บทที่ 3 คอยปรนนิบัติข้า
จวนแม่ทัพกว้างใหญ่ระยะเวลาเดินก็ใช้เวลาสักพักกว่าจะถึงห้องโถง เมื่อนางเดินเข้ามาด้านในเห็นแม่ทัพนั่งจิบน้ำชาอย่างสบายใจอยู่ที่โต๊ะ ทำราบกับว่าเมื่อคืนไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น
“มาแล้วสินะ ไป๋หนิงซินเจ้าไปทำหน้าที่ของเจ้าเถิด ต่อจากนี้นางจะอยู่ที่นี่เพื่อปรนนิบัติข้า ตะวันคล้อยต่ำลงเจ้าค่อยมารับนางกลับ” ไป๋หนิงซินจ้องเหลือบมองใบหน้าของจางอวิ๋นหลิงชั่วครู่ก่อนจะยอบตัวลงและเดินออกไปอย่างช้า ๆ
“เจ้าค่ะท่านแม่ทัพ”
ภายในห้องโถงใหญ่ตอนนี้จึงมีเพียงนางที่เป็นสตรี และมีทหารเคียงข้างกายที่คอยอารักขาความปลอดภัยยืนอยู่ห่าง ๆ
“เข้ามานี่สิ”
“นั่งลงที่เก้าอี้ตัวตรงข้ามข้าและกินอาหารซ่ะ เจ้าไม่ต้องกลัวว่าข้าจะใส่ยาพิษลงไปเพื่อปลิดชีพเจ้าเพราะข้าต้องการให้เจ้ามีชีวิตอยู่อีกนาน รอรับความเจ็บปวดที่ข้ากำลังจะแก้แค้นต่อจากนี้”
“ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่นั่งร่วมโต๊ะกับท่านหากแค้นข้านักช่วยเอาดาบมาฟันคอข้าทิ้งเสียเพียงเท่านั้นมันจบสิ้นแล้ว”
“ฮึ ฮึ เจ้าลืมตัวไปแล้วอย่างนั้นหรือเจ้ามันเป็นเพียงเชลยไม่มีสิทธิ์เอ่ยปากออกเสียง นั่งลงก่อนที่ข้าจะหมดความอดทน” เสียงเข้มขรึมเปล่งออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยทำให้ผู้ได้ยินถึงกับเย็นยะเยือกถึงข้างใน หากนางขัดคำสั่งไป๋หนิงซินจะถูกลงโทษด้วยหรือไม่ นางไม่ต้องการให้ใครมาถูกลงโทษเพราะนางจึงค่อย ๆ ย่อนกายนั่งลงบนโต๊ะอย่างไร้ปากเสียง
“ดื้อด้านเหมือนบิดาเจ้าจริง ๆ ขนาดใกล้ตายปากยังพร่ำว่าตนเองมิได้ทำ ฮึ..คิดว่าข้าจะเชื่ออย่างนั้นเหรือ? นี่คือคำสั่งของข้ากินข้าวในชามให้หมดมิเช่นนั้นข้าจะสั่งให้สาวนำมาให้อีกและจะให้เจ้านั่งกินอยู่ที่นี่จนกว่าข้าจะพอใจ” จางอวิ๋นหลิงค่อย ๆ จับตะเกียบขึ้นมาคีบข้าวในชามเข้าปากให้หมดในรวดเร็ว จนแทบสำลักมิใช่ว่านางอยากอาหารแต่นางมิอยากนั่งอยู่ใกล้ชายใจอำมหิตผู้นี้ต่างหาก
“ดี ๆ กินหมดเร็วดี ในเมื่อเจ้าอิ่มแล้วก็เดินตามข้ามา” จางอวิ๋นหลิงไม่แม้แต่จะได้พูดเดินตามหลังเขาอย่างจำใจดวงตาของนางเหม่อลอยมิได้คิดแค้นต่อคนตรงหน้าแต่สิ่งเดียวที่นางคิดตอนนี้คือการที่ไม่มีชีวิตต่อจากนี้มากกว่า
เขาพานางเดินมาสักพักถึงสวนกลางจวนดอกไม้นานาพันธ์บานสะพรั่งหมู่แมลงน้อยน้อยบินว่อนเต็มท้องฟ้าแต่กระนั้นก็มิได้ทำให้จิตใจของนางหายหมองมัวแม้แต่น้อย เหตุใดเขาถึงพานางมายังที่แห่งนี้กันนะ
“สตรีสูงส่งเช่นเจ้าถูกตามใจมาตลอด ต่อจากนี้เจ้าต้องมาทำหน้าที่ปรนนิบัติข้าทุกอย่างและทุกครั้งที่ข้าเรียกเจ้าต้องมาทันที หากไม่ทำตามที่ข้าสั่งข้าจะจับตัวเจ้ามาอยู่ที่ห้อง ห้องเดียวกับข้า”
“ทำไมต้องทำถึงเช่นนั้นกันเล่าเจ้าคะ ไม่กลัวว่าข้าจะคิดปลิดชีพท่านเพื่อแก้แค้นหรือ?”
