บทที่ 9 ไม่มีทางปล่อย
พื้นไม้แข็งเย็นยะเยือกแต่ไม่เยือกเย็นเท่ากับสวรรค์ที่ไม่มีความเมตตาต่อความต้องการของนางสักนิด ร่างบางลืมตาขึ้นมาอีกครั้งนี่มิใช่ศาลารับลมหรือแม้แต่ในแม่น้ำแต่เป็นห้องที่นางอาศัยอยู่ทุกวัน ครานี้ทุกสิ่งอย่างที่นางกวาดตามองมืดสลัวนางนอนไปนานเท่าไหร่กัน นางพยายามนึกคิดว่าตนเองขึ้นจากแม่น้ำมาได้อย่างไร เพียงตอนนั้นสมองยังอื้ออึงได้ยินเพียงเสียงแว่ว ๆ ที่ประโคมต่อว่าปะทะฝีปากต่อเถียงกันเรื่องของนาง
“ฟื้นแล้วหรือ” น้ำเสียงที่ดังขึ้นอยู่มุมห้องทำให้ร่างบางถึงกับสะดุ้งรีบร้อนลุกขึ้น
“ท่านเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร นี่มันห้องนอนของสาวใช้มิใช่หรือ ? ”
“ไม่ว่าจะที่ใดที่อยู่ในจวนของข้า ข้าย่อมไปได้ทุกที่” ร่างใหญ่เดินเข้ามาใกล้นางมากกว่า แสงโคมไฟด้านนอกสะท้อนเข้ามาเห็นเงาและแววตาของเขาเพียงชั่วขณะแต่นางสามารถรับรู้สึกรังสีอำมหิตที่ส่งผ่านมายังนาง เขานั่งลงคว้าแขนของนางบีบเต็มแรงจนร่างบางสะดุ้งด้วยความเจ็บปวดจนส่งเสียงร้องออกมา
“โอ้ย !!”
“เจ้าเจ็บหรือ ? ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากตายหรือไงกัน... เจ้าว่ายน้ำเป็นแท้ ๆ แต่กลับไม่ว่ายขึ้นมาข้าบอกแล้วใช่หรือไม่ว่าไม่ให้เจ้าตายง่าย ๆ จนกว่าข้าจะอนุญาต หรือว่าเจ้าเสแสร้งมารยาให้เหลียงอวี้เห็นอกเห็นใจ ฮึ ร้ายกาจดีนี่!! และดูเหมือนว่าเขาจะเห็นใจเจ้าจนกระโดดลงไปช่วยเจ้าทันทีแถมยังทะเลาะกับข้าด้วยเรื่องของเจ้า เจ้ามันแพศยา”
“ไม่!! ข้าไม่เคยคิดต้องการทำเช่นนั้น ข้ามิได้ต้องการความเห็นใจอันน่าเวทนานั่น ข้าแค่ทนความอัปยศในชีวิตไม่ไหวและต้องการไปพ้นจากการจับกุมของท่านต่างหาก แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วไม่ว่าข้าจะทำอย่างไรท่านก็คงไม่ยอมปล่อยข้า แม้แต่วิญญาณของข้าท่านคงไปตามลากคอมาจากยมโลกเป็นแน่ ”
“หึ ! รู้ดีนี่ไม่ว่าจะทำยังไงเจ้าต้องอยู่ที่นี่เป็นเชลยแค้นของข้าจนกว่าข้าจะพึงพอใจเมื่อนั้นข้าถึงจะให้เจ้าตายได้ ตอนนี้คงยามห้าแล้ว ในเมื่อครั้งนี้เจ้าไม่สามารถนำดอกบัวมาให้ข้าได้และทำให้ข้าไม่ได้ไปเคารพป้ายชื่อท่านแม่ ข้าจะลงโทษไม่ให้เจ้ากินน้ำกินอาหารและต้องคุกเข่าอยู่ที่หน้าห้องของข้า แต่ถ้าเจ้าสำนึกตนและยอมรับปากข้าว่าจะไม่คิดหนีข้าอีก ข้าจะยอมลดโทษให้”
“ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดทำไมข้าต้องอ้อนวอนเพื่อให้ท่านให้อภัยด้วย เพราะข้าว่ายน้ำไม่เป็นร่างของข้าถึงดิ่งลงนั่นคือความผิดของข้าด้วยหรือ”
“ฮ่า ฮ่า เจ้านะหรือว่ายน้ำไม่เป็นปากแข็งเสียจริง ได้ในเมื่อเจ้ารักศักดิ์ศรีของเจ้าก็อย่าหาว่าข้าใจร้าย หลวนฮวานนำตัวนางไปคุกเข่าที่หน้าห้องของข้าห้ามให้น้ำและอาหารจนกว่านางจะยอมรับว่านางตั้งใจที่ไม่ว่ายน้ำขึ้นมา ไป๋หนิงซินเจ้าเองก็อย่าแม้จะคิดนำน้ำไปหยดใส่ปากให้นางเด็ดขาดหากไม่ฟังคำพูดของข้า ข้าจะเฆี่ยนเจ้าให้หลังลาย” ไป๋หนิงซินอยู่หน้าห้องกำมือแน่น นางทั้งสงสารอวิ๋นหลิงที่ถูกนายท่านลงโทษไม่เว้นแต่ละวัน ยิ่งนางพึ่งผ่านความเป็นความตายมาเขายังมาตามตัวนางไปลงโทษไม่ให้นางได้พักแม้ยามราตรี ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ดูเหมือนท่านแม่ทัพเป็นห่วงนางแต่ก็โหดร้ายกับนางไม่ต่างกัน
ไท่หยางเอ่ยจบสะบัดมือออกจากแขนเล็กๆ ของอวิ๋นหลิงจนร่างบางเซอย่างไร้เรี่ยวแรง คำพูดของเขาทิ่มแทงความรู้สึกของนางครั้งแล้วครั้งเล่า ตอกย้ำให้นางได้เห็นความโหดร้ายในกายของเขาเหมือนอสูรร้ายนี่หรือคนที่เคยมีใจให้แก่กัน หลวนฮวานเดินเข้ามาประคองตัวนางให้ลุกขึ้นและเดินตามหลังไท่หยางไปที่ หน้าห้องของเขา ไป๋หนิงซินจ้องมองนางด้วยสายตาเศร้าหมองที่มิอาจจะช่วยอะไรได้และไม่ได้ตามนางไปที่ห้องของไท่หยางตามคำสั่งไม่กล้าขัดขืน
