เจ้าสาวผี
เข้าสู่วันที่สิบของการออกเดินทาง เสบียงที่นำติดตัวมานั้นเริ่มร่อยหรอเต็มที เสวียนหนี่ก้มลงมองถุงผ้าที่นางห่อเสบียงแล้วมองไปรอบ ๆ ข้างทางที่ผ่านมานั้นไม่มีลำธารหรือบ่อน้ำให้เห็น เป็นเพราะเส้นทางที่เขาพามาไม่ได้สะดวกอย่างเช่นที่เขาได้บอกไว้ก่อนหน้า ฉะนั้นการหาเสบียงเพิ่มจึงเป็นปัญหาหลักของการเดินทางครั้งนี้
“ตาแก่ถาน ข้ากระหายน้ำ”
“แถวนี้ไม่มีน้ำหรอก อดทนอีกหน่อย พ้นจากตรงนี้ไปราวยี่สิบลี้น่าจะมีน้ำตกถ้าข้าจำไม่ผิด”
“ยี่สิบลี้เลยหรือเจ้าคะ”
ในขณะที่เสวียนหนี่กำลังหดหู่สิ้นหวังสายตาของนางเหลือบไปเห็นป่าไผ่ข้างทาง นางชี้มือไปที่ป่าไผ่พร้อมบอกเขาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ
“ตาแก่ถาน นั่นป่าไผ่เจ้าค่ะ”
“ป่าไผ่แล้วอย่างไร”
“ข้าหิวน้ำ ในต้นไผ่มีวุ้นสามารถกินแก้กระหายได้”
“เจ้าก็ว่าไปเรื่อย คุณหนูอย่างเจ้าจะไปรู้เรื่องของป่าได้อย่างไร”
เขาหัวเราะนางอย่างขำขัน แต่ก็ยังดึงบังเหียนบังคับล่อให้หยุด เมื่อจอดสนิทแล้วเสวียนหนี่กระโดดลงมาจากเกวียน นางเดินไปยังต้นไผ่พลางหยุดพิจารณาบางอย่างจึงชี้นิ้วไปที่ไผ่ลำหนึ่งอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ผ่าลำนี้”
“ลำนี้เนี่ยนะ มันจะไปมีวุ้นได้อย่างไร ข้าชำนาญเรื่องการตัดไม้เป็นที่สุด เรื่องที่บอกว่าในต้นไผ่มีวุ้นข้าไม่เชื่อ”
“เป็นเพราะท่านตัดเอาแต่ลำงาม ๆ ก็เลยไม่เคยเจอนะสิ มันต้องแบบนี้ สั้น ๆ ป้อม ๆ มีแน่นอน ตัดสิเจ้าคะรออะไรอยู่”
“เออ ๆ ข้าจะตัดให้ คุณหนูฉู่เจ้านี่ช่างเรื่องมากเสียจริง”
ครู่ต่อมาต้นไผ่ที่เสวียนหนี่หมายตาก็ถูกโค่นลงมา แล้วถานถานก็ใช้ขวานผ่าออกตามที่นางบอก พอผ่าเสร็จปรากฏว่าสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นมีลักษณะเป็นวุ้นใส ๆ เสวียนหนี่ไม่รอช้ารีบเอามากินดับกระหาย แต่ก็ช่วยบรรเทาได้เพียงนิดหน่อยเท่านั้น นางยังรู้สึกคอแห้งอยู่ เพราะปริมาณของวุ้นไผ่ในแต่ละลำไม่ได้มากมาย
“พอใจหรือยังคุณหนูฉู่”
“ยังเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าไปเก็บเห็ดจมูกหมูตรงนั้นด้วย สภาพอากาศค่อนข้างชื้น เห็ดจมูกหมูน่าจะพอมีน้ำกักเก็บอยู่บ้าง ระหว่างทางหากกระหายอีกจะได้เอาออกมาดื่มแทนน้ำได้”
“เห็ดเนี่ยนะ”
“เจ้าค่ะ”
เสวียนหนี่เดินไปเก็บเอาเห็ดจมูกหมูที่อยู่ไม่ไกลแล้วยื่นให้ถานถานชิมดู ในตอนแรกเขายังไม่แน่ใจนักว่ามันสามารถดื่มแทนน้ำได้นางจึงบีบเห็ดให้ดูก่อน ผลที่ได้คือมีน้ำออกจากเห็ดจมูกหมูจำนวนมากเลยทีเดียว