“หากข้ากลัวเจ้าทำเช่นนั้นข้าไม่จับตัวเจ้ามาหรอก แรงของเจ้าเพียงแค่จับตะเกียบคีบของเข้าปากยังไม่มีเรี่ยวแรงคิดจะฆ่าข้าอย่างนั้นหรือ? ไม่รู้หรือไงว่าข้านะเป็นผู้ใด” นางไม่เอ่ยตอบเพราะนางไม่เคยคิดจะฆ่าผู้ใดนอกจากปลิดชีพตนเองเท่านั้นคือความปรารถนาเดียวของนางในตอนนี้
ไม่นานนักนักดนตรีเข้ามาที่ศาลารับลมแสดงดนตรีให้เขาได้ชมโดยมีจางอวิ๋นหลิงที่รินน้ำชาอยู่ไม่ไกล ระหว่างนั้นเขาคอยเหลือบตามองนางอยู่บ่อยครั้งยิ่งเห็นนางไม่รู้สึกและไม่แสดงสีหน้าที่ตอนนี้ตนเองมาเป็นทาส ยิ่งทำให้เขาไม่พอใจดวงตาทั้งสองของนางเหม่อลอยไร้ชีวิตชีวาสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการที่จะได้เห็นสักนิด แม้แต่เสียงผีผาที่ไพเราะกลับทำให้เขารำคาญใจจนต้องบอกให้นักดนตรีหยุดแสดงทันที
“หยุดเล่นเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าเก็บของกลับไปได้ก่อนกลับไปหาพ่อบ้านจางเขาจะจัดการให้ค่าจ้างแกพวกเจ้า”
“ขอรับท่านแม่ทัพ” นักดนตรีรีบเก็บของอย่างเร่งรีบเพราะสีหน้าของอีกฝ่ายที่จ้องมองสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเย็นเยียบรังสีอำมหิตรุนแรงน่าสะพรึงกลัว เขาเองก็แอบลอบมองสตรีที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นเชลยของท่านแม่ทัพนำตัวพากลับมาเป็นทาส ไม่คิดว่านางจะมีใบหน้างดงามเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่แม่ทัพร่างกายบึกบึนจะมีสตรีไว้คอยปรนนิบัติและอุ่นเตียง
เสียงเพลงที่บรรเลงอยู่เงียบลงจางอวิ๋นหลิงพึ่งจะรู้ตัวว่าถูกสายตาคู่หนึ่งจับจ้อง นางทำอันใดไม่ถูกใจของเขาอีกหรือ? นางแลมองเขาอย่างวาดกลัวหัวใจถี่รัวราวกับกำลังทำผิดมหันต์
“อวิ๋นหลิง เจ้ามันชักทำให้ข้าหงุดหงิดใจโดยแท้ ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรหรือแม้แต่ยืนอยู่นิ่ง ๆ ความโกรธของข้ายังคงปะทุทำเช่นไรกับเจ้าดี”
“หากการมีข้าอยู่ที่นี้ทำให้ท่านหงุดหงิดรำคาญหูรำคาญใจ เช่นนั้นมิยากเลยเจ้าค่ะสั่งลงโทษข้าสิเจ้าคะนำข้าไปโบยจนตายแล้วค่อยนำร่างของข้าไปโยนให้แร้งกินเช่นนี้แม้แต่ลมหายใจของข้าก็มิได้ทำให้ท่านรำคาญใจอีกต่อไป”