“มิต้องจับข้า ข้าเดินเองได้” อวิ๋นหลิงตอบหลวนฮวานเบา ๆ นางกล้ำกลืนก้าวท้าวตามหลังไท่หยางไปอย่างเงียบ ๆ จ้องมองแผ่นหลังของเขาในใจเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
‘ไม่ว่าข้าทำอย่างไรหรือไม่ทำอะไรเขาก็คงทุกข์ทรมานข้าต่อไปเช่นนี้เรื่อย ๆ สินะ ขนาดยามนี้เขายังไม่ปล่อยให้ข้าได้พักผ่อนเลยด้วยซ้ำคงเป็นเคราะห์กรรมที่ข้าต้องผ่านมันไปให้ได้ หากการที่ข้าต้องการตายจากท่านมันยากนักต่อจากนี้ข้าจะทนทุกข์เพื่อรองรับอารมณ์และความแค้นจนกว่าท่านจะสาแก่ใจเมื่อนั้นหวังว่าท่านจะปล่อยข้าไปทั้งร่างกายและวิญญาณ’ อวิ๋นหลิงครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนในเมื่อเขาไม่ยอมปล่อยนางเองก็จะพยายามมีชีวิตอยู่ต่อ
เมื่อมาถึงหน้าห้องของนางร่างบางนั่งลงคุกเข่าตามที่เขาสั่งโดยไม่ได้ปริปากแม้แต่น้อย เขาเพียงหันมองมาก่อนจะแสยะยิ้มและเดินเข้าไปที่ห้องเพื่อพักผ่อนและสั่งให้ทหารเฝ้านางเอาไว้
“หลวนฮวานเจ้าไปพักเถิด หน้าที่เฝ้านางข้าจะให้ทหารที่เฝ้ายามอยู่ที่นี่เฝ้าเอาไว้เพียงสตรีไร้เรี่ยวแรงนางเดียวคงไม่เหนือบ่ากว่าแรง”
“ข้ารับท่านแม่ทัพ” เขาโน้มตัวรับคำสั่งหันมามองอวิ๋นหลิงชั่วครู่และเดินจากไป
ยามห้าท้องฟ้ายามนี้มืดครึ้มเพราะยังไม่ใกล้สว่างอวิ๋นหลิงนั่งคุกเข่าอยู่อย่างนั้นจนเวลาล่วงเลยท้องฟ้าสว่างจากแสงดวงอาทิตย์ สาวใช้ในจวนเริ่มออกมาทำหน้าที่ของตนเองเดินผ่านหน้าห้องของแม่ทัพไท่หยางต่างพากันซุบซิบนินทา จนไป๋หนิงซินที่เดินมาหาอวิ๋นหลิงได้ขับไล่พวกนางไปทำหน้าที่ของตนเอง
“อวิ๋นหลิงเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง ? ร่างกายเจ้าจะทนได้สักเท่าไหร่กัน ข้าว่าเจ้าไปอ้อนวอนท่านแม่ทัพเถิดนะข้าเชื่อว่าท่านแม่ทัพเพียงได้ยินคำอ้อนวอนของเจ้าต้องสั่งล้มเลิกโทษครั้งนี้ ข้าล่ะเป็นห่วงกลัวร่างกายของเจ้าจะรับไม่ไหว ”
“ไม่ล่ะ เจ้าก็รู้นี่น่าหากทำเช่นนั้นเขาจะกลั่นแกล้งข้าทางอื่นอยู่ดี ชายผู้นั้นยากนักที่จะเดาใจได้ ตอนนี้ข้ายังไหวเจ้าไปทำงานของจ้าเถิดข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาถูกตำหนิอีกคน”
“เฮ้อ ! เช่นนั้นข้าขอให้เจ้าผ่านพ้นวันนี้ไปให้ได้ อย่างไรท่านแม่ทัพคงไม่อยากให้เจ้าตายหรอกหากเจ้าเกิดเป็นลมหมดสติเขาคงรีบพาเจ้าเข้าร่มแน่ ๆ จริงสิเจ้าแสร้งทำดีหรือไม่”
“ไม่ล่ะ เพราะหากทำเช่นนั้นข้าจะเป็นสตรีมารยาอย่างที่เขากล่าวหา ข้าขอบใจเจ้ามากที่เป็นห่วงข้า” ไป๋หนิงซินถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไป อวิ๋นหลิงเงยหน้าจ้องมองไปหน้าห้องของไท่หยางด้วยสายตาที่แน่วแน่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแดดแรงหรือแม้จะมีหิมะตกนางจะไม่เอ่ยอ้อนวอนเขาแม้แต่คำเดียว
บทที่ 10 ผู้ใดเล่าจะกล้าขัดคำสั่งฝั่งด้านเหลียงอวี้หลังจากที่เขากลับมาจากจวนหลิวไท่หยางเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องของจางอวิ๋นหลิง ดวงตาของนางว่างเปล่าใบหน้าอมทุกข์ไร้ชีวิตชีวายิ่งทำให้เขาเป็นห่วงนางจับใจ หากจะคิดหาหนทางช่วยเหลือนางออกมาก็กลัวถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏพาบุตรสาวของศัตรูหลบหนี แต่ก็อดเป็นห่วงนางไม่ไหวตัดสินใจไปหานางที่จวนของแม่ทัพไท่หยาง