้ก่อน ใต้ท้าวเฉินมาค่อยตัดสินความ”สิ้นคำสั่งเรียกคนของท่านแล้ว ท่านอ๋อง9 ก็ปราดมาที่เตียง ประคองธิดาคนเล็กเอาไว้ในอ้อมแขน“เจี้ยนฟาง เจ้าต้องไม่เป็นอะไรนะ” ท่านอ๋อง 9 รำพัน น้ำตานองหน้า
ณารายิ้มยั่วเย้า“อยากรู้ว่าเคยมั้ยล่ะคะ” ณาราสบตาคนตรงหน้าแน่วนิ่ง ก่อนจะดันร่างของคนตัวใหญ่กว่าให้เดินถอยหลังไปที่เตียง แกล้งผลักเขาลงกับที่นอน แล้วกระโดดขึ้นคร่อม ทั้งที่ในชีวิตนี้ เธอไม่เคยทำแบบนี้กับชายใดเลยแม้แต่ครั้งเดียว“เจ้าจะทำอะไร!” เจิ้งหมิงเบิกตากว้าง ตกใจกับท่าทีของเธอ ไม่นึกเลยว่า ผู้หญิงจากโลกอนาคตจะไวไฟได้เพียงนี้แต่แทนที่ณาราจะตอบคำถาม กลับก้มลงจรดริมฝีปากกับหน้าผากของเขาแล้วเลื่อนเรื่อยลงมาหยุดตรงซอกคออย่างย่ามใจเรื่องอะไรเจิ้งหมิงจะยอมให้นางทำอย่างนั้นฝ่ายเดียว พอนางเผลอ เขาก็เป็นฝ่ายพลิกกายขึ้นมาอยู่ด้านบน ทำเอาคนคิดจะแกล้งหยอกเย้าเล่นหน้าตื่น“พี่จะทำอะไร”“เจ้าอยากให้ข้าทำอะไรล่ะ หึม” เจิ้งหมิงเป็นฝ่ายยิ้มยั่วเย้าบ้าง แล้วจรดริมฝีปากอุ่นจัดลงกับใบหูเล็ก ระเรื่อยลงมายังซอกคอขาวละมุน แล้ววนเรื่อยขึ้นไปยังใบหูเล็กรวดเร็ว“พี่เจิ้ง อย่า ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น ไม่ได้จริงจังสักหน่อย”“แต่เจ้าทำให้ข้าอยากจริงจังนี่นา”“ข้าบอกแล้วไงล่ะว่าแค่ล้อเล่น ข้าบอกให้ก็ได้ว่า ข้ายังไม่เคยมีความสัมพันธ์กับชายใดสักหน่อย” ณาราสารภาพอ้อมแอ้ม“ลงไปได้แล้ว เดี๋ยวไห่ถวนก็มาเห็นเข้าหรอ
ท่านอ๋อง 9 ผุดลุกจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหาจนแทบจะชนกัน เมื่อจู่ๆ ธิดาคนเล็กก็พาหญิงสาวผู้หนึ่งมาแนะนำให้รู้จัก พร้อมกับหนุ่มน้อยไห่ถวน จากเกาะจวินจวู“นี่ไห่หลาน พี่สาวของไห่ถวน เพิ่งมาจากเกาะจวินจวูค่ะ” ณาราแนะนำทั้งที่แทบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่“อึม แม่นางไห่หลานนี่ ดูลักษณะรูปร่างช่างดูค้นตานัก เหมือนเคยพบที่ใดมาก่อน” เฉินลู่ซีตั้งข้อสังเกต แม้เรือนร่างภายใต้เครื่องแต่งกายสตรีจะไม่ได้กำยำล่ำสันมากนัก แต่ก็ดูบึกบึนกว่าสตรีโดยทั่วไปอยู่ดีเจิ้งหมิงทำชะม้ายชายตาครู่หนึ่ง ก่อนจะปลดผ้าคลุมหน้าออกดวงหน้าแตะแต้มด้วยเครื่องสำอาง แม้งดงามก็จริง แต่ทำไมเขาจะจำดวงตาคมกล้าคู่นั้นไม่ได้เล่าว่า นางเคยเป็นใครมาก่อน“นี่เจ้า เอ่อ…”“ท่านพ่อ ข้าอยากกลับบ้านแล้ว เรารีบกลับกันเถอะค่ะ” ณาราเดินมาเกาะแขนท่านอ๋อง 9 เอาไว้หลวมๆ“ท่านพ่อคะ อย่างไร ลูกขอพาคนของลูกไปด้วยนะคะ ตอนอยู่บนเกาะ ทั้งสองช่วยเหลือลูกเอาไว้มากเหลือเกิน ลูกไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณอย่างไร จึงทำได้เพียงรับรองทั้งสองเป็นอย่างดี”“ได้สิลูก เรากลับกันเถอะนะ” ท่านอ๋อง 9 ยิ้มน้อยๆ ทั้งที่ประหลาดใจเหมือนกันว่า ทำไมเจิ้งหมิงจ
ท่านอ๋อง 9 และเจิ้งหมิงยังคงนั่งเฝ้าจ้าวเจี้ยนฟางอยู่ข้างเตียงไม่ห่าง นานๆ จึงจะหันมามองหน้ากันสักครั้ง กระทั่งนาทีหนึ่ง ต่างก็หันมาสนทนากัน กลายเป็นว่าต่างเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน“เจิ้งหมิง”“ท่านอ๋อง”“เจ้ามีอะไรก็ว่ามาเถิด”“ท่านอ๋องกินอะไรบ้างเถิดดนะครับ ประเดี๋ยวจะไม่สบายไปอีกคน” องครักษ์หนุ่มปรายสายตาไปยังโต๊ะกลม ปูด้วยผ้าสีขาวสะอาดตากลางห้อง ซึ่งมีข้าวกับซี่โครงหมูตุ๋นกับฟักวางอยู่สองที่“เจ้าเองก็ควรจะกินอะไรบ้างนะ อย่ามัวบอกให้ข้ากินแต่ฝ่ายเดียว คนหนุ่มก็ล้มป่วยได้เช่นกัน”“ถ้าอย่างนั้น เชิญครับท่านอ๋อง” ว่าพลางเจิ้งหมิงก็เป็นฝ่ายผายมือให้ท่านอ๋องไปนั่งที่โต๊ะอาหารก่อน แล้วจึงเป็นฝ่ายตามไปนั่งบ้าง“ข้ามีบุตรธิดาหลายคนก็จริง แต่เจี้ยนฟางก็เป็นลูกที่ข้ารักและห่วงใยมากที่สุด เพราะนางเหมือนฮุหยินของข้ามาก ข้าก็เหมือนพ่อคนอื่นๆ ที่ทั้งรักทั้งหวงลูกสาว ดังแก้วตาดวงใจ ในเมื่อรู้ว่าเจี้ยนฟางกับเจ้าต่างมีใจให้กัน อีกทั้ง ข้าก็ได้เห็นกับตาแล้วว่า ตอนที่หลี่จิ้งจับเจี้ยนฟางเป็นตัวประกันนั้น เจ้าเป็นห่วงความปลอดภัยของนางมาก ยิ่งกว่าชีวิตของตนเองซะอีก หากเจ้าอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับลูกข้าจริง ก็