ยามเช้าของวันรุ่งขึ้น หลัวเยี่ยนเจ๋อและหลัวเทียนเฉิง ต่างมุ่งหน้าเข้าวังหลวงไปพร้อมกันแต่เช้า เนื่องจากเขาต้องเข้าประชุมเช้าร่วมกับหลัวม่อเยียนที่วังหลวงในยามเช้าทุกวัน ระหว่างทางหลัวเยี่ยนเจ๋อก็เอ่ยบางอย่างกับหลัวเทียนเฉิง
"หากท่านพี่มอบนางให้ข้ากับเจ้า อย่างไรเสียข้าก็ไม่มีวันยกย่องนางเป็นชายาเอก บิดาของนางคิดก่อกบฏ พอถูกจับได้จึงส่งนางมาที่ไท่หยาง สตรีเช่นนี้ข้าไม่ไว้ใจ อย่างไรเสียก็ได้ชื่อว่าเป็นเชลยศึก"
"ข้าก็เห็นด้วยกับเจ้า หากต้องรับนางเข้าจวนมาจริง ๆ ให้นางเป็นเพียงนางบำเรออุ่นเตียงก็พอ"
"เจ้าว่าอย่างไรข้าก็ว่าตามนั้น"
เมื่อตกลงกันตามนี้แล้ว ทั้งสองจึงรีบมุ่งหน้าไปวังหลวงเพื่อร่วมประชุมยามเช้าทันที
แม้ยามนี้บ้านเมืองจะสงบสุขกว่าแต่ก่อน แต่ทว่าไท่หยางก็ยังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาเหมือนเช่นเคย กองกำลังทหารทั้งหมด ขึ้นตรงอยู่กับหลัวเยี่ยนเจ๋อ เนื่องจากเขาได้ชื่อว่าเป็นเทพแห่งสงคราม แคว้นใดที่คิดต่อกรกับเขาย่อมพังพินาศไม่เหลือชิ้นดี
ด้านหลัวเทียนเฉิงนั้น เขาเป็นคนที่เถรตรงและเกลียดคนที่ใช้อำนาจในทางที่ไม่ถูกต้องที่สุด หลัวม่อเยียนจึงให้เขาทำหน้าที่ดูแลควบคุมอยู่ที่หน่วยสืบสวนพิเศษของราชสำนักที่หลัวม่อเยียนจัดตั้งขึ้นมาเพิ่มเติมเมื่อไม่นานมานี้ ทุกคดีที่ว่ายากหรือผู้ร้ายแอบลักลอบหนีออกจากคุกหลวง เขาย่อมตามสืบและตามจับได้สำเร็จ แม้จะเป็นคนเย็นชาและเงียบขรึม ดูเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ แต่แท้จริงแล้ว เขานั้นเชี่ยวชาญทั้งด้านบุ๋นและบู๊ ซึ่งน้อยนักที่จะหาผู้ใดเก่งทั้งสองอย่างเช่นนี้ได้ในใต้หล้า
"ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้แผ่นดินไท่หยางแห้งแล้งยิ่งนัก อีกทั้งยังไม่สามารถปลูกพืชผลใดใดได้เลย ฝ่าบาทจะทรงหาแนวทางแก้ไขเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ"
เหล่าขุนนางต่างออกความเห็นในท้องพระโรงอย่างเผ็ดร้อน เนื้อหาสำคัญย่อมเกี่ยวกับความแห้งแล้งของไท่หยาง และคำพูดจาเสียดสีทิ่มแทงที่ส่งมายังหลัวม่อเยียน ราวกับว่าภัยพิบัติในครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เขาได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้
หลัวม่อเยียนพยายามอดกลั้นโทสะเอาไว้ในใจ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนไร้ซึ่งโทสะ
"เอาเถิด เราจะคิดหาวิธีแก้ไขเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด เราจะออกไปสำรวจและดูความเป็นอยู่ของราษฎรด้วยตนเอง"
หลัวม่อเยียนเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะสั่งให้เลิกประชุมเช้าไปเสีย เพราะเขากลัวว่าตนเองจะควบคุมโทสะในใจเอาไว้ไม่ได้
