แชร์

14.รับบทคนขุดสุสาน

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-06-30 20:42:49

รับบทคนขุดสุสาน

“โมโหขนาดนี้อย่าบอกนะว่าเจ้าจะช่วยนาง”

ถานถานดึงแขนเสวียนหนี่เข้ามากระซิบกระซาบถามเป็นครั้งที่สอง

“ตาแก่ถาน ท่านพอจะช่วยลูกของนางได้หรือไม่เจ้าคะ”

“เหอะ อย่าฝัน”

หลังอาทิตย์อัสดงที่สุสานบรรพชนตระกูลผิง

“เจ้าบ้าไปแล้วรึ ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดยังจะแส่หาเรื่องอีก”

เขาตำหนินางด้วยน้ำเสียงที่เบาพอสมควร บรรยากาศรอบตัวเงียบสงัดวังเวง ท้องฟ้ายามนี้สิ้นแสงไปได้ระยะหนึ่ง เสียงสัตว์ที่ออกหากินตอนกลางคืนดังหวีดหวิวน่าหวาดกลัว ในขณะที่ทั้งสองเดินตามทางรกร้างแคบ ๆ เสวียนหนี่เกาะชายผ้าชายแก่ไว้เพราะรู้สึกกลัวจนขนหัวลุก  ทุกย่างก้าวของนางสั่นเครือเกือบจะก้าวต่อไปไม่ไหว

สำหรับถานถานไม่ใช่เรื่องที่น่าตื่นกลัวอะไรเลย เพราะในบางวันที่เขาเข้าป่าไปหาตัดไม้ก็มักจะนอนกลางป่ากลางเขาเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะในสุสานหรือพงไพรล้วนบรรยากาศอึม

ครึมไม่แพ้กัน สัตว์ป่าที่ส่งเสียงน่ากลัวในยามราตรีไม่สามารถสร้างความหวาดกลัวให้แก่เขาได้  เขากลับคิดว่ามันเป็นเสียงขับกล่อมให้เขาหลับสบาย หรือบางครั้งก็ถือเอาว่าสัตว์เหล่านี้เป็นเพื่อนยามวิกาล ช่วยให้ตอนร่ำสุราลำพังกลางพงไพรไม่เงียบเหงา

“แล้วแม่ของนางไม่มาด้วยหรือ”

“แม่ของนางบอกว่าหากสามีหลับแล้วจะหาโอกาสแอบตามมาทีหลังเจ้าค่ะ”

“สตรีอ่อนแอเพียงนี้ แม้แต่จะลุกขึ้นมาต่อต้านสามีเพื่อลูกก็ยังไม่กล้า รอคอยแต่ความช่วยเหลือของผู้อื่น นิสัยรอพึ่งพาผู้อื่นเช่นนี้หากช่วยลูกของนางออกไปได้ ลูกของนางก็ยังจะถูกพ่อขายเอาเงินซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

จะว่าไปถานถานพูดก็ไม่ผิด เสวียนหนี่ไม่เคยคิดถึงความจริงข้อนี้ หญิงชาวบ้านที่มาขอความช่วยเหลือเมื่อตอนหัวค่ำนางอ่อนแอเกินไป แม้แต่จะโต้ตอบสามีเพื่อปกป้องลูกยังไม่สามารถทำได้ หากถานถานและเสวียนหนี่ช่วยลูกของนางให้รอดพ้นภัยครั้งนี้ไปได้ ก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าผู้เป็นพ่อจะไม่ขายลูกกินอีก

...บิดาใจทมิฬ ชั่วช้า ผีใดที่ว่าร้ายยังไม่เท่าผีพนันเข้าสิง

...ส่วนมารดาก็อ่อนแอ ขี้ขลาดและหวาดกลัวจนไม่สามารถปกป้องลูกได้ ชีวิตของเจ้าสาวผีช่างน่าสงสารยิ่งกว่าเจ้าของร่างที่นางทะลุมิติเข้ามาเสียอีก

“...ข้าไม่เคยคิดถึงความจริงข้อนี้ แต่ชีวิตคนสำคัญกว่า เราไม่สามารถเพิกเฉยต่อความตายของผู้บริสุทธิ์ได้เจ้าค่ะ”

