ตำหนักของท่านอ๋อง 9 จ้าวเจี้ยนหลิงแห่งฉางโจว ตั้งอยู่บนเนินเขาฉางซาน เป็นเรือนไม้หลังคาทรงเก๊งจีนเรียงเป็นชั้นลดหลั่นกันลงมา ด้านหน้าเป็นเรือนรับรอง ปีกด้านข้างทั้งสองแบ่งเป็นห้องหนังสือ ห้องสวดมนต์ ห้องนอนของเจ้าของตำหนัก ด้านหลังเป็นส่วนครัว ส่วนเรือนพักของภรรยาและบุตรนั้น ปลูกแยกห่างออกไปในระยะห่างพอเดินหากันได้ รายรอบด้วยสวนไม้ประดับนานาพันธุ์
ทันทีที่ขบวนเกี้ยวของงท่านหญิงน้อย พ้นประตูด้านหน้าเข้ามา พ่อบ้านประจำจวนท่านอ๋อง 9 ก็รีบไปรายงานให้เจ้านายของเขาทราบ
“ท่านอ๋องครับ เกี้ยวของท่านหญิงน้อยมาถึงแล้วครับ ตอนนี้ข้าน้อยได้พาท่านหญิงน้อยไปยังห้องรับรองแล้ว”
“แล้วใต้ท้าวเฉินล่ะ มาด้วยรึเปล่า” ชายชราผู้สูงศักดิ์ เรือนผมบนศีรษะแซมหงอก ดวงหน้าดุดัน หนวดเครายาวตัดแต่งเป็นอย่างดี รับกับดวงหน้าถามถึงขุนนางคนโปรด
“ใต้ท้าวเฉินให้คนมาเรียนว่า เมื่อเตรียมของขวัญที่องค์ฮ้องเต้พระราชทานมาด้วยเรียบร้อยแล้ว จะเดินทางมาภายหลังครับ”
“งั้นเรอะ ข้าจะไปหาลูกเดี๋ยวนี้ล่ะ” สีหน้าและแววตาของท่านอ๋องฉาบฉายด้วยความยินดี ขณะก้าวเรื่อยๆ จากห้องหนังสือมายังห้องรับรอง
จ้าวเจี้ยนฟางกวาดสายตาไปรอบๆ อย่างมีจริต นับตั้งแต่ก้าวลงจากเกี้ยว กระทั่งเดินเข้ามาในห้องรับรอง
สิบกว่าปีแล้วสินะ ที่นางจากบ้านเกิดไป และไม่เคยหวนกลับมาอีกเลย หากบรรยากาศในตำหนักก็ยังคงไม่ต่างจากเดิมเลย
“เจี้ยนฟางลูกพ่อ” เสียงเรียกสั่นเครือนั้น พาให้ท่านหญิงน้อยชะงักไปครู่หนึ่ง ความยินดีในดวงหน้านั้น สั่นคลอนหัวใจดวงน้อยนัก
หากไม่เพราะถูกผลักไสออกจากตำหนักอ๋องตั้งแต่อายุยังไม่ถึงหกชันษาดี นางก็คงจะเดินเข้าไปหาอ้อมกอดของผู้เป็นพ่อแล้ว
เมื่อเห็นว่าบุตรีคนเล็กยังคงยืนนิ่ง จ้าวเจี้ยนหลิงก็เพียงแต่เดินเข้ามาใกล้ในระยะห่างพอเห็นหน้ากันชัดเจนเท่านั้น ความคลุมเครือแผ่ออกมาจากสายตานิ่งสนิทคู่นั้น พาให้เขาไม่กล้าก้าวเข้าไปใกล้กว่านั้นอีก
ยิ่งบุตรีโตขึ้น ก็ยิ่งมีหน้าตาละม้ายคล้ายอดีตฮูหยินของเขา ราวถอดจากพิมพ์เดียว มิน่าเล่าฮูหยินถึงอายุสั้น
จ้าวเจี้ยนฟางหรือก็ช่างอาภัพนัก เพราะเพียงแค่มารดาคลอดบุตรออกมา ก็ตกเลือดจนเสียชีวิตทั้งยังไม่ทันได้เห็นหน้าลูกน้อยด้วยซ้ำ
“เจี้ยนฟางลูกพ่อ เจ้าช่างละม้ายคล้ายแม่เจ้านัก เจ้ารู้รึเปล่าว่า พ่อคิดถึงเจ้าทุกวันคืน”
“คิดถึง แล้วทำไมท่านพ่อต้องส่งข้าเข้าวังหลวงตั้งแต่ยังเล็กด้วยล่ะคะ” น้ำเสียงเอื้อนเอ่ยเย็นชาเสียจนคนฟังสัมผัสได้
“เจ้าก็รู้ว่าพ่อมีความจำเป็น...เจ้ากลับมา พ่อก็ดีใจแล้ว พ่อปลูกเรือนเหมยฮวาไว้รอเจ้าแล้ว พ่อจะไม่ให้เจ้าไปไหนอีกแล้วนะ รู้มั้ย”
ฟังคำพูดของพ่อแล้ว จ้าวเจี้ยนฟางก็ไม่รู้ว่าตนเองควรดีใจหรือไม่ เพราะรู้ดีว่า อีกไม่นานผู้หญิงอย่างนางก็ต้องแต่งงานออกเรือนไป ถึงตอนนั้น แม้พ่อจะไม่อยากผลักไสนางออกจากตำหนักอ๋อง ก็คงต้องยอมจำนนต่อความเป็นไปของชีวิตอยู่ดี
แต่แล้ว คนที่ทำให้สีหน้าของจ้าวเจี้ยนฟางบึ้งตึงขึ้นมา ก็เดินเข้ามาจนได้...
