บทที่ 4 เจ้าลืมเรื่องของเราได้ยังไง
แต่ทว่าเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูปนางกลับยังยืนอยู่ท่านกลางแสงแดดจ้าช่วงเวลากลางที่ดวงอาทิตย์อยู่ตรงกลางหัว ริมฝีปากเริ่มแห้งเหือดใบหน้าเริ่มแดงระเรื่อเหงื่อผุดเต็มร่างกายกระนั้นนางยังคงยืนอยู่ไม่ไหวติง
หลิวไท่หยางนั่งมองความอดทนของนางพลางแสยะยิ้มออกมา
“ฮึ ไม่คิดว่านางจะทนได้ขนาดนี้ ดี ๆ ข้าจะปล่อยให้นางอยู่เช่นนี้เจ้าช่วยจับตามองนางเอาไว้อย่าให้นางไปที่ใดต่อให้สลบลงก็ไม่ต้องพานางเข้าร่มจนกว่านางจะฟื้น” ร่างสูงลุกขึ้นเดินออกไปอย่างไม่พึงพอใจเพราะเขาต้องการให้นางอ้อนวอนเขาแต่นางกลับปิดปากนิ่งไม่เอ่ยอะไรเลย
เวลาล่วงเลยจวบจนดวงอาทิตย์เริ่มตกดินจางอวิ๋นหลิงเริ่มขาสั่นกวาดสายตามองไปด้านหน้าเริ่มเห็นภาพเบลอ ใจเริ่มเบาหวิวก่อนที่ทุกอย่างด้านหน้าจะมืดสนิท ได้ยินเสียงแว่ว ๆ ของไป๋หนิงซินสะท้อนกึกก้องในหู
“นางสลบไปแล้วพวกเจ้าไม่โหดเหี้ยมเกินไปหน่อยหรืออีกอย่างตอนนี้ตะวันตกดินตามคำสั่งของท่านแม่ทัพ
ปล่อยนางได้แล้ว”
“ข้าไม่ได้ใจร้ายเพียงแต่ทำตามคำสั่งของท่านแม่ทัพ ในเมื่อตอนนี้ตะวันตกดินแล้วเจ้าก็พานางกลับห้องเสียสิ”
“ข้าจะพานางไปยังไงในเมื่อนางหมดสติเช่นนี้ แถมยังตัวร้อนปานไฟเช่นนี้นางจับไข้แน่ ๆ ”
“แล้วทำไมเจ้าต้องเห็นอกเห็นใจนางเชลยผู้นี้ด้วยเล่า ”ทหารที่ยืนเฝ้าอยู่ถกเถียงกับไป๋หนิงซินมองดูสตรีเชลยที่นอนหายใจโรยรินอยู่ที่พื้น ครานั้นนั่นเองทหารอีกคนที่เป็นมือขวาคนสนิทของท่านแม่ทัพเดินมาช้อนร่างของจางอวิ๋นหลิงขึ้นและพานางไปที่ห้องทันที ทำให้ทั้งทหารที่เฝ้าอยู่และไป๋หนิงซินงงงวยแต่ก็ยอมเดินตามไปติด ๆ
ยามฉวี (19.00)
ร่างบางหนาวสั่นครั่นเนื้อครั่นตัวราวจะเกิดไข้ค่อย ๆ ลืมตาเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นมาจ้องมองไปรอบ ๆ นางคิดว่าตนเองจะตายไปแล้วเสียอีกแต่ทำไมสวรรค์ไม่เมตตาต่อความต้องการของนางเสียที
“เจ้าฟื้นแล้วสินะ กินน้ำหน่อยสิตอนนี้ข้าเช็ดตัวให้เจ้าแต่อาการตัวร้อนไม่แม้แต่จะลดลงเลย ในเมื่อเจ้าฟื้นแล้วก็กินยาลูกกลอนนี้เสียจะได้หายปวดหัว ” ไป๋หนิงซินรีบอธิบายบอกนางพร้อมพยุงให้นางลุกขึ้นนั่ง
“ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ” น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยถามแผ่บเบา
“เจ้าสลบไปและเป็นเวลาที่ท้องฟ้าหมดแสงสว่างพอดีทหารมือขวาของท่านแม่ทัพอุ้มเจ้ามาที่ห้องนะ อย่าพึ่งถามมากกินยาก่อนเถิด” ไป๋หนิงซินยกอาหารมาให้นางกินก่อนที่จะให้กินยาลูกกลอนที่หลวนฮวานทหารมือขวาของท่านแม่ทัพมอบให้
“เจ้าทำดีกับข้าเช่นนี้เพราะอะไรกัน ตั้งแต่ข้าเข้ามาที่จวนนี้ข้าได้ยินทุกคนเอ่ยเรื่องของข้าทั้งยังรังเกียจเหยียดหยามข้าเพราะข้าเป็นเชลยเป็นศัตรูของแคว้นหยางอัน เจ้าคงเวทนาข้ามากเลยสินะ”
“เฮ้อ ! ข้าไม่ได้รู้สึกเคียดแค้นกับเจ้าเสียหน่อย อีกอย่างเป็นเรื่องของทั้งสองแคว้น ข้ามิได้ข้องเกี่ยวอันใดที่ข้าช่วยเหลือเจ้าเพราะสงสารและข้าเคยมีน้องสาว ข้ารู้สึกเสียใจทุกครั้งที่ช่วยเหลือนางไม่ได้ เมื่อเห็นเจ้าก็คิดถึงน้องสาวขึ้นมา ” แววตาของไป๋หนิงซินจ้องมองไปด้านหน้าอย่างเหม่อลอย เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา น้องสาวของนางเป็นคนที่อ่อนแอและขี้โรค ท่านพ่อท่านแม่ส่งนางเข้ามาเป็นสาวรับใช้จวนท่านแม่ทัพเพื่อหาเงินไปรักษาน้อง เงินตำลึงแรกที่นางได้นางดีใจเหลือเกินแต่เมื่อนำกลับไปให้ท่านพ่อท่านแม่กลับพบว่าตอนนี้น้องสาวของตนนั้นจากโลกใบนี้ไปแล้ว เมื่อเห็นจางอวิ๋นหลิงที่มีใบหน้าซีดเผือกไร้เลือดฝาดไม่ว่าจะเป็นแววตาที่อมทุกข์เศร้าหมองของนางจึงเกิดความเห็นใจเวทนาต่อสตรีที่เป็นเครื่องมือของการล้างแค้นที่ตัวนางไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ
อวิ๋นหลิงฝืนกินข้าวที่ไป๋หนิงซินเตรียมมาให้ไม่อยากให้นางเสียน้ำใจ กินไปได้เพียงนิดเสียงบุรุษได้ดังเข้ามาจากด้านนอก
“จางอวิ๋นหลิงท่านแม่ทัพให้ข้ามาพาเจ้าไปเข้าพบ ”
“อะไรกัน.. นี่นางไม่สบายจับไข้ตัวสั่นเทาเช่นนี้ท่านแม่ทัพเหตุใดต้องเรียกนางเข้าพบยามนี้ด้วย ไม่คิดจะให้นางได้พักบ้างหรือไง ! ข้าไม่เข้าใจท่านแม่ทัพเลยสักนิดโกรธแค้นพ่อนางเพียงใดทำไมไม่ฆ่านางทิ้งพร้อมท่านพ่อของนางเสียจะเก็บนางไว้ทุกข์ทรมานนางเช่นนี้ไปถึงเมื่อไหร่” ไป๋หนิงซินพูดจาเบา ๆ ตำหนินายท่านของตนเบา ๆ แต่ก็ถูกอวิ๋นหลิงคว้ามือแตะลงที่แขนของนางให้นางหยุดพูด หากเรื่องนี้ถึงหูของท่านแม่ทัพนางอาจจะถูกเฆี่ยนจนหลังลายดีไม่ดี อาจจะถูกประหารเอาได้