"เสด็จพี่อย่าทรงคิดมากเลยพ่ะย่ะค่ะ"
หลัวเยี่ยนเจ๋อเอ่ยปลอบใจหลัวม่อเยียนอย่างเห็นใจ หลัวเทียนเฉิงเองก็ยื่นมือไปตบไหล่พี่ชายของตนเบา ๆ หลัวม่อเยียนพยักหน้าเล็กน้อย
"พี่เข้าใจ พวกเจ้าไปทำหน้าที่ของตนเองเถิด พี่เองก็จะเดินทางไปที่วัดบนเขาเสียหน่อย เผื่อว่าจะไปขอพรให้ไท่หยางร่มเย็นได้บ้าง"
"พ่ะย่ะค่ะ"
"อ้อ ช้าก่อน พี่ลืมไปเสียสนิทเลย ราชเลขา พานางเข้ามา"
"พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท"
ราชเลขารับคำ ก่อนจะเดินออกไปที่ด้านนอกตำหนักและหายออกไปครู่หนึ่ง ไม่นานนักก็กลับเข้ามาพร้อมกับสตรีนางหนึ่ง
หลัวเยี่ยนเจ๋อและหลัวเทียนเฉิงหันไปมองนางพร้อมกัน ก่อนจะต้องตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
สตรีตรงหน้าพวกเขางดงามราวกับเทพธิดาบนแดนสวรรค์ นางสวมชุดสีชมพูปักลวดลายดอกเหมย ทรงผมถูกเกล้าขึ้นไปครึ่งหนึ่งและประดับปิ่นสีทองเอาไว้บนศีรษะ เส้นผมยาวสลวยที่เหลือถูกปล่อยลงมาถึงกลางหลัง รับกับใบหน้าสวยหวานหยาดเยิ้ม ผิวของนางนวลเนียนราวกับหยกชั้นดี ช่างดึงดูดให้เขาทั้งสองละสายตาไปจากนางไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว
"ถวายพระพรฝ่าบาท หม่อมฉัน โจวอวี้หลัน มาแล้วเพคะ"
โจวอวี้หลัน องค์หญิงจากแคว้นต้าไห่ ผู้ถูกส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการหรือก็คือเชลยศึกในสงครามที่บิดาของนางพ่ายแพ้ให้ไท่หยางอย่างราบคาบ
แต่แท้จริงแล้ว องค์หญิงโจวอวี้หลันคนเดิมได้กลั้นใจตายระหว่างทางไปเสียแล้ว เนื่องจากนางมิอยากตกเป็นเชลยศึกของไท่หยาง
อวี้หลัน หญิงสาวจากชาติปัจจุบันผู้มีอาชีพเป็นพยาบาลสาว ที่ล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย ได้กลับมาเกิดใหม่ในร่างของนาง
โจวอวี้หลันก้มหน้าลงอย่างนอบน้อม ความจริงแล้วนางเองยังไม่คุ้นชินกับสถานที่แห่งนี้สักเท่าใดนักอีกทั้งตั้งแต่นางข้ามภพมาอยู่ในร่างนี้ ทุกคืนนางจะฝันประหลาดถึงเรื่องราวบางอย่าง
ในความฝันนั้น นางเห็นชายผู้หนึ่ง กำลังทำพิธีบางอย่างอยู่ โดยใช้หญิงสาวเป็นเครื่องสังเวยบูชายัญ นางฝันเช่นนี้ติดต่อกันมาหลายคืนจนเริ่มหวาดกลัว
"อวี้หลัน เราจะยกเจ้าให้กับน้องชายฝาแฝดของเรา นั่นก็คือชินอ๋องและจวิ้นอ๋อง เจ้าจะต้องรับใช้น้องชายของเราให้ดี เจ้าเข้าใจหรือไม่?"
โจวอวี้หลันค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นไปมองหลัวเยี่ยนเจ๋อและหลัวเทียนเฉิง ก่อนจะต้องตกตะลึงไม่น้อย
ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเหมือนกัน แน่นอนสิเขาเป็นฝาแฝดกัน!
