บทที่ 10 ผู้ใดเล่าจะกล้าขัดคำสั่ง
ฝั่งด้านเหลียงอวี้หลังจากที่เขากลับมาจากจวนหลิวไท่หยางเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องของจางอวิ๋นหลิง ดวงตาของนางว่างเปล่าใบหน้าอมทุกข์ไร้ชีวิตชีวายิ่งทำให้เขาเป็นห่วงนางจับใจ หากจะคิดหาหนทางช่วยเหลือนางออกมาก็กลัวถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏพาบุตรสาวของศัตรูหลบหนี แต่ก็อดเป็นห่วงนางไม่ไหวตัดสินใจไปหานางที่จวนของแม่ทัพไท่หยาง เขาไม่เชื่อว่าสหายของเขาจะหมดรักนางรวดเร็วป่านนี้เพียงเพราะยามนี้ใจของไท่หยางมีความแค้นต่อพ่อของนางมากกว่า
แดดเริ่มแรงเมื่อถึงยามอู่ (11.00) วันนี้อากาศแปรปรวนลมพัดแรงอีกทั้งยังมีเมฆครึ้มจับตัวเป็นก้อน ๆ คล้ายจะมีพายุฝน
“ท่านแม่ทัพจะปล่อยให้นางนั่งอยู่เช่นนั้นหรือขอรับ ข้าว่าอากาศเริ่มไม่ดีแล้ว”
“เจ้าจะไปห่วงนางทำไมกัน ในเมื่อนางปากแข็งไม่ยอมรับในสิ่งที่ตนเองรู้อยู่แก่ใจแถมยังเสแสร้งอีก ในเมื่อนางอวดดีก็ปล่อยให้นางนั่งอยู่เช่นนั้นต่อไป ไม่ว่าจะเกิดพายุโหมกระหน่ำหรือหิมะตกลงมาอย่างบ้าคลั่งก็ปล่อยให้นางนั่งอยู่หน้าห้องจนกว่าข้าจะได้ยินคำอ้อนวอนยอมแพ้ของนางถึงจะยอมสั่งให้นางเข้าร่ม”
ไท่หยางเหลือบตามองไปด้านนอกเห็นสตรีที่ดื้อด้านไม่ยอมเอ่ยคำยอมแพ้ออกมายิ่งทำให้เขาโมโหมากกว่าเดิม เพียงแค่คำเดียวนางยังทำไม่ได้จะรักศักดิ์ศรีไปถึงไหน
‘เพียงศักดิ์ศรีจะรักไปทำไมในเมื่อชีวิตของเจ้าเจ้ายังไม่รักอยากตายหนีข้าในทุกเมื่อที่มีโอกาส’ ไท่หยางคิดในใจก่อนจะลุกขึ้นเดินหนีไปที่ห้องอ่านตำราเขาจะรอจนกว่าได้ยินคำอ้อนวอนของอวิ๋นหลิงถึงจะพอใจ
เวลาผ่านไปไม่นานจู่ ๆ ลมพัดกระโชกแรงฝุ่นฟุ้งกระจายท้องฟ้ามืดครึมที่แต่อวิ๋นหลิงไม่แม้แต่จะรู้สึกกลัว
“วันนี้อากาศคงจะช่วยข้าไม่ให้ข้าได้ตากแสงแดดทั้งวัน หากเป็นเช่นนี้วันนี้ข้าคงไม่สลบไปเช่นดั่งวันนั้น” นางเอ่ยพึมพำก่อนจะก้มหน้าลงต่ำเช่นเดิม
ทว่า 2 ยามผ่านไปท้องฟ้าไร้แสงแดดมีเพียงก้อนเมฆปกคลุมท้องฟ้าเม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงมาไม่แรงนัก หลวนฮวานเห็นอาการไม่ดีจึงได้รีบเดินไปแจ้งท่านแม่ทัพไท่หยางอีกครั้ง ใบหน้าของอวิ๋นหลิงแดงออกไหม้จากแสงแดดหากสตรีนางนี้ถูกน้ำฝนตกใส่นางอาจจะจับไข้ได้
“ท่านแม่ทัพยามนี้ท้องฟ้าเริ่มมีฝนโปรยปราย ได้โปรดสั่งการให้นางกลับไปพักเถอะขอรับข้าเกรงว่านางจะจับไข้เอาได้ยิ่งร่างกายของนางอ่อนแออยู่ด้วย” ไท่หยางวางตำราลงจ้องมองไปนอกหน้าต่างแสยะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย
“เจ้าจะสนใจไปใยนางเป็นเพียงเชลยไม่มีความสำคัญต่อข้า ข้าบอกแล้วอย่างไรต่อให้ฟ้าจะทล่มลงมาหากนางยังไม่เอ่ยปากออกมาแม้แต่คำเดียวก็ปล่อยให้นางอยู่เช่นนั้น” หลวนฮวานประสานมือก้มหัวลงเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไปที่หน้าตำหนักครานั้นเห็นไป๋หนิงซินกำลังเดินไปหาอวิ๋นหลิงและเกลี้ยกล่อมให้นางยอมรับและเอ่ยปากอ้อนวอนต่อท่านแม่ทัพ
“อวิ๋นหลิงยามนี้ฝนเริ่มลงเม็ดมาแล้วเจ้ารีบขอโทษและอ้อนวอนต่อท่านแม่ทัพเสียเถอะ อย่าได้ปากแข็งและรักศักดิ์ศรีเลย ”
“ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดทำไมข้าต้องขอโทษด้วยเล่า ในเมื่อเขาต้องการให้ข้านั่งอยู่เช่นนี้ข้าจะไม่ยอมลุกจนกว่าเขาจะพึงพอใจ เจ้าก็รู้นี่ยังไงนายท่านของเจ้าไม่ยอมปล่อยข้าไปง่าย ๆ เขาไม่ยอมให้ข้าตายง่าย ๆ หรอกเจ้ามิต้องเป็นห่วงกลับไปที่ห้องเถิดเดี๋ยวเจ้าจะเปียกเอา” ริมฝีปากแห้งผากตอบกลับไป๋หนิงซินด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ไป๋หนิงซินส่ายหัวไปมาไม่เข้าใจทั้งสองคนนี่เลย ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางจะทำอะไรได้นอกจากลุกขึ้นและเดินจากไปก่อนจะเดินจากไปนางได้หันมาพูดกับอวิ๋นหลิงหนึ่งประโยค