จะใครเสียอีกเล่า ถ้าไม่ใช่ “ฮุ่ยเหนียง” แม่เลี้ยงของนาง
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร หากดวงหน้าขี้ริ้ว จมูกงองุ้ม ริมฝีปากแดงอมยิ้มน้อยๆ อยู่ตลอดเวลา ดวงตายาวรี หางตาเชิดขึ้นน้อยๆ ดูคล้ายตาเหยี่ยวนั้น ก็ยังคงตรึงในความทรงจำของนางไม่รู้คลาย
ไม่ใช่เพราะรัก เทิดทูน ตรงกันข้าม นางเกลียดแม่เลี้ยงคนนี้เข้ากระดูกดำเลยต่างหาก
มองปราดเดียว นางก็รู้ว่า นิสัยของฮุ่ยเหนียงคนนี้ คงไม่เปลี่ยนไปจากเดิม ต่อหน้าท่านอ๋องทำเสแสร้ง แกล้งดีต่อนาง แต่ลับหลังกลับพูดจาหมิ่นแคลน กลั่นแกล้งนางสารพัด
จ้าวเจี้ยนฟางในวันนี้ แม้จะเป็นเพียงสตรีอ่อนแอ แต่ก็จะไม่ยอมให้แม่เลี้ยงใจทมิฬอย่างนางรังแกอยู่ฝ่ายเดียวเด็ดขาด
“มาถึงแล้วเหรอคะท่านหญิงน้อย” นางจีบปากจีบคออย่างคนมีจริต ปราดเข้ามาหาพร้อมกับยื่นมือสกปรกนั่นมาด้วย
จ้าวเจี้ยนฟางยิ้มหยันน้อยๆ แม้แววตาจะไม่ได้แสดงออกว่ารังเกียจ หากการถอยหลังไปก้าวหนึ่งนั้น แสดงชัดว่า นางรังเกียจผู้หญิงคนนี้เสียจนไม่อยากถูกเนื้อต้องตัวแม้เพียงปลายเล็บ
บรรยากาศภายในห้องรับรองตึงเครียดอยู่แล้ว ดูจะเลวร้ายลงไปอีก
“เอ่อ ท่านหญิงน้อยเดินทางมาไกลคงจะเหนื่อยมาก ไปพักผ่อนก่อนเถอะนะคะ ข้าให้คนเตรียมห้องพักในเรือนเหมยฮวาไว้รอแล้วล่ะค่ะ” ฮุ่ยเหนียงลากเสียงอย่างมีจริต ดวงหน้ายังคงฉาบฉายด้วยรอยยิ้มดังเดิม ขณะกวักมือเรียกสาวใช้คนหนึ่ง
“เสี่ยวชุ่ย พาท่านหญิงไปที่ห้องพักก่อนเถอะไป๊”
“ค่ะ ฮูหยินรอง” สาวใช้วัยน่าจะไล่เลี่ยกับจ้าวเจี้ยนฟางรับคำ
เห็นท่าทีนอบน้อมของสาวใช้ตรงหน้าที่มีต่อแม่เลี้ยงแล้ว จ้าวเจี้ยนฟางก็พอจะเดาได้ถึงอำนาจที่ฮุ่ยเหนียงมีในบ้านสกุลจ้าว อีกอย่างนางก็ไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะยืนดูความเสแสร้งของฮู่ยเหนียงต่อ จึงออกเดินตามสาวใช้มายังเรือนเหมยฮวา
ทันทีที่กองทัพจากเมืองหลวงยกพลขึ้นบกที่เกาะจวินจวู พร้อมด้วยเจิ้งหมิง จี้หมิน และเจิ้นหยาง บรรดาหญิงตั้งครรภ์ที่ถูกจับตัวไป ก็ถูกช่วยพาขึ้นเรือกลับมายังฝั่ง เมื่อไม่ได้รับยาจากคนของเจ้าเกาะ ความทรงจำของพวกนางก็ค่อยๆ กลับคืนมา ที่ต้องลุ้นระทึกก็คือ หญิงตั้งครรภ์จำนวน 5 นาง ได้คลอดลูกบนเรือ ดีที่เจียงจื่อหยารอบคอบ ให้หมอตำแยในเมืองฉางโจวติดตามไปด้วยหลายคน จึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางใช้เวลาเกือบครึ่งเดือน