คนหนึ่งใบหน้าไม่รับแขก อีกทั้งยังดูอารมณ์ร้ายอยู่ตลอด เขาสวมชุดสีดำยิ่งขับให้ความน่าเกรงขามของเขาดูสูงส่งเกินผู้ใด หลัวม่อเยียนบอกว่า เขาคือชินอ๋องหลัวเยี่ยนเจ๋อ ผู้เป็นแฝดพี่
ส่วนอีกคนหนึ่งก็สุขุมเย็นชา แต่แววตาดูหื่นกระหายอย่างปิดไม่มิด เขาสวมชุดสีแดงดูร้อนแรงยิ่งนัก คือแฝดน้อง นามว่าจวิ้นอ๋องหลัวเทียนเฉิง
สวรรค์!!! ข้ามภพมาทั้งทีจะได้สามีถึงสองคนเลยหรือ?
คุ้มเว่อร์!!!
ไม่ได้ต้องเก็บอาการเสียหน่อย!!!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น โจวอวี้หลันจึงเอ่ยตอบหลัวม่อเยียนทันที
"แล้วแต่ฝ่าบาทจะทรงเมตตาเพคะ ชีวิตของหม่อมฉัน อย่างไรเสียก็ตกอยู่ในกำมือของฝ่าบาทแล้ว ฝ่าบาทจะทรงชี้ทางใดให้หม่อมฉันก็สุดแท้แต่ฝ่าบาทเถิดเพคะ"
"ดี เช่นนั้นเจ้าก็ติดตามท่านอ๋องทั้งสองกลับจวนไปเสีย นับแต่นี้ชีวิตของเจ้าเป็นของพวกเขาแล้ว"
"เพคะ ฝ่าบาท"
หลัวม่อเยียนเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินออกจากตำหนักไป ทิ้งให้โจวอวี้หลัน ยืนอยู่กับหลัวเยี่ยนเจ๋อและหลัวเทียนเฉิงเพียงลำพังสามคน
โจวอวี้หลันค่อย ๆ เงยหน้าไปยิ้มให้ทั้งสองคนอย่างเป็นมิตร ในใจพลางครุ่นคิดว่านางจะได้กินคนไหนก่อนดี
โอ้วว!!! หรือมาพร้อมกันเลยคงจะดีไม่น้อย
"อย่าแม้แต่จะคิดว่าข้าจะแตะต้องตัวเจ้า ข้าไม่มีวันแตะต้องร่างกายของสตรีที่ขึ้นชื่อว่ามีสายเลือดกบฏไหลเวียนอยู่ในกายเป็นอันขาด!!!"
หลัวเยี่ยนเจ๋อเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดูแคลนและเย้ยหยัน ทำให้โจวอวี้หลันยิ้มค้างกลางอากาศอยู่เช่นนั้น ด้วยความอับอาย
"เฮ้อ เสียดายนะ ที่เจ้ามีสายเลือดกบฏ ข้าเองก็ไม่อาจทำใจรับเจ้าเป็นภรรยาได้เช่นกัน"
หลัวเทียนเฉิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เสียดายยิ่งนัก พลางจ้องมองหน้าอกของนางตาไม่กะพริบ จนหลัวเยี่ยนเจ๋อต้องยกเท้าขึ้นเตะขาของเขาคราหนึ่ง จึงจะรู้สึกตัว
แฝดน้องบัดซบ!!! เห็นนมเป็นไม่ได้!!!