“ข้าหวังว่าสิ่งที่เจ้าต้องการจะมาถึงในเร็ววัน ข้าไม่อยากเห็นเจ้าต้องเจ็บปวดอีกต่อไปในเมื่อสิ่งนั้นคือความปรารถนาของเจ้า แต่ใจจริงของข้าไม่ได้อยากให้เป็นเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย” อวิ๋นหลิงยิ้มจาง ๆ ให้ไป๋หลินซินพลางจ้องมองแผ่นหลังของนางจนกระทั่งฝนเริ่มลงเม็ดใหญ่กว่าเดิมอีกทั้งยังมีลมแรงกระหน่ำมา ทำให้ร่างกายที่ถูกแดดมาครึ่งวันเริ่มหนาวสั่นถึงกระดูก นางเงยหน้ามองท้องฟ้าน้ำฝนหล่นลงบนใบหน้า นางมีหรือจะกลั่นอารมณ์ยามนั้นไหว ขนาดท้องฟ้ายังร่ำไห้อวิ๋นหลิงสะอึกสะอื้นน้อยใจโชคชะตาและเจ็บปวดในสิ่งที่กำลังถูกกระทำอยู่เช่นนี้
ครั้นนั้นสายฝนใกล้ตัวนางกลับหยุดลงนางคิดว่าฝนหยุดตกแต่เมื่อมองไปรอบ ๆ ฝนยังคงตกและตกมากกว่าแรงด้วยซ้ำ
“เกิดอะไรขึ้นทำไมเจ้าถึงได้มานั่งคุกเข่าอยู่หน้าห้องของไท่หยางทั้ง ๆ ที่ฝนตกเช่นนี้ เจ้าไม่รักตนเองเลยหรือไง หรือเพราะว่าไท่หยางลงโทษเจ้าอีกแล้วสินะ ข้ารู้ว่าเจ้าเจ็บปวดแต่อย่างทำเช่นนี้เลยลุกขึ้นเถิด ข้าจะช่วยพูดกับไท่หยางเอง” เส้นเลือดปูดบวมในมือกำร่มคันเล็กยื่นมาปิดบังน้ำฝนไม่ให้โดนตัวของอวิ๋นหลิง น้ำเสียงเกรี้ยวกราดจ้องมองลงมายังนางที่นั่งคุกเข่าอยู่ท่ามกลางสายฝน ตอนที่เขามาถึงหน้าจวนของไท่หยางเริ่มเห็นว่าท้องฟ้าอึกครึ้ม
เขาเดินมาเรื่อย ๆ ได้ยินเสียงพูดคุยของสาวใช้กำลังพูดถึงเรื่องของเชลย เขารีบเข้าไปถามและได้รู้ว่าตอนนี้นางถูกลงโทษให้นั่งคุกเข่าตั้งแต่ช่วงเช้ามืด จนถึงตอนนี้แม้แต่น้ำหยดเดียวก็ไม่ให้นางได้กิน ทำให้เขาโมโหเพราะเมื่อวานนางพึ่งผ่านความเป็นความตายมา แม้จะรู้ว่าสหายจะเสียใจและเจ็บแค้นเพียงใด แต่ทำถึงเพียงนี้มันไม่โหดร้ายเกินไปหน่อยหรือ ? ครั้งนี้เขาจะไม่ยอมอยู่เฉย ๆ แน่ต่อให้ต้องตัดขาดกับสหายรักเขาก็จะยอม
“อย่าเลยเพคะ หม่อมฉันไม่อยากให้องค์ชายต้องผิดใจกับสหายของท่าน ความหนาวเหน็บหรือแม้แต่ความทุกข์ทรมานที่หม่อมฉันพบเจอคงยังไม่สาสมแก่ใจของท่านแม่ทัพ อีกอย่างหม่อมฉันเป็นเชลยต่อให้ต้องนั่งตากแดดตากฝนอยู่เช่นนี้สามวันสามคืนหม่อมฉันก็มิอาจขดคำสั่งได้ อีกอย่างหม่อมลำบากมามากพอแล้วหากจะเป็นการดีถ้าสวรรค์ได้ยินคำอ้อนวอนให้หม่อมฉันและให้ร่างกายรับไม่ไหวจับไข้จนหมดลมหายใจท่ามกลางสายฝนในครั้งนี้ หม่อมฉันเหนื่อยเหลือเกินเพคะ” เสียงสั่นสะอื้นนัยน์ตาคลอแดงความเจ็บปวดของนางและความขมขื่นที่นางพบเจอส่งผ่านคำพูดและแววตาของนางจนหมด ทำให้เหลียงอวี้มิอาจจะทนดูได้ตะโกนออกมาเสียงดัง
“ข้าองค์ชายสามเหลียงอวี้ขอสั่งให้เชลยนางนี้ลุกขึ้นกลับห้องพัก ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งของผู้ใดที่สั่งลงโทษนางหากผู้ใดขัดคำสั่งข้าเท่ากับดูหมิ่นไม่ฟังคำพูดของเชื้อพระวงศ์ถือว่าตั้งตนเป็นกบฏกับข้าทันที ” เสียงน่าเกรงขามดังขึ้นทหารที่อยู่แถวนั้นเริ่มมองหน้ากันไปมา ไม่ว่าจะทางไหนเขาก็ไม่อยากจะขัดคำสั่งเพราะกลัวถูกลงโทษ
ครานั้นไท่หยางได้ยินเสียงดังเอะอะแข่งกับเสียงของสายฝนเขาเดินออกมาเห็นเหลียงอวี้ยืนถือร่มให้อวิ๋นหลิงและคำพูดของเขาเมื่อครู่ เขาได้ยินชัดเจนพยักหน้าให้ทหารยอมทำตามคำสั่งขององค์ชายสาม เขาจ้องมองไปยังร่างกายที่เปียกโชกราวกับไก่ต้มใบหน้าแดงจากแดดไหม้แต่ก็ซีดขาวไร้เลือดฝาดตัวสั่นเทาในร่มใต้เงาของเหลียงอวี้
“ผู้ใดจะกล้าขัดคำสั่งขององค์ชายสามกันเล่า ข้าจะยอมยกโทษครั้งนี้ให้แก่นางเพราะเห็นแก่องค์ชายก็แล้วกัน เชิญท่านเข้ามาด้านในก่อนเถอะส่วนเจ้าคงยังมีเรี่ยวแรงเดินกลับห้องอย่ามาโอดครวญทำเป็นไร้เรี่ยวแรงให้ผู้ใดสงสารอีก ” อวิ๋นหลิงเงยหน้าไปสบตากับไท่หยางใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทำให้ใจของเขาสั่นไหวและเจ็บจี้ดที่กลางหน้าอกรีบหันหน้าหนีนางและเดินเข้าห้อทันที
