LOGINหลี่เฉียงยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มหยัน สายตามจ้องที่จอกสุรา แววตาเฉยชาทว่าแข็งกร้าว
“ฉลาดพูดดีนี่ แต่สายตาของเจ้ามันฟ้องว่าเจ้าไม่ได้คิดเช่นนั้น” เขาวางจอกสุราลง แล้วหันมาสบตากับสตรีผู้จองหองผู้นี้ “เจ้าเกลียดข้า ชิงชังข้าจนอยากจะฉีกเนื้อข้าออกเป็นชิ้น ๆ ใช่หรือไม่”
“ความรู้สึกของเชลยเช่นข้ามีความสำคัญต่อท่านแม่ทัพด้วยหรือ” นางย้อนถามกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“สำคัญสิ” เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ร่างของเขาสูงใหญ่จนบดบังแสงไฟเกือบทั้งหมด “เพราะมันทำให้ชัยชนะของข้าหอมหวานยิ่งขึ้น” เขาเดินเข้ามาหานางช้า ๆ แต่ละย่างก้าวหนักแน่นและเต็มไปด้วยแรงกดดัน “ข้าชอบคนทระนงองอาจ” เขากล่าว ในใจพลันนึกถึงแววตาที่ไม่ยอมแพ้ของสตรีอีกนางหนึ่ง...สตรีที่เขาไม่อาจปกป้องไว้ได้ “เพราะเวลาที่คนพวกนั้นแตกสลายลงต่อหน้าข้า มันเป็นภาพที่น่าดูชมยิ่งนัก”
เขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้านาง ใกล้จนมู่ตานได้กลิ่นสุราที่ปนมากับลมหายใจของเขา
“ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง คุกเข่าลงเสีย แล้วกล่าวคำขออภัยต่อข้าที่บังอาจต่อต้านในวันนั้น แล้วราตรีนี้ของเจ้าอาจจะง่ายขึ้น”
มู่ตานเงยหน้าสบตาเขาโดยตรง ในระยะใกล้เช่นนี้ นางเห็นประกายไฟแห่งความโหดเหี้ยมและสนุกสนานในดวงตาของเขาได้อย่างชัดเจน
“ข้าบอกแล้ว คนของอวิ๋นฮวายืนตาย ไม่คุกเข่าขอชีวิต”
“ดี! ดีมาก!” เขาหัวเราะในลำคอ “เช่นนั้นก็ปรนนิบัติข้าแทนคำขออภัยก็แล้วกัน สุราของข้าหมดแล้ว”
เขาพยักพเยิดไปยังไหสุราที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ เป็นการออกคำสั่งที่ชัดเจน มู่ตานนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะอย่างเชื่องช้า นางหยิบไหสุราขึ้นมารินใส่จอกสุราที่ทำจากหยกเนื้อดีอย่างแผ่วเบา พยายามควบคุมมือไม่ให้สั่นแม้แต่น้อย นางรู้ดีว่านี่คือการทดสอบทางใจเพื่อแสดงอำนาจของเขา นางถือจอกสุราเดินกลับมาหาเขา ยื่นส่งให้ด้วยสองมือตามธรรมเนียม แต่หลี่เฉียงกลับไม่ได้รับมันไป เขายังคงยืนกอดอกมองนางนิ่ง
“ป้อนข้าสิ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่เต็มไปด้วยอำนาจบังคับบัญชา
นั่นคือฟางเส้นสุดท้ายที่ทำลายความอดทนของนาง แต่นางก็ทำได้เพียงสะกดกลั้นมันไว้ นางค่อย ๆ ยกจอกสุราขึ้นจรดริมฝีปากของบุรุษผู้ทำลายบ้านเมืองของนาง หัวใจของนางกรีดร้องด้วยความอัปยศอดสู