เขาไม่เชื่อว่าสหายของเขาจะหมดรักนางรวดเร็วป่านนี้เพียงเพราะยามนี้ใจของไท่หยางมีความแค้นต่อพ่อของนางมากกว่าแดดเริ่มแรงเมื่อถึงยามอู่ (11.00) วันนี้อากาศแปรปรวนลมพัดแรงอีกทั้งยังมีเมฆครึ้มจับตัวเป็นก้อน ๆ คล้ายจะมีพายุฝน“ท่านแม่ทัพจะปล่อยให้นางนั่งอยู่เช่นนั้นหรือขอรับ ข้าว่าอากาศเริ่มไม่ดีแล้ว”“เจ้าจะไปห่วงนางทำไมกัน ในเมื่อนางปากแข็งไม่ยอมรับในสิ่งที่ตนเองรู้อยู่แก่ใจแถมยังเสแสร้งอีก ในเมื่อนางอวดดีก็ปล่อยให้นางนั่งอยู่เช่นนั้นต่อไป ไม่ว่าจะเกิดพายุโหมกระหน่ำหรือหิมะตกลงมาอย่างบ้าคลั่งก็ปล่อยให้นางนั่งอยู่หน้าห้องจนกว่าข้าจะได้ยินคำอ้อนวอนยอมแพ้ของนางถึงจะยอมสั่งให้นางเข้าร่ม”ไท่หยางเหลือบตามองไปด้านนอกเห็นสตรีที่ดื้อด้านไม่ยอมเอ่ยคำยอมแพ้ออกมาย
บทที่ 11 จับไข้เหลียงอวี้เดินเข้ามาในห้องของไท่หยางเห็นเขายืนอยู่อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวยิ่งทำให้เขาไม่ชอบใจเลยที่สหายเปลี่ยนไปเป็นคนที่เลือดเย็นได้ถึงเพียงนี้“เรื่องนี้เจ้าทำเกินกว่าเหตุไปแล้ว ทำไมถึงต้องทำกับนางเช่นนี้ในเมื่อเจ้าบอกว่าเจ้าไม่รักนางหมดใจแล้ว จงปลดปล่อยนางไปเถิดตอนนี้นางเป็นเพียงเชลยอย่างเจ้าว่าไร้ท่านพ่อไร้คนหนุนหลัง นางเปรียบสตรีไร้แขนไร้ขาปล่อยนางไปเสียไม่ดีกว่าหรือ ? แค่มองแววตาของนางยังไงนางก็ไม่คิดหาทางแก้แค้นเจ้าแน่ ดวงตาของนางว่างเปล่าเหมือนคนไร้วิญญาณนางคงแตกสลายไปหมด เจ้าช่วยปลดปล่อยนางหรือส่งตัวนางขายนางให้เป็นทาสเสีย และมีอีกทางหากเจ้าบอกว่าเจ้าแค้นตระกูลนางข้ามีทางเลือกให้เจ้าคือบั่นคอนางเสีย อย่าทำร้ายจิตใจของนางไปมากกว่านี้”“เฮอะ ! องค์ชายท่านช่างรู้ดีจริง ๆ ยังไงข้าก็ไม่ยอมยกนางให้ผู้ใดทั้งนั้น คำพูดของข้าพูดออกไปแล้วไม่คืนคำมิเช่นนั้นข้าจะปกครองทหารหลายพันนายได้ยังไง ที่ข้ายอมปล่อยนางไปวันนี้เพราะเห็นว่าท่านยอมแลกกับยศของท่านแถมยังไม่กลัวแปดเปื้อนไม่แน่พรุ่งนี้อาจจะมีข่าวลือแพร่สะพัดว่าองค์ชายสามเหลียงอวี้ปกป้องเชลยศึกของแคว้นหยางอัน ข้าขอให้ท่านรับ
บทที่ 12 หม่อมฉันจะรอร่างบางที่เคยมีใบหน้าอมชมพูผิวขาวราวหยวก บัดนี้ใบหน้าของนางขาวซีดเผือกริมฝีบางแห้งผากซีดจนแทบไม่เหลือความเป็นคนนอนอยู่ใต้ผ้าห่ม โดยมีไป๋หนิงซินอยู่ข้าง ๆ คอยเช็ดตัวให้นางอยู่ไม่ห่าง“นางเป็นเช่นไรบ้าง”“ท่านหมอบอกว่านางทนไม่ได้ที่ร่างกายถูกแดดแล้วมาถูกสายฝนเจ้าค่ะ ทำให้นางรับไม่ไหวจนจับไข้และเอ่อ...ท่านหมอบอกว่าร่างกายของนางด้านในรวมถึงชีพจรอ่อนเหลือเกินเจ้าค่ะ หากท่านแม่ทัพไม่ยอมให้นางพักและสั่งลงโทษนางอีกบัดนี้ข้าเกรงว่านางจะลาโลกจริง ๆ เจ้าค่ะ”“เจ้าเองก็ไม่ต่างจากเหลียงอวี้กล่าวหาว่าข้าเป็นคนผิดสินะที่ทำให้นางเป็นเช่นนี้ ทุกอย่างจะไม่เกิดขึ้นหากนางมิใช่บุตรสาวของจางชินหลง เป็นเพราะนางทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะนาง ”ไท่หยางเอ่ยจบเดินหันหลังออกจากห้องและยัดกระดาษเทียบยาให้แก่หลวนฮวานไปซื้อที่โรงยา“ช่วยไปจัดการให้ข้าที”“ขอรับ”จิตใจของไท่หยางเริ่มว้าวุ่น เขาทั้งโมโหทั้งเกรี้ยวโกรธแต่เมื่อได้ยินว่านางจะไม่มีชีวิตอยู่ต่อเขากลับรู้สึกเจ็บลึกที่หัวใจ เขาต้องดีใจมิใช่หรือที่แก้แค้นให้ท่านแม่ได้และทำให้นางเจ็บปวดแต่เหตุใดเขาถึงรู้สึกใจหายเช่นนี้ได้ ความคิดของเขาเริ่มสับสน