“เหอะ ข้ารังเกียจคนดีแบบเจ้าที่สุด”

“ข้าไม่ใช่คนดี”

“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเจ้าสาวผียังไม่ตาย”

“ตามหลักแล้วคนที่ถูกฝังทั้งเป็นจะมีชีวิตอยู่ได้ราวหนึ่งเค่อถึงครึ่งชั่วยาม บางคนอาจอยู่ได้นานถึงสามชั่วยามเลยก็เป็นได้ ข้าต้องรบกวนแรงท่านให้รีบขุดเร็วหน่อย”

“ข้าอีกแล้วเรอะ”

“ท่านแรงดีนี่เจ้าคะ สุราห้าไหยังเอาท่านไม่ลงเลย”

พูดจบทั้งสองก็เดินมาถึงหน้าสุสานบรรพชนตระกูลผิง ร่องรอยของการกลบฝังใหม่ทำให้รู้ตำแหน่งของโลงศพได้ไม่ยาก ซึ่งรอยฝังใหม่มีอยู่สองจุดเคียงกันเพราะเป็นการฝังแบบโลงคู่

“ขุดคนละโลงเถิดเจ้าค่ะ”

“ได้ ๆ คุณหนูฉู่เจ้ามาพนันกันไหมล่ะ”

“พนันอะไรเจ้าคะ”

“พนันว่าเจ้ากับข้าใครจะได้ผีใครจะได้คน”

“ย่อมได้ ข้าว่าข้าขุดได้คน ส่วนท่านขุดได้ผี ข้าคงไม่โชคร้ายเจอศพแน่นอน หากเจอคงติดตาข้าไปอีกนาน เร่งมือขุดก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าหากท่านได้เห็นสมบัติที่ตระกูลผิงใส่ไว้ในโลง ของพนันจากข้าท่านคงไม่สนแล้วล่ะ”

"จริงของเจ้า ตระกูลผิงร่ำรวยขนาดนั้นต้องมีของดีในโลงแน่นอน"

ครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะมักจะใส่สมบัติและของมีค่าไว้ในโลงศพผู้ตาย การที่เสวียนหนี่พูดถึงของมีค่าเป็นแรงจูงใจให้ถานถานเร่งมือขุดอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย เขาตั้งใจขุดไม่พูดไม่จาและไม่บ่นสักคำ

หนึ่งสตรีกับหนึ่งชายแก่รีบขุดหลุมศพอย่างขันแข็ง จนในที่สุดเสวียนหนี่ก็เจอเข้ากับฝาโลงหัวหมู นางร้องบอกถานถานอย่างดีใจ เขาจึงรีบเข้ามาช่วยนางเปิดฝาโลงออก เมื่อเปิดออกมาภาพที่เห็นตรงหน้าทำเสวียนหนี่ตกใจแทบสิ้นสติ เพราะร่างที่อยู่ในโลงนั้นคือบุรุษผิวซีดเซียว ใต้ตาดำคล้ำ ใบหน้าไร้เลือดฝาด ดูแล้วผู้ที่ตายยังหนุ่มยังแน่นแท้ ๆ

“ฮ่า ๆ คุณหนูฉู่เจ้าได้ศพ เจ้าแพ้ข้าแล้ว”

“ชะ เช่นนั้น ที่อยู่ในโลงของท่านน่าจะเป็นเจ้าสาวผี เร็วเถิดเจ้าค่ะเสียเวลามามากแล้ว ข้ากลัวนางจะหมดลมเสียก่อน”

“เร่งข้าเสียจริง เจ้ากำลังทรมานคนแก่นะรู้ตัวไหม”

เสวียนหนี่ไม่มีเวลาต่อปากต่อคำกับเขา นางใช้มือกับไม้แหลมตะกุยดินที่ฝังกลบโลงศพออกจนเล็บหัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่หยุดมือ ครู่ต่อมาฝาของโลงศพหัวหมูได้ปรากฏต่อสายตา เสวียนหนี่เริ่มคลี่ยิ้มออกมาอย่างมีความหวัง

ถานถานใช้กำลังทั้งหมดที่มีช่วยกันเปิดฝาโลงออก หลังจากเปิดออกแล้วทั้งสองต่างมองหน้ากันด้วยความตะลึงงัน

“ดะ เด็ก!”