“ไป๋หนิงซินพอเถิด อย่าเอ่ยเช่นนี้เลยเดี๋ยวเจ้าอาจจะถูกลงโทษได้ ข้าซึ้งน้ำใจของเจ้าที่มีต่อข้าและข้าเสียใจด้วยเรื่องน้องสาวของเจ้า ไม่ว่าข้าเจียนตายเพียงใดแค่เขาเอ่ยปากข้าก็มิอาจขัดขืนคำสั่งได้ ” เอ่ยจบร่างบางพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรงเดินออกไปข้างนอกตามหลังทหารที่รับคำสั่งมทาตามนางออกไป
เวลาค่ำคืนที่มืดมิด แสงจากโคมไฟลางๆ ส่องแสงผ่านหน้าต่างบานใหญ่ ภายในห้องหรูหราของแม่ทัพหลิวไท่หยาง เสียงฝีเท้าของจางอวิ๋นหลิงดังขึ้นตามทางเดินหินเย็นๆ ของจวน ความเงียบงันรอบตัวทำให้จิตใจของนางยิ่งรู้สึกหนักอึ้ง ทุกก้าวที่เดินรู้สึกเหมือนการเดินไปสู่ความมืดที่ไม่มีวันออกจากไป
เมื่อถึงหน้าห้องแม่ทัพหลิวไท่หยางนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้แข็ง แสงไฟจากโคมไฟสาดส่องใบหน้าของเขา ทำให้ดวงตาที่เย็นชาและหงุดหงิดนั้นดูเหมือนจะมีความลึกลับแฝงอยู่
"เจ้ามาแล้วสินะ อดทนเก่งนี่จางอวิ๋นหลิง" เสียงของเขาดังแหบพร่าราวกับเสียงของคนที่ไม่มีความเมตตา
จางอวิ๋นหลิงไม่พูดอะไร ตรงเข้าไปยืนอยู่ตรงกลางห้อง หัวใจของนางถูกทิ้งไว้ในห้วงความเจ็บปวดที่ไม่อาจลืมได้ แม้แต่เสียงหัวใจที่เต้นยังแทบจะไม่เหลืออยู่ในตัว เหลือบมองชายที่โหดเหี้ยมอย่างเขาครู่หนึ่งก่อนจะก้มหน้าลงต่ำ ภายในห้องมิได้มีแต่เขาเพียงผู้เดียวกระนั้นยังมีสตรีที่งดงามแต่งตัวเจนจัดเพียงแค่ปลายตามองก็รู้ว่านางคือหญิงคณิกา นั่งอยู่ในอ้อมอกของบุรุษที่เอ่ยปากต่อนางเมื่อครู่ แววตาเย้ยหยันนางจนน่าแปลกใจเขาต้องการสิ่งใดกันแน่ถึงเรียกนางมาในยามนี้
“ท่านเรียกข้ามาเพราะสิ่งใดกัน หรือเรียกข้ามาเพราะคิดว่าข้าจะทนบทลงโทษของท่านมิได้ ท่านกลัวข้าตายและไม่ได้ทรมานข้าต่อเช่นนั้นหรือ”
“หึ ปากดีเสียจริง เจ้ารู้ดีนี่ว่านั่นคือคำสั่งของข้าไม่ให้เจ้าตายจนกว่าความแค้นของข้าหมดไป เจ้าลืมหน้าที่เจ้าแล้วหรือปรนนิบัติข้านะ ค่ำคืนนี้แสนยาวนานข้าจะให้เจ้าคอยรินสุราและคอยเรียกใช้ในยามที่ข้าหยอกเย้าอยู่กับนางคณิกาผู้นี้” เขาก้มลงมาเชยชมนางคณิกา ลอบมองสีหน้าของอวิ๋นหลิงครู่หนึ่ง
แม่ทัพไท่หยางมองไปที่นางอย่างไม่พอใจ เห็นนางยืนอย่างไร้แรงและไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่เขาทำอยู่ จึงยิ้มเหยียด "จะยืนอยู่เช่นนั้นหรือมารินสุราให้ข้ากับหญิงงามผู้นี้เร็วเข้า ทำตัวไร้ประโยชน์เสียจริง ”
คำพูดของเขาทำให้จางอวิ๋นหลิงรู้สึกเหมือนมีดคมๆ แทงทะลุใจ แต่นางกลับไม่แสดงอาการอะไรออกมาเลย ดวงตาของนางว่างเปล่าราวกับไม่มีชีวิต เหมือนกับวิญญาณที่หลุดออกจากร่างกาย
‘ตั้งแต่เข้าจวนมาเป็นเชลยข้าไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาทำเลยด้วยซ้ำเพราะเหตุอันใดกัน เสมือนว่าข้ามิใช่เชลยที่เขาพากลับมารังแกแต่เหมือนเขาต้องการให้ข้าเจ็บปวดในการกระทำของเขา จะให้ข้าเจ็บปวดอย่างไรในเมื่อข้าไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาสักนิด หรือว่าสตรีที่ข้าอยู่ในร่างนี้จะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกันนะ แต่คงมิใช่หรอก จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรในเมื่อทั้งสองแคว้นเป็นศัตรูคู่แค้นกัน’ นางครุ่นคิดในใจอย่างนึกสงสัยค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินเข้ามารินสุราใส่จอกให้ทั้งสองที่แทบจะแนบชิดไม่อายนางแม้แต่น้อย
“ท่านแม่ทัพร่างกายของท่านแข็งแกร่งบึกบึนเช่นนี้ คืนนี้ข้าจะได้นอนหรือไม่เจ้าคะ เป็นวาสนาของนางโลมอย่างข้าเสียจริงที่จะได้นอนอยู่ในอ้อมกอดของท่าน” นางโลมใช้มือลูบไล้ทั่วแผ่นอกของเขา ก่อนแสยะยิ้มเบา ๆ วางจอกสุราลงก่อนจะจับปลายคางมนของนางเชิดขึ้นเล็กน้อย
“นั่นสินะเป็นวาสนาของเจ้าจริง ๆ ข้านะเก่งแต่ออกศึกรบไม่หวั่นแต่ข้านะไม่เคยร่วมหลับนอนกับสตรีใด ข้าจะให้เจ้าเป็นสตรีคนแรกของข้า”เขาพูดเอาอกเอาใจเพื่อทำให้อีกฝ่ายเจ็บช้ำ เขามองอวิ๋นหลิงด้วยสายตาที่โกรธเกรี้ยว เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจางอวิ๋นหลิงถึงไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่เขาทำกับนางโลมผู้นี้ เขามั่นใจแท้ ๆ หากทำเช่นนี้นางต้องทุกข์ทรมาน เขาต้องการเห็นความเจ็บปวดในดวงตาของนาง แต่ทุกสิ่งที่เขาทำกลับไม่สามารถทำให้นางสั่นคลอน นางค่อย ๆ ขยับกายหันหลังหนีเพื่อให้ทั้งสองใช้เวลาร่วมกัน แต่กระนั้นการกระทำของนางกลับทำให้เขาโมโหมากกว่าเดิม
"ทำไมไม่รู้สึกอะไรเลย... ข้าทำขนาดนี้เจ้ายังไม่เจ็บปวดบ้างเหรอ?" เขาตะโกนอย่างโกรธแค้น ก่อนที่จะหันไปขับไล่นางโลมที่ยืนอยู่ข้างๆ "ออกไป!"