ไม่เสียแรงที่เสวียนหนี่เกิดในครอบครัวชนบท ก่อนจะไปได้ดิบได้ดีอนาคตรุ่งโรจน์ สิ่งเหล่านี้นางล้วนลิ้มลองมาแล้วทั้งหมด มีอีกหลายอย่างในป่าที่นางรู้ว่าสามารถกินได้ และกินไม่ได้
ถานถานรับเห็ดจมูกหมูมาดูดน้ำดับกระหาย เมื่อพอใจแล้วจึงได้ออกเดินทางต่อ ค่ำไหนก็นอนที่นั่น
หลายวันต่อมาทั้งสองได้เดินทางเข้าใกล้เขตอำเภอ
เล็ก ๆ เสวียนหนี่ดีใจเป็นอย่างมาก นางอยากจะลิ้มรสอาหารอื่นนอกจากผลไม้ป่าและมันเผาเต็มที“เราพักที่นี่ได้หรือไม่เจ้าคะ”
หญิงสาวถามความคิดเห็นชายแก่ สำหรับถานถานแล้วที่ใดมีสุราที่นั้นย่อมเป็นที่พักพิงได้ สุราที่เขาพกติดตัวมาแม้ว่าจะถนอมไว้เป็นอย่างดีก็เหลือน้อยเต็มที นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่ควรจะแวะเติมสุราเสียหน่อย
“หยุดพักน่ะได้ แต่ข้าไม่เหลือเงินแล้วนะ”
“...แต่ข้าหิว”
เสวียนหนี่บอกเสียงเบาหวิวพลางสอดส่องสายตามองไปรอบ ๆ ฝั่งขวามือเป็นร้านขายบะหมี่ ซ้ายมือเป็นร้านต่อโลงศพ ถัดไปเป็นร้านขายเครื่องประดับ ไกลออกไปหน่อยคือร้านขายผ้า นางสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัวอย่างพิจารณาแล้วส่งยิ้มให้ถานถาน
“ตาแก่ถาน”
“มีอะไร”
“ข้าว่าท่านน่าจะได้ร่ำสุราแบบไม่ต้องเสียเงินสักอิแปะ”
“อย่างไร?”
“ตามข้ามา”
ว่าแล้วถานถานก็จูงล่อเดินตามหลังเสวียนหนี่ไป เขตชุมชนแออัดเช่นนี้การจูงล่อให้ลากเกวียนไปช้า ๆ จะเหมาะกว่า ในตลาดมีผู้คนมากมายหากเจ้าล่อตัวนี้เกิดตื่นกลัวขึ้นมาแล้วควบคุมไม่อยู่ จะพลอยทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บไปด้วย
เมื่อมาถึงหน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งใหญ่โตมาก จัดว่ามีฐานะมากกว่าหลายหลังในละแวกเดียวกัน เสวียนหนี่ได้ส่งสัญญาณมือให้ถานถานหยุด ชายแก่ขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความสงสัย แหงนหน้ามองที่ป้ายชื่อตระกูลที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าทั้งที่อ่านไม่ออก โดยที่ป้ายตระกูลนั้นเขียนอักษร "ผิง"
“ที่นี่นะหรือมีสุรา”
“มีแน่นอนเจ้าค่ะ”
ถานถานรีบเอาล่อไปผูกไว้แล้วเดินตามนางไปอย่างรวดเร็ว ที่หน้าประตูบ้านมีบุรุษสองคนยืนต้อนรับท่าทางนอบน้อม เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำความเคารพนางจึงเคารพตอบ
“คารวะคุณชาย เชิญด้านในขอรับ”
ชายเฝ้าประตูทั้งสองบอกกล่าวแก่นางเช่นนั้น แล้วก็เอามือออกมาขวางถานถานไว้ไม่ให้เขาตามไป นอกจากนั้นยังตะเบ็งเสียงแข็ง