“พวกเขาทำเช่นนี้ได้อย่างไร นี่มันเด็กอายุไม่น่าจะถึงสิบหนาวด้วยซ้ำ ขายเด็กมาเป็นเจ้าสาวผีเนี่ยนะ ให้ตายเถอะ”

"เฮ้อ เจ้าสาวผีมีใครอยากเป็นเล่า ถ้าหาผู้หญิงมาได้ไม่ว่าจะเป็นเด็กคนสาวหรือคนแก่ พวกมันก็เอาหมดนั่นแหละ"

"แต่พ่อที่ขายลูกนี่มันเลวเกินไปจริง ๆ"

เสวียนหนี่เอาร่างเด็กน้อยออกมาจากโลงแล้วอุ้มขึ้นมาเขย่าตัวปลุกให้ตื่น แต่ไม่มีทีท่าว่าเด็กจะลืมตาตื่นขึ้นมาเลย นางไร้สัญญาณชีพจรไปเสียแล้ว ดังนั้นเสวียนหนี่จึงวางร่างเด็กน้อยราบกับพื้นแล้วทำการปั๊มหัวใจตามความรู้ที่เคยได้เรียนมา

“พอเถิด เราทำเต็มที่แล้ว นางสิ้นใจไปแล้ว”

ถานถานบอกพร้อมกับเอนตัวทรุดนั่งอย่างอ่อนแรง เสวียนหนี่ยังคงไม่หมดหวังพยายามทำทุกวิถีทางให้เด็กน้อยผู้น่าสงสารมีสติตื่นฟื้น

"ไม่ เราช่วยนางมาขนาดนี้แล้วต้องช่วยต่อให้ถึงที่สุด ตัวนางยังอุ่นอยู่บางทีข้าอาจช่วยนางได้"

ในที่สุดแสงแห่งความหวังอันริบหรี่ก็มาเยือน เด็กน้อยเริ่มมีสัญญาณชีพจร นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาช้า ๆ แล้วร้องไห้ด้วยความตกใจรีบโผเข้ากอดเสวียนหนี่เพราะคิดว่าเป็นแม่ของตน

“โอ๋ ๆ อย่าร้อง เจ้าปลอดภัยแล้ว ปลอดภัยแล้วนะหนูน้อย เจ้าจะได้กลับบ้านไปหาแม่ของเจ้าแล้ว”

“เหอะ ป่านนี้แล้วแม่ของนางยังไม่โผล่หัวออกมาเลย”

ถานถานลุกขึ้นยืนพลางกวาดสายตาไปรอบ ๆ ยังไม่เห็นเงาผู้ที่ได้ชื่อว่ามารดาของเด็กจะโผล่มา

"นางต้องมาแน่ ลูกนางทั้งคนนะเจ้าคะ ไม่มีแม่คนไหนทิ้งลูกได้ลงคอหรอก...เว้นเสียแต่ว่า..."

พูดมาถึงตรงนี้เสวียนหนี่ก็พูดต่อไม่ออก เพราะนางลองย้อนคิดในมุมของคนเป็นแม่ดู ถ้าเสวียนหนี่เป็นแม่ของเด็กก็หวังเพียงอยากให้ลูกรอดพ้นภัยอันตราย แต่จะไม่มารับลูกกลับไปอย่างแน่นอน ถ้ากลับไปแล้วลูกต้องตกอยู่ในสภาพครอบครัวแบบนั้น ปล่อยให้เด็กได้ไปใช้ชีวิตกับคนที่ดีจะดีกว่า เสวียนหนี่คิดแล้วก็ถอนหายใจ ได้แต่ภาวนาว่าขออย่าได้เลวร้ายแบบที่นางคิด

...อย่าเป็นอย่างที่ข้าคิดเลย มารับลูกไปเสียเถิด ข้าไม่มีปัญญาดูแลนางให้ดีได้ แม้แต่ตัวข้าเองข้าก็ยังเอาตัวไม่รอด

