“ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอคุณที่นี่” เสียงของผู้หญิงคนนั้นยังคงก้องอยู่ในหูของฉัน ใบหน้าของเธอสวยคม ดวงตาเฉี่ยวคมจับจ้องมาที่ฉันอย่างไม่เป็นมิตร ฉันพยายามนึกว่าเธอคือใคร แต่ก็ไม่มีภาพใด ๆ ผุดขึ้นในความทรงจำภูผาเอ่ยแนะนำ “ลินิน นี่คุณเหมยลี่ CEO บริษัทเครื่องสำอางชั้นนำ เธอเป็นพาร์ทเนอร์คนสำคัญของฉัน”เหมยลี่… ชื่อนี้คุ้นหูเหลือเกิน ฉันเคยแอบได้ยินภูผาพูดถึงชื่อนี้บ่อย ๆ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะได้มาเจอกันในสถานการณ์แบบนี้“สวัสดีค่ะคุณเหมยลี่” ฉันยิ้มทักทายตามมารยาท พยายามเก็บซ่อนความรู้สึกไม่สบายใจไว้ภายใต้รอยยิ้ม“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณลินิน” เหมยลี่ยิ้มตอบ แต่รอยยิ้มของเธอดูเย็นชาและแฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่ฉันอ่านไม่ออก “ฉันได้ยินชื่อคุณมานานแล้วค่ะ”คำพูดของเธอทำให้ฉันยิ่งรู้สึกประหม่า ‘เธอได้ยินชื่อฉันมานานแล้วอย่างนั้นหรือ? เธอรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับฉันบ้าง?’ ฉันสัมผัสได้ถึงแรงบีบเบา ๆ ที่แขนของฉัน ภูผากำลังบีบแขนฉันราวกับเป็นการเตือนให้ฉันระมัดระวังตัว“ฉันกับคุณเหมยลี่มีเรื่องต้องคุยกันเล็กน้อย” ภูผาพูดขึ้น เขาปล่อยมือจากแขนฉัน และหันไปพูดกับเหมยลี่ “เธอกลับไปรอที่โต๊ะได้เลยลินิน”ฉันพ
ช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมาหลังจากที่ฉันได้ยินภูผาคุยโทรศัพท์เรื่องการสืบหาความจริงเกี่ยวกับฉัน ฉันใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากขึ้นกว่าเดิม ฉันพยายามทำให้ทุกอย่างดูปกติที่สุด ไม่ให้มีพิรุธใด ๆ ที่จะทำให้เขาสงสัยฉันดูแลพ่ออย่างใกล้ชิดที่ห้องเช่า และพยายามหาเวลาอยู่กับน้องไทม์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ใบหน้าใสซื่อของลูกชายคือสิ่งเดียวที่ช่วยปลอบประโลมจิตใจที่ว้าวุ่นของฉัน“แม่ครับ… ทำไมแม่ไปทำงานนานจังเลย” น้องไทม์เอ่ยขึ้นในวันหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังเล่านิทานก่อนนอนให้เขาฟัง“แม่ต้องทำงานเยอะ ๆ ไงลูก จะได้มีเงินซื้อขนมให้น้องไทม์ไงครับ” ฉันตอบพลางลูบผมหยักศกของเขาเบา ๆ หัวใจของฉันเจ็บแปลบทุกครั้งที่ต้องโกหกเขาฉันรู้ดีว่าฉันไม่สามารถปกปิดความจริงนี้ไปได้ตลอดชีวิต แต่ฉันก็ยังไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นบอกเขาอย่างไรในวันหนึ่ง ฉันได้รับโทรศัพท์จากเลขาของภูผา“คุณลินินคะ วันนี้คุณภูผาจะพาคุณไปร่วมงานเลี้ยงของบริษัทค่ะ” เสียงเลขาบอกอย่างสุภาพ “เวลาหกโมงเย็น รถจะไปรับนะคะ”ฉันถึงกับอึ้ง งานเลี้ยงบริษัท? ปกติแล้วภูผาไม่เคยพาฉันไปร่วมงานอะไรเลย นับตั้งแต่เราแต่งงานกันในนาม การปรากฏตัวของฉันในฐานะภรรยาน่า
หลังจากเหตุการณ์ที่ภูผาส่งคนมาสืบเรื่องราวของฉัน ความหวาดระแวงก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉันไปแล้ว ทุกย่างก้าวในคฤหาสน์ของเขา ฉันต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ราวกับกำลังเดินอยู่บนคมมีด ฉันไม่รู้ว่าเขาจะเปิดเผยเรื่องราวของน้องไทม์เมื่อไหร่ หรือจะใช้มันเป็นเครื่องมืออะไรอีกฉันใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการดูแลพ่อที่ห้องเช่า การได้อยู่ใกล้ท่านทำให้ฉันรู้สึกสงบและมีกำลังใจมากขึ้น พ่อของฉันเริ่มเดินได้แล้ว แม้จะยังไม่คล่องตัวนัก แต่ก็นับว่าเป็นสัญญาณที่ดี“พ่อคะ… ลินินคิดว่าพ่อควรจะไปหาหมอตรวจร่างกายอีกครั้งนะคะ” ฉันเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นพ่อไอเล็กน้อย“ไม่เป็นไรหรอกลูก พ่อดีขึ้นเยอะแล้ว” พ่อตอบยิ้ม ๆ “อย่าห่วงพ่อเลย ห่วงตัวเองดีกว่านะ”ฉันยิ้มให้พ่อ แต่ในใจกลับถอนหายใจ ฉันไม่มีวันบอกพ่อได้หรอกว่าฉันกำลังเผชิญกับอะไรอยู่บ้าง และอีกหนึ่งเหตุผลที่ฉันต้องไปหาหมอบ่อย ๆ คือการพาน้องไทม์ไปตรวจสุขภาพตามนัด ซึ่งฉันก็ต้องทำอย่างลับ ๆ เสมอทุกครั้งที่ฉันกลับมาที่คฤหาสน์ของภูผา บรรยากาศก็ยังคงเต็มไปด้วยความเย็นชาและเงียบงัน ภูผายังคงทำตัวห่างเหินเหมือนเดิม ไม่มีการพูดคุยที่มากไปกว่าเรื่องจำเป็น เขามักจะกลับบ้านดึกดื่