โจวอวี้หลันที่ได้เห็นเช่นนั้นก็ยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ โธ่!!! เป็นเชลยแล้วอย่างไรเล่า ข้างามขนาดนี้ ดูสิว่าพวกเขาจะอดใจได้นานสักแค่ไหน
รัชศกหลัวเฉวียนปีที่5ม้าเร็วจากไท่หยาง ส่งข่าวมาแจ้งหลัวเยี่ยนเจ๋อและหลัวเทียนเฉิงว่า ฮ่องเต้หลัวเฉวียน ทรงสิ้นพระชนม์แล้วเมื่อคืนที่ผ่านมา ด้วยเพราะพิษร้ายที่สะสมในร่างกายมันรุนแรงจนกัดกร่อนทุกส่วนในกายจนหมดสิ้น ยามนี้ราชวงศ์กำลังสั่นคลอน ฮองเฮามีเพียงพระธิดาที่มีอายุเพียงไม่กี่ชันษาเท่านั้นไร้พระโอรสสืบทอดราชบัลลังก์ ยามนี้ไท่หยางกำลังต้องการฮ่องเต้พระองค์ใหม่ หลัวเยี่ยนเจ๋อและหลัวเทียนเฉิงรีบเร่งกลับไท่หยางโดยเร็ว พร้อมกับพาโจวอวี้หลันและบุตรชายทั้งสองติดตามมาด้วย ยามนี้โจวอวี้หลันกำลังตั้งครรภ์ที่สอง พวกเขาใช้เวลาร่วมสองคืนสามวันจึงเดินทางถึงไท่หยาง พระศพของฮ่องเต้หลัวเฉวียนถูกนำไปฝังในสุสานของราชวงศ์ ส่วนเหมยฮองเฮาก็ออกจากวังหลวงพร้อมกับองค์หญิงหลัวอิงอิง ไปบำเพ็ญเพียรที่วัดบนหุบเขา รักษาศีลภาวนาให้จิตใจบริสุทธิ์และไม่คิดจะกลับเข้าวังหลวงอีกชั่วชีวิต ยามนี้ที่วัดบนหุบเขาแห่งนั้นมีไต้ซือและสามเณรที่น่านับถือพักอาศัยอยู่หลายร้อยองค์ อีกทั้งยังมีภิกษุณีอาศัยอยู่ในวัดแห่งนั้นอีกด้วย หลัวเฉวียนตอนที่ยังมีชีวิตเขาก็ได้ขยายพื้นที่ของวัดให้กว้างขวางมากขึ้น เหล่าผู้คนต่างพากันไปไหว้พร
รัชศกเฉวียนปีที่1 ฮ่องเต้นามว่า หลัวเฉวียน เสียงบรรเลงเพลงขับขานแซ่ซ้อง ฮ่องเต้หนุ่มในชุดพัสตราภรณ์มังกรสีทองกำลังนั่งเคียงคู่อยู่กับสตรีที่สวมชุดสีแดง ปักลวดลายหงส์งามนั่นก็คือฮองเฮาของเขา นามว่า เหมยลี่อิง บุตรสาวของท่านแม่ทัพตระกูลเหมยเหมยฮองเฮาทรงประสูติพระธิดาหนึ่งองค์ ด้วยเพราะร่างกายของหลัวเฉวียนไม่ดีเท่าใดนัก นางจึงมิอาจตั้งครรภ์ได้อีก หลัวเฉวียนยังจำได้ดี วันที่เขาเดินทางมาไท่หยางเพื่อสู้ศึก เหมยลี่อิงกำลังตั้งครรภ์ แต่ทว่านางกลับเข้มแข็งและไม่ยอมเป็นตัวถ่วงเขา นางบอกว่า ขอเพียงประชาชนไท่หยางอยู่อย่างร่มเย็นสงบสุข นางยินดีสละความสุขส่วนตนได้เสมอแผ่นดินไท่หยางกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครา ฝนตกต้องตามฤดูกาล อีกทั้งสติปัญญาที่เก่งกาจของหลัวเฉวียนทำให้แผ่นดินไท่หยางอุดมสมบูรณ์ เหล่าราษฎรอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ขุนนางในราชสำนักก็ไม่คิดต่อต้านราชวงศ์อีกหลัวเฉวียนสั่งให้คนขุดดินเพื่อสร้างเป็นทางน้ำขนาดใหญ่ ให้แม่น้ำจากนอกเมืองหลวงไท่หยางไหลเข้ามาในพื้นที่ทำการเกษตรของชาวบ้านได้ รวมถึงสร้างพื้นที่กักเก็บน้ำไว้ใช้ยามเกิดภัยแล้งอีกด้วย และยังลดค่าภาษีต่าง ๆ ลงเป็นจำนวนมาก ผู้คนอยู่ดีกิ