เวลาผ่านมานานขนาดนี้แล้วสตรีผู้นั้นยังไม่โผล่หน้ามา...หรือว่าจะเป็นอย่างที่เสวียนหนี่กำลังหวั่นใจ ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไรเสวียนหนี่ยิ่งมั่นใจแล้วว่าสตรีผู้นั้นได้ทิ้งลูกของตนเองไว้กับนางและถานถาน

"ตาแก่ถานข้าว่าเราถูก-"

เสวียนหนี่กำลังจะหันไปบอกว่าตนถูกสตรีผู้นั้นหลอกเข้าแล้ว แต่เมื่อหันไปก็ต้องอึ้งกับภาพที่เห็น ตาแก่ถานกำลังกุลีกุจอเอาสมบัติในโลงใส่ห่อผ้าอย่างเมามัน เขาไม่สนใจนางกับเด็กแม้แต่เพียงหางตาแลมอง แต่กลับแย้มยิ้มอย่างมีความสุข สร้อยมุขอยู่ที่คอเขาสามเส้น ร่วมไปถึงกำไลและแหวนเขาก็สวมใส่อร่ามตาท่ามกลางแสงจันทราสาดส่อง

"ตาแก่ถาน!"

"ข้ายุ่งอยู่ เจ้าเองก็มาช่วยข้าเก็บสมบัติพวกนี้ก่อน เด็กนั่นปล่อยไว้ตรงนั้นแหละอย่างไรนางก็รอดตายแล้ว"

"...ตาแก่ถาน"

"อะไรอีกเล่า"

"ข้าว่า...เอ่อ...ท่านอย่าโมโหนะถ้าหากข้าพูดไป"

"ฮ่า ๆ เห็นสมบัติแล้วจิตใจเบิกบานข้ามีอะไรต้องโมโห"

"...ดะ เด็กนี่ต้องไปกับเรา"

เสวียนหนี่กล่าวเสียงอ่อนพลางฉีกยิ้มแห้ง ๆ ให้ถานถาน

"..."

ถานถานชะงักงันในทันที เด็กคือตัวปัญหาใหญ่ แค่นางคนเดียวเดินทางมาด้วยกันยังอดมื้ออิ่มมื้อ ผู้ใหญ่ทนหิวได้แต่เด็กทนหิวไม่ไหว อีกอย่างเสวียนหนี่เองก็เป็นนักโทษกบฏ ส่วนเขาเป็นทาสหลบหนี การหนีไปให้ไกลจากแคว้นเถียนโดยเร็วจึงเป็นจุดประสงค์หลัก ถ้ารับเด็กไปเป็นตัวถ่วงเขาไม่เห็นด้วยเลยจริง ๆ

ถานถานค่อย ๆ หันกลับมามองนางช้า ๆ แล้วแหกปากโวยวายลั่นสุสาน

"เจ้าจะบ้าเรอะ!  ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดจะเอาเด็กนั่นไปเป็นภาระได้อย่างไร  ลำพังแค่เจ้าคนเดียวข้าก็ปวดหัวจะแย่"

"ชู่  เบา ๆ สิเจ้าคะ  เดี๋ยวคนก็รู้กันพอดีว่าเรากำลังขโมยสมบัติจากสุสาน ท่านใจเย็นก่อน ระงับโทสะ...ระงับโทสะ"

"เห้อะ!"

"ข้าคิดว่าแม่ของนางคงไม่มารับนางกลับไปแล้วล่ะเจ้าค่ะ ถ้าข้าเดาไม่ผิดนางเพียงหวังอยากให้เราช่วยลูกของนาง แต่ไม่คิดจะพาลูกกลับไปให้ถูกขายซ้ำ นางก็เลยยังไม่ออกมาจนถึงขณะนี้ บางทีนางอาจกำลังเฝ้ามองเราจากที่ไหนสักแห่งแต่ไม่ยอมปรากฏตัวออกมา ข้ารู้ว่าความรักของแม่ยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ก็มีแม่บางคนที่คิดว่าปล่อยลูกไปอยู่กับผู้อื่นจะมีหนทางรอดมากกว่า"

...เช่นซินหยาง มารดาของเจ้าของร่าง เสวียนหนี่พูดไปก็ปวดหนึบที่ใจ เป็นเพราะความจำของเจ้าของร่างยังทิ้งรอยบาดแผลให้เศร้าโศก

"คิดแล้วเชียว"