“กลับไปที่ห้องอย่าลืมกินยาด้วยล่ะ เปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ของเจ้าและนอนพักเรื่องวันนี้เจ้ามิต้องคิดมากและกลัวว่าจะสร้างปัญหาให้แก่ข้า ข้าเต็มใจช่วยเหลือเจ้าเสมอ” น้ำเสียงอ่อนนุ่มแววตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนเอ่ยกับอวิ๋นหลิงทำให้นางอบอุ่นหัวใจอย่างน้อยในชีวิตครั้งนี้มีคนที่ใจดีกับนางอยู่บ้าง นางพยักหน้าลุกขึ้นยอบตัวลงเพื่อขอบคุณน้ำใจไมตรีของเขาในครั้งนี้และครั้งที่แล้ว
“ไม่ว่าจะเป็นเมื่อวานหรือวันนี้ล้วนเป็นท่านที่ยื่นมือช่วยเหลือหม่อมฉัน หม่อมฉันจะจดจำใส่ใจเอาไว้มิขอลืมเพคะ”
“ตอนนี้เจ้าติดหนี้บุญคุณข้าแล้ว หากเจ้าอยากตอบแทนข้าอยากให้เจ้าเลิกมีแววตาที่หมองหม่นโศกเศร้าและชีวิตต่อจากนี้ให้มีความสุขแม้ว่าเจ้าจะเป็นเชลยก็ตาม ข้าสัญญาข้าจะหาทางช่วยเหลือเจ้าออกจากจวนแห่งนี้เอง ” เพียงได้ยินคำปลอบโยนราวกับว่าเขามอบชีวิตใหม่ให้แก่นาง หากเขาทำเช่นนั้นได้นางจะเปลี่ยนความคิดใหม่ และพยายามรักษาชีวิตให้อยู่รอดจนกว่าองค์ชายสามจะช่วยนางออกไปจากที่นี่ หากออกไปได้เมื่อไหร่นางจะขอใช้ชีวิตอยู่เงียบ ๆ ทำราวไม่มีตัวตนอีกเลย ในเมื่อการตายมันยากนักต่อจากนี้นางจะมีชีวิตอยู่ต่อไป
“หากทำได้ชั่วชีวิตนี้ข้าก็ไม่ต้องการอะไรแล้วเพคะ หม่อมฉันหวังว่าวันนั้นจะมาถึงในเร็ววัน และข้าจะรักษาชีวิตรอวันที่ท่านช่วยปลดปล่อยข้าออกไปได้นะเพคะ” นางยอบตัวลงก่อนจะเดินจากเหลียงอวี้นางยิ้มจาง ๆ ให้เขารู้ว่านางเริ่มเปลี่ยนใจและอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ทำให้เขาเริ่มรู้สึกดีใจและมีกำลังใจที่จะทำให้นางต่อจากนี้ไม่ว่าจะวิธีใดเขาจะช่วยนางสุดกำลัง
บทที่ 11 จับไข้เหลียงอวี้เดินเข้ามาในห้องของไท่หยางเห็นเขายืนอยู่อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวยิ่งทำให้เขาไม่ชอบใจเลยที่สหายเปลี่ยนไปเป็นคนที่เลือดเย็นได้ถึงเพียงนี้“เรื่องนี้เจ้าทำเกินกว่าเหตุไปแล้ว ทำไมถึงต้องทำกับนางเช่นนี้ในเมื่อเจ้าบอกว่าเจ้าไม่รักนางหมดใจแล้ว จงปลดปล่อยนางไปเถิดตอนนี้นางเป็นเพียงเชลยอย่างเจ้าว่าไร้ท่านพ่อไร้คนหนุนหลัง นางเปรียบสตรีไร้แขนไร้ขาปล่อยนางไปเสียไม่ดีกว่าหรือ ? แค่มองแววตาของนางยังไงนางก็ไม่คิดหาทางแก้แค้นเจ้าแน่ ดวงตาของนางว่างเปล่าเหมือนคนไร้วิญญาณนางคงแตกสลายไปหมด เจ้าช่วยปลดปล่อยนางหรือส่งตัวนางขายนางให้เป็นทาสเสีย และมีอีกทางหากเจ้าบอกว่าเจ้าแค้นตระกูลนางข้ามีทางเลือกให้เจ้าคือบั่นคอนางเสีย อย่าทำร้ายจิตใจของนางไปมากกว่านี้”“เฮอะ ! องค์ชายท่านช่างรู้ดีจริง ๆ ยังไงข้าก็ไม่ยอมยกนางให้ผู้ใดทั้งนั้น คำพูดของข้าพูดออกไปแล้วไม่คืนคำมิเช่นนั้นข้าจะปกครองทหารหลายพันนายได้ยังไง ที่ข้ายอมปล่อยนางไปวันนี้เพราะเห็นว่าท่านยอมแลกกับยศของท่านแถมยังไม่กลัวแปดเปื้อนไม่แน่พรุ่งนี้อาจจะมีข่าวลือแพร่สะพัดว่าองค์ชายสามเหลียงอวี้ปกป้องเชลยศึกของแคว้นหยางอัน ข้าขอให้ท่านรับ
บทที่ 12 หม่อมฉันจะรอร่างบางที่เคยมีใบหน้าอมชมพูผิวขาวราวหยวก บัดนี้ใบหน้าของนางขาวซีดเผือกริมฝีบางแห้งผากซีดจนแทบไม่เหลือความเป็นคนนอนอยู่ใต้ผ้าห่ม โดยมีไป๋หนิงซินอยู่ข้าง ๆ คอยเช็ดตัวให้นางอยู่ไม่ห่าง“นางเป็นเช่นไรบ้าง”“ท่านหมอบอกว่านางทนไม่ได้ที่ร่างกายถูกแดดแล้วมาถูกสายฝนเจ้าค่ะ ทำให้นางรับไม่ไหวจนจับไข้และเอ่อ...ท่านหมอบอกว่าร่างกายของนางด้านในรวมถึงชีพจรอ่อนเหลือเกินเจ้าค่ะ หากท่านแม่ทัพไม่ยอมให้นางพักและสั่งลงโทษนางอีกบัดนี้ข้าเกรงว่านางจะลาโลกจริง ๆ เจ้าค่ะ”“เจ้าเองก็ไม่ต่างจากเหลียงอวี้กล่าวหาว่าข้าเป็นคนผิดสินะที่ทำให้นางเป็นเช่นนี้ ทุกอย่างจะไม่เกิดขึ้นหากนางมิใช่บุตรสาวของจางชินหลง เป็นเพราะนางทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะนาง ”ไท่หยางเอ่ยจบเดินหันหลังออกจากห้องและยัดกระดาษเทียบยาให้แก่หลวนฮวานไปซื้อที่โรงยา“ช่วยไปจัดการให้ข้าที”“ขอรับ”จิตใจของไท่หยางเริ่มว้าวุ่น เขาทั้งโมโหทั้งเกรี้ยวโกรธแต่เมื่อได้ยินว่านางจะไม่มีชีวิตอยู่ต่อเขากลับรู้สึกเจ็บลึกที่หัวใจ เขาต้องดีใจมิใช่หรือที่แก้แค้นให้ท่านแม่ได้และทำให้นางเจ็บปวดแต่เหตุใดเขาถึงรู้สึกใจหายเช่นนี้ได้ ความคิดของเขาเริ่มสับสน