หลี่เฉียงค่อย ๆ ดื่มสุราจากจอกในมือนางช้าๆ สายตายังคงจับจ้องใบหน้าของนางไม่วางตา เมื่อดื่มจนหมด เขาก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนริมฝีปากของเขาแทบจะสัมผัสใบหูของนาง
“รสชาติไม่เลว แต่ยังไม่พอ” เขากระซิบเสียงพร่า “ความทระนงของเจ้ามันเกะกะสายตาข้านัก ข้าต้องการจะเห็นสิ่งที่อยู่ภายใต้อาภรณ์สีขาวนั่น”
เขาถอยห่างออกไปเล็กน้อย แล้วออกคำสั่งสุดท้ายที่โหดร้ายที่สุด
“ถอดชุดของเจ้าออก”
ราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมากลางใจ มู่ตานยืนนิ่งแข็งทื่อ นี่คือสิ่งที่นางหวาดกลัวที่สุด การถูกทำลายศักดิ์ศรีจนหมดสิ้น
หลี่เฉียงมองดูนางด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะ เขาคาดหวังจะได้เห็นน้ำตา ความอ้อนวอน หรือการขัดขืนที่โง่เขลา แต่มู่ตานกลับไม่ทำเช่นนั้น
นางค่อย ๆ หลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้ง เมื่อลืมตาขึ้นมาใหม่ แววตาของนางก็เปลี่ยนไป ความกลัวหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงความนิ่งสงบที่เย็นเยียบราวกับน้ำแข็งขั้วโลก
นางไม่ได้พูดอะไรอีก นางเพียงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเขา ก่อนจะค่อย ๆ ยกมือขึ้นปลดสายคาดเอวของตนเองออกอย่างช้า ๆ
ท่วงท่าของนางสง่างามและมั่นคง ไม่มีความลังเลหรืออัปยศแม้แต่น้อย ราวกับนี่ไม่ใช่คำสั่งของศัตรู แต่เป็นการตัดสินใจของนางเอง สายคาดเอวสีขาวร่วงหล่นลงสู่พื้นหนังสัตว์อย่างเงียบเชียบ ตามด้วยอาภรณ์ชั้นนอกที่ค่อย ๆ ถูกปลดออก เผยให้เห็นไหล่ที่เนียนละเอียดและเนินอกที่ขาวผ่องภายใต้แสงไฟ
นางกำลังเปลี่ยนการกระทำที่น่าอัปยศที่สุด ให้กลายเป็นการท้าทายที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่บอกว่า ต่อให้เขาครอบครองร่างกายของนางได้ เขาก็ไม่มีวันได้ครอบครองจิตวิญญาณของนาง
อาภรณ์ชิ้นสุดท้ายร่วงหล่นลงไปกองอยู่แทบเท้า ทิ้งให้ร่างเปลือยเปล่าอันงดงามสมบูรณ์แบบยืนหยัดอยู่ท่ามกลางห้องของจอมทัพอย่างทระนงองอาจ ภายใต้สายตาที่ลุกโชนราวกับเปลวเพลิงของพยัคฆ์ร้ายที่กำลังจะขย้ำเหยื่อ
เขาช้อนร่างเปลือยเปล่าของนางขึ้นสู่อ้อมแขน แล้ววางลงบนตั่งเตียงกว้างอย่างทะนุถนอมราวกับนางเป็นเครื่องกระเบื้องล้ำค่าที่เปราะบางที่สุด เมื่อแผ่นหลังสัมผัสกับเบาะแพรหนานุ่ม มู่ตานก็ปลดเปลื้องความแข็งกร้าวทิ้งไป เหลือไว้เพียงจริตมารยาที่นางจงใจปรุงแต่งขึ้นมาลวงล่อ นางปรือตาขึ้นมองพญาอินทรีย์ด้วยแววตาที่ฉ่ำหวานระคนหวาดหวั่น ริมฝีปากแดงระเรื่อเผยอขึ้นเล็กน้อย ปล่อยให้ลมหายใจสั่นพร่ายามที่อิงเฟิงโน้มกายลงมาทาบทับ “ท่านช่างงดงามจนข้ามิอาจละสายตา” เสียงกระซิบของเขาพร่าเลือนชิดใบหู ก่อนที่ริมฝีปากอุ่นชื้นจะเริ่มประทับตราลงบนซอกคอขาวผ่อง มันมิใช่การขบกัดที่ดุดัน แต่เป็นการดูดดึงและเล็มเลียอย่างอ้อยอิ่ง ลิ้นของเขาตวัดไล้ไปตามชีพจรที่เต้นตุบ ๆ ของนาง ลากไล้ต่ำลงมายังเนินอกอวบอิ่ม “อื้อ...ท่านอิงเฟ