"สงสารที่นางยังเด็กยังเล็กอยู่ ท่านเองก็เป็นผู้ใหญ่ใจดีมีเมตตา น้ำใจของท่านประเสริฐดุจขุนเขา อีกทั้งหน้าตายังงามสง่าสมวัย"

"พอแล้ว ข้าไม่หลงเชื่อคำยกยอหรอก พรุ่งนี้เช้าเอาเจ้าเด็กตัวปัญหาไปทิ้งไว้ในตลาด เดี๋ยวก็มีคนจับนางไปเลี้ยงเองนั่นแหละ"

"...จับไปเลี้ยงเป็นทาสนะหรือเจ้าคะ"

คำถามของนางทิ่มแทงใจถานถาน เพราะเขายังฝังใจกับการเป็นทาสอยู่ เห็นสีหน้าถานถานเปลี่ยนไปชัดเจนเสวียนหนี่ก็เริ่มมองออกว่านางพูดได้ตรงจุด

"ท่านก็รู้ว่าชีวิตทาสต้องเจอกับอะไรบ้าง นางยังเป็นเด็กใสซื่อบริสุทธิ์ อย่าให้นางต้องรับความลำเค็ญเพียงนั้นเลยเจ้าค่ะ เมตตานางเถิดนะเจ้าคะ ข้าสัญญาว่าข้าจะเป็นคนดูแลนางเอง สมบัติที่เอาไปจากสุสานเราสามารถขายเอาเงินมาประทังได้สักระยะหนึ่ง"

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด   43.จดหมายจากทางไกล (จบ)

    จดหมายจากทางไกล (จบ)“ฮูหยินเจ้าคะเมื่อเช้านี้คนเฝ้าประตูหุบเขานำจดหมายและของมาฝากให้ฮูหยินเจ้าค่ะ บอกว่าได้มาจากขบวนพ่อค้าผ่านทาง”สาวใช้วางจดหมายไว้บนโต๊ะแล้วก็เดินออกจากห้องไปเงียบ ๆ ข้างจดหมายนั้นยังมีกล่องไม้ขนาดไม่ใหญ่มากเสวียนหนี่เปิดกล่องไม้ดูข้างในพบว่าเป็นผ้าบุหนาพันห่อบางสิ่งไว้อย่างดี สัมผัสยังชุ่มชื้นคล้ายกับว่ามีการพรมน้ำไว้ตลอดเวลา เมื่อนางเปิดผ้าห่อออกเห็นว่าสิ่งของข้างในคือกิ่งพันธุ์ของพืชชนิดหนึ่งจึงรีบคลี่จดหมายออกดู เนื้อความข้างในจดหมายได้เขียนบรรยายไว้ว่า…ข้าถึงแคว้นฉินอย่างปลอดภัยแล้วระหว่างทางมาแคว้นฉินข้าได้รู้จักกับพ่อค้าผู้หนึ่ง เขามีโรงย้อมอยู่ในเขตอำเภอเล็ก ๆ และได้รับข้าเข้าทำงานที่โรงย้อม หวังว่าจากนี้ชีวิตของข้าจะพบกับความสงบสุขอย่างที่เจ้าเคยกล่าวไว้ สิ่งที่ข้าฝากมาในกล่องคือกิ่งพันธุ์ฝูเถาพืชชนิดนี้ที่แคว้นฉินมีราคาแพงมาก เจ้าชอบเพาะปลูก ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าจะพึงพอใจข้าซื้อกิ

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด    42.ปรารถนาให้ดอกไม้งามได้ผลิบาน