นางโลมมองหน้าท่านแม่ทัพสักพัก ก่อนจะก้มหัวและออกไปจากห้องอย่างฉงนใจที่จู่ ๆ เขาพลันอารมณ์เปลี่ยนไปจนนางมองตามสายตาของของท่านแม่ทัพทำให้นางได้รู้ว่าที่เขาพานางมามิได้ต้องการให้นางมาร่วมหลับนอนแต่พานางมาเพื่อทำร้ายจิตใจของสตรีที่ยืนอยู่ด้านหน้านั่น
หลิวไท่หยางลุกขึ้นจากเก้าอี้ เขาเดินเข้าหาจางอวิ๋นหลิงอย่างรวดเร็ว และจับแขนนางอย่างแรง "ทำไม...ทำไมเจ้าถึงไม่รู้สึกอะไรเลย?"
จางอวิ๋นหลิงหายใจช้าๆ มือที่จับแขนเขากลับไม่สะทกสะท้าน แค่ดวงตาของนางที่ทอดมองไปที่อะไรบางอย่างที่อยู่ไกลๆ ท่าทางของนางเหมือนกับว่ากำลังอยู่ในโลกของตัวเอง จิตใจของนางแหลกสลายจนไม่สามารถรับรู้ความเจ็บปวดจากภายนอกได้
"ทำไมข้าต้องรู้สึกอะไรด้วยเล่าในเมื่อข้าเป็นเพียงเชลยศึกของท่านเท่านั้น ท่านต้องการสิ่งใดกันแน่ สิ่งเดียวที่ข้ารู้แค่ว่า...ข้าจะไม่มีวันหลุดพ้นจากท่านได้" เสียงของนางแผ่วเบา แต่มันเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
ไท่หยางยืนมองจางอวิ๋นหลิงอย่างโกรธจัด เขาพยายามจะทำลายความแข็งแกร่งที่นางซ่อนไว้ในใจ แต่เขากลับพบว่ามันยากเกินไป นางยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ราวกับไม่สามารถรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่เขาพยายามจะส่งมาถึงได้
“เฮอะ ! เจ้าทำเป็นลืมเรื่องของเราอย่างนั้นหรือทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนเจ้ารักข้าเพียงใด ข้านำตัวเจ้ากลับมาเพื่อแก้แค้นให้เจ้าตรอมใจไปทีละน้อย แต่เจ้ากลับทำให้ข้าโมโหมากกว่าเดิมที่ทำเหมือนเจ้าไร้ความรู้สึกต่อข้า?" เสียงของเขาตะโกนด้วยความโมโห แต่จางอวิ๋นหลิงยังคงยืนเหมือนหุ่นไม้ ไม่มีการตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น ครานั้นตัวนางถ่องแท้ว่าทำไมเขาต้องการให้นางเจ็บปวดและไม่ให้นางตาย ความรู้สึกของเจ้าของร่างเริ่มประสานในจิตวิญญาณของนาง ทำให้ใจเริ่มสั่นคลอนความรู้สึกในใจของนางบอกให้รู้ว่า นางอาจจะมีเพียงความเจ็บปวดที่ไม่อาจทนได้อีกต่อไป...
บทที่ 5 ความทรงจำเรื่องราวทั้งหมดของจางอวิ๋นหลิงเริ่มไหลเวียนเข้ามาผ่านความทรงจำ ทั้งสองเคยเป็นคู่รักที่แสนรักใคร่ทำราวกับว่าจะไม่มีทางเลิกลากันได้ ครั้นเมื่อที่จางอวิ๋นหลิงแอบท่านพ่อออกมาเที่ยวเล่นที่แคว้นหยางอันได้พบเข้ากับบุรุษรูปงามที่ช่วยเหลือนางจากโจรลักขโมย ยามนั้นไท่หยางมิได้แต่งตัวและบอกถึงตัวตนของเขา ทั้งสองปลูกดอกรักด้วยกันจนเติบโต อวิ๋นหลิงเองก็มิกล้าแม้จะบอกถึงตัวตนของนางว่านางมิใช่คนแคว้นนี้กลัวเขาจะชิงชังรังเกียจ แอบมาหานัดพบกันอยู่บ่อยครั้งจนไท่หยางพูดเรื่องแต่งงานกับนาง ถามถึงตระกูลของนางว่าเป็นบุตรสาวเรือนใดเมื่อไหร่ที่เขากลับมาจากการทำงานในครั้งนี้เขาจะให้ท่านพ่อท่านแม่ไปสู่ขอนางที่เรือน แต่อวิ๋นหลิงมิได้เอ่ยความจริงโป้ปดเขาไปเพื่อให้เขาไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริง ๆ แม้จะรู้สึกเสียใจอยู่ไม่น้อย แต่ทว่าเรื่องราวไม่ได้เป็นอย่างใจหวัง เมื่อครั้นนั้นเกิดสงครามต่อสู้กันระหว่างแคว้นทำให้อวิ๋นหลิงไม่ได้ออกมาจากเรือนเลย และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไท่หยางคือแม่ทัพที่สู้รบกับท่านพ่อของนาง จนเรื่องมาถึงตอนนี้วิณญาณของหญิงสาวที่เข้ามาอยู่ในร่างรับรู้และรู้สึกถึงความเจ็บปวดของอวิ๋นหลิงทั
บทที่ 6 ถูกกลั่นแกล้งค่ำคืนนี้ช่างยาวนานเหลือเกินเมื่อความทรงจำปะทุราวกับสายน้ำ ซ้ำเติมหัวใจที่ว่างเปล่าของอวิ๋นหลิงนางร่ำไห้หลับไปทั้งน้ำตาเช้าวันต่อมาเปลือกตาของอวิ๋นหลิงหนักอึ้งแต่เหมือนว่านางเคยชินเพราะไม่มีวันไหนที่นางไม่หลับไปทั้งน้ำตา มีสิ่งที่เปลี่ยนไปคือคำสั่งของไท่หยางที่สั่งการลงมาต่อจากนี้เขาไม่ให้นางไปปรนนิบัติเช่นเคยแต่ให้นางไปทำงานที่หลังจวนแทนนั่นคือการซักผ้า เหมือนจะเป็นงานสบายแต่ก็หนักหนาสำหรับนางอยู่มากจางอวิ๋นหลิงมิได้เอ่ยปากบ่นแต่อย่างไร