“บ่าวรับใช้รอด้านนอกก่อนก็ได้นะ”
“เห้อะ ข้านะหรือบ่าวรับใช้ พวกเจ้าสองคนมีตาหามีแววไม่”
ถานถานโมโหจนหน้าเขียวคล้ำเพราะถูกมองว่าเป็นบ่าวรับใช้ ไม่แปลกที่จะถูกมองเช่นนั้นเพราะท่าทางของเขาเหมือนบ่าวรับใช้อยู่หลายส่วน เสวียนหนี่ที่เดินเข้าไปด้านในแล้วได้ชะเง้อกลับมามองอดขำขันเขาไม่ได้ ในขณะเดียวกันก็นึกชื่นชมเจ้าของร่างด้วยเช่นกัน ขนาดใส่อาภรณ์เนื้อหยาบราคาถูกยังปกปิดความมีสง่าราศีไม่มิด นางกระแอมแล้วพยายามเปล่งเสียงให้ดูทุ้มเพื่อจะได้คล้ายคลึงบุรุษที่สุดแล้วเอ่ยว่า
“พี่ชายทั้งสองให้เขาเข้ามาเถิด ข้าจะดูแลเขาเอง”
บรรยากาศภายในมีคนมากหน้าหลายตา กำลังนั่งล้อมวงพูดคุย บนโต๊ะมีอาหารมากมายหลายชนิด เสวียนหนี่มองไปที่หญิงวัยสี่สิบหนาวต้น ๆ นางสวมใส่ชุดไว้อาลัยสีขาวขุ่นยืนทำหน้าเศร้าโศก มือข้างหนึ่งปาดน้ำตาอยู่เนือง ๆ ฝั่งซ้ายมือนั้นมีโลงศพหัวหมูวางเรียงกันอยู่สองโลง
หญิงสาวแย้มยิ้มมุมปากเล็กน้อย จัดเผ้าผมให้เข้าที่แล้วจึงก้าวเท้าเดินตรงไปหาสตรีนางนั้น
“คารวะฮูหยินผิง ข้าคือบุตรชายคนโตของตระกูลเกา”
“ตระกูลเกา?”
เจ้าบ้านทำหน้าตางงงวย นางจำไม่ได้ว่ามีญาติหรือคนรู้จักแซ่เกาหรือไม่ เพราะคนที่มาในงานนั้นมากมายเสียจนจำได้ไม่หมด ทั้งญาติฝั่งสามีและคนรู้จัก อีกทั้งพ่อค้าแม่ค้าในตลาดก็ส่วนหนึ่ง
“ข้าขอแสดงความเสียใจด้วยขอรับ ไม่น่าอายุสั้นเลย...ไม่น่าเลย ไม่น่าเลยจริง ๆ เขาเป็นคนดีมาก ไปที่ไหนก็มีแต่คนรักใคร่ โธ่”
เสวียนหนี่พูดพลางทำหน้าเศร้าแสร้งบีบน้ำตา ตั้งแต่ก้าวเข้าประตูจวนผิงนางถอนหายใจหน่วง ๆ มาแล้วสามรอบ ทั้งนี้ก็อยากให้เจ้าบ้านรับรู้ว่านางนั้นรู้จักกับผู้ตายและเสียใจเพียงใดที่ผู้ตายได้อำลาโลกไปก่อนวัยอันควร
“คุณชายเกานี่เอง เอ่อ เชิญคุณชายเกานั่งก่อนเถิดเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าให้สาวใช้นำของมาต้อนรับ”
เจ้าบ้านเห็นกิริยาที่แสดงออกว่าเสียใจสุดซึ้งของอีกฝ่ายก็เออออตามน้ำไปด้วย หากค้านว่าไม่รู้จักกัน ก็เกรงว่าอาจทำให้ผู้คนที่มาร่วมงานติฉินนินทาได้ว่าไร้มารยาทไม่ต้อนรับแขก
เสวียนหนี่และถานถานถูกพาไปนั่งที่โต๊ะอาหาร อีกไม่นานก็คงจะได้เวลาเคลื่อนศพไปสุสานบรรพชน เมื่อทั้งสองนั่งได้เพียงครู่เดียวอาหารก็ถูกยกมาจัดวาง เสวียนหนี่และถานถานกินกันจนอิ่ม มิหนำซ้ำตาแก่ยังแอบหยิบสุราติดมือมาสองไห จากนั้นทั้งคู่ก็ย่องออกนอกจวนตระกูลผิงอย่างเงียบเชียบ