เฉินลู่ซีก็ส่งหญิงตั้งครรภ์กลับสู่ครอบครัวได้สำเร็จ“อวี้เอ๋อ” จางเหวินชิง กอดภรรยาไว้ในอ้อมแขนทั้งน้ำตาอาบสองแก้ม นึกว่าชาตินี้จะไม่ได้พบภรรยาเสียแล้ว“ท่านพี่” นางเองก็กอดสามีเอาไว้แน่นเช่นกัน“ขอบคุณใต้ท้าว องครักษ์เจิ้ง ที่ช่วยคลี่คลายคดีความทุกข์ให้ครอบครัวข้า ขอบคุณครับ” จางเหวินชิงคารวะจากใจขณะที่เสี่ยวหง ปิงปิงและซวงเอ๋อเองก็ต่างโผเข้ากอดสามีของนาง ก่อนจะรีบผละออก เมื่อเห็นว่าณารายืนมองมายิ้มๆ“เจี้ยนฟาง” นางทั้งสามปรี่เข้ามาหาณารา ต่างกวาดสายตามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วมาหยุดอยู่ตรงกลางลำตัว“เอ๊ะ เจ้าไม่ได้ตั้งครรภ์นี่” ซวงเอ๋อทักขึ้นด้วยความประหลาดใจ“อึม” ณาราพยักหน้า
เจ้าเป็นถึงฮูหยินรองของตำหนักอ๋อง ใครเล่าจะข่มขู่เจ้าได้ แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ อย่างไรข้าก็ต้องพาตัวทั้งเจ้าและพ่อบ้านไปรับโทษอย่างแน่นอน” สิ้นคำพูดของท่านอ๋อง 9 ไห่หลานก็พาตัวจ้าวหลงซินออกมา โดยมีเฉินลู่ซี และมือปราบเจิ้นหยางเดินตามเข้ามาในห้องเช้าวันต่อมา นอกจากข่าวใหญ่ เรื่องคนของศาลซื่อเหอ นำกำลังทหารจากเมืองหลวงไปยังเกาะจวินจวูแล้ว ยังมีข่าวของฮูหยินรองแห่งตำหนักอ๋อง ปองร้ายธิดาคนเล็กของท่านอ๋อง มิหนำซ้ำยังลักลอบเป็นชู้กับพ่อบ้านจ้าวหลงซิน เป็นที่พูดถึงทั่วเมืองเมื่อเรื่องร้ายผ่านไปแล้ว ไห่ถวนก็ขอตัวตามเจิ้งหมิงกลับเกาะจวินจวู ขณะที่ณาราในร่างจ้าวเจี้ยนฟางเอง ต้องรออยู่ที่ตำหนักอ๋อง ให้เจิ้งหมิงทำธุระของเขาให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ค่อยพาผู้ใหญ่จากเมืองหลวงมาสู่ขอนางตามประเพณีแม้จะมีชีวิตสุขสบายดีแล้ว ณาราก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่ดี ที่ไม่สามารถบอกให้ใครล่วงรู้ได้ว่า เธอไม่ใช่จ้าวเจี้ยนฟาง ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถทำให้ท่านอ๋อง 9 เสียใจเรื่องธิดาได้ จึงทำได้เพียงเก็บคำเสียค่ำคืนหนึ่ง ท่านอ๋อง 9 นอนกระสับกระส่ายอยู่บนที่นอน จิตดิ่งลึกลงสู่ห้วงนิทรารมย์ ที่มีเพียงม่านหมอกขาวจนมองไม่เ