“นี่เจ้าท้าทายข้าอย่างนั้นหรือ? คิดว่าข้าไม่กล้าสั่งลงโทษเจ้าหรือไงกัน ตั้งแต่ตอนนี้จนกว่าแสงแดดจะหมดจากท้องฟ้าเจ้าห้ามย่างกรายไปที่ใด แม้แต่น้ำก็ห้ามกินนี่คือบทลงโทษที่เจ้ากล้าเอ่ยวาจาท้าทายข้า ทหารจับตัวนางไปยืนตากแดดและห้ามผู้ใดช่วยเหลือนาง ถ้าเกิดผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งข้า ข้าจะสั่งลงโทษเช่นเดียวกับนาง” ใบหน้าดุดันของเขาแผ่รังสีเหี้ยมเกรียมอำมหิตคุกคามใครต่อใครดุจเดิม มีหรือข้ารับใช้ในจวนจะกล้าขัดคำสั่งเขา นางไม่ได้รู้สึกโมโหยิ่งดีใจด้วยซ้ำ หากนางตากแดดจนร่างกายรับไม่ไหวเป็นลมล้มพับนั่นถือเป็นการดีต่อนางเสียอีก ต่อจากนี้สิ่งเดียวที่นางจะทำคือยั่วโทสะให้เขาสั่งลงโทษนางเช่นนี้จนกว่าลมหายใจของนางจะหมดสิ้น เขาจ้องมองนางเดินไปยืนตากแดดโดยไม่ปริปากอ้อนวอน เขาเองก็อยากจะรู้เช่นกันนางจะทนได้สักแค่ไหน สตรีที่ไม่เคยตากแดดตากหมอกเช่นนี้ไม่ถึงครึ่งเค่อนางต้องเว้าวอนเขาแน่นอน
บทที่ 28 ปล่อยวางอวิ๋นหลิงเงยหน้าขึ้นมองไปด้านอื่นน้ำตาไหลรินไม่ต่างกัน ความเจ็บปวดที่นางพบเจอล้วนแต่เป็นเขาที่เป็นคนทำมัน ความปวดร้าวเรื่องราวที่ผ่านมาจะให้นางให้อภัยได้อย่างไร เขายังคงกอดขานางแน่น อวิ๋นหลิงไตร่ตรองเป็นอย่างดีก่อนจะเอ่ยมาทำลายความเงียบภายในห้อง“แต่มีทางหนึ่งที่ท่านสามารถทำให้ข้าให้อภัยท่านได้ ” ไท่หยางเงยหน้าขึ้นจ้องมองนาง รีบลุกขึ้นไม่ว่านางจะให้เขาทำอะไรข้ายอมทั้งนั้นหากมันจะทำให้นางให้อภัยเขาได้ และเขาจะได้ไถ่โทษกับตระกูลของนาง“ไม่ว่าเจ้าจะให้ข้าทำอะไร ข้าทำให้เจ้าได้ทั้งนั้นหากเจ้ายอมให้อภัยข้าในสิ่งที่ผ่านมา”“ปล่อย.. ปล่อยข้าไปอย่าได้รั้งกันไว้อีกเลย เพียงเท่านี้เราทั้งสองก็เจ็บปวดมามากพอแล้ว ข้าไม่อาจทนเห็นใบหน้าของท่านได้อีกความเกลียดความแค้นมันมากมายเหลือเกิน เพียงเห็นใบหน้าของท่าน ข้าก็อดที่จะคิดถึงเรื่องราวที่ท่านเคยทำไว้ไม่ได้ ได้โปรดปล่อยข้าไปเสีย ข้าจะอภัยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเราหมดวาสนาต่อกันเพียงเท่านี้เถิด ข้าเหน็ดเหนื่อยไม่อยากจะพบเจอเรื่องเช่นนี้อีกต่อไป ...” ไท่หยางหมดเรี่ยวแรงปล่อยมือออกจากกายของนาง ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมที่ตนเองก่อขึ้นมา“ข้ารู้ว