ด้านนอกกำแพงจวนตระกูลผิง
"ฮ่า ๆ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าที่นี่มีงานไว้อาลัย"
"ข้าเห็นบ่าวของบ้านหลังนี้กำลังสั่งโลงศพหัวหมูอยู่ที่ร้านต่อโลงเจ้าค่ะ คนตายที่จะใช้โลงหัวหมูได้ฐานะต้องร่ำรวยมาก ข้าก็เลยพาท่านเดินตามบ่าวพวกนั้นมา"
"ฮ่า ๆ เจ้านี่หลักแหลมจริง ๆ"
“ท่านว่าพิธีศพที่บ้านหลังนี้ดูแปลกหรือไม่เจ้าคะ”
เสวียนหนี่ถามขึ้นในขณะที่ถานถานกำลังแกะเชือกล่อที่ผูกอยู่กับต้นไม้เพื่อจะได้เดินทางกันต่อ
“แปลกอย่างไร”
“โลงคู่”
“คุณหนูฉู่ ข้าว่าเจ้าอย่าไปยุ่งเรื่องของเขาเลย อิ่มแล้วเราก็รีบไปกันเถอะ”
นางพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นจึงออกเดินทางต่อไป ในจังหวะที่กำลังจะผ่านพ้นหน้าจวนตระกูลผิง เสวียนหนี่เหลือบไปเห็นสามีภรรยาคู่หนึ่งที่กำลังโต้เถียงกันอยู่ ผู้เป็นสามีผลักภรรยาลงอย่างแรงจนฝ่ามือที่ใช้ยั้งกายถูกเศษหินเล็ก ๆ บาดเลือดไหล เมื่อภรรยาล้มไปแล้วสามีก็ชี้หน้าด่าทอนางต่ออีกสองสามประโยค แล้วเดินหนีไปอย่างไม่ไยดี
“หยุดก่อน”
เสวียนหนี่ร้องบอกถานถานแล้วกระโดดลงจากเกวียน นางเข้าไปประคองหญิงรายนั้นให้ลุกขึ้นยืน หญิงแปลกหน้าร่างกายผอมโซ สวมใส่เสื้อผ้าเก่าขาดวิ่น นางเงยหน้าขึ้นมามองเสวียนหนี่แล้วรีบปาดน้ำตาอย่างรวดเร็ว
“เป็นอะไรหรือไม่”
“ข้าไม่เป็นอะไร”
“...เอ่อ เมื่อครู่นี้เขาทำร้ายท่าน”
เสวียนหนี่ยังไม่ทันจะได้ถามต่อนางสะอื้นร้องไห้ออกมาเหมือนเจ็บปวดเจียนจะขาดใจ กวาดมองตามเนื้อตัวของนางเต็มไปด้วยร่องรอยเขียวช้ำจากการถูกทำร้ายร่างกาย
“ช่วยข้าด้วยเถิด ลูกสาวข้าอยู่ในจวนตระกูลผิง ข้าแอบมองเข้าไปด้านในเห็นคุณชายท่านนี้สนิทสนมกับฮูหยินผิง พวกท่านเพิ่งออกมาจากที่นั่นบางทีอาจจะช่วยข้าได้”
...เฮ้อ เข้าใจผิดแล้ว พวกข้าแค่ไปหลอกกินก็เท่านั้น จะเอาปัญญาที่ไหนไปช่วย เสวียนหนี่นึกในใจ
ถานถานที่มาถึงทีหลังดึงแขนเสวียนหนี่ออกให้ห่างแล้วกระซิบกระซาบเบา ๆ พอได้ยินกันแค่สองคน
“เจ้าอย่าไปยุ่งกับนางเลย เสียเวลาเราเปล่า ๆ”
“ลองฟังนางก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
พูดจบเสวียนหนี่ก็หันไปหาเจ้าของร่างผอมโซ นางมองมาที่เสวียนหนี่อย่างมีความหวังแล้วจึงรีบพูดต่อ
“สามีข้าขายลูกสาวให้บ้านหลังนี้”
“...ท่านน้า หากสามีท่านน้าขายลูกสาวไปเป็นทาสข้าคงช่วยอะไรไม่ได้”
“ไม่ใช่ เขาไม่ได้ขายลูกสาวให้ไปเป็นทาส เขาขายนางให้ไปเป็นเจ้าสาวผี”
“...จะ เจ้าสาวผี!”