บทที่ 13 คุณหนูฟางหลานซือเรือนตระกูลฟางสตรีที่งดงามอีกนางที่มีใจรักมั่นคงต่อแม่ทัพหลิวไท่หยาง เฝ้าฝันหาเขาอยู่ทุกวัน วันนี้เป็นวันอากาศดีนางจึงจะเดินทางไปหาแม่ทัพไท่หยางที่จวน ตั้งสองตระกูลเป็นญาติห่าง ๆ แต่ทว่านางไม่อยากยอมรับเรื่องนี้ ต้องการเป็นสตรีที่ยืนเคียงข้างเขา“คุณหนูฟางหลานซือจะออกเดินทางไปที่จวนท่านแม่ทัพหลิวหรือขอรับ ข้าน้อยจะเตรียมเกี้ยวให้ขอรับ”“ใช่แล้วรีบไปเตรียมก่อนที่แดดจะร้อนไปมากกว่านี้ ” สตรีรูปคิ้วโค้งราวคันศรธนูถือพัดในมือพัดไปพัดมาพร้อมสั่งการบ่าวในเรือนให้ไปเตรียมเกี้ยว“คุณหนูเจ้าคะ ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้แม่ทัพหลิวพาตัวนางเชลยมาที่จวนด้วยเจ้าค่ะ”“แค่เชลยทำไมข้าต้องใส่ใจด้วย”“มิใช่เช่นนั้นสิเจ้าคะ นางเป็นเชลยก็จริงแต่ก็เคยเป็นสตรีทีท่านแม่ทัพหลิวรักหมดหัวใจ ทั้งสองเคยพูดคุยหารือกันเรื่องงานมงคลด้วย แต่ข้าได้ยินมาว่าครั้นนั้นนางมิได้แสดงตัวตนว่าเป็นบุตรสาวเรือนใดทำให้ท่านแม่ทัพไม่รู้ว่านางเป็นบุตรสาวของศัตรูเจ้าค่ะ” โจวลี่อิงสาวใช้ประจำกายของฟานหลานซือเอ่ยขึ้นเป็นเดือดเป็นร้อนแทนนายหญิงของตน“อะไรนะ ! แล้วท่านแม่ทัพพานางกลับมาที่จวนทำไมกันหรือว่ายังพิศวาสมัน
บทที่ 14 อย่าให้มือเจ้าแปดเปื้อนเลยดวงตาฟางหลานซือแข็งกร้าวด้วยความโมโหเมื่อถูกอวิ๋นหลิงดูถูกเหยียดหยาม เดินไปกระชากผมของอวิ๋นหลิงตบนางที่ใบหน้าด้วยแรงทั้งหมดที่มีจนเลือดที่ปากของนางไหลซึมออกมา“เจ้าสามหาวไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงคิดว่าตนเองเป็นบุตรสาวของท่านเจ้าแคว้นหรือ ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่ายามนี้เจ้าเป็นเพียงเชลยไม่มีสิทธิ์มาต่อปากต่อคำกับข้า” เท่านั้นนางยังไม่พอใจเรียกสาวใช้ของตนเองมาจับตัวของอวิ๋นหลิงเอาไว้“โจวลี่อิงเจ้ามาจับตัวของนางเอาไว้และจับมือของนางไว้บนโต๊ะนี่ ดูสิว่าไม่มีมือคอยทำงานเจ้าจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร” ฟางหลานซือหันไปเจอมีดทำครัวอยู่ตรงนั้นพอดีนางรีบเดินไปคว้ามาฟันที่มือของอวิ๋นหลิง สาวใช้ที่เคยถูกตัดมือยิ้มกริ่มออกมาเมื่ออีกฝ่ายจะโดนเหมือนตนไป๋หนิงซินคุกเข่าลงอ้อนวอนไม่ให้ฟางหลานซือลงมือทำร้ายอวิ๋นหลิง“คุณหนูอย่าทำอย่างนั้นเลย ข้าขอร้องนะเจ้าคะ”“ไม่ใช่เรื่องของเจ้าไม่ต้องมายุ่ง” ฟางหลานซือหันขวับจ้องมองไป๋หนิงซินดวงตาราวกับปีศาจจนนางต้องหันหน้าหนีด้วยความกลัว อวิ๋นหลิงพยายามปัดป้องไม่ให้ตัวเองโดนทำร้ายแต่ก็ถูกสาวใช้ของฟางหลานซือจับเอาไว้ ยากนักที่นางจะต่อต้านสายตาข
บทที่ 15 เสนาบดีจื่อเหมาเสียงหัวเราะคิกคักในห้องโถงเสียงดังมาถึงข้างนอกราวกับว่ามีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นไท่หยางก้าวเท้าเข้าไปด้านในเห็นเสนาบดีจื่อเหมาผู้ที่อ้วนถ้วนใบหน้าแก่ชราเครารุงรังเต็มใบหน้านี่หรือบุรุษที่มากรักไม่มีส่วนใดที่น่าหลงไหลเลยมีเพียงอำนาจเงินเท่านั้นที่ทำให้ผู้หญิงวิ่งเข้าหาเขาเพราะหวังสุขสบาย“ท่านใต้เท้าจื่อเหมาท่านมาที่นี่ไม่บอกไม่กล่าวข้าล่วงหน้าทำให้ข้าไม่ได้ต้อนรับเป็นอย่างดีข้าต้องขออภัยด้วยขอรับ” ไท่หยางประสานมือไปข้างหน้าโค้งตัวลงเล็กน้อยเพื่อเป็นการทักทาย ใต้เท้าเจ้าเล่ห์ยิ้มกริ่มก่อนจะผายมือให้ไท่หยางมานั่งที่เก้าอี้ตัวข้าง ๆ ราวกับที่นี่คือเรือนของตน“มิต้องมากพิธีข้าเดินทางผ่านมาเท่านั้นจึงแวะทักทายท่านแม่ทัพ ฟางหลานซือหลานสาวข้านะสิคะยั้นคะยออยากมาหาท่านเพราะความคิดถึง” ฟางหลานซือยิ้มอย่างเขินอายก่อนจะลุกขึ้นยอบตัวลงคารวะไท่หยาง“ข้าคิดถึงท่านแม่ทัพมากเพียงแค่ผ่านจวนของท่านหากไม่ได้แวะข้าคงนอนไม่หลับ เรื่องนี้ทำให้ท่านแม่ทัพที่มีงานจนล้นมือต้องลำบากต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ”“เรื่องแค่นี้ไม่ได้ทำให้ข้าเสียเวลาหรอก นั่งลงเถิดอีกไม่นานสาวใช้คงนำน้ำชาพร้อมกับขนม