    ปรารถนาให้ดอกไม้งามได้ผลิบาน“ข้าหวังเพียงว่าจากนี้ไปเจ้าจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างดีและมีความสุข ไม่ใช่แค่เจ้าที่คิดว่าข้าเป็นเหมือนคนในครอบครัวแต่ข้าเองก็คิดอย่างนั้น…ข้าอยากเห็นเจ้ามีความสุข”คำพูดคำจาของถานถานฟังแล้วต่างจากเดิมมาก เขาไม่ใช่ตาแก่ไร้สาระของนางอีกต่อไปแล้วเขาพูดสิ่งดี ๆ เพื่อคนอื่นก็เป็นเช่นกันแต่น้อยครั้งนักที่ถานถานจะเอ่ยวาจาได้ตรงกับใจอย่างนี้ส่วนมากเขามักจะเฉไฉและวางท่าคิดอย่างไรก็ไม่เคยแสดงออกอย่างเปิดเผย"แล้วเจ้าเด็กวุ่นวายนั่น""หมายถึงเพียนเพียนน่ะหรือเจ้าคะ อย่าห่วงเลย ตอนนี้ได้คุณหนูฟางจิงดูแลคุณหนูทั้งสอนหนังสือและเรื่องต่าง ๆ ให้นางอย่างดี เพียนเพียนจะต้องเติบโตได้ดีแน่เอาไว้ว่าง ๆ ข้าจะพานางไปเยี่ยมเยือนท่านที่ไร่นะเจ้าคะ" "อืมงั้นข้าไปละนะ ข้างในนี้ต้องเป็นของดีแน่ ๆ คิดแล้วน้ำลายไหล"เขาชูถุงผ้าขึ้นพลางหัวเราะร่า

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด    41.คำขอร้องของหลีเหว่ย

    คำขอร้องของหลีเหว่ยไม่จำเป็นต้องหลบหลังพุ่มไม้อีกต่อไปแล้วครั้งนี้เขาเดินอย่างองอาจเข้าไปในเรือน เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าฟางจิงจึงได้หันกลับมามองยังต้นเสียงเห็นว่าคนที่มาคือหลีเหว่ยนางก็เกิดความสงสัยเป็นอย่างมากวันสำคัญเช่นนี้เขาควรจะเฉลิมฉลองอยู่ที่เรือนหลักกับคนอื่น ๆ นานแล้วที่นางและเขาไม่ได้เจอกันเลย ครั้งล่าสุดเห็นจะเป็นตอนที่ปิดล้อมจับห่าวอู๋ แต่ก็แค่เห็นผ่านตาเพียงเท่านั้นไม่ได้มีการพูดคุยกันสักครึ่งคำก่อนที่ฟางจิงจะถูกรถม้าทับเขาและนางมีความสนิทสนมกันที่สุดแทบจะเรียกได้ว่าสนิมเทียบเท่าผู้เป็นพี่ชายแท้ ๆหลังจากที่อี้เฉินถูกส่งให้ไปศึกษาที่สำนักศึกษาตี้จิวแล้วหลีเหว่ยก็ติดตามไปเป็นสหายร่วมเรียนฟางจิงและเขาก็ค่อย ๆ ห่างเหินกันไปตามกาลเวลาพอสำเร็จการศึกษาหวนคืนหุบเขานางก็ตีตัวออกหากเขาไปเรื่อย ๆไม่สนิทสนมอย่างเดิมแล้วจนปัจจุบันเหมือนคนเคยคุ้นที่อาศัยร่วมจวนเดียวกัน“นานมาแล้วที่ไม่ได้ไปมาหาสู่กัน วัน

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด    40.คำตอบของอี้เฉิน

    คำตอบของอี้เฉิน“ไปหาเจี่ยนถานถานมาเป็นอย่างไรบ้าง" อี้เฉินถามคำพูดของพ่อค้าสองคนนั้นยังก้องอยู่ในหู เสวียนหนี่จึงยังไม่ทันได้ฟังที่เขาพูด นางเอาแต่นั่งเหม่อลอยใช้ตะเกียบเขี่ยเส้นบะหมี่วนอยู่ในชาม พอเห็นว่าอีกคนไม่ตอบคำถามเขาจึงเรียกชื่อนางซ้ำให้ดังขึ้น“เสวียนหนี่”“เจ้าคะ”หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยเงยหน้ามองบุรุษที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน“ไม่หิวหรือ"“อ๋อข้ายังไม่หิวเจ้าค่ะ”“อย่างนี้นี่เองเช่นนั้นเรากลับจวนกันเถอะ”กลับถึงจวนตระกูลหงก็ใกล้ตะวันตกดิน ที่ศาลาเห็นหลีเหว่ยและโม่โฉวกำลังนั่งเล่นหมากล้อม พวกเขาได้ลุกขึ้นยืนมองมาทางเสวียนหนี่และอี้เฉินด้วยแววตาสงสัยคาดไม่ถึงว่าจะมีโอกาสได้เห็นทั้งคู่เดินเคียงกันมา"กลับมาแล้วหรือขอรับ"หลีเหว่ยทักทาย ประมุขหนุ่มมองตอบเพียงเท่านั้นแล้วเดินตรงเข้าไปในเรือน“เจ้ายังไม่กลับเรือนกุ้ยเ