อย่างน้อยก็ดีกว่าการให้นางไปพบเจอไท่หยางนางเดินตามแม่บ้านซูเป็นผู้ดูแลหลังจวนและคอยสั่งงานให้สาวใช้แต่ละคนได้ทำ ทว่าไป๋หนิงซินมิได้มาทำงานเช่นเดียวกันนางเพราะงานของนางคืออยู่ในโรงครัว แม้จะห่วงอวิ๋นหลิงแต่ก็ขัดคำสั่งของท่านแม่ทัพมิได้ แม่บ้านซูพาอวิ๋นหลิงเดินมาถึงธารน้ำหลังจวนเป็นสถานที่ไว้สำหรับซักผ้า น้ำใสจนเห็นแผ่นหินเสียงน้ำไหลผ่านเมื่อได้ยินทำให้จิตใจของนางเริ่มสงบไม่ขุ่นมัวหัวใจ“งานของเจ้าคือการซักผ้าพวกนี้ รีบทำเสียก่อนที่แสงแดดของวันจะหมดลง ข้าขอกำชับเจ้าอีกอย่างอย่าคิดแม้แต่จะกระโดดน้ำหนีเพื่อปลิดชีพตนเองเพราะสิ่งนั้น
บทที่ 7 ผู้เดียวที่รังแกนางได้คือข้า“ข้ามากกว่าที่ต้องเป็นผู้ที่ถามเกิดอะไรขึ้น” สายตาของเขาเหลือบไปมองร่างกายและใบหน้าของจางอวิ๋นหลิงนัยน์ตาเริ่มเข็งกราวกัดฟันกรามเอ่ยถามสาวใช้ที่กล้าใช้มือสกปรกทำร้ายนาง“เอ่อ.. นางเชลยผู้นี้ไม่ตั้งใจทำงานเจ้าค่ะ ข้าเพียงแค่สอนงานให้นางเท่านั้นนางเคยเป็นคุณหนูสตรีผู้สูงส่งคงไม่เก่งเรื่องงานเช่นนี้ แต่ผู้ใดจะคิดว่านางจะกล้าโต้เถียงและไม่ยอมทำตามที่ข้าสอนเจ้าค่ะ ดูผ้าพวกนี้สิเจ้าคะนางบอกว่านางจัดการเสร็จแล้วแต่ยังมีเศษดินหลงเหลืออยู่ ข้าจึงให้นางซักใหม่แต่ใครจะคิดว่านางจะโมโหจนถึงขั้นลงไม้ลงมือกับข้าเจ้าค่ะ”“เป็นเช่นนั้นหรือ? หลวนฮวานจัดการจับตัวนางและจับมือของนางวางลงบนท่อนไม้นี้” หลวนฮวานพยักหน้าเดินมาด้านหลังของอวิ๋นหลิง ไป๋หนิงซินรีบพูดขึ้นมากลัวว่าท่านแม่ทัพจะลงโทษผิดคน“ท่านแม่ทัพมิใช่อย่างที่นางเอ่ยออกมานะเจ้าคะ นางโกหก”“ไป๋หนิงซินข้ามิได้ขอความเห็นเจ้าและไม่ได้ให้เจ้าเอ่ยอันใดหุบปากไปเสีย” ไป๋หนิงซินจ้องมองอวิ๋นหลิงใบหน้าเริ่มเศร้าหมองที่ตนช่วยอันใดนางมิได้เลย แต่ทว่าอวิ๋นหลิงกลับไม่รู้สึกหวาดกลัวเลย จ้องมองประสานตากับไท่หยางอย่างแน่วแน่ครา
บทที่ 8 นางเพียงเสแสร้งครานั้นอวิ๋นหลิงเดินตามหลังของหลวนฮวานจนมาถึงศาลารับลม เหลียงอวี้สายตาจ้องมองไปยังนางตอนนี้ไม่มีเค้าสตรีบุตรสาวขุนนางเสียแล้ว ใบหน้าที่เคยงดงามแจ่มใสเต็มไปด้วยเครื่องประทิ่นบนใบหน้าให้ชวนมอง บัดนี้มีเพียงใบหน้าซีดขาว ริมฝีปากแห้งแตก ดวงตาหมองคล้ำคล้ายคนที่ไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ไร้ชีวิตชีวาเสมือนร่างไร้จิตวิญญาณ“นางเปลี่ยนไปมากจริง ๆ เจ้าไม่เจ็บปวดบ้างหรือที่จ้องมองใบหน้าของนาง”“ข้านะหรือจะเจ็บปวด ไม่! ข้ามีเพียงแต่ความแค้นเท่าที่รอวันสะสางไปทีละนิด”“ท่านแม่ทัพข้าพาอวิ๋นหลิงมาแล้วขอรับ”“มาแล้วหรือ ? เจ้ามานี่สิคิดว่าสองวันมานี้ข้าไม่สั่งงานเจ้าคงไม่คิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าใช้ชีวิตสุขสบายหรอกนะ ! นั่นเห็นดอกบัวในบึงนั่นหรือไม่ ? ข้าอยากได้มันเพื่อไปไหว้ป้ายชื่อท่านแม่ลงไปเอามาให้ข้าเดี๋ยวนี้” ปลายนิ้วของเขาชี้ไปที่ดอกบัวที่ออกดอกอยู่กลางบึงทันที่ที่อวิ๋นหลิงเห็นนางเริ่มใจสั่นเพราะนางว่ายน้ำไม่เป็นแต่หากเป็นเช่นนี้ก็ดีเช่นกันมิใช่หรือ ? นางจะได้ตายสมใจหวังและเป็นเขาเองที่เป็นคนสั่งให้นางทำ“เจ้าค่ะ ข้าจะรีบลงไปเอามาให้เดี๋ยวนี้” น้ำเสียงเบาหวิวคล้ายคนหมดแรงจนเหลี
บทที่ 9 ไม่มีทางปล่อยพื้นไม้แข็งเย็นยะเยือกแต่ไม่เยือกเย็นเท่ากับสวรรค์ที่ไม่มีความเมตตาต่อความต้องการของนางสักนิด ร่างบางลืมตาขึ้นมาอีกครั้งนี่มิใช่ศาลารับลมหรือแม้แต่ในแม่น้ำแต่เป็นห้องที่นางอาศัยอยู่ทุกวัน ครานี้ทุกสิ่งอย่างที่นางกวาดตามองมืดสลัวนางนอนไปนานเท่าไหร่กัน นางพยายามนึกคิดว่าตนเองขึ้นจากแม่น้ำมาได้อย่างไร เพียงตอนนั้นสมองยังอื้ออึงได้ยินเพียงเสียงแว่ว ๆ ที่ประโคมต่อว่าปะทะฝีปากต่อเถียงกันเรื่องของนาง“ฟื้นแล้วหรือ” น้ำเสียงที่ดังขึ้นอยู่มุมห้องทำให้ร่างบางถึงกับสะดุ้งรีบร้อนลุกขึ้น“ท่านเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร นี่มันห้องนอนของสาวใช้มิใช่หรือ ? ”“ไม่ว่าจะที่ใดที่อยู่ในจวนของข้า ข้าย่อมไปได้ทุกที่” ร่างใหญ่เดินเข้ามาใกล้นางมากกว่า แสงโคมไฟด้านนอกสะท้อนเข้ามาเห็นเงาและแววตาของเขาเพียงชั่วขณะแต่นางสามารถรับรู้สึกรังสีอำมหิตที่ส่งผ่านมายังนาง เขานั่งลงคว้าแขนของนางบีบเต็มแรงจนร่างบางสะดุ้งด้วยความเจ็บปวดจนส่งเสียงร้องออกมา“โอ้ย !!”“เจ้าเจ็บหรือ ? ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากตายหรือไงกัน... เจ้าว่ายน้ำเป็นแท้ ๆ แต่กลับไม่ว่ายขึ้นมาข้าบอกแล้วใช่หรือไม่ว่าไม่ให้เจ้าตายง่าย ๆ จนกว่าข้าจะ