บทที่ 13 คุณหนูฟางหลานซือเรือนตระกูลฟางสตรีที่งดงามอีกนางที่มีใจรักมั่นคงต่อแม่ทัพหลิวไท่หยาง เฝ้าฝันหาเขาอยู่ทุกวัน วันนี้เป็นวันอากาศดีนางจึงจะเดินทางไปหาแม่ทัพไท่หยางที่จวน ตั้งสองตระกูลเป็นญาติห่าง ๆ แต่ทว่านางไม่อยากยอมรับเรื่องนี้ ต้องการเป็นสตรีที่ยืนเคียงข้างเขา“คุณหนูฟางหลานซือจะออกเดินทางไปที่จวนท่านแม่ทัพหลิวหรือขอรับ ข้าน้อยจะเตรียมเกี้ยวให้ขอรับ”“ใช่แล้วรีบไปเตรียมก่อนที่แดดจะร้อนไปมากกว่านี้ ” สตรีรูปคิ้วโค้งราวคันศรธนูถือพัดในมือพัดไปพัดมาพร้อมสั่งการบ่าวในเรือนให้ไปเตรียมเกี้ยว“คุณหนูเจ้าคะ ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้แม่ทัพหลิวพาตัวนางเชลยมาที่จวนด้วยเจ้าค่ะ”“แค่เชลยทำไมข้าต้องใส่ใจด้วย”“มิใช่เช่นนั้นสิเจ้าคะ นางเป็นเชลยก็จริงแต่ก็เคยเป็นสตรีทีท่านแม่ทัพหลิวรักหมดหัวใจ ทั้งสองเคยพูดคุยหารือกันเรื่องงานมงคลด้วย แต่ข้าได้ยินมาว่าครั้นนั้นนางมิได้แสดงตัวตนว่าเป็นบุตรสาวเรือนใดทำให้ท่านแม่ทัพไม่รู้ว่านางเป็นบุตรสาวของศัตรูเจ้าค่ะ” โจวลี่อิงสาวใช้ประจำกายของฟานหลานซือเอ่ยขึ้นเป็นเดือดเป็นร้อนแทนนายหญิงของตน“อะไรนะ ! แล้วท่านแม่ทัพพานางกลับมาที่จวนทำไมกันหรือว่ายังพิศวาสมัน
บทที่ 14 อย่าให้มือเจ้าแปดเปื้อนเลยดวงตาฟางหลานซือแข็งกร้าวด้วยความโมโหเมื่อถูกอวิ๋นหลิงดูถูกเหยียดหยาม เดินไปกระชากผมของอวิ๋นหลิงตบนางที่ใบหน้าด้วยแรงทั้งหมดที่มีจนเลือดที่ปากของนางไหลซึมออกมา“เจ้าสามหาวไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงคิดว่าตนเองเป็นบุตรสาวของท่านเจ้าแคว้นหรือ ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่ายามนี้เจ้าเป็นเพียงเชลยไม่มีสิทธิ์มาต่อปากต่อคำกับข้า” เท่านั้นนางยังไม่พอใจเรียกสาวใช้ของตนเองมาจับตัวของอวิ๋นหลิงเอาไว้“โจวลี่อิงเจ้ามาจับตัวของนางเอาไว้และจับมือของนางไว้บนโต๊ะนี่ ดูสิว่าไม่มีมือคอยทำงานเจ้าจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร” ฟางหลานซือหันไปเจอมีดทำครัวอยู่ตรงนั้นพอดีนางรีบเดินไปคว้ามาฟันที่มือของอวิ๋นหลิง สาวใช้ที่เคยถูกตัดมือยิ้มกริ่มออกมาเมื่ออีกฝ่ายจะโดนเหมือนตนไป๋หนิงซินคุกเข่าลงอ้อนวอนไม่ให้ฟางหลานซือลงมือทำร้ายอวิ๋นหลิง“คุณหนูอย่าทำอย่างนั้นเลย ข้าขอร้องนะเจ้าคะ”“ไม่ใช่เรื่องของเจ้าไม่ต้องมายุ่ง” ฟางหลานซือหันขวับจ้องมองไป๋หนิงซินดวงตาราวกับปีศาจจนนางต้องหันหน้าหนีด้วยความกลัว อวิ๋นหลิงพยายามปัดป้องไม่ให้ตัวเองโดนทำร้ายแต่ก็ถูกสาวใช้ของฟางหลานซือจับเอาไว้ ยากนักที่นางจะต่อต้านสายตาข
บทที่ 15 เสนาบดีจื่อเหมาเสียงหัวเราะคิกคักในห้องโถงเสียงดังมาถึงข้างนอกราวกับว่ามีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นไท่หยางก้าวเท้าเข้าไปด้านในเห็นเสนาบดีจื่อเหมาผู้ที่อ้วนถ้วนใบหน้าแก่ชราเครารุงรังเต็มใบหน้านี่หรือบุรุษที่มากรักไม่มีส่วนใดที่น่าหลงไหลเลยมีเพียงอำนาจเงินเท่านั้นที่ทำให้ผู้หญิงวิ่งเข้าหาเขาเพราะหวังสุขสบาย“ท่านใต้เท้าจื่อเหมาท่านมาที่นี่ไม่บอกไม่กล่าวข้าล่วงหน้าทำให้ข้าไม่ได้ต้อนรับเป็นอย่างดีข้าต้องขออภัยด้วยขอรับ” ไท่หยางประสานมือไปข้างหน้าโค้งตัวลงเล็กน้อยเพื่อเป็นการทักทาย ใต้เท้าเจ้าเล่ห์ยิ้มกริ่มก่อนจะผายมือให้ไท่หยางมานั่งที่เก้าอี้ตัวข้าง ๆ ราวกับที่นี่คือเรือนของตน“มิต้องมากพิธีข้าเดินทางผ่านมาเท่านั้นจึงแวะทักทายท่านแม่ทัพ ฟางหลานซือหลานสาวข้านะสิคะยั้นคะยออยากมาหาท่านเพราะความคิดถึง” ฟางหลานซือยิ้มอย่างเขินอายก่อนจะลุกขึ้นยอบตัวลงคารวะไท่หยาง“ข้าคิดถึงท่านแม่ทัพมากเพียงแค่ผ่านจวนของท่านหากไม่ได้แวะข้าคงนอนไม่หลับ เรื่องนี้ทำให้ท่านแม่ทัพที่มีงานจนล้นมือต้องลำบากต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ”“เรื่องแค่นี้ไม่ได้ทำให้ข้าเสียเวลาหรอก นั่งลงเถิดอีกไม่นานสาวใช้คงนำน้ำชาพร้อมกับขนม