บทที่ 16 แหลกสลายยามซวี (19.00)ที่ห้องโถงยังคงมีเสียงดังเอะอะเสียงหัวเราะของเสนาบดีที่พูดถูกคอกับท่านแม่ทัพไท่หยาง จนท้องฟ้ามืดสลัวสาวใช้ในห้องครัวเริ่มยกสำรับอาหารมาจัดแจงเพื่อต้อนรับแขกของท่านแม่ทัพ อาหารมากมายอยู่บนโต๊ะเต็มไปหมดทว่ายามนี้ฟางหลานซือกลับเรือนไปก่อนหน้าแล้วเพราะสิ่งที่นางต้องการคือการพาท่านอามาที่จวนของไท่หยางและต้องการให้ท่านอาได้พบเจอกับอวิ๋นหลิงต่อจากนี้นางคงต้องให้ท่านอาจัดการต่อ ส่วนตัวนางแสร้งทำเป็นสตรีที่ดีกลับเรือนก่อนที่ท้องฟ้าจะมืด“ท่านใต้เท้าเชิญดื่มด่ำกับอาหารของจวนข้าเต็มที่นะขอรับ ข้าจะไปแจ้งให้ทหารของข้าพาตัวนางเชลยไปรอท่านอยู่ที่ห้อง กินเยอะ ๆ นะขอรับจะได้มีแรงไว้เล่นกับนางทั้งคืน”“ฮ่า ฮ่า ท่านแม่ทัพนี่ร้ายไม่เบาจริง ๆ รู้ใจข้ายิ่งนักข้าละชอบท่านจริง ๆ ไม่ปิดบังความรู้สึก รู้สึกอะไรเอ่ยมาเช่นนั้น นี่สินะที่ปกครองทหารนับพันนาย ข้านับถือท่านจริงๆ ”เสนาบดีอ้วนท้วนรีบคว้าตะเกียบคีบกินอาหารที่อยู่ตรงหน้าอย่างเร่งรีบเพราะเขารอเวลาที่จะเชยชมหญิงงามไม่ไหวแล้วฝั่งด้านอวิ๋นหลิงยามนี้นางอาบน้ำล้างกายสวมอาภรณ์เตรียมตัวนอนเพราะงานของนางเสร็จสิ้นแล้วทว่าเมื่อเข
บทที่ 17 อับอายก่อนจะออกไปส่งใต้เท้าจื่อเหมาไท่หยางหันหน้าไปมองพร้อมกระพริบตาให้แก่หลวนฮวานพาอวิ๋นหลิงกลับไปที่ห้องพักของนาง หลวนฮวานพยักหน้าน้อมรับคำสั่งของนายท่านอุ้มร่างอวิ๋นหลิงไปที่ห้องของนางฝั่งด้านไป๋หนิงซินนางเป็นห่วงอวิ๋นหลิงจนนั่งไม่ติดพื้นเดินไปเดินมาทั่วห้องครานั้นนางได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมา นางรีบเปิดประตูออกไปดูเห็นสภาพของอวิ๋นหลิงรีบเอ่ยถามทันที“เกิดอะไรขึ้นทำไมนางถึงอยู่ในสภาพนี้”“เจ้าอย่าพึ่งเอ่ยถาม รีบเปิดประตูเถิดและช่วยหาอาภรณ์ของนางมาสวมให้นางเร็วเข้า” ไป๋หนิงซินพยักหน้ารีบเดินเข้าไปยามนั้นเองอวิ๋นหลิงตั้งสติได้นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแผ่วเบา“มิต้องไป๋หนิงซินข้าทำเองได้ หลวนฮวานปล่อยข้าลงเถิดมิต้องเป็นห่วงข้า ข้ามิได้เป็นอันใด”“หากเจ้าประสงค์เช่นนั้นข้าจะปล่อยเจ้าลง อย่างไรก็ให้ไป๋หนิงซินอยู่ข้าง ๆ เจ้าเถิด” หลวนฮวานก้มมองสตรีในอ้อมแขนรีบวางนางลงให้ก้าวเดินเอาเอง“ยามนี้ข้าตัดสินใจเลือกอันใดเองได้ด้วยหรือ ? เพราะไม่ว่าอย่างไรการกระทำของข้าก็ถูกนายของพวกเจ้าควบคุมบงการทุกอย่างเสมือนลูกไก่ในกำมืออยู่แล้ว” ความเจ็บปวดคล้ายมีมีดเฉือนเนื้อหนังบางส่วนออกจากร
บทที่ 28 ปล่อยวางอวิ๋นหลิงเงยหน้าขึ้นมองไปด้านอื่นน้ำตาไหลรินไม่ต่างกัน ความเจ็บปวดที่นางพบเจอล้วนแต่เป็นเขาที่เป็นคนทำมัน ความปวดร้าวเรื่องราวที่ผ่านมาจะให้นางให้อภัยได้อย่างไร เขายังคงกอดขานางแน่น อวิ๋นหลิงไตร่ตรองเป็นอย่างดีก่อนจะเอ่ยมาทำลายความเงียบภายในห้อง“แต่มีทางหนึ่งที่ท่านสามารถทำให้ข้าให้อภัยท่านได้ ” ไท่หยางเงยหน้าขึ้นจ้องมองนาง รีบลุกขึ้นไม่ว่านางจะให้เขาทำอะไรข้ายอมทั้งนั้นหากมันจะทำให้นางให้อภัยเขาได้ และเขาจะได้ไถ่โทษกับตระกูลของนาง“ไม่ว่าเจ้าจะให้ข้าทำอะไร ข้าทำให้เจ้าได้ทั้งนั้นหากเจ้ายอมให้อภัยข้าในสิ่งที่ผ่านมา”“ปล่อย.. ปล่อยข้าไปอย่าได้รั้งกันไว้อีกเลย เพียงเท่านี้เราทั้งสองก็เจ็บปวดมามากพอแล้ว ข้าไม่อาจทนเห็นใบหน้าของท่านได้อีกความเกลียดความแค้นมันมากมายเหลือเกิน เพียงเห็นใบหน้าของท่าน ข้าก็อดที่จะคิดถึงเรื่องราวที่ท่านเคยทำไว้ไม่ได้ ได้โปรดปล่อยข้าไปเสีย ข้าจะอภัยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเราหมดวาสนาต่อกันเพียงเท่านี้เถิด ข้าเหน็ดเหนื่อยไม่อยากจะพบเจอเรื่องเช่นนี้อีกต่อไป ...” ไท่หยางหมดเรี่ยวแรงปล่อยมือออกจากกายของนาง ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมที่ตนเองก่อขึ้นมา“ข้ารู้ว