ดวงตาของเสวียนหนี่เบิกโตด้วยความตกใจ แต่สำหรับถานถานแล้วนั่นถือเป็นเรื่องปกติ การหาเจ้าสาวให้ศพถือเป็นพิธีการที่ทำกันอย่างแพร่หลาย ที่ตระกูลผิงจัดงานศพใหญ่โตก็เพราะเหตุนี้เอง นอกจากงานศพแล้วที่น่าตกใจยิ่งกว่าคืองานสมรสของร่างที่นอนสิ้นลมอยู่ในโลงหัวหมูกับคนที่ยังมีชีวิต
“อย่าไปสนใจเลยน่า เดี๋ยวพอเขาเอาศพไปฝังเขาก็จะเอาลูกสาวมาคืนเจ้าแน่”
ตาแก่ถานที่ยืนฟังอยู่โพล่งขึ้นตามนิสัย แต่นั่นยิ่งทำให้มารดาของบุตรสาวที่ถูกขายไปหน้าซีดเซียวยิ่งกว่าเดิม
“พวกเขาไม่คิดจะปล่อยลูกสาวข้ากลับมา พวกเขาจะฝังนางไปพร้อม ๆ กับลูกชายของฮูหยินผิง ข้าอยากช่วยลูกสาวแต่สามีข้าไม่ยอมเพราะรับเงินจากฮูหยินผิงมาแล้ว”
“รับมาแล้วก็เอาไปคืนได้ เอาเงินไปคืนฮูหยินผิงเสีย” เสวียนหนี่ออกความเห็น
“ไม่มี ไม่มีแล้ว สามีข้าเอาไปเล่นพนันหมดตัวแล้ว”
“จริงหรือ! เป็นพ่อคนประสาอะไรรู้ว่าลูกจะต้องถูกฝังทั้งเป็นแท้ ๆ ยังจะกล้าขายไปอีก สัตว์นรกกลับชาติมาเกิด! เลวทรามต่ำช้านัก! มารดามันเถอะ! เฮงซวยสิ้นดี! ไอ้...ไอ้ชั่ว!”
เสวียนหนี่โมโหจนลืมตัวเผลอด่าทอบิดาของเด็กที่ถูกขายให้ตระกูลผิงเสียยกใหญ่ ถานถานที่ฟังนางด่าชายคนนั้นไม่เว้นวรรคเว้นตอนได้แต่อ้าปากค้าง
จดหมายจากทางไกล (จบ)“ฮูหยินเจ้าคะเมื่อเช้านี้คนเฝ้าประตูหุบเขานำจดหมายและของมาฝากให้ฮูหยินเจ้าค่ะ บอกว่าได้มาจากขบวนพ่อค้าผ่านทาง”สาวใช้วางจดหมายไว้บนโต๊ะแล้วก็เดินออกจากห้องไปเงียบ ๆ ข้างจดหมายนั้นยังมีกล่องไม้ขนาดไม่ใหญ่มากเสวียนหนี่เปิดกล่องไม้ดูข้างในพบว่าเป็นผ้าบุหนาพันห่อบางสิ่งไว้อย่างดี สัมผัสยังชุ่มชื้นคล้ายกับว่ามีการพรมน้ำไว้ตลอดเวลา เมื่อนางเปิดผ้าห่อออกเห็นว่าสิ่งของข้างในคือกิ่งพันธุ์ของพืชชนิดหนึ่งจึงรีบคลี่จดหมายออกดู เนื้อความข้างในจดหมายได้เขียนบรรยายไว้ว่า…ข้าถึงแคว้นฉินอย่างปลอดภัยแล้วระหว่างทางมาแคว้นฉินข้าได้รู้จักกับพ่อค้าผู้หนึ่ง เขามีโรงย้อมอยู่ในเขตอำเภอเล็ก ๆ และได้รับข้าเข้าทำงานที่โรงย้อม หวังว่าจากนี้ชีวิตของข้าจะพบกับความสงบสุขอย่างที่เจ้าเคยกล่าวไว้ สิ่งที่ข้าฝากมาในกล่องคือกิ่งพันธุ์ฝูเถาพืชชนิดนี้ที่แคว้นฉินมีราคาแพงมาก เจ้าชอบเพาะปลูก ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าจะพึงพอใจข้าซื้อกิ