บทที่ 16 แหลกสลายยามซวี (19.00)ที่ห้องโถงยังคงมีเสียงดังเอะอะเสียงหัวเราะของเสนาบดีที่พูดถูกคอกับท่านแม่ทัพไท่หยาง จนท้องฟ้ามืดสลัวสาวใช้ในห้องครัวเริ่มยกสำรับอาหารมาจัดแจงเพื่อต้อนรับแขกของท่านแม่ทัพ อาหารมากมายอยู่บนโต๊ะเต็มไปหมดทว่ายามนี้ฟางหลานซือกลับเรือนไปก่อนหน้าแล้วเพราะสิ่งที่นางต้องการคือการพาท่านอามาที่จวนของไท่หยางและต้องการให้ท่านอาได้พบเจอกับอวิ๋นหลิงต่อจากนี้นางคงต้องให้ท่านอาจัดการต่อ ส่วนตัวนางแสร้งทำเป็นสตรีที่ดีกลับเรือนก่อนที่ท้องฟ้าจะมืด“ท่านใต้เท้าเชิญดื่มด่ำกับอาหารของจวนข้าเต็มที่นะขอรับ ข้าจะไปแจ้งให้ทหารของข้าพาตัวนางเชลยไปรอท่านอยู่ที่ห้อง กินเยอะ ๆ นะขอรับจะได้มีแรงไว้เล่นกับนางทั้งคืน”“ฮ่า ฮ่า ท่านแม่ทัพนี่ร้ายไม่เบาจริง ๆ รู้ใจข้ายิ่งนักข้าละชอบท่านจริง ๆ ไม่ปิดบังความรู้สึก รู้สึกอะไรเอ่ยมาเช่นนั้น นี่สินะที่ปกครองทหารนับพันนาย ข้านับถือท่านจริงๆ ”เสนาบดีอ้วนท้วนรีบคว้าตะเกียบคีบกินอาหารที่อยู่ตรงหน้าอย่างเร่งรีบเพราะเขารอเวลาที่จะเชยชมหญิงงามไม่ไหวแล้วฝั่งด้านอวิ๋นหลิงยามนี้นางอาบน้ำล้างกายสวมอาภรณ์เตรียมตัวนอนเพราะงานของนางเสร็จสิ้นแล้วทว่าเมื่อเข
บทที่ 17 อับอายก่อนจะออกไปส่งใต้เท้าจื่อเหมาไท่หยางหันหน้าไปมองพร้อมกระพริบตาให้แก่หลวนฮวานพาอวิ๋นหลิงกลับไปที่ห้องพักของนาง หลวนฮวานพยักหน้าน้อมรับคำสั่งของนายท่านอุ้มร่างอวิ๋นหลิงไปที่ห้องของนางฝั่งด้านไป๋หนิงซินนางเป็นห่วงอวิ๋นหลิงจนนั่งไม่ติดพื้นเดินไปเดินมาทั่วห้องครานั้นนางได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมา นางรีบเปิดประตูออกไปดูเห็นสภาพของอวิ๋นหลิงรีบเอ่ยถามทันที“เกิดอะไรขึ้นทำไมนางถึงอยู่ในสภาพนี้”“เจ้าอย่าพึ่งเอ่ยถาม รีบเปิดประตูเถิดและช่วยหาอาภรณ์ของนางมาสวมให้นางเร็วเข้า” ไป๋หนิงซินพยักหน้ารีบเดินเข้าไปยามนั้นเองอวิ๋นหลิงตั้งสติได้นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแผ่วเบา“มิต้องไป๋หนิงซินข้าทำเองได้ หลวนฮวานปล่อยข้าลงเถิดมิต้องเป็นห่วงข้า ข้ามิได้เป็นอันใด”“หากเจ้าประสงค์เช่นนั้นข้าจะปล่อยเจ้าลง อย่างไรก็ให้ไป๋หนิงซินอยู่ข้าง ๆ เจ้าเถิด” หลวนฮวานก้มมองสตรีในอ้อมแขนรีบวางนางลงให้ก้าวเดินเอาเอง“ยามนี้ข้าตัดสินใจเลือกอันใดเองได้ด้วยหรือ ? เพราะไม่ว่าอย่างไรการกระทำของข้าก็ถูกนายของพวกเจ้าควบคุมบงการทุกอย่างเสมือนลูกไก่ในกำมืออยู่แล้ว” ความเจ็บปวดคล้ายมีมีดเฉือนเนื้อหนังบางส่วนออกจากร
บทที่ 18 ข้าไม่ได้ต้องการเช่นนี้ครั้นนั้นไท่หยางเดินมาถึงห้องของนางพอดีเห็นเงาที่ดิ้นทุรนทุรายผ่านแสงเทียนในห้อง ความเย็นยะเยือกแผ่ซ่านจากปลายเท้าถึงศีรษะประหนึ่งถูกสายฟ้าฟาดผ่านร่าง เปล่งเสียงดังเพื่อให้ไป๋หนิงซินรีบเปิดประตูอย่างเร่งด่วน“ไป๋หนิงซินรีบเปิดประตูเดี๋ยวนี้ ทำไมเจ้าถึงปล่อยให้นางอยู่เพียงลำพัง” ไป๋หนิงซินนั่งหันหลังให้ห้องจึงไม่ได้สังเกตที่เงาดำของอวิ๋นหลิง นางตกใจใบหน้าพลันเปลี่ยนสีเมื่อเห็นเงาของอวิ๋นหลิงที่ห้อยอยู่ที่ขื่อรีบเปิดประตูทว่าประตูกลับเปิดไม่ออก“ท่านแม่ทัพประตูถูกปิดจากด้านในเจ้าค่ะ ” น้ำเสียงแตกตื่นเอ่ยออกมาด้วยความตกใจมือไม้สั่นเทาทำอะไรไม่ถูก ยามนั้นไท่หยางจะชักช้าไม่ได้มิเช่นนั้นเขาจะเสียนางไปตลอดกาล“หลีกไป”ปัง !! เขากระโดดถีบประตูเพียงไม่กี่ครั้งประตูก็ถูกเปิดออก ยามนั้นหลวนฮวานก็รีบเดินตามหลังมาพอดี ทั้งสามที่เห็นภาพที่อยู่ต่อหน้าต่างพากันตกใจ หลิวไท่หยางหัวใจหนักอึ้งราวถูกถ่วงด้วยหินก้อนใหญ่ ไป๋หนิงซินรีบเข้าไปกอดตัวของอวิ๋นหลิงไม่ให้นางขาดอากาศหายใจ ก่อนจะเรียกสติของนายท่านที่ยืนอึ้งอยู่กับที่ให้ได้สติ“ท่านแม่ทัพรีบช่วยนางสิเจ้าคะ ” เสมือนสติท