นึกไม่ถึงว่า เสี่ยวชุ่ยจะฝ่าฝืนคำสั่ง คิดปองร้ายจ้าวเจี้ยนฟาง“ข้าผิดไปแล้ว ท่านอ๋อง เมตตาข้าด้วย”“ข้าจะให้ใต้ท้าวเฉิน เป็นคนตัดสินความเรื่องนี้เอง”ท่านอ๋อง เมตตาข้าด้วย”“เสี่ยวชุ่ย บอกข้ามาว่าใครสั่งการให้เจ้าทำร้ายท่านหญิงน้อยเช่นนี้” ฮุ่ยเหนียงปราดเข้าหาคนผิด จิกเล็บลงกับเรือนผมของนางสุดแรง จนหน้าหงาย ดวงตาจับจ้องหน้าสาวรับใช้วาวโรจน์ มิใช่เพราะต้องการให้นางสาภาพความจริง ตรงกันข้าม ฮุ่ยเหนียงต้องการให้นางปิดปากให้สนิทต่างหาก“ฮูหยินรอง ข้าข้า”“พูด” ท่านอ๋อง 9 ตวาดลั่น ดวงหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ“หากเจ้าไม่บอก ข้าจะตัดลิ้นเจ้าซะ” ฮุ่ยเหนียงบอกเป็นนัยๆ ว่า หากนางเปิดปาก จะตัดลิ้นสาวรับใช้เสียให้รู้แล้วรู้รอดหากยังไม่ทันที่เสี่ยวชุ่ยจะเอ่ยอะไรออกมา ร่างนอนนิ่งอยู่บนเตียงก็กระตุกเฮือก ชักตาตั้ง กระอักเลือดสีแดงสดออกมา“ท่านอ๋อง ท่านหญิงแย่แล้วเจ้าค่ะ” ไห่หลานโวยวายพลางร้องไห้โฮๆ“เด็กๆ พานางไปขังไว้ก่อน ใต้ท้าวเฉินมาค่อยตัดสินความ”สิ้นคำสั่งเรียกคนของท่านแล้ว ท่านอ๋อง9 ก็ปราดมาที่เตียง ประคองธิดาคนเล็กเอาไว้ในอ้อมแขน“เจี้ยนฟาง เจ้าต้องไม่เป็นอะไรนะ” ท่านอ๋อง 9 รำพัน น้ำตานองหน้า
ณารายิ้มยั่วเย้า“อยากรู้ว่าเคยมั้ยล่ะคะ” ณาราสบตาคนตรงหน้าแน่วนิ่ง ก่อนจะดันร่างของคนตัวใหญ่กว่าให้เดินถอยหลังไปที่เตียง แกล้งผลักเขาลงกับที่นอน แล้วกระโดดขึ้นคร่อม ทั้งที่ในชีวิตนี้ เธอไม่เคยทำแบบนี้กับชายใดเลยแม้แต่ครั้งเดียว“เจ้าจะทำอะไร!” เจิ้งหมิงเบิกตากว้าง ตกใจกับท่าทีของเธอ ไม่นึกเลยว่า ผู้หญิงจากโลกอนาคตจะไวไฟได้เพียงนี้แต่แทนที่ณาราจะตอบคำถาม กลับก้มลงจรดริมฝีปากกับหน้าผากของเขาแล้วเลื่อนเรื่อยลงมาหยุดตรงซอกคออย่างย่ามใจเรื่องอะไรเจิ้งหมิงจะยอมให้นางทำอย่างนั้นฝ่ายเดียว พอนางเผลอ เขาก็เป็นฝ่ายพลิกกายขึ้นมาอยู่ด้านบน ทำเอาคนคิดจะแกล้งหยอกเย้าเล่นหน้าตื่น“พี่จะทำอะไร”“เจ้าอยากให้ข้าทำอะไรล่ะ หึม” เจิ้งหมิงเป็นฝ่ายยิ้มยั่วเย้าบ้าง แล้วจรดริมฝีปากอุ่นจัดลงกับใบหูเล็ก ระเรื่อยลงมายังซอกคอขาวละมุน แล้ววนเรื่อยขึ้นไปยังใบหูเล็กรวดเร็ว“พี่เจิ้ง อย่า ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น ไม่ได้จริงจังสักหน่อย”“แต่เจ้าทำให้ข้าอยากจริงจังนี่นา”“ข้าบอกแล้วไงล่ะว่าแค่ล้อเล่น ข้าบอกให้ก็ได้ว่า ข้ายังไม่เคยมีความสัมพันธ์กับชายใดสักหน่อย” ณาราสารภาพอ้อมแอ้ม“ลงไปได้แล้ว เดี๋ยวไห่ถวนก็มาเห็นเข้าหรอ