ปรารถนาให้ดอกไม้งามได้ผลิบาน“ข้าหวังเพียงว่าจากนี้ไปเจ้าจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างดีและมีความสุข ไม่ใช่แค่เจ้าที่คิดว่าข้าเป็นเหมือนคนในครอบครัวแต่ข้าเองก็คิดอย่างนั้น…ข้าอยากเห็นเจ้ามีความสุข”คำพูดคำจาของถานถานฟังแล้วต่างจากเดิมมาก เขาไม่ใช่ตาแก่ไร้สาระของนางอีกต่อไปแล้วเขาพูดสิ่งดี ๆ เพื่อคนอื่นก็เป็นเช่นกันแต่น้อยครั้งนักที่ถานถานจะเอ่ยวาจาได้ตรงกับใจอย่างนี้ส่วนมากเขามักจะเฉไฉและวางท่าคิดอย่างไรก็ไม่เคยแสดงออกอย่างเปิดเผย"แล้วเจ้าเด็กวุ่นวายนั่น""หมายถึงเพียนเพียนน่ะหรือเจ้าคะ อย่าห่วงเลย ตอนนี้ได้คุณหนูฟางจิงดูแลคุณหนูทั้งสอนหนังสือและเรื่องต่าง ๆ ให้นางอย่างดี เพียนเพียนจะต้องเติบโตได้ดีแน่เอาไว้ว่าง ๆ ข้าจะพานางไปเยี่ยมเยือนท่านที่ไร่นะเจ้าคะ" "อืมงั้นข้าไปละนะ ข้างในนี้ต้องเป็นของดีแน่ ๆ คิดแล้วน้ำลายไหล"เขาชูถุงผ้าขึ้นพลางหัวเราะร่า
คำขอร้องของหลีเหว่ยไม่จำเป็นต้องหลบหลังพุ่มไม้อีกต่อไปแล้วครั้งนี้เขาเดินอย่างองอาจเข้าไปในเรือน เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าฟางจิงจึงได้หันกลับมามองยังต้นเสียงเห็นว่าคนที่มาคือหลีเหว่ยนางก็เกิดความสงสัยเป็นอย่างมากวันสำคัญเช่นนี้เขาควรจะเฉลิมฉลองอยู่ที่เรือนหลักกับคนอื่น ๆ นานแล้วที่นางและเขาไม่ได้เจอกันเลย ครั้งล่าสุดเห็นจะเป็นตอนที่ปิดล้อมจับห่าวอู๋ แต่ก็แค่เห็นผ่านตาเพียงเท่านั้นไม่ได้มีการพูดคุยกันสักครึ่งคำก่อนที่ฟางจิงจะถูกรถม้าทับเขาและนางมีความสนิทสนมกันที่สุดแทบจะเรียกได้ว่าสนิมเทียบเท่าผู้เป็นพี่ชายแท้ ๆหลังจากที่อี้เฉินถูกส่งให้ไปศึกษาที่สำนักศึกษาตี้จิวแล้วหลีเหว่ยก็ติดตามไปเป็นสหายร่วมเรียนฟางจิงและเขาก็ค่อย ๆ ห่างเหินกันไปตามกาลเวลาพอสำเร็จการศึกษาหวนคืนหุบเขานางก็ตีตัวออกหากเขาไปเรื่อย ๆไม่สนิทสนมอย่างเดิมแล้วจนปัจจุบันเหมือนคนเคยคุ้นที่อาศัยร่วมจวนเดียวกัน“นานมาแล้วที่ไม่ได้ไปมาหาสู่กัน วัน
คำตอบของอี้เฉิน“ไปหาเจี่ยนถานถานมาเป็นอย่างไรบ้าง" อี้เฉินถามคำพูดของพ่อค้าสองคนนั้นยังก้องอยู่ในหู เสวียนหนี่จึงยังไม่ทันได้ฟังที่เขาพูด นางเอาแต่นั่งเหม่อลอยใช้ตะเกียบเขี่ยเส้นบะหมี่วนอยู่ในชาม พอเห็นว่าอีกคนไม่ตอบคำถามเขาจึงเรียกชื่อนางซ้ำให้ดังขึ้น“เสวียนหนี่”“เจ้าคะ”หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยเงยหน้ามองบุรุษที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน“ไม่หิวหรือ"“อ๋อข้ายังไม่หิวเจ้าค่ะ”“อย่างนี้นี่เองเช่นนั้นเรากลับจวนกันเถอะ”กลับถึงจวนตระกูลหงก็ใกล้ตะวันตกดิน