บทที่27 ความจริงที่แสนเจ็บปวดครั้นสองเท้าย่างกรายออกมาด้านนอกบัดนี้กองกำลังของเขาถูกล้อมไปด้วยทหารของแคว้นหยางอันจนหมดสิ้น โดยมีแม่ทัพหลิวไท่หยางยืนรอเขาอยู่ด้านหน้าจวน“เจ้าช้ากว่าข้าไปหนึ่งก้าว ยอมแพ้แต่โดยดีเพราะตอนนี้แคว้นของเจ้าถูกคนของข้าล้อมรอบไว้หมดแล้ว” ไท่หยางป่าวประกาศน้ำเสียงเข้มขรึมน่าเกรงขาม อีกฝ่ายกลับหัวเราะออกมาอย่างขบขัน นี่เขาพลาดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน“ฮ่า ฮ่า เจ้าคิดว่าเพียงแค่นี้ข้าจะยอมแพ้หรือ แคว้นฉู่ของข้า ยอมตายแต่ไม่ยอมลดศักดิ์ศรีเด็ดขาด พวกเราลุกขึ้นสู้เพื่อแคว้นของเรา” ชางถิงพูดปลุกใจของเหล่าทหารชั่วพริบตาเดียวกองทัพทหารของแคว้นฉู่ได้วิ่งกรู่ออกมาอีกจำนวนมาก เริ่มปะทะสู้กันอย่างดุเดือด ยามนี้แคว้นฉู่นองเลือดจนกลิ่นคละคลุ้งผู้คนเริ่มล้มตายจากการต่อสู้ และแล้วเขาก็ตกอยู่ใต้ดาบของหลิวไท่หยาง กายเต็มไปด้วยเลือดของศัตรูอาบใบหน้า ถือดาบจ่อที่คอของชางถิง“ฮ่า ฮ่า ในที่สุดเจ้าก็ชนะข้า เอาสิบั่นคอข้าไปเลยเจ้าจะได้นำชัยชนะกลับไป เอ๊ะเดี๋ยวสิ! ข้าจะบอกแก่เจ้าก่อนแล้วกัน ข้าได้ยินมาว่าจับตัวบุตรสาวของจางชิงหลงแคว้นหนานไฮ้ไปเพื่อแก้แค้นนางใช่หรือไม่ อีกอย่างเจ้าเองก็ลงมื
บทที่ 26 รับไว้เพียงไมตรีมิอาจจะรับความรักของท่านได้ฝั่งด้านอวิ๋นหลิงตั้งแต่หลังจากกลับมาจากวันนั้น นางไม่ได้พบเจอหน้าไท่หยางอีกเลย ได้ยินผ่านจากไป๋หนิงซินว่าเขาปลอดภัยดีนางเองก็สบายใจทำงานเหมือนอย่างเคย แม้จะอยู่ห้องใกล้ ๆ กันกับเขาแต่ทว่านางไม่เคยคิดจะก้าวเข้าไปหาเขาเลยด้วยซ้ำ“เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ ? ” ไป๋หนิงซินยื่นหมั่นโถวให้นางพลางย่อนกายนั่งลงข้าง ๆ ช่วงนี้เหมือนหิมะจะหยุดตกแล้วทว่ายังมีความเยือกเย็นหลงเหลืออยู่ในอากาศ หมั่นโถวร้อน ๆ พอทำให้คลายหนาวได้บ้าง“ขอบใจนะ ข้าเพียงแค่คิดว่าหากข้าไม่กลับมาเจ้าจะเป็นอย่างไร คิดถึงข้าบ้างหรือไม่?”