บทที่ 28 ปล่อยวางอวิ๋นหลิงเงยหน้าขึ้นมองไปด้านอื่นน้ำตาไหลรินไม่ต่างกัน ความเจ็บปวดที่นางพบเจอล้วนแต่เป็นเขาที่เป็นคนทำมัน ความปวดร้าวเรื่องราวที่ผ่านมาจะให้นางให้อภัยได้อย่างไร เขายังคงกอดขานางแน่น อวิ๋นหลิงไตร่ตรองเป็นอย่างดีก่อนจะเอ่ยมาทำลายความเงียบภายในห้อง“แต่มีทางหนึ่งที่ท่านสามารถทำให้ข้าให้อภัยท่านได้ ” ไท่หยางเงยหน้าขึ้นจ้องมองนาง รีบลุกขึ้นไม่ว่านางจะให้เขาทำอะไรข้ายอมทั้งนั้นหากมันจะทำให้นางให้อภัยเขาได้ และเขาจะได้ไถ่โทษกับตระกูลของนาง“ไม่ว่าเจ้าจะให้ข้าทำอะไร ข้าทำให้เจ้าได้ทั้งนั้นหากเจ้ายอมให้อภัยข้าในสิ่งที่ผ่านมา”“ปล่อย.. ปล่อยข้าไปอย่าได้รั้งกันไว้อีกเลย เพียงเท่านี้เราทั้งสองก็เจ็บปวดมามากพอแล้ว ข้าไม่อาจทนเห็นใบหน้าของท่านได้อีกความเกลียดความแค้นมันมากมายเหลือเกิน เพียงเห็นใบหน้าของท่าน ข้าก็อดที่จะคิดถึงเรื่องราวที่ท่านเคยทำไว้ไม่ได้ ได้โปรดปล่อยข้าไปเสีย ข้าจะอภัยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเราหมดวาสนาต่อกันเพียงเท่านี้เถิด ข้าเหน็ดเหนื่อยไม่อยากจะพบเจอเรื่องเช่นนี้อีกต่อไป ...” ไท่หยางหมดเรี่ยวแรงปล่อยมือออกจากกายของนาง ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมที่ตนเองก่อขึ้นมา“ข้ารู้ว
บทที่27 ความจริงที่แสนเจ็บปวดครั้นสองเท้าย่างกรายออกมาด้านนอกบัดนี้กองกำลังของเขาถูกล้อมไปด้วยทหารของแคว้นหยางอันจนหมดสิ้น โดยมีแม่ทัพหลิวไท่หยางยืนรอเขาอยู่ด้านหน้าจวน“เจ้าช้ากว่าข้าไปหนึ่งก้าว ยอมแพ้แต่โดยดีเพราะตอนนี้แคว้นของเจ้าถูกคนของข้าล้อมรอบไว้หมดแล้ว” ไท่หยางป่าวประกาศน้ำเสียงเข้มขรึมน่าเกรงขาม อีกฝ่ายกลับหัวเราะออกมาอย่างขบขัน นี่เขาพลาดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน“ฮ่า ฮ่า เจ้าคิดว่าเพียงแค่นี้ข้าจะยอมแพ้หรือ แคว้นฉู่ของข้า ยอมตายแต่ไม่ยอมลดศักดิ์ศรีเด็ดขาด พวกเราลุกขึ้นสู้เพื่อแคว้นของเรา” ชางถิงพูดปลุกใจของเหล่าทหารชั่วพริบตาเดียวกองทัพทหารของแคว้นฉู่ได้วิ่งกรู่ออกมาอีกจำนวนมาก เริ่มปะทะสู้กันอย่างดุเดือด ยามนี้แคว้นฉู่นองเลือดจนกลิ่นคละคลุ้งผู้คนเริ่มล้มตายจากการต่อสู้ และแล้วเขาก็ตกอยู่ใต้ดาบของหลิวไท่หยาง กายเต็มไปด้วยเลือดของศัตรูอาบใบหน้า ถือดาบจ่อที่คอของชางถิง“ฮ่า ฮ่า ในที่สุดเจ้าก็ชนะข้า เอาสิบั่นคอข้าไปเลยเจ้าจะได้นำชัยชนะกลับไป เอ๊ะเดี๋ยวสิ! ข้าจะบอกแก่เจ้าก่อนแล้วกัน ข้าได้ยินมาว่าจับตัวบุตรสาวของจางชิงหลงแคว้นหนานไฮ้ไปเพื่อแก้แค้นนางใช่หรือไม่ อีกอย่างเจ้าเองก็ลงมื
บทที่ 26 รับไว้เพียงไมตรีมิอาจจะรับความรักของท่านได้ฝั่งด้านอวิ๋นหลิงตั้งแต่หลังจากกลับมาจากวันนั้น นางไม่ได้พบเจอหน้าไท่หยางอีกเลย ได้ยินผ่านจากไป๋หนิงซินว่าเขาปลอดภัยดีนางเองก็สบายใจทำงานเหมือนอย่างเคย แม้จะอยู่ห้องใกล้ ๆ กันกับเขาแต่ทว่านางไม่เคยคิดจะก้าวเข้าไปหาเขาเลยด้วยซ้ำ“เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ ? ” ไป๋หนิงซินยื่นหมั่นโถวให้นางพลางย่อนกายนั่งลงข้าง ๆ ช่วงนี้เหมือนหิมะจะหยุดตกแล้วทว่ายังมีความเยือกเย็นหลงเหลืออยู่ในอากาศ หมั่นโถวร้อน ๆ พอทำให้คลายหนาวได้บ้าง“ขอบใจนะ ข้าเพียงแค่คิดว่าหากข้าไม่กลับมาเจ้าจะเป็นอย่างไร คิดถึงข้าบ้างหรือไม่?”“ถามมาได้ขนาดเจ้าหายไปเพียงหนึ่งคืนข้าแทบนอนไม่หลับ กระวนกระวายไปหมดไม่เห็นหรือไงว่าข้าดีใจแค่ไหนที่เจ้ากลับมา ” ไป๋หนิงซินเอ่ยพลางกินหมั่นโถวเข้าปากคำใหญ่“นั่นสินะ ... ถ้าตอนนั้นข้าเลือกที่จะทิ้งไท่หยางและหนีไปตอนนี้ชีวิตของข้าจะเป็นอย่างไรนะ”“อย่าบอกนะว่าเจ้ามีโอกาสหนียามที่ท่านแม่ทัพได้รับบาดเจ็บนะ”“อื้ม ...แม่ทัพของเจ้าบอกให้ข้าหนีไปยามมีโอกาสแต่ไม่รู้ทำไมข้าถึงไม่หนีกันนะ อาจจะเป็นเพราะว่าข้าเกรงว่าเจ้าจะร่ำไห้เพราะเป็นห่วงข้านะสิ ฮึ ฮึ”