ท่านอ๋อง 9 ผุดลุกจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหาจนแทบจะชนกัน เมื่อจู่ๆ ธิดาคนเล็กก็พาหญิงสาวผู้หนึ่งมาแนะนำให้รู้จัก พร้อมกับหนุ่มน้อยไห่ถวน จากเกาะจวินจวู“นี่ไห่หลาน พี่สาวของไห่ถวน เพิ่งมาจากเกาะจวินจวูค่ะ” ณาราแนะนำทั้งที่แทบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่“อึม แม่นางไห่หลานนี่ ดูลักษณะรูปร่างช่างดูค้นตานัก เหมือนเคยพบที่ใดมาก่อน” เฉินลู่ซีตั้งข้อสังเกต แม้เรือนร่างภายใต้เครื่องแต่งกายสตรีจะไม่ได้กำยำล่ำสันมากนัก แต่ก็ดูบึกบึนกว่าสตรีโดยทั่วไปอยู่ดีเจิ้งหมิงทำชะม้ายชายตาครู่หนึ่ง ก่อนจะปลดผ้าคลุมหน้าออกดวงหน้าแตะแต้มด้วยเครื่องสำอาง แม้งดงามก็จริง แต่ทำไมเขาจะจำดวงตาคมกล้าคู่นั้นไม่ได้เล่าว่า นางเคยเป็นใครมาก่อน“นี่เจ้า เอ่อ…”“ท่านพ่อ ข้าอยากกลับบ้านแล้ว เรารีบกลับกันเถอะค่ะ” ณาราเดินมาเกาะแขนท่านอ๋อง 9 เอาไว้หลวมๆ“ท่านพ่อคะ อย่างไร ลูกขอพาคนของลูกไปด้วยนะคะ ตอนอยู่บนเกาะ ทั้งสองช่วยเหลือลูกเอาไว้มากเหลือเกิน ลูกไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณอย่างไร จึงทำได้เพียงรับรองทั้งสองเป็นอย่างดี”“ได้สิลูก เรากลับกันเถอะนะ” ท่านอ๋อง 9 ยิ้มน้อยๆ ทั้งที่ประหลาดใจเหมือนกันว่า ทำไมเจิ้งหมิงจ
ท่านอ๋อง 9 และเจิ้งหมิงยังคงนั่งเฝ้าจ้าวเจี้ยนฟางอยู่ข้างเตียงไม่ห่าง นานๆ จึงจะหันมามองหน้ากันสักครั้ง กระทั่งนาทีหนึ่ง ต่างก็หันมาสนทนากัน กลายเป็นว่าต่างเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน“เจิ้งหมิง”“ท่านอ๋อง”“เจ้ามีอะไรก็ว่ามาเถิด”“ท่านอ๋องกินอะไรบ้างเถิดดนะครับ ประเดี๋ยวจะไม่สบายไปอีกคน” องครักษ์หนุ่มปรายสายตาไปยังโต๊ะกลม ปูด้วยผ้าสีขาวสะอาดตากลางห้อง ซึ่งมีข้าวกับซี่โครงหมูตุ๋นกับฟักวางอยู่สองที่“เจ้าเองก็ควรจะกินอะไรบ้างนะ อย่ามัวบอกให้ข้ากินแต่ฝ่ายเดียว คนหนุ่มก็ล้มป่วยได้เช่นกัน”“ถ้าอย่างนั้น เชิญครับท่านอ๋อง” ว่าพลางเจิ้งหมิงก็เป็นฝ่ายผายมือให้ท่านอ๋องไปนั่งที่โต๊ะอาหารก่อน แล้วจึงเป็นฝ่ายตามไปนั่งบ้าง“ข้ามีบุตรธิดาหลายคนก็จริง แต่เจี้ยนฟางก็เป็นลูกที่ข้ารักและห่วงใยมากที่สุด เพราะนางเหมือนฮุหยินของข้ามาก ข้าก็เหมือนพ่อคนอื่นๆ ที่ทั้งรักทั้งหวงลูกสาว ดังแก้วตาดวงใจ ในเมื่อรู้ว่าเจี้ยนฟางกับเจ้าต่างมีใจให้กัน อีกทั้ง ข้าก็ได้เห็นกับตาแล้วว่า ตอนที่หลี่จิ้งจับเจี้ยนฟางเป็นตัวประกันนั้น เจ้าเป็นห่วงความปลอดภัยของนางมาก ยิ่งกว่าชีวิตของตนเองซะอีก หากเจ้าอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับลูกข้าจริง ก็