คืนนั้น ฉันนอนไม่หลับเลยแม้แต่น้อย คำพูดของภูผาที่ว่า "ฉันต้องการรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้น... และเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสี่ปีที่แล้ว" ยังคงก้องอยู่ในโสตประสาทของฉัน ฉันรู้ดีว่าเขาไม่ได้พูดถึงผู้หญิงคนอื่นแน่ ๆ นอกจากฉันความหวาดระแวงและความกลัวเข้าครอบงำฉันจนแทบจะหายใจไม่ออก ฉันรู้ว่าตัวเองไม่สามารถเก็บความลับเรื่องน้องไทม์ไว้ได้ตลอดไป แต่ฉันก็ไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความจริงที่อาจจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันพยายามปกป้องมาตลอดสี่ปีเช้าวันรุ่งขึ้น ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกอ่อนเพลียจากการนอนไม่พอ ฉันพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ในใจจะร้อนรุ่มไปด้วยความกังวลฉันลงมาที่ห้องอาหาร ภูผานั่งอยู่แล้วเช่นเคย สีหน้าของเขาเรียบเฉยจนฉันไม่สามารถเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่“วันนี้ฉันมีประชุมทั้งวัน” เขาเอ่ยขึ้นโดยไม่เงยหน้า “เธออยากไปไหนก็ไปได้ แต่ต้องกลับมาถึงบ้านก่อนหกโมงเย็นเหมือนเดิม”ฉันพยักหน้ารับคำ ไม่ได้พูดอะไรต่อหลังจากอาหารเช้า ฉันรีบไปเยี่ยมพ่อที่ห้องเช่าของฉันทันที ความปลอดภัยของพ่อและน้องไทม์คือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับฉันในตอนนี้เมื่อไปถึงห้องเช่า ฉันเห็น
หลังจากการเผชิญหน้ากับภูผาที่โรงพยาบาล หัวใจของฉันก็เต้นระรัวไม่หาย ฉันรู้ดีว่าคำโกหกเรื่องที่ฉันมาเยี่ยมเพื่อนคงไม่ได้ทำให้เขาสงสัยไปมากกว่านี้ แต่ฉันก็ยังคงกังวลว่าเขาอาจจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง หรือจับพิรุธฉันได้ฉันเดินเข้าไปในห้องพักฟื้นของน้องไทม์ เขานอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงเล็ก ๆ ใบหน้าซูบเซียวเล็กน้อย แต่ไม่มีอาการไข้สูงแล้ว ฉันจับมือเล็ก ๆ ของลูกชายเบา ๆ ความรู้สึกรักและห่วงใยเอ่อท่วมท้นในใจ“น้องไทม์ไม่เป็นอะไรมากหรอกแก ไม่ต้องเป็นห่วงนะ” แก้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เธอคงเห็นสีหน้ากังวลของฉัน“ฉันรู้สึกลำบากใจจริง ๆ แก้ว” ฉันตอบเสียงแผ่ว “ฉันไม่อยากให้น้องไทม์ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ถ้าภูผารู้ความจริง…”“ไม่ต้องคิดมากนะ” แก้วจับมือฉันแน่น “ฉันจะช่วยเธอปกป้องน้องไทม์เอง เราจะไม่มีทางให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาด”คำพูดของแก้วทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยฉันก็ยังมีเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ และพร้อมจะช่วยฉันเสมอฉันอยู่ดูแลน้องไทม์จนกระทั่งอาการดีขึ้น และหมออนุญาตให้กลับบ้านได้ในวันถัดไป ฉันพาเขากลับไปที่ห้องเช่าของฉัน และดูแลพ่อที่นั่นด้วย โชคดีที่พ่อของฉันไม่ได้สงสัยอะ
หลายสัปดาห์ผ่านไป ชีวิตในคฤหาสน์ของภูผายังคงดำเนินไปอย่างคงที่ ฉันปรับตัวให้เข้ากับความเงียบเหงาและการอยู่ลำพังได้อย่างน่าประหลาดใจ การไปเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาลและโทรคุยกับน้องไทม์ คือกิจวัตรประจำวันที่ช่วยหล่อเลี้ยงหัวใจของฉันให้เข้มแข็งพ่อของฉันอาการดีขึ้นมากจนคุณหมออนุญาตให้กลับมาพักฟื้นที่บ้านได้ ฉันตัดสินใจพาพ่อกลับมาอยู่ห้องเช่าเดิมของเรา เพื่อไม่ให้เป็นภาระใคร และเพื่อความสบายใจของท่านเอง“ลินิน… ลูกไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้ก็ได้นะ” พ่อบอกฉันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ขณะที่ฉันกำลังจัดยาให้ท่าน “พ่อไม่อยากเป็นภาระลูกเลย”“พ่อพูดอะไรคะ!” ฉันแกล้งทำเสียงดุ “ลินินดูแลพ่อได้อยู่แล้ว พ่อต่างหากที่ต้องพักผ่อนเยอะ ๆ”แม้จะเหนื่อยล้าจากการแบ่งเวลาดูแลพ่อ และต้องรักษาบทบาทภรรยาในนามที่คฤหาสน์ของภูผา แต่ฉันก็รู้สึกมีความสุขทุกครั้ง