เสียงฟ้าร้องพร้อมกับฝนห่าใหญ่ ทำให้โจวอวี้หลันรู้สึกหนาวเย็นยิ่งนัก ฝนตกในครั้งนี้ ไม่ได้สร้างความหวาดกลัวให้นางเหมือนในครั้งก่อน ๆ อีก ยามนี้นางกำลังยื่นมือไปลูบหัวของอาลู่และอาชิงเจ้าแมวอ้วนสองตัวด้วยความรักใคร่ฉาฮวาละสายตาจากสายฝนด้านนอก ก่อนจะทิ้งกายลงนั่งข้างกายโจวอวี้หลัน แล้วจึงเอ่ยขึ้นมา "ฝ่าบาทสิ้นพระชนม์แล้วเพคะ ดวงดาวของฮ่องเต้ดับสูญแล้ว" โจวอวี้หลันที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง "ฉาฮวา หรือจะเกี่ยวกับพิธีบูชายัญเหล่านั้น""เพียงแค่ส่วนเดียวเพคะพระชายา การบูชาเทพและปีศาจ เป็นเพียงสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจเพียงเท่านั้น ฝ่าบาททรงถูกอำนาจและความทะเยอทะยานครอบงำจิตใจจนเกินจะแก้ไข ทำให้ขาดสติไตร่ตรองดีชั่ว หลงเชื่อคนผิด คิดกระทำการขัดต่อดวงชะตา ผลจึงออกมาเป็นเช่นนี้เพคะ""แล้วที่ได้ยินมาว่าดวงชะตาของฝ่าบาทคือดวงชะตาที่วิบัติ มันจริงหรือ?""จริงเพคะ ดวงวิบัติไม่ได้หมายถึงแผ่นดินจะวิบัติเพียงอย่างเดียว แต่คนรอบข้างที่รายล้อมฝ่าบาท หากไม่ตายด้วยน้ำมือของเขา ก็จะสิ้นชีพลงเพราะดวงชะตาของเขากดข่มเอาไว้ แต่ถ้าหากฝ่าบาททรงใช้สติปัญญาไตร่ตรองให้ดีและมองดูตนเองอย่างถ่อง
กว่าจะสะสางเรื่องราวตรงหน้าได้จนแล้วเสร็จหลัวเยี่ยนเจ๋อก็เหนื่อยไม่น้อยแล้ว หลัวเฉวียนสั่งให้เหล่าทหารนำซากศพของเหล่ากบฏต้าไห่ไปทิ้งในป่านอกเมืองเสีย ไม่ต้องกลบฝัง ปล่อยให้ฝูงกาทึ้งกินตามยถากรรม ส่วนหัวของโจวอวิ๋น ให้นำไปเสียบประจานที่หน้าประตูเมือง เพื่อมิให้แคว้นอื่นคิดทำเป็นเยี่ยงอย่าง ด้านหลัวเทียนเฉิงในยามนี้เขาบาดเจ็บหนักจากการต่อสู้ หมอหลวงจึงให้เขาพักฟื้นห้ามขยับกายทำสิ่งใดเป็นอันขาด หลัวเยี่ยนเจ๋อเองก็ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น "ขอบพระทัยเสด็จพี่รองยิ่งนัก""ข้าเต็มใจ อย่างไรเสีย ข้าคงต้องรีบกลับแคว้นเย่ว์ก่อนแล้ว ป่านนี้พระชายาคงจะร้อนใจยิ่งแล้ว เรื่องต่าง ๆ ที่ไท่หยางมีพวกเจ้าทั้งสองคอยจัดการ ข้าก็วางใจ""พี่รอง""หืม?""เรื่องราชโองการของเสด็จพ่อ...""ช่างเถิด หลัวม่อเยียนยังไม่ได้สิ้นพระชนม์ หากเขาคิดได้แล้ว ข้าก็ไม่อยากแย่งชิงบัลลังก์กับพี่น้อง"หลัวเฉวียนยิ้มให้หลัวเยี่ยนเจ๋ออย่างอ่อนโยน แต่ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้เดินทางกลับแคว้นเย่ว์ ก็ได้ยินเสียงตะโกนก้องของราชเลขาดังขึ้นมาเสียก่อน "เย่ว์อ๋อง!!! ชินอ๋องแย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!!!"หลัวเฉวียนและหลัวเยี่ยนเจ๋อรีบหัน