บทที่27 ความจริงที่แสนเจ็บปวดครั้นสองเท้าย่างกรายออกมาด้านนอกบัดนี้กองกำลังของเขาถูกล้อมไปด้วยทหารของแคว้นหยางอันจนหมดสิ้น โดยมีแม่ทัพหลิวไท่หยางยืนรอเขาอยู่ด้านหน้าจวน“เจ้าช้ากว่าข้าไปหนึ่งก้าว ยอมแพ้แต่โดยดีเพราะตอนนี้แคว้นของเจ้าถูกคนของข้าล้อมรอบไว้หมดแล้ว” ไท่หยางป่าวประกาศน้ำเสียงเข้มขรึมน่าเกรงขาม อีกฝ่ายกลับหัวเราะออกมาอย่างขบขัน นี่เขาพลาดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน“ฮ่า ฮ่า เจ้าคิดว่าเพียงแค่นี้ข้าจะยอมแพ้หรือ แคว้นฉู่ของข้า ยอมตายแต่ไม่ยอมลดศักดิ์ศรีเด็ดขาด พวกเราลุกขึ้นสู้เพื่อแคว้นของเรา” ชางถิงพูดปลุกใจของเหล่าทหารชั่วพริบตาเดียวกองทัพทหารของแคว้นฉู่ได้วิ่งกรู่ออกมาอีกจำนวนมาก เริ่มปะทะสู้กันอย่างดุเดือด ยามนี้แคว้นฉู่นองเลือดจนกลิ่นคละคลุ้งผู้คนเริ่มล้มตายจากการต่อสู้ และแล้วเขาก็ตกอยู่ใต้ดาบของหลิวไท่หยาง กายเต็มไปด้วยเลือดของศัตรูอาบใบหน้า ถือดาบจ่อที่คอของชางถิง“ฮ่า ฮ่า ในที่สุดเจ้าก็ชนะข้า เอาสิบั่นคอข้าไปเลยเจ้าจะได้นำชัยชนะกลับไป เอ๊ะเดี๋ยวสิ! ข้าจะบอกแก่เจ้าก่อนแล้วกัน ข้าได้ยินมาว่าจับตัวบุตรสาวของจางชิงหลงแคว้นหนานไฮ้ไปเพื่อแก้แค้นนางใช่หรือไม่ อีกอย่างเจ้าเองก็ลงมื
บทที่ 26 รับไว้เพียงไมตรีมิอาจจะรับความรักของท่านได้ฝั่งด้านอวิ๋นหลิงตั้งแต่หลังจากกลับมาจากวันนั้น นางไม่ได้พบเจอหน้าไท่หยางอีกเลย ได้ยินผ่านจากไป๋หนิงซินว่าเขาปลอดภัยดีนางเองก็สบายใจทำงานเหมือนอย่างเคย แม้จะอยู่ห้องใกล้ ๆ กันกับเขาแต่ทว่านางไม่เคยคิดจะก้าวเข้าไปหาเขาเลยด้วยซ้ำ“เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ ? ” ไป๋หนิงซินยื่นหมั่นโถวให้นางพลางย่อนกายนั่งลงข้าง ๆ ช่วงนี้เหมือนหิมะจะหยุดตกแล้วทว่ายังมีความเยือกเย็นหลงเหลืออยู่ในอากาศ หมั่นโถวร้อน ๆ พอทำให้คลายหนาวได้บ้าง“ขอบใจนะ ข้าเพียงแค่คิดว่าหากข้าไม่กลับมาเจ้าจะเป็นอย่างไร คิดถึงข้าบ้างหรือไม่?”“ถามมาได้ขนาดเจ้าหายไปเพียงหนึ่งคืนข้าแทบนอนไม่หลับ กระวนกระวายไปหมดไม่เห็นหรือไงว่าข้าดีใจแค่ไหนที่เจ้ากลับมา ” ไป๋หนิงซินเอ่ยพลางกินหมั่นโถวเข้าปากคำใหญ่“นั่นสินะ ... ถ้าตอนนั้นข้าเลือกที่จะทิ้งไท่หยางและหนีไปตอนนี้ชีวิตของข้าจะเป็นอย่างไรนะ”“อย่าบอกนะว่าเจ้ามีโอกาสหนียามที่ท่านแม่ทัพได้รับบาดเจ็บนะ”“อื้ม ...แม่ทัพของเจ้าบอกให้ข้าหนีไปยามมีโอกาสแต่ไม่รู้ทำไมข้าถึงไม่หนีกันนะ อาจจะเป็นเพราะว่าข้าเกรงว่าเจ้าจะร่ำไห้เพราะเป็นห่วงข้านะสิ ฮึ ฮึ”
บทที่ 25 แม่ทัพถูกโจมตีจวนแม่ทัพหลิวไท่หยางไป๋หนิงซินเฝ้ามองไปที่ประตูจิตใจกระวนกระวายเป็นห่วงอวิ๋นหลิง นี่ก็ยามซวี (19.00) แล้วทั้งสองคนยังไม่กลับเข้าจวนอีกทั้งหิมะก็ตกแรงมากกว่าเดิม นางมิอาจจะเก็บความเป็นห่วงเอาไว้ได้รีบย่างกรายไปหาหลวนฮวานที่ยืนอยู่หน้าห้องของแม่ทัพไท่หยาง“หลวนฮวานทำไมท่านถึงใจเย็นได้ ไม่ร้อนใจเลยหรือ?