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด   39.เกิดอะไรกับห่าวอู๋

    เกิดอะไรกับห่าวอู๋สีหน้าของฟางจิงดูสลดลงโม่โฉวบอกกับอี้เฉินว่าความพิการทางร่างกายของนางไม่ได้หนักหนา สิ่งที่ทำให้นางยังไม่สามารถลุกขึ้นมายืนหยัดได้นั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องของจิตใจไม่ว่าพี่ชายจะเสาะแสวงหาแพทย์ที่เก่งกาจเพียงใดมารักษาก็ไม่เป็นผลฟางจิงไม่ให้ความร่วมมือนางหวาดกลัวที่จะลุกขึ้นเดินอีกครั้งเสียงเย้ยหยันของผู้คนในอดีตที่ผ่านมาทำให้นางไม่กล้าลุกขึ้นสู้นางกลัวความผิดพลาดกลัวว่าหากลุกขึ้นมาใหม่แล้วต้องล้มลงไปอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็จะต้องอับอาย"รักษาเถิดกลัวไปไยพี่จะคอยอยู่ข้าง ๆ เจ้าเอง""...ข้าใช้ชีวิตเช่นนี้ก็พอใจดีอยู่แล้ววันนี้ข้ารู้สึกเวียนหัวขอตัวพักเอาแรงสักงีบ"ทุกครั้งที่พูดเรื่องบำบัดรักษาฟางจิงก็มักจะเลี่ยงตลอดอี้เฉินเองก็อ่อนใจเต็มทีเขามองตามร่างของน้องสาวที่เคลื่อนรถเข็นเข้าไปในเรือนแล้วถอนหายใจกลัดกลุ้ม ไม่รู้ว่าในระหว่างที่เขามองตามฟางจิงอยู่นั้นเสวียนหนี่เดินมาทางด้านหลังเขาตั

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด    38.ส่งซูหนี่

    ส่งซูหนี่“พี่สาวเจ้ามาลาข้าแล้ว”เมื่อวานนี้ซูหนี่ได้เข้ามาหาเขา แล้วก็แสดงเจตนาว่าอยากออกจากหุบเขา ดังนั้นอี้เฉินจึงพูดขึ้นเพื่ออยากรู้ว่าเสวียนหนี่ทราบเรื่องนี้แล้วหรือยัง พอได้ฟังนางแสดงสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที“ข้าไม่ได้ไล่นางไปนะเจ้าคะ แล้วก็ไม่ได้ตีนางด้วย”“ข้าก็ไม่ได้บอกว่าเจ้าไล่หรือตีนางเสียหน่อย”ท่าทางรีบร้อนแก้ต่างให้ตนเองของนางทำให้ดูลุกลนจนเกินไปอี้เฉินทำหน้าเหมือนผู้ใหญ่กำลังดุเด็กแล้วพูดต่อ“แต่ถึงเจ้าไม่ไล่ข้าก็ไล่นางออกไปอยู่ดี”หญิงสาวพูดไม่ออกเดิมทีอี้เฉินก็ไม่ไว้หน้าผู้ใดอยู่แล้วยิ่งเป็นซูหนี่ที่เคยอยู่ฝ่ายเดียวกันกับห่าวอู๋มาก่อนก็ไม่ต้องคาดหวังว่าเขาจะไว้ไมตรีด้วยความที่ชายหนุ่มมองคนขาดตั้งแต่แรกเริ่มจึงไม่ได้ให้ความเชื่ออกเชื่อใจใครโดยง่ายหากไม่คาดหวังก็จะไม่ผิดหวังเขาเชื่ออย่างนั้นเป็นมิตรได้วันหนึ่งก็อาจเปลี่ยนไปเป็นศัตรู หรือบางรายเป็นศ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status