บทที่ 10 ผู้ใดเล่าจะกล้าขัดคำสั่งฝั่งด้านเหลียงอวี้หลังจากที่เขากลับมาจากจวนหลิวไท่หยางเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องของจางอวิ๋นหลิง ดวงตาของนางว่างเปล่าใบหน้าอมทุกข์ไร้ชีวิตชีวายิ่งทำให้เขาเป็นห่วงนางจับใจ หากจะคิดหาหนทางช่วยเหลือนางออกมาก็กลัวถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏพาบุตรสาวของศัตรูหลบหนี แต่ก็อดเป็นห่วงนางไม่ไหวตัดสินใจไปหานางที่จวนของแม่ทัพไท่หยาง เขาไม่เชื่อว่าสหายของเขาจะหมดรักนางรวดเร็วป่านนี้เพียงเพราะยามนี้ใจของไท่หยางมีความแค้นต่อพ่อของนางมากกว่าแดดเริ่มแรงเมื่อถึงยามอู่ (11.00) วันนี้อากาศแปรปรวนลมพัดแรงอีกทั้งยังมีเมฆครึ้มจับตัวเป็นก้อน ๆ คล้ายจะมีพายุฝน“ท่านแม่ทัพจะปล่อยให้นางนั่งอยู่เช่นนั้นหรือขอรับ ข้าว่าอากาศเริ่มไม่ดีแล้ว”“เจ้าจะไปห่วงนางทำไมกัน ในเมื่อนางปากแข็งไม่ยอมรับในสิ่งที่ตนเองรู้อยู่แก่ใจแถมยังเสแสร้งอีก ในเมื่อนางอวดดีก็ปล่อยให้นางนั่งอยู่เช่นนั้นต่อไป ไม่ว่าจะเกิดพายุโหมกระหน่ำหรือหิมะตกลงมาอย่างบ้าคลั่งก็ปล่อยให้นางนั่งอยู่หน้าห้องจนกว่าข้าจะได้ยินคำอ้อนวอนยอมแพ้ของนางถึงจะยอมสั่งให้นางเข้าร่ม”ไท่หยางเหลือบตามองไปด้านนอกเห็นสตรีที่ดื้อด้านไม่ยอมเอ่ยคำยอมแพ้ออกมาย
บทที่ 11 จับไข้เหลียงอวี้เดินเข้ามาในห้องของไท่หยางเห็นเขายืนอยู่อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวยิ่งทำให้เขาไม่ชอบใจเลยที่สหายเปลี่ยนไปเป็นคนที่เลือดเย็นได้ถึงเพียงนี้“เรื่องนี้เจ้าทำเกินกว่าเหตุไปแล้ว ทำไมถึงต้องทำกับนางเช่นนี้ในเมื่อเจ้าบอกว่าเจ้าไม่รักนางหมดใจแล้ว จงปลดปล่อยนางไปเถิดตอนนี้นางเป็นเพียงเชลยอย่างเจ้าว่าไร้ท่านพ่อไร้คนหนุนหลัง นางเปรียบสตรีไร้แขนไร้ขาปล่อยนางไปเสียไม่ดีกว่าหรือ ? แค่มองแววตาของนางยังไงนางก็ไม่คิดหาทางแก้แค้นเจ้าแน่ ดวงตาของนางว่างเปล่าเหมือนคนไร้วิญญาณนางคงแตกสลายไปหมด เจ้าช่วยปลดปล่อยนางหรือส่งตัวนางขายนางให้เป็นทาสเสีย และมีอีกทางหากเจ้าบอกว่าเจ้าแค้นตระกูลนางข้ามีทางเลือกให้เจ้าคือบั่นคอนางเสีย อย่าทำร้ายจิตใจของนางไปมากกว่านี้”“เฮอะ ! องค์ชายท่านช่างรู้ดีจริง ๆ ยังไงข้าก็ไม่ยอมยกนางให้ผู้ใดทั้งนั้น คำพูดของข้าพูดออกไปแล้วไม่คืนคำมิเช่นนั้นข้าจะปกครองทหารหลายพันนายได้ยังไง ที่ข้ายอมปล่อยนางไปวันนี้เพราะเห็นว่าท่านยอมแลกกับยศของท่านแถมยังไม่กลัวแปดเปื้อนไม่แน่พรุ่งนี้อาจจะมีข่าวลือแพร่สะพัดว่าองค์ชายสามเหลียงอวี้ปกป้องเชลยศึกของแคว้นหยางอัน ข้าขอให้ท่านรับ
บทที่ 12 หม่อมฉันจะรอร่างบางที่เคยมีใบหน้าอมชมพูผิวขาวราวหยวก บัดนี้ใบหน้าของนางขาวซีดเผือกริมฝีบางแห้งผากซีดจนแทบไม่เหลือความเป็นคนนอนอยู่ใต้ผ้าห่ม โดยมีไป๋หนิงซินอยู่ข้าง ๆ คอยเช็ดตัวให้นางอยู่ไม่ห่าง“นางเป็นเช่นไรบ้าง”“ท่านหมอบอกว่านางทนไม่ได้ที่ร่างกายถูกแดดแล้วมาถูกสายฝนเจ้าค่ะ ทำให้นางรับไม่ไหวจนจับไข้และเอ่อ...ท่านหมอบอกว่าร่างกายของนางด้านในรวมถึงชีพจรอ่อนเหลือเกินเจ้าค่ะ หากท่านแม่ทัพไม่ยอมให้นางพักและสั่งลงโทษนางอีกบัดนี้ข้าเกรงว่านางจะลาโลกจริง ๆ เจ้าค่ะ”“เจ้าเองก็ไม่ต่างจากเหลียงอวี้กล่าวหาว่าข้าเป็นคนผิดสินะที่ทำให้นางเป็นเช่นนี้ ทุกอย่างจะไม่เกิดขึ้นหากนางมิใช่บุตรสาวของจางชินหลง เป็นเพราะนางทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะนาง ”ไท่หยางเอ่ยจบเดินหันหลังออกจากห้องและยัดกระดาษเทียบยาให้แก่หลวนฮวานไปซื้อที่โรงยา“ช่วยไปจัดการให้ข้าที”“ขอรับ”จิตใจของไท่หยางเริ่มว้าวุ่น เขาทั้งโมโหทั้งเกรี้ยวโกรธแต่เมื่อได้ยินว่านางจะไม่มีชีวิตอยู่ต่อเขากลับรู้สึกเจ็บลึกที่หัวใจ เขาต้องดีใจมิใช่หรือที่แก้แค้นให้ท่านแม่ได้และทำให้นางเจ็บปวดแต่เหตุใดเขาถึงรู้สึกใจหายเช่นนี้ได้ ความคิดของเขาเริ่มสับสน