เมื่อไหร่ท่านแม่ทัพจะพาอวิ๋นหลิงกลับจวน ข้าชักเป็นห่วงจริง ๆ หวังว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับท่านแม่ทัพหรอกใช่มั้ย”“เจ้าอย่าเป็นกังวลไปเลย ท่านแม่ทัพมีฝีมืออีกไม่นานก็คงกลับมา” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้นแต่ใจของหลวนฮวานก็เป็นห่วงท่านแม่ทัพเช่นเดียวกัน ทว่ายามนั้นมีทหารใบหน้าแตกตื่นวิ่งเข้ามาแจ้งให้หลวนฮวานได้รับรู้“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”“เรื่องอะไรกันทำไมเจ้าถึงได้รีบร้อนวิ่งมาถึงเพียงนี้”“ข้าออกไปดื่มสุราที่โรงเตี๊ยมมาเมื่อครู่ได้ยินเรื่องของท่านแม่ทัพ มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ หุบเขามาพูดคุยกันเรื่องของแม่ทัพไท่หยางเขาขึ้นไปเก็บสมุนไพรและเห็นว่าท่านแม่ทัพกำลังถูกคนของแคว้นฉู่ไล่ล่า คนของพวกนั้นมากันมาเหลือเกินไม่รู้ว่าป่านนี้ท่านแม่ทัพจะเป็น
บทที่ 24 หนีไปสิตอนที่เจ้ามีโอกาสสีหน้าของเขาเริ่มซีดเซียวขาวเผือกไร้เลือดฝาด นางพยุงเขาเข้ามาด้านในพร้อมจับเขานั่งลงพิงผนังหิน กลิ่นเลือดคละคลุ้งเต็มอากาศยังคงไหลไม่หยุด อวิ๋นหลิงจ้องมองฝ่ายตรงข้ามพร้อมครุ่นคิดหากนางจะใช้โอกาสนี้ในการหลบหนีคงไม่ยากเพราะเขาคงไม่มีเรี่ยวแรงจะตามนางได้ทันแน่ ๆ นางต้องการหลุดพ้นจากเขาจึงช่างใจคิดครู่ใหญ่ และเหมือนว่าไท่หยางจะรู้ถึงความคิดของนาง“เจ้าคงคิดอยากจะทิ้งข้าไว้และหนีข้าไปสินะ เอาสิยามนี้เป็นเวลาที่เจ้าจะได้หลุดพ้นจากเนื้อมือของข้าแล้ว โอกาสที่เจ้าจะหนีจากข้ามาถึงแล้วปล่อยให้ข้ารอความตายอยู่ที่นี่โดยมิต้องใส่ใจข้า แต่ถ้าหากว่าข้ารอดไปได้ข้าจะตามหาเจ้าต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินทั่วใต้หล้าข้าก็จะตามหาเจ้าให้เจอ เมื่อนั้นอย่าหวังว่าจะหนีข้าไปได้เพราะข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปอีก” น้ำเสียงแหบพร่าคล้ายคนกำลังหมดแรงเอ่ยออกมาโดยใช้กำลังทั้งหมด อวิ๋นหลิงเริ่มลังเล หากนางจะหนีเขาไปนางจะไม่มีทางให้เขาหานางได้พบเลย นางหันไปมองหน้าถ้ำก่อนจะหันกลับมามองไท่หยางอีกครา ถอนหายใจเฮือกใหญ่ลุกขึ้นยืนและวิ่งออกไปจากถ้ำทันที ปล่อยให้เขาอยู่ในถ้ำรอความตายและทนความเจ็บปวดที่กำ
บทที่ 23 จำไม่ได้‘คำพูดของนางทำให้จิตใจของข้าสั่นคลอนได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ ?’ “เฮ้อ ! เจ้าคิดว่าเจ้าพบเจอเพียงเท่านี้แล้วข้าจะหายโกรธแค้นหรืออย่างไรกัน เพียงเท่านี้ยังน้อยไปกับที่ท่านแม่ข้าพบเจอ เลิกทำสายตาสีหน้าเบื่อโลกเสียข้าบอกแล้วอย่างไรว่าข้าไม่มีทางให้เจ้าตายจากข้าไปง่าย ๆ ที่ข้าพาเจ้ามาที่นี่เพราะอยากตอกย้ำความเจ็บปวดเจ้าเท่านั้น เจ้าจำที่นี่ไม่ได้เลยหรือ” อวิ๋นหลิงหมดสิ้นความหวังที่เขาจะผลักนางลงเหว เขาก็ยังคงเป็นเช่นนี้เสมอเป็นชายที่ไร้ใจอำมหิตไม่ยอมปล่อยให้นางได้ทำตามความปรารถนานางกวาดสายตามองไปด้านหน้า เทือกเขาสูงชันแม้ท้องฟ้าจะไร้แสงอาทิตย์แต่นางยังคงมองเห็นทิวทัศน์ด้านล่างได้อย่างชัดเจน แต่ทว่าความทรงจำของอวิ๋นหลิงกลับจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าที่นี่มีความหมายต่อนางอย่างไร แล้วทำไมนางต้องเจ็บปวดด้วยเล่า“ข้าไม่เห็นอันใดแม้แต่น้อยเห็นแต่หุบเขา ท่านต้องการสิ่งใดกับข้ากันแน่ หากไม่ต้องการผลักข้าตกเหวแล้วสิ่งใดกันในที่นี่จะทำให้ข้าเจ็บปวด ” น้ำเสียงนิ่งเรียบตอบกลับอย่างไร้ความรู้สึก ทำให้อีกฝ่ายโมโหขึ้นทันตา เพราะสถานที่นี้คือที่ที่เขาเคยพานางเมื่อยามที่รักกันปานจะกลืนกินก่อนที