“ถามมาได้ขนาดเจ้าหายไปเพียงหนึ่งคืนข้าแทบนอนไม่หลับ กระวนกระวายไปหมดไม่เห็นหรือไงว่าข้าดีใจแค่ไหนที่เจ้ากลับมา ” ไป๋หนิงซินเอ่ยพลางกินหมั่นโถวเข้าปากคำใหญ่“นั่นสินะ ... ถ้าตอนนั้นข้าเลือกที่จะทิ้งไท่หยางและหนีไปตอนนี้ชีวิตของข้าจะเป็นอย่างไรนะ”“อย่าบอกนะว่าเจ้ามีโอกาสหนียามที่ท่านแม่ทัพได้รับบาดเจ็บนะ”“อื้ม ...แม่ทัพของเจ้าบอกให้ข้าหนีไปยามมีโอกาสแต่ไม่รู้ทำไมข้าถึงไม่หนีกันนะ อาจจะเป็นเพราะว่าข้าเกรงว่าเจ้าจะร่ำไห้เพราะเป็นห่วงข้านะสิ ฮึ ฮึ”
บทที่ 25 แม่ทัพถูกโจมตีจวนแม่ทัพหลิวไท่หยางไป๋หนิงซินเฝ้ามองไปที่ประตูจิตใจกระวนกระวายเป็นห่วงอวิ๋นหลิง นี่ก็ยามซวี (19.00) แล้วทั้งสองคนยังไม่กลับเข้าจวนอีกทั้งหิมะก็ตกแรงมากกว่าเดิม นางมิอาจจะเก็บความเป็นห่วงเอาไว้ได้รีบย่างกรายไปหาหลวนฮวานที่ยืนอยู่หน้าห้องของแม่ทัพไท่หยาง“หลวนฮวานทำไมท่านถึงใจเย็นได้ ไม่ร้อนใจเลยหรือ?เมื่อไหร่ท่านแม่ทัพจะพาอวิ๋นหลิงกลับจวน ข้าชักเป็นห่วงจริง ๆ หวังว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับท่านแม่ทัพหรอกใช่มั้ย”“เจ้าอย่าเป็นกังวลไปเลย ท่านแม่ทัพมีฝีมืออีกไม่นานก็คงกลับมา” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้นแต่ใจของหลวนฮวานก็เป็นห่วงท่านแม่ทัพเช่นเดียวกัน ทว่ายามนั้นมีทหารใบหน้าแตกตื่นวิ่งเข้ามาแจ้งให้หลวนฮวานได้รับรู้“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”“เรื่องอะไรกันทำไมเจ้าถึงได้รีบร้อนวิ่งมาถึงเพียงนี้”“ข้าออกไปดื่มสุราที่โรงเตี๊ยมมาเมื่อครู่ได้ยินเรื่องของท่านแม่ทัพ มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ หุบเขามาพูดคุยกันเรื่องของแม่ทัพไท่หยางเขาขึ้นไปเก็บสมุนไพรและเห็นว่าท่านแม่ทัพกำลังถูกคนของแคว้นฉู่ไล่ล่า คนของพวกนั้นมากันมาเหลือเกินไม่รู้ว่าป่านนี้ท่านแม่ทัพจะเป็น
บทที่ 24 หนีไปสิตอนที่เจ้ามีโอกาสสีหน้าของเขาเริ่มซีดเซียวขาวเผือกไร้เลือดฝาด นางพยุงเขาเข้ามาด้านในพร้อมจับเขานั่งลงพิงผนังหิน กลิ่นเลือดคละคลุ้งเต็มอากาศยังคงไหลไม่หยุด อวิ๋นหลิงจ้องมองฝ่ายตรงข้ามพร้อมครุ่นคิดหากนางจะใช้โอกาสนี้ในการหลบหนีคงไม่ยากเพราะเขาคงไม่มีเรี่ยวแรงจะตามนางได้ทันแน่ ๆ นางต้องการหลุดพ้นจากเขาจึงช่างใจคิดครู่ใหญ่ และเหมือนว่าไท่หยางจะรู้ถึงความคิดของนาง“เจ้าคงคิดอยากจะทิ้งข้าไว้และหนีข้าไปสินะ เอาสิยามนี้เป็นเวลาที่เจ้าจะได้หลุดพ้นจากเนื้อมือของข้าแล้ว โอกาสที่เจ้าจะหนีจากข้ามาถึงแล้วปล่อยให้ข้ารอความตายอยู่ที่นี่โดยมิต้องใส่ใจข้า แต่ถ้าหากว่าข้ารอดไปได้ข้าจะตามหาเจ้าต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินทั่วใต้หล้าข้าก็จะตามหาเจ้าให้เจอ เมื่อนั้นอย่าหวังว่าจะหนีข้าไปได้เพราะข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปอีก” น้ำเสียงแหบพร่าคล้ายคนกำลังหมดแรงเอ่ยออกมาโดยใช้กำลังทั้งหมด อวิ๋นหลิงเริ่มลังเล หากนางจะหนีเขาไปนางจะไม่มีทางให้เขาหานางได้พบเลย นางหันไปมองหน้าถ้ำก่อนจะหันกลับมามองไท่หยางอีกครา ถอนหายใจเฮือกใหญ่ลุกขึ้นยืนและวิ่งออกไปจากถ้ำทันที ปล่อยให้เขาอยู่ในถ้ำรอความตายและทนความเจ็บปวดที่กำ
บทที่ 23 จำไม่ได้‘คำพูดของนางทำให้จิตใจของข้าสั่นคลอนได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ ?’ “เฮ้อ ! เจ้าคิดว่าเจ้าพบเจอเพียงเท่านี้แล้วข้าจะหายโกรธแค้นหรืออย่างไรกัน เพียงเท่านี้ยังน้อยไปกับที่ท่านแม่ข้าพบเจอ เลิกทำสายตาสีหน้าเบื่อโลกเสียข้าบอกแล้วอย่างไรว่าข้าไม่มีทางให้เจ้าตายจากข้าไปง่าย ๆ ที่ข้าพาเจ้ามาที่นี่เพราะอยากตอกย้ำความเจ็บปวดเจ้าเท่านั้น เจ้าจำที่นี่ไม่ได้เลยหรือ” อวิ๋นหลิงหมดสิ้นความหวังที่เขาจะผลักนางลงเหว เขาก็ยังคงเป็นเช่นนี้เสมอเป็นชายที่ไร้ใจอำมหิตไม่ยอมปล่อยให้นางได้ทำตามความปรารถนานางกวาดสายตามองไปด้านหน้า เทือกเขาสูงชันแม้ท้องฟ้าจะไร้แสงอาทิตย์แต่นางยังคงมองเห็นทิวทัศน์ด้านล่างได้อย่างชัดเจน แต่ทว่าความทรงจำของอวิ๋นหลิงกลับจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าที่นี่มีความหมายต่อนางอย่างไร แล้วทำไมนางต้องเจ็บปวดด้วยเล่า“ข้าไม่เห็นอันใดแม้แต่น้อยเห็นแต่หุบเขา ท่านต้องการสิ่งใดกับข้ากันแน่ หากไม่ต้องการผลักข้าตกเหวแล้วสิ่งใดกันในที่นี่จะทำให้ข้าเจ็บปวด ” น้ำเสียงนิ่งเรียบตอบกลับอย่างไร้ความรู้สึก ทำให้อีกฝ่ายโมโหขึ้นทันตา เพราะสถานที่นี้คือที่ที่เขาเคยพานางเมื่อยามที่รักกันปานจะกลืนกินก่อนที