พวกเขาเดินหมากกันไปอย่างเงียบเชียบ ผ่านไปหลายสิบตามีเพียงเสียงหมากกระทบกระดานไม้ดังขึ้นเป็นจังหวะ บรรยากาศตึงเครียดประหนึ่งแม่ทัพสองนายกำลังบัญชาการรบอยู่ในกระโจมกลางสมรภูมิ จนกระทั่งมู่ตานเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน นางวางหมากดำเม็ดหนึ่งลงไปในตำแหน่งที่ดูประหนึ่งการฆ่าตัวตาย เป็นการเดินหมากที่บุกทะลวงเข้าไปในใจกลางวงล้อมศัตรูอย่างหุนหันพลันแล่น แววตาของอิงเฟิงทอประกายวูบหนึ่ง “เป็นการเดินหมากที่กล้าหาญยิ่งนัก แต่ก็อันตรายยิ่งเช่นกัน การบุกทะลวงเข้าไปในแดนศัตรูโดยไร้ทัพหนุนเปรียบเสมือนการส่งทหารไปตายโดยเปล่าประโยชน์” “บางครา...” มู่ตานตอบกลับเสียงเรียบ สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่กระดาน “การสร้างความปั่นป่วนในใจกลางทัพของศัตรู แม้จักต้องสูญเสียไพร่พลไปบ้าง ก็อาจจะสามารถเปิดช่องทางรอดใหม่ที่เรามิเคยคาดคิดมาก่อนได้”&n
ความมืดมิดและความเงียบงันภายในเรือนไผ่เร้นนั้นหนักอึ้งดุจผืนผ้ากำมะหยี่สีนิลที่กดทับลงมาบนร่างระหง แสงเทียนไขบนโต๊ะเตี้ยสั่นไหววูบวาบทุกคราที่สายลมหนาวเล็ดลอดผ่านหน้าต่างฉลุลายเข้ามา ส่งผลให้เงาของนางที่นั่งสงบนิ่งอยู่บนตั่งไม้ทอดยาวบิดเบี้ยวไปบนผนัง ราวกับเป็นเงาของภูตพรายที่กำลังเฝ้ารอคอยบางสิ่ง มู่ตานนั่งอยู่ในท่วงท่านี้มานานนับชั่วยามแล้ว นานจนร่างกายเริ่มชาหนึบ ทว่าสติสัมปชัญญะกลับตื่นตัวและเฉียบคมถึงขีดสุด ในห้วงความคิด นางกำลังซ้อมรบในสมรภูมิแห่งวาจา ทบทวนแผนการซ้ำแล้วซ้ำเล่า จินตนาการถึงทุกหมากที่พญาเหยี่ยวอาจจะเดิน เตรียมถ้อยคำโต้ตอบสำหรับทุกคำถามที่เขาอาจจะเอ่ย และตอกย้ำปณิธานของตนให้แข็งแกร่งดุจกำแพงเมืองที่หล่อหลอมจากเหล็กกล้า นางจักมิยอมให้มายาภาพจากราตรีก่อนกลับมาบดบังสติปัญญาได้อีก นางรู้แจ้งแก่ใจว่าความอ่อนโยนนั้นเป็นเพ
จุดอ่อนของเขายังไม่ปรากฏแน่ชัด เป้าหมายของเขาคือสิ่งใดกันแน่ เขาต้องการเพียงเอาชนะพี่ชาย หรือเขามีความรู้สึกเสน่หาต่อนางจริง ๆ หรือทั้งหมดนี้เป็นเพียงกลลวงซ้อนกลเพื่อเป้าหมายอื่นที่นางยังมองไม่เห็น ความไม่รู้นี้เปรียบเสมือนการเดินปิดตาอยู่ริมหน้าผา ‘ต้องระวังตัวให้ถึงที่สุด...’ นางย้ำเตือนตนเอง ‘ต้องไม่เผยความรู้สึกที่แท้จริง ต้องเป็นดั่งกระจกเงาที่สะท้อนเล่ห์เหลี่ยมของเขากลับไป ต้องเร่งค้นหาเจตจำนงที่แท้จริงของเขาให้พบ และที่สำคัญที่สุด ต้องก่อกำแพงปกป้องสติของตนให้แข็งแกร่ง อย่าได้หลงกลไปกับความสะดวกสบายและความอ่อนโยนจอมปลอมที่เขาหยิบยื่นให้ จงตระหนักเสมอว่าภายใต้รอยยิ้มนั้นคือยาพิษรสหวาน ที่มุ่งหมายจะกัดกร่อนเขี้ยวเล็บและความระแวดระวังของนางให้ทื่อลงโดยไม่รู้ตัว ซึ่งนั่นอาจเป็นคมดาบที่สังหารนางได้เลือดเย็นกว่าพละกำลังของหลี่เฉียงเสียอีก’ และท้ายที่สุด หมากสีขาวเพียงหนึ่งเดียวที่วางอย
การเดินทางกลับจากเรือนของหลี่เฉียงในรุ่งอรุณครั้งนี้ช่างแตกต่างจากครั้งแรกโดยสิ้นเชิง แม้ร่างกายทุกส่วนจะยังคงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดระบมไม่ต่างกัน แต่จิตใจของนางนั้นกลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มู่ตานก้าวเดินไปตามทางเดินหินที่เย็นเฉียบด้วยท่วงท่าที่มั่นคงและสงบนิ่ง นางไม่ได้ก้มหน้าหลบสายตาผู้คนอีกต่อไป แต่กลับเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย มองตรงไปเบื้องหน้าอย่างไม่หวั่นไหว สายลมยามเช้าที่พัดมาปะทะร่างทำให้ชายแขนเสื้อที่กว้างของนางปลิวไสวไปด้านหลัง เผยให้เห็นรอยแดงจาง ๆ ที่ข้อมือ ร่องรอยแห่งการต่อสู้ที่บัดนี้นางมองมันไม่ใช่ในฐานะสัญลักษณ์ของความอัปยศ แต่เป็นเครื่องเตือนใจถึงความแค้นที่ต้องชำระ นางสังเกตเห็นทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวด้วยประสาทสัมผัสที่เฉียบคมขึ้นอย่างน่าประหลาด นางเห็นสายตาของทหารยามที่ยืนประจำการณ์อยู่ไกล ๆ ที่มองมายังนางเปลี่ยนไป ความเหยียดหยามในวันแรก ๆ เลือนหายไป ถูกแทนที่ด้วยความระแวดระวังและอาจจะมีความ
ทว่าเนิ่นนานไปขณะที่เขายังคงครอบครองเรือนร่างอันอ่อนระทวยนั้น โทสะที่เคยลุกโชนก็ค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยสิ่งอื่น ความอยากเอาชนะเริ่มจางหาย เหลือเพียงความปรารถนาอันดิบเถื่อนที่มืดมิดและลึกซึ้งกว่าเดิม เขากำลังดำดิ่งโดยไม่รู้ตัว สติสัมปชัญญะของแม่ทัพผู้ต้องการเอาชนะกำลังถูกกลืนกินโดยสัญชาตญาณของบุรุษ เขาลืมเลือนการต่อสู้ ลืมเลือนกำแพงที่นางสร้าง รับรู้เพียงความนุ่มลื่นของผิวเนื้อภายใต้ฝ่ามือ กลิ่นหอมจาง ๆ ของนางที่ผสมกับกลิ่นสุรา และร่างกายที่ตอบสนองเขาอย่างไม่เต็มใจ จังหวะของเขาเริ่มเปลี่ยนไป จากการลงทัณฑ์ที่เกรี้ยวกราดกลายเป็นการแสวงหาที่ลึกซึ้งและไม่รู้จักพอ มู่ตานผู้ซึ่งบัดนี้เป้าหมายได้เปลี่ยนไปแล้วไม่ได้พยายามจะหลีกหนีอีกต่อไป แต่นางกำลังเฝ้ารอ อดทนรอคอยให้พายุลูกนี้พัดผ่านไป&n