บทที่ 22 ปล่อยข้าไปเถอะ“ปล่อยข้าเถอะนะ ข้าไม่ต้องการไม่ว่าท่านต้องการให้ข้าทำอย่างไรข้าจะยอมทำตามทุกอย่าง ได้โปรดอย่าทำเช่นนี้กับข้าเลย”ไฟราคะปะทุในกายจนรุ่มร้อนไปหมดเขาไม่อาจจะหยุดและทำตามคำพูดของนางได้ เงยหน้าขึ้นจ้องมองหน้าอีกฝ่ายพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ข้าหยุดไม่ได้ หากทุกอย่างไม่เป็นแบบนี่เจ้ามิใช่บุตรของจางชิงหลงและข้ามิใช่ท่านแม่ทัพเราทั้งสองคงได้เป็นสามีภรรยามีบุตรเต็มเรือนเหมือนผู้อื่น ข้าหยุดไม่ได้จริง ๆ ข้าต้องการเจ้า” ใจของอวิ๋นหลิงสั่นไหวไม่ว่าจะทำอย่างไรก็มิอาจจะหยุดเขาได้ ข้างในแตกสลายไปหมดความขื่นขมมืดมนกลับมาอีกครั้ง นอนทรมานใจในความชั่วช้าบ้ากามเลือดร้อนของไท่หยาง เขาไม่แม้แต่จะสนใจเสียงสะอึกสะอื้นของนางด้วยซ้ำ สนใจแต่เรือนร่างที่ถูกเขาย่ำยีอย่างสมฤทัยร่างเล็กนอนขดอยู่บนเตียงไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่นางเจ็บปวดจนสลบไป ลืมตาขึ้นมาอีกครายามนี้ในห้องมืดสลัวไปหมด ลมพัดผ่านผิวกายเย็นยะเยือก ร่างกายเจ็บระบมไปหมดเพียงจะขยับกายนางยังแทบไม่อยากจะดิ้นด้วยซ้ำ ช่วงล่างระหว่างขาเจ็บแปลบขึ้นมา‘การที่เขาทำเช่นนี้ไม่ต่างจากข้าถูกข่มขืนแม้แต่น้อย นี่หรือคำว่ารักของเขา ไม่ว่ากี่คร
บทที่ 21 อย่าให้รังเกียจไปมากกว่านี้“ใช่แล้วเจ้าค่ะ แต่ยังไม่มีบุรุษเรือนใดมาเยี่ยมเยือนข้าเลย แต่ข้ามีบุรุษในดวงใจแล้วเจ้าค่ะ ”“ข้าพอจะรู้ว่าบุรุษที่เจ้าหมายใจคือผู้ใด แต่ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้เลยอย่าคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องที่เสนาบดีจื่อเหมามาที่เรือนคราวก่อน มิใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นเพราะเจ้าไปบอกกล่าวถึงการมีตัวตนของอวิ๋นหลิงและชักชวนเขามาที่นี่ ไม่ว่าข้าจะมีอวิ๋นหลิงในใจหรือไม่มีใจของข้าก็ไม่มีเจ้า และไม่เคยคิดจะสนใจเจ้าแม้แต่น้อยหยุดการกระทำของเจ้าก่อนที่ข้าจะอดทนต่อไปไม่ได้ ต่อจากนี้มิต้องมาหาข้าที่นี่อีก” ใบหน้าของฟางหลานซือพลันเปลี่ยนสีรอยยิ้มเมื่อครู่จางหายไปในชั่วพริบตา“ข้าไม่รู้เรื่องนะเจ้าคะ ท่านอากับข้าผ่านมาทางนี้ไม่ได้ตั้งใจมาจริง ๆ นะเจ้าคะ”“อย่าเสแสร้งทำให้ข้ารังเกียจเจ้ามากกว่านี้เลยข้าอยากจำเจ้าให้เจ้าเป็นน้องสาวที่ข้าเอ็นดูเสมือนยามเด็ก กลับไปเสียและเรื่องที่เกิดขึ้นข้าจะไม่แจ้งท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าเพราะยังไว้หน้า หากเจ้ายังละลานข้าจะนำเรื่องนี้ไปแจ้งท่านพ่อของเจ้าเสีย”“ข้าไม่มีทางยอม ท่านแม่ทัพใจร้ายยังไงท่านก็ไม่มีทางครองรักกับนางเชลยนั่นเด็ดขาด ไม่ว่ายังไงก็ไม่มี
บทที่ 20 หิมะแรกท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีลมหนาวเริ่มพัดผ่านร่างบางหนาวสั่น หลังจากที่กินอาหารร่วมโต๊ะกับไท่หยางเขายังคงไม่ปล่อยให้นางกลับไปที่ห้องที่เคยพักแต่ทว่ากลับพานางมาอีกห้องที่อยู่ใกล้ห้องเขามากกว่าเดิม สองเท้าก้าวเข้าไปในห้องตามหลังเขาไปติด ๆ ภายในห้องเสมือนถูกจัดแต่งไว้สำหรับสตรี ในห้องอบอุ่นเหมือนมีไอความร้อนทำให้อุ่น สายตาของอวิ๋นหลิงกวาดสายตามองเตียงนอนที่ตั้งอยู่ต่อหน้ากว้างใหญ่และมีฟูกหนานุ่ม ผ้านวมผืนหน้าต่างจากที่นางเคยใช้อยู่กับไป๋หนิงซิน อีกทั้งยังมีโต๊ะเครื่องแป้งและคันฉ่องบานใหญ่ ในห้องมีไป๋หนิงซินกับหลวนฮวานยืนคอยอยู่ก่อนหน้านี้แล้วผ้าไหมกองใหญ่ถูกวางอยู่บนโต๊ะกลางห้องนั่นคงเป็นผ้าที่ไท่หยางสั่งให้หลวนฮวานไปจัดเตรียมมา‘คิดจะทำอันใดกันแน่ ข้าไม่เข้าใจเลยสักนิด’“ของพวกนี้และห้องนี้จะเป็นที่อยู่ของเจ้าต่อจากนี้ ห้ามปฏิเสธและขัดคำสั่งข้า มิเช่นนั้นข้าจะสั่งโบยแม่บ้านซูที่เลือกและจัดห้องให้เจ้าไม่ดี”“ท่านมันมิใช่คน แต่เป็นหมาบ้าสัตว์ร้ายที่พร้อมจะกัดผู้อื่นอย่างไม่เลือกหน้า ในเมื่อท่านแค้นข้าแล้วจะไปทำผู้อื่นทำไมกัน ในเมื่อข้าเลือกอันใดไม่ได้แม้กระทั่งความตายข้าก็จะทำ