บทที่ 28 ปล่อยวางอวิ๋นหลิงเงยหน้าขึ้นมองไปด้านอื่นน้ำตาไหลรินไม่ต่างกัน ความเจ็บปวดที่นางพบเจอล้วนแต่เป็นเขาที่เป็นคนทำมัน ความปวดร้าวเรื่องราวที่ผ่านมาจะให้นางให้อภัยได้อย่างไร เขายังคงกอดขานางแน่น อวิ๋นหลิงไตร่ตรองเป็นอย่างดีก่อนจะเอ่ยมาทำลายความเงียบภายในห้อง“แต่มีทางหนึ่งที่ท่านสามารถทำให้ข้าให้อภัยท่านได้ ” ไท่หยางเงยหน้าขึ้นจ้องมองนาง รีบลุกขึ้นไม่ว่านางจะให้เขาทำอะไรข้ายอมทั้งนั้นหากมันจะทำให้นางให้อภัยเขาได้ และเขาจะได้ไถ่โทษกับตระกูลของนาง“ไม่ว่าเจ้าจะให้ข้าทำอะไร ข้าทำให้เจ้าได้ทั้งนั้นหากเจ้ายอมให้อภัยข้าในสิ่งที่ผ่านมา”“ปล่อย.. ปล่อยข้าไปอย่าได้รั้งกันไว้อีกเลย เพียงเท่านี้เราทั้งสองก็เจ็บปวดมามากพอแล้ว ข้าไม่อาจทนเห็นใบหน้าของท่านได้อีกความเกลียดความแค้นมันมากมายเหลือเกิน เพียงเห็นใบหน้าของท่าน ข้าก็อดที่จะคิดถึงเรื่องราวที่ท่านเคยทำไว้ไม่ได้ ได้โปรดปล่อยข้าไปเสีย ข้าจะอภัยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเราหมดวาสนาต่อกันเพียงเท่านี้เถิด ข้าเหน็ดเหนื่อยไม่อยากจะพบเจอเรื่องเช่นนี้อีกต่อไป ...” ไท่หยางหมดเรี่ยวแรงปล่อยมือออกจากกายของนาง ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมที่ตนเองก่อขึ้นมา“ข้ารู้ว
บทที่27 ความจริงที่แสนเจ็บปวดครั้นสองเท้าย่างกรายออกมาด้านนอกบัดนี้กองกำลังของเขาถูกล้อมไปด้วยทหารของแคว้นหยางอันจนหมดสิ้น โดยมีแม่ทัพหลิวไท่หยางยืนรอเขาอยู่ด้านหน้าจวน“เจ้าช้ากว่าข้าไปหนึ่งก้าว ยอมแพ้แต่โดยดีเพราะตอนนี้แคว้นของเจ้าถูกคนของข้าล้อมรอบไว้หมดแล้ว” ไท่หยางป่าวประกาศน้ำเสียงเข้มขรึมน่าเกรงขาม อีกฝ่ายกลับหัวเราะออกมาอย่างขบขัน นี่เขาพลาดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน“ฮ่า ฮ่า เจ้าคิดว่าเพียงแค่นี้ข้าจะยอมแพ้หรือ แคว้นฉู่ของข้า ยอมตายแต่ไม่ยอมลดศักดิ์ศรีเด็ดขาด พวกเราลุกขึ้นสู้เพื่อแคว้นของเรา” ชางถิงพูดปลุกใจของเหล่าทหารชั่วพริบตาเดียวกองทัพทหารของแคว้นฉู่ได้วิ่งกรู่ออกมาอีกจำนวนมาก เริ่มปะทะสู้กันอย่างดุเดือด ยามนี้แคว้นฉู่นองเลือดจนกลิ่นคละคลุ้งผู้คนเริ่มล้มตายจากการต่อสู้ และแล้วเขาก็ตกอยู่ใต้ดาบของหลิวไท่หยาง กายเต็มไปด้วยเลือดของศัตรูอาบใบหน้า ถือดาบจ่อที่คอของชางถิง“ฮ่า ฮ่า ในที่สุดเจ้าก็ชนะข้า เอาสิบั่นคอข้าไปเลยเจ้าจะได้นำชัยชนะกลับไป เอ๊ะเดี๋ยวสิ! ข้าจะบอกแก่เจ้าก่อนแล้วกัน ข้าได้ยินมาว่าจับตัวบุตรสาวของจางชิงหลงแคว้นหนานไฮ้ไปเพื่อแก้แค้นนางใช่หรือไม่ อีกอย่างเจ้าเองก็ลงมื
บทที่ 26 รับไว้เพียงไมตรีมิอาจจะรับความรักของท่านได้ฝั่งด้านอวิ๋นหลิงตั้งแต่หลังจากกลับมาจากวันนั้น นางไม่ได้พบเจอหน้าไท่หยางอีกเลย ได้ยินผ่านจากไป๋หนิงซินว่าเขาปลอดภัยดีนางเองก็สบายใจทำงานเหมือนอย่างเคย แม้จะอยู่ห้องใกล้ ๆ กันกับเขาแต่ทว่านางไม่เคยคิดจะก้าวเข้าไปหาเขาเลยด้วยซ้ำ“เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ ? ” ไป๋หนิงซินยื่นหมั่นโถวให้นางพลางย่อนกายนั่งลงข้าง ๆ ช่วงนี้เหมือนหิมะจะหยุดตกแล้วทว่ายังมีความเยือกเย็นหลงเหลืออยู่ในอากาศ หมั่นโถวร้อน ๆ พอทำให้คลายหนาวได้บ้าง“ขอบใจนะ ข้าเพียงแค่คิดว่าหากข้าไม่กลับมาเจ้าจะเป็นอย่างไร คิดถึงข้าบ้างหรือไม่?”“ถามมาได้ขนาดเจ้าหายไปเพียงหนึ่งคืนข้าแทบนอนไม่หลับ กระวนกระวายไปหมดไม่เห็นหรือไงว่าข้าดีใจแค่ไหนที่เจ้ากลับมา ” ไป๋หนิงซินเอ่ยพลางกินหมั่นโถวเข้าปากคำใหญ่“นั่นสินะ ... ถ้าตอนนั้นข้าเลือกที่จะทิ้งไท่หยางและหนีไปตอนนี้ชีวิตของข้าจะเป็นอย่างไรนะ”“อย่าบอกนะว่าเจ้ามีโอกาสหนียามที่ท่านแม่ทัพได้รับบาดเจ็บนะ”“อื้ม ...แม่ทัพของเจ้าบอกให้ข้าหนีไปยามมีโอกาสแต่ไม่รู้ทำไมข้าถึงไม่หนีกันนะ อาจจะเป็นเพราะว่าข้าเกรงว่าเจ้าจะร่ำไห้เพราะเป็นห่วงข้านะสิ ฮึ ฮึ”