บทที่ 25 แม่ทัพถูกโจมตีจวนแม่ทัพหลิวไท่หยางไป๋หนิงซินเฝ้ามองไปที่ประตูจิตใจกระวนกระวายเป็นห่วงอวิ๋นหลิง นี่ก็ยามซวี (19.00) แล้วทั้งสองคนยังไม่กลับเข้าจวนอีกทั้งหิมะก็ตกแรงมากกว่าเดิม นางมิอาจจะเก็บความเป็นห่วงเอาไว้ได้รีบย่างกรายไปหาหลวนฮวานที่ยืนอยู่หน้าห้องของแม่ทัพไท่หยาง“หลวนฮวานทำไมท่านถึงใจเย็นได้ ไม่ร้อนใจเลยหรือ?เมื่อไหร่ท่านแม่ทัพจะพาอวิ๋นหลิงกลับจวน ข้าชักเป็นห่วงจริง ๆ หวังว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับท่านแม่ทัพหรอกใช่มั้ย”“เจ้าอย่าเป็นกังวลไปเลย ท่านแม่ทัพมีฝีมืออีกไม่นานก็คงกลับมา” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้นแต่ใจของหลวนฮวานก็เป็นห่วงท่านแม่ทัพเช่นเดียวกัน ทว่ายามนั้นมีทหารใบหน้าแตกตื่นวิ่งเข้ามาแจ้งให้หลวนฮวานได้รับรู้“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”“เรื่องอะไรกันทำไมเจ้าถึงได้รีบร้อนวิ่งมาถึงเพียงนี้”“ข้าออกไปดื่มสุราที่โรงเตี๊ยมมาเมื่อครู่ได้ยินเรื่องของท่านแม่ทัพ มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ หุบเขามาพูดคุยกันเรื่องของแม่ทัพไท่หยางเขาขึ้นไปเก็บสมุนไพรและเห็นว่าท่านแม่ทัพกำลังถูกคนของแคว้นฉู่ไล่ล่า คนของพวกนั้นมากันมาเหลือเกินไม่รู้ว่าป่านนี้ท่านแม่ทัพจะเป็น
บทที่ 24 หนีไปสิตอนที่เจ้ามีโอกาสสีหน้าของเขาเริ่มซีดเซียวขาวเผือกไร้เลือดฝาด นางพยุงเขาเข้ามาด้านในพร้อมจับเขานั่งลงพิงผนังหิน กลิ่นเลือดคละคลุ้งเต็มอากาศยังคงไหลไม่หยุด อวิ๋นหลิงจ้องมองฝ่ายตรงข้ามพร้อมครุ่นคิดหากนางจะใช้โอกาสนี้ในการหลบหนีคงไม่ยากเพราะเขาคงไม่มีเรี่ยวแรงจะตามนางได้ทันแน่ ๆ นางต้องการหลุดพ้นจากเขาจึงช่างใจคิดครู่ใหญ่ และเหมือนว่าไท่หยางจะรู้ถึงความคิดของนาง“เจ้าคงคิดอยากจะทิ้งข้าไว้และหนีข้าไปสินะ เอาสิยามนี้เป็นเวลาที่เจ้าจะได้หลุดพ้นจากเนื้อมือของข้าแล้ว โอกาสที่เจ้าจะหนีจากข้ามาถึงแล้วปล่อยให้ข้ารอความตายอยู่ที่นี่โดยมิต้องใส่ใจข้า แต่ถ้าหากว่าข้ารอดไปได้ข้าจะตามหาเจ้าต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินทั่วใต้หล้าข้าก็จะตามหาเจ้าให้เจอ เมื่อนั้นอย่าหวังว่าจะหนีข้าไปได้เพราะข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปอีก” น้ำเสียงแหบพร่าคล้ายคนกำลังหมดแรงเอ่ยออกมาโดยใช้กำลังทั้งหมด อวิ๋นหลิงเริ่มลังเล หากนางจะหนีเขาไปนางจะไม่มีทางให้เขาหานางได้พบเลย นางหันไปมองหน้าถ้ำก่อนจะหันกลับมามองไท่หยางอีกครา ถอนหายใจเฮือกใหญ่ลุกขึ้นยืนและวิ่งออกไปจากถ้ำทันที ปล่อยให้เขาอยู่ในถ้ำรอความตายและทนความเจ็บปวดที่กำ
บทที่ 23 จำไม่ได้‘คำพูดของนางทำให้จิตใจของข้าสั่นคลอนได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ ?’ “เฮ้อ ! เจ้าคิดว่าเจ้าพบเจอเพียงเท่านี้แล้วข้าจะหายโกรธแค้นหรืออย่างไรกัน เพียงเท่านี้ยังน้อยไปกับที่ท่านแม่ข้าพบเจอ เลิกทำสายตาสีหน้าเบื่อโลกเสียข้าบอกแล้วอย่างไรว่าข้าไม่มีทางให้เจ้าตายจากข้าไปง่าย ๆ ที่ข้าพาเจ้ามาที่นี่เพราะอยากตอกย้ำความเจ็บปวดเจ้าเท่านั้น เจ้าจำที่นี่ไม่ได้เลยหรือ” อวิ๋นหลิงหมดสิ้นความหวังที่เขาจะผลักนางลงเหว เขาก็ยังคงเป็นเช่นนี้เสมอเป็นชายที่ไร้ใจอำมหิตไม่ยอมปล่อยให้นางได้ทำตามความปรารถนานางกวาดสายตามองไปด้านหน้า เทือกเขาสูงชันแม้ท้องฟ้าจะไร้แสงอาทิตย์แต่นางยังคงมองเห็นทิวทัศน์ด้านล่างได้อย่างชัดเจน แต่ทว่าความทรงจำของอวิ๋นหลิงกลับจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าที่นี่มีความหมายต่อนางอย่างไร แล้วทำไมนางต้องเจ็บปวดด้วยเล่า“ข้าไม่เห็นอันใดแม้แต่น้อยเห็นแต่หุบเขา ท่านต้องการสิ่งใดกับข้ากันแน่ หากไม่ต้องการผลักข้าตกเหวแล้วสิ่งใดกันในที่นี่จะทำให้ข้าเจ็บปวด ” น้ำเสียงนิ่งเรียบตอบกลับอย่างไร้ความรู้สึก ทำให้อีกฝ่ายโมโหขึ้นทันตา เพราะสถานที่นี้คือที่ที่เขาเคยพานางเมื่อยามที่รักกันปานจะกลืนกินก่อนที
