บทที่ 10 ผู้ใดเล่าจะกล้าขัดคำสั่ง
ฝั่งด้านเหลียงอวี้หลังจากที่เขากลับมาจากจวนหลิวไท่หยางเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องของจางอวิ๋นหลิง ดวงตาของนางว่างเปล่าใบหน้าอมทุกข์ไร้ชีวิตชีวายิ่งทำให้เขาเป็นห่วงนางจับใจ หากจะคิดหาหนทางช่วยเหลือนางออกมาก็กลัวถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏพาบุตรสาวของศัตรูหลบหนี แต่ก็อดเป็นห่วงนางไม่ไหวตัดสินใจไปหานางที่จวนของแม่ทัพไท่หยาง เขาไม่เชื่อว่าสหายของเขาจะหมดรักนางรวดเร็วป่านนี้เพียงเพราะยามนี้ใจของไท่หยางมีความแค้นต่อพ่อของนางมากกว่า
แดดเริ่มแรงเมื่อถึงยามอู่ (11.00) วันนี้อากาศแปรปรวนลมพัดแรงอีกทั้งยังมีเมฆครึ้มจับตัวเป็นก้อน ๆ คล้ายจะมีพายุฝน
“ท่านแม่ทัพจะปล่อยให้นางนั่งอยู่เช่นนั้นหรือขอรับ ข้าว่าอากาศเริ่มไม่ดีแล้ว”
“เจ้าจะไปห่วงนางทำไมกัน ในเมื่อนางปากแข็งไม่ยอมรับในสิ่งที่ตนเองรู้อยู่แก่ใจแถมยังเสแสร้งอีก ในเมื่อนางอวดดีก็ปล่อยให้นางนั่งอยู่เช่นนั้นต่อไป ไม่ว่าจะเกิดพายุโหมกระหน่ำหรือหิมะตกลงมาอย่างบ้าคลั่งก็ปล่อยให้นางนั่งอยู่หน้าห้