บทที่ 25 แม่ทัพถูกโจมตีจวนแม่ทัพหลิวไท่หยางไป๋หนิงซินเฝ้ามองไปที่ประตูจิตใจกระวนกระวายเป็นห่วงอวิ๋นหลิง นี่ก็ยามซวี (19.00) แล้วทั้งสองคนยังไม่กลับเข้าจวนอีกทั้งหิมะก็ตกแรงมากกว่าเดิม นางมิอาจจะเก็บความเป็นห่วงเอาไว้ได้รีบย่างกรายไปหาหลวนฮวานที่ยืนอยู่หน้าห้องของแม่ทัพไท่หยาง“หลวนฮวานทำไมท่านถึงใจเย็นได้ ไม่ร้อนใจเลยหรือ?เมื่อไหร่ท่านแม่ทัพจะพาอวิ๋นหลิงกลับจวน ข้าชักเป็นห่วงจริง ๆ หวังว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับท่านแม่ทัพหรอกใช่มั้ย”“เจ้าอย่าเป็นกังวลไปเลย ท่านแม่ทัพมีฝีมืออีกไม่นานก็คงกลับมา” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้นแต่ใจของหลวนฮวานก็เป็นห่วงท่านแม่ทัพเช่นเดียวกัน ทว่ายามนั้นมีทหารใบหน้าแตกตื่นวิ่งเข้ามาแจ้งให้หลวนฮวานได้รับรู้“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”“เรื่องอะไรกันทำไมเจ้าถึงได้รีบร้อนวิ่งมาถึงเพียงนี้”“ข้าออกไปดื่มสุราที่โรงเตี๊ยมมาเมื่อครู่ได้ยินเรื่องของท่านแม่ทัพ มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ หุบเขามาพูดคุยกันเรื่องของแม่ทัพไท่หยางเขาขึ้นไปเก็บสมุนไพรและเห็นว่าท่านแม่ทัพกำลังถูกคนของแคว้นฉู่ไล่ล่า คนของพวกนั้นมากันมาเหลือเกินไม่รู้ว่าป่านนี้ท่านแม่ทัพจะเป็น
บทที่ 24 หนีไปสิตอนที่เจ้ามีโอกาสสีหน้าของเขาเริ่มซีดเซียวขาวเผือกไร้เลือดฝาด นางพยุงเขาเข้ามาด้านในพร้อมจับเขานั่งลงพิงผนังหิน กลิ่นเลือดคละคลุ้งเต็มอากาศยังคงไหลไม่หยุด อวิ๋นหลิงจ้องมองฝ่ายตรงข้ามพร้อมครุ่นคิดหากนางจะใช้โอกาสนี้ในการหลบหนีคงไม่ยากเพราะเขาคงไม่มีเรี่ยวแรงจะตามนางได้ทันแน่ ๆ นางต้องการหลุดพ้นจากเขาจึงช่างใจคิดครู่ใหญ่ และเหมือนว่าไท่หยางจะรู้ถึงความคิดของนาง“เจ้าคงคิดอยากจะทิ้งข้าไว้และหนีข้าไปสินะ เอาสิยามนี้เป็นเวลาที่เจ้าจะได้หลุดพ้นจากเนื้อมือของข้าแล้ว โอกาสที่เจ้าจะหนีจากข้ามาถึงแล้วปล่อยให้ข้ารอความตายอยู่ที่นี่โดยมิต้องใส่ใจข้า แต่ถ้าหากว่าข้ารอดไปได้ข้าจะตามหาเจ้าต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินทั่วใต้หล้าข้าก็จะตามหาเจ้าให้เจอ เมื่อนั้นอย่าหวังว่าจะหนีข้าไปได้เพราะข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปอีก” น้ำเสียงแหบพร่าคล้ายคนกำลังหมดแรงเอ่ยออกมาโดยใช้กำลังทั้งหมด อวิ๋นหลิงเริ่มลังเล หากนางจะหนีเขาไปนางจะไม่มีทางให้เขาหานางได้พบเลย นางหันไปมองหน้าถ้ำก่อนจะหันกลับมามองไท่หยางอีกครา ถอนหายใจเฮือกใหญ่ลุกขึ้นยืนและวิ่งออกไปจากถ้ำทันที ปล่อยให้เขาอยู่ในถ้ำรอความตายและทนความเจ็บปวดที่กำ
บทที่ 23 จำไม่ได้‘คำพูดของนางทำให้จิตใจของข้าสั่นคลอนได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ ?’ “เฮ้อ ! เจ้าคิดว่าเจ้าพบเจอเพียงเท่านี้แล้วข้าจะหายโกรธแค้นหรืออย่างไรกัน เพียงเท่านี้ยังน้อยไปกับที่ท่านแม่ข้าพบเจอ เลิกทำสายตาสีหน้าเบื่อโลกเสียข้าบอกแล้วอย่างไรว่าข้าไม่มีทางให้เจ้าตายจากข้าไปง่าย ๆ ที่ข้าพาเจ้ามาที่นี่เพราะอยากตอกย้ำความเจ็บปวดเจ้าเท่านั้น เจ้าจำที่นี่ไม่ได้เลยหรือ” อวิ๋นหลิงหมดสิ้นความหวังที่เขาจะผลักนางลงเหว เขาก็ยังคงเป็นเช่นนี้เสมอเป็นชายที่ไร้ใจอำมหิตไม่ยอมปล่อยให้นางได้ทำตามความปรารถนานางกวาดสายตามองไปด้านหน้า เทือกเขาสูงชันแม้ท้องฟ้าจะไร้แสงอาทิตย์แต่นางยังคงมองเห็นทิวทัศน์ด้านล่างได้อย่างชัดเจน แต่ทว่าความทรงจำของอวิ๋นหลิงกลับจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าที่นี่มีความหมายต่อนางอย่างไร แล้วทำไมนางต้องเจ็บปวดด้วยเล่า“ข้าไม่เห็นอันใดแม้แต่น้อยเห็นแต่หุบเขา ท่านต้องการสิ่งใดกับข้ากันแน่ หากไม่ต้องการผลักข้าตกเหวแล้วสิ่งใดกันในที่นี่จะทำให้ข้าเจ็บปวด ” น้ำเสียงนิ่งเรียบตอบกลับอย่างไร้ความรู้สึก ทำให้อีกฝ่ายโมโหขึ้นทันตา เพราะสถานที่นี้คือที่ที่เขาเคยพานางเมื่อยามที่รักกันปานจะกลืนกินก่อนที