บทที่ 22 ปล่อยข้าไปเถอะ“ปล่อยข้าเถอะนะ ข้าไม่ต้องการไม่ว่าท่านต้องการให้ข้าทำอย่างไรข้าจะยอมทำตามทุกอย่าง ได้โปรดอย่าทำเช่นนี้กับข้าเลย”ไฟราคะปะทุในกายจนรุ่มร้อนไปหมดเขาไม่อาจจะหยุดและทำตามคำพูดของนางได้ เงยหน้าขึ้นจ้องมองหน้าอีกฝ่ายพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ข้าหยุดไม่ได้ หากทุกอย่างไม่เป็นแบบนี่เจ้ามิใช่บุตรของจางชิงหลงและข้ามิใช่ท่านแม่ทัพเราทั้งสองคงได้เป็นสามีภรรยามีบุตรเต็มเรือนเหมือนผู้อื่น ข้าหยุดไม่ได้จริง ๆ ข้าต้องการเจ้า” ใจของอวิ๋นหลิงสั่นไหวไม่ว่าจะทำอย่างไรก็มิอาจจะหยุดเขาได้ ข้างในแตกสลายไปหมดความขื่นขมมืดมนกลับมาอีกครั้ง นอนทรมานใจในความชั่วช้าบ้ากามเลือดร้อนของไท่หยาง เขาไม่แม้แต่จะสนใจเสียงสะอึกสะอื้นของนางด้วยซ้ำ สนใจแต่เรือนร่างที่ถูกเขาย่ำยีอย่างสมฤทัยร่างเล็กนอนขดอยู่บนเตียงไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่นางเจ็บปวดจนสลบไป ลืมตาขึ้นมาอีกครายามนี้ในห้องมืดสลัวไปหมด ลมพัดผ่านผิวกายเย็นยะเยือก ร่างกายเจ็บระบมไปหมดเพียงจะขยับกายนางยังแทบไม่อยากจะดิ้นด้วยซ้ำ ช่วงล่างระหว่างขาเจ็บแปลบขึ้นมา‘การที่เขาทำเช่นนี้ไม่ต่างจากข้าถูกข่มขืนแม้แต่น้อย นี่หรือคำว่ารักของเขา ไม่ว่ากี่คร
บทที่ 21 อย่าให้รังเกียจไปมากกว่านี้“ใช่แล้วเจ้าค่ะ แต่ยังไม่มีบุรุษเรือนใดมาเยี่ยมเยือนข้าเลย แต่ข้ามีบุรุษในดวงใจแล้วเจ้าค่ะ ”“ข้าพอจะรู้ว่าบุรุษที่เจ้าหมายใจคือผู้ใด แต่ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้เลยอย่าคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องที่เสนาบดีจื่อเหมามาที่เรือนคราวก่อน มิใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นเพราะเจ้าไปบอกกล่าวถึงการมีตัวตนของอวิ๋นหลิงและชักชวนเขามาที่นี่ ไม่ว่าข้าจะมีอวิ๋นหลิงในใจหรือไม่มีใจของข้าก็ไม่มีเจ้า และไม่เคยคิดจะสนใจเจ้าแม้แต่น้อยหยุดการกระทำของเจ้าก่อนที่ข้าจะอดทนต่อไปไม่ได้ ต่อจากนี้มิต้องมาหาข้าที่นี่อีก” ใบหน้าของฟางหลานซือพลันเปลี่ยนสีรอยยิ้มเมื่อครู่จางหายไปในชั่วพริบตา“ข้าไม่รู้เรื่องนะเจ้าคะ ท่านอากับข้าผ่านมาทางนี้ไม่ได้ตั้งใจมาจริง ๆ นะเจ้าคะ”“อย่าเสแสร้งทำให้ข้ารังเกียจเจ้ามากกว่านี้เลยข้าอยากจำเจ้าให้เจ้าเป็นน้องสาวที่ข้าเอ็นดูเสมือนยามเด็ก กลับไปเสียและเรื่องที่เกิดขึ้นข้าจะไม่แจ้งท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าเพราะยังไว้หน้า หากเจ้ายังละลานข้าจะนำเรื่องนี้ไปแจ้งท่านพ่อของเจ้าเสีย”“ข้าไม่มีทางยอม ท่านแม่ทัพใจร้ายยังไงท่านก็ไม่มีทางครองรักกับนางเชลยนั่นเด็ดขาด ไม่ว่ายังไงก็ไม่มี
บทที่ 20 หิมะแรกท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีลมหนาวเริ่มพัดผ่านร่างบางหนาวสั่น หลังจากที่กินอาหารร่วมโต๊ะกับไท่หยางเขายังคงไม่ปล่อยให้นางกลับไปที่ห้องที่เคยพักแต่ทว่ากลับพานางมาอีกห้องที่อยู่ใกล้ห้องเขามากกว่าเดิม สองเท้าก้าวเข้าไปในห้องตามหลังเขาไปติด ๆ ภายในห้องเสมือนถูกจัดแต่งไว้สำหรับสตรี ในห้องอบอุ่นเหมือนมีไอความร้อนทำให้อุ่น สายตาของอวิ๋นหลิงกวาดสายตามองเตียงนอนที่ตั้งอยู่ต่อหน้ากว้างใหญ่และมีฟูกหนานุ่ม ผ้านวมผืนหน้าต่างจากที่นางเคยใช้อยู่กับไป๋หนิงซิน อีกทั้งยังมีโต๊ะเครื่องแป้งและคันฉ่องบานใหญ่ ในห้องมีไป๋หนิงซินกับหลวนฮวานยืนคอยอยู่ก่อนหน้านี้แล้วผ้าไหมกองใหญ่ถูกวางอยู่บนโต๊ะกลางห้องนั่นคงเป็นผ้าที่ไท่หยางสั่งให้หลวนฮวานไปจัดเตรียมมา‘คิดจะทำอันใดกันแน่ ข้าไม่เข้าใจเลยสักนิด’“ของพวกนี้และห้องนี้จะเป็นที่อยู่ของเจ้าต่อจากนี้ ห้ามปฏิเสธและขัดคำสั่งข้า มิเช่นนั้นข้าจะสั่งโบยแม่บ้านซูที่เลือกและจัดห้องให้เจ้าไม่ดี”“ท่านมันมิใช่คน แต่เป็นหมาบ้าสัตว์ร้ายที่พร้อมจะกัดผู้อื่นอย่างไม่เลือกหน้า ในเมื่อท่านแค้นข้าแล้วจะไปทำผู้อื่นทำไมกัน ในเมื่อข้าเลือกอันใดไม่ได้แม้กระทั่งความตายข้าก็จะทำ