ที่ศาลาเห็นหลีเหว่ยและโม่โฉวกำลังนั่งเล่นหมากล้อม พวกเขาได้ลุกขึ้นยืนมองมาทางเสวียนหนี่และอี้เฉินด้วยแววตาสงสัยคาดไม่ถึงว่าจะมีโอกาสได้เห็นทั้งคู่เดินเคียงกันมา"กลับมาแล้วหรือขอรับ"หลีเหว่ยทักทาย ประมุขหนุ่มมองตอบเพียงเท่านั้นแล้วเดินตรงเข้าไปในเรือน“เจ้ายังไม่กลับเรือนกุ้ยเ
เกิดอะไรกับห่าวอู๋สีหน้าของฟางจิงดูสลดลงโม่โฉวบอกกับอี้เฉินว่าความพิการทางร่างกายของนางไม่ได้หนักหนา สิ่งที่ทำให้นางยังไม่สามารถลุกขึ้นมายืนหยัดได้นั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องของจิตใจไม่ว่าพี่ชายจะเสาะแสวงหาแพทย์ที่เก่งกาจเพียงใดมารักษาก็ไม่เป็นผลฟางจิงไม่ให้ความร่วมมือนางหวาดกลัวที่จะลุกขึ้นเดินอีกครั้งเสียงเย้ยหยันของผู้คนในอดีตที่ผ่านมาทำให้นางไม่กล้าลุกขึ้นสู้นางกลัวความผิดพลาดกลัวว่าหากลุกขึ้นมาใหม่แล้วต้องล้มลงไปอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็จะต้องอับอาย"รักษาเถิดกลัวไปไยพี่จะคอยอยู่ข้าง ๆ เจ้าเอง""...ข้าใช้ชีวิตเช่นนี้ก็พอใจดีอยู่แล้ววันนี้ข้ารู้สึกเวียนหัวขอตัวพักเอาแรงสักงีบ"ทุกครั้งที่พูดเรื่องบำบัดรักษาฟางจิงก็มักจะเลี่ยงตลอดอี้เฉินเองก็อ่อนใจเต็มทีเขามองตามร่างของน้องสาวที่เคลื่อนรถเข็นเข้าไปในเรือนแล้วถอนหายใจกลัดกลุ้ม ไม่รู้ว่าในระหว่างที่เขามองตามฟางจิงอยู่นั้นเสวียนหนี่เดินมาทางด้านหลังเขาตั
ส่งซูหนี่“พี่สาวเจ้ามาลาข้าแล้ว”เมื่อวานนี้ซูหนี่ได้เข้ามาหาเขา แล้วก็แสดงเจตนาว่าอยากออกจากหุบเขา ดังนั้นอี้เฉินจึงพูดขึ้นเพื่ออยากรู้ว่าเสวียนหนี่ทราบเรื่องนี้แล้วหรือยัง พอได้ฟังนางแสดงสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที“ข้าไม่ได้ไล่นางไปนะเจ้าคะ แล้วก็ไม่ได้ตีนางด้วย”“ข้าก็ไม่ได้บอกว่าเจ้าไล่หรือตีนางเสียหน่อย”ท่าทางรีบร้อนแก้ต่างให้ตนเองของนางทำให้ดูลุกลนจนเกินไปอี้เฉินทำหน้าเหมือนผู้ใหญ่กำลังดุเด็กแล้วพูดต่อ“แต่ถึงเจ้าไม่ไล่ข้าก็ไล่นางออกไปอยู่ดี”หญิงสาวพูดไม่ออกเดิมทีอี้เฉินก็ไม่ไว้หน้าผู้ใดอยู่แล้วยิ่งเป็นซูหนี่ที่เคยอยู่ฝ่ายเดียวกันกับห่าวอู๋มาก่อนก็ไม่ต้องคาดหวังว่าเขาจะไว้ไมตรีด้วยความที่ชายหนุ่มมองคนขาดตั้งแต่แรกเริ่มจึงไม่ได้ให้ความเชื่ออกเชื่อใจใครโดยง่ายหากไม่คาดหวังก็จะไม่ผิดหวังเขาเชื่ออย่างนั้นเป็นมิตรได้วันหนึ่งก็อาจเปลี่ยนไปเป็นศัตรู หรือบางรายเป็นศ