บทที่ 22 ปล่อยข้าไปเถอะ“ปล่อยข้าเถอะนะ ข้าไม่ต้องการไม่ว่าท่านต้องการให้ข้าทำอย่างไรข้าจะยอมทำตามทุกอย่าง ได้โปรดอย่าทำเช่นนี้กับข้าเลย”ไฟราคะปะทุในกายจนรุ่มร้อนไปหมดเขาไม่อาจจะหยุดและทำตามคำพูดของนางได้ เงยหน้าขึ้นจ้องมองหน้าอีกฝ่ายพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ข้าหยุดไม่ได้ หากทุกอย่างไม่เป็นแบบนี่เจ้ามิใช่บุตรของจางชิงหลงและข้ามิใช่ท่านแม่ทัพเราทั้งสองคงได้เป็นสามีภรรยามีบุตรเต็มเรือนเหมือนผู้อื่น ข้าหยุดไม่ได้จริง ๆ ข้าต้องการเจ้า” ใจของอวิ๋นหลิงสั่นไหวไม่ว่าจะทำอย่างไรก็มิอาจจะหยุดเขาได้ ข้างในแตกสลายไปหมดความขื่นขมมืดมนกลับมาอีกครั้ง นอนทรมานใจในความชั่วช้าบ้ากามเลือดร้อนของไท่หยาง เขาไม่แม้แต่จะสนใจเสียงสะอึกสะอื้นของนางด้วยซ้ำ สนใจแต่เรือนร่างที่ถูกเขาย่ำยีอย่างสมฤทัยร่างเล็กนอนขดอยู่บนเตียงไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่นางเจ็บปวดจนสลบไป ลืมตาขึ้นมาอีกครายามนี้ในห้องมืดสลัวไปหมด ลมพัดผ่านผิวกายเย็นยะเยือก ร่างกายเจ็บระบมไปหมดเพียงจะขยับกายนางยังแทบไม่อยากจะดิ้นด้วยซ้ำ ช่วงล่างระหว่างขาเจ็บแปลบขึ้นมา‘การที่เขาทำเช่นนี้ไม่ต่างจากข้าถูกข่มขืนแม้แต่น้อย นี่หรือคำว่ารักของเขา ไม่ว่ากี่คร
บทที่ 21 อย่าให้รังเกียจไปมากกว่านี้“ใช่แล้วเจ้าค่ะ แต่ยังไม่มีบุรุษเรือนใดมาเยี่ยมเยือนข้าเลย แต่ข้ามีบุรุษในดวงใจแล้วเจ้าค่ะ ”“ข้าพอจะรู้ว่าบุรุษที่เจ้าหมายใจคือผู้ใด แต่ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้เลยอย่าคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องที่เสนาบดีจื่อเหมามาที่เรือนคราวก่อน มิใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นเพราะเจ้าไปบอกกล่าวถึงการมีตัวตนของอวิ๋นหลิงและชักชวนเขามาที่นี่ ไม่ว่าข้าจะมีอวิ๋นหลิงในใจหรือไม่มีใจของข้าก็ไม่มีเจ้า และไม่เคยคิดจะสนใจเจ้าแม้แต่น้อยหยุดการกระทำของเจ้าก่อนที่ข้าจะอดทนต่อไปไม่ได้ ต่อจากนี้มิต้องมาหาข้าที่นี่อีก” ใบหน้าของฟางหลานซือพลันเปลี่ยนสีรอยยิ้มเมื่อครู่จางหายไปในชั่วพริบตา“ข้าไม่รู้เรื่องนะเจ้าคะ ท่านอากับข้าผ่านมาทางนี้ไม่ได้ตั้งใจมาจริง ๆ นะเจ้าคะ”“อย่าเสแสร้งทำให้ข้ารังเกียจเจ้ามากกว่านี้เลยข้าอยากจำเจ้าให้เจ้าเป็นน้องสาวที่ข้าเอ็นดูเสมือนยามเด็ก กลับไปเสียและเรื่องที่เกิดขึ้นข้าจะไม่แจ้งท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าเพราะยังไว้หน้า หากเจ้ายังละลานข้าจะนำเรื่องนี้ไปแจ้งท่านพ่อของเจ้าเสีย”“ข้าไม่มีทางยอม ท่านแม่ทัพใจร้ายยังไงท่านก็ไม่มีทางครองรักกับนางเชลยนั่นเด็ดขาด ไม่ว่ายังไงก็ไม่มี
บทที่ 20 หิมะแรกท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีลมหนาวเริ่มพัดผ่านร่างบางหนาวสั่น หลังจากที่กินอาหารร่วมโต๊ะกับไท่หยางเขายังคงไม่ปล่อยให้นางกลับไปที่ห้องที่เคยพักแต่ทว่ากลับพานางมาอีกห้องที่อยู่ใกล้ห้องเขามากกว่าเดิม สองเท้าก้าวเข้าไปในห้องตามหลังเขาไปติด ๆ ภายในห้องเสมือนถูกจัดแต่งไว้สำหรับสตรี ในห้องอบอุ่นเหมือนมีไอความร้อนทำให้อุ่น สายตาของอวิ๋นหลิงกวาดสายตามองเตียงนอนที่ตั้งอยู่ต่อหน้ากว้างใหญ่และมีฟูกหนานุ่ม ผ้านวมผืนหน้าต่างจากที่นางเคยใช้อยู่กับไป๋หนิงซิน อีกทั้งยังมีโต๊ะเครื่องแป้งและคันฉ่องบานใหญ่ ในห้องมีไป๋หนิงซินกับหลวนฮวานยืนคอยอยู่ก่อนหน้านี้แล้วผ้าไหมกองใหญ่ถูกวางอยู่บนโต๊ะกลางห้องนั่นคงเป็นผ้าที่ไท่หยางสั่งให้หลวนฮวานไปจัดเตรียมมา‘คิดจะทำอันใดกันแน่ ข้าไม่เข้าใจเลยสักนิด’“ของพวกนี้และห้องนี้จะเป็นที่อยู่ของเจ้าต่อจากนี้ ห้ามปฏิเสธและขัดคำสั่งข้า มิเช่นนั้นข้าจะสั่งโบยแม่บ้านซูที่เลือกและจัดห้องให้เจ้าไม่ดี”“ท่านมันมิใช่คน แต่เป็นหมาบ้าสัตว์ร้ายที่พร้อมจะกัดผู้อื่นอย่างไม่เลือกหน้า ในเมื่อท่านแค้นข้าแล้วจะไปทำผู้อื่นทำไมกัน ในเมื่อข้าเลือกอันใดไม่ได้แม้กระทั่งความตายข้าก็จะทำ