ทหารไท่หยางตกตายไปกว่าครึ่ง หลัวเยี่ยนเจ๋อเห็นว่าปล่อยเอาไว้เช่นนี้คงไม่ดีแน่แล้ว จึงสั่งให้พ่อบ้านเฉียวรีบพาหลัวเทียนเฉิงที่บาดเจ็บสาหัสเข้าไปในเรือนเสียก่อน ส่วนเขาและหลัวเฉวียนจะต้านทัพของต้าไห่เอาไว้อย่างสุดกำลัง "ถึงเวลาตายของพวกเจ้าแล้ว!!! ฆ่าคนไท่หยางให้หมด!!!"โจวอวิ๋นส่งเสียงตะโกนก้องฟ้าสะเทือนปฐพี เหล่าทหารต้าไห่ที่ได้ยินเช่นนั้นต่างส่งเสียงโห่ร้องกึกก้อง พร้อมกับพุ่งเข้าเข่นฆ่าราษฎรของไท่หยางอย่างอำมหิตหลัวม่อเยียนในยามนี้จิตใต้สำนึกของเขามีแต่ความว่างเปล่า ความรู้สึกที่อยากได้ตัวฉาฮวาและโจวอวี้หลันไม่มีอีกแล้ว มีเพียงความรู้สึกที่ยากจะอธิบายในยามนี้ "ย้าาาาา!!!"ในความคิดของหลัวม่อเยียนมีเพียงคำว่า ฆ่า ฆ่าให้หมดเพียงเท่านั้น!!!หลัวเฉวียนไม่มีเวลาสนใจสิ่งใดแล้ว เขาร่วมรบเพื่อปกป้องไท่หยางอย่างสุดกำลังเช่นกัน นักพรตชราที่เขาอยากเห็นหน้ายามนี้คงไม่จำเป็นเสียแล้ว เพราะเขาได้ยินกับหูของตนเองแล้ว ว่ามันคือกบฏที่เข้ามาสร้างความปั่นป่วนให้แก่ไท่หยางดาบในมือของหลัวเฉวียนยังคงสังหารคนไม่หยุด แม้มีบางคราที่พิษจะกำเริบขึ้นมา แต่เขาเองก็ไม่ยอมหยุด ดาบในมือกวัดแกว่งอย่างรวดเร็วและว
เสียงกรีดร้องโหยหวนของราษฎรไท่หยางดังลอยมาเป็นระยะ อีกทั้งยังเกิดเพลิงไหม้เป็นวงกว้างทั่วทั้งเมืองหลวงไท่หยาง เหล่าทหารของต้าไห่ต่างควบม้าพุ่งทะยานเข้ามาในไท่หยางหลายแสนนาย หลัวเฉวียนและหลัวเยี่ยนเจ๋อที่ได้เห็นเช่นนั้นก็มองหน้ากันอย่างตื่นตระหนก จางไห่ถือโอกาสที่ทุกคนไม่ทันระวังตัว เงื้อดาบขึ้นสูงเตรียมจะจ้วงแทงมันลงไปที่หัวใจของหลัวม่อเยียน หลัวเยี่ยนเจ๋อที่ได้เห็นเช่นนั้นก็รีบเขวี้ยงมีดสั้นสกัดดาบของจางไห่ได้ทันเวลา ร่างสูงใหญ่พุ่งทะยานฟาดฝ่ามือเข้าที่กลางอกของจางไห่อย่างเต็มแรง จนฝ่ายตรงข้ามกระอักเลือดอีกครา ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด หลัวม่อเยียนหยัดกายลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะจ้องมองจางไห่ด้วยแววตาที่เย็นชา "จางไห่!!! เจ้า เหตุใดเจ้าจึงคิดสังหารข้า!!!"จางไห่ไม่ตอบ เขากระอักเลือดออกมาอีกคราอย่างทรมาน "เป็นเจ้าที่เปิดประตูเมืองหลวงให้เหล่ากบฏเช่นนั้นหรือ!!!"หลัวม่อเยียนหันไปเอ่ยถามจางไห่ด้วยน้ำเสียงที่คาดคั้น จางไห่ยังคงไม่ตอบ แต่ทว่ากลับหยัดกายลุกขึ้นยืน และเดินไปหาบุรุษวัยกลางคน ที่กำลังควบอาชามุ่งหน้าเข้ามายังทิศทางที่พวกเขาทั้งสี่คนอยู่ "โอ้ววว ได้มาดูพี่น้องเข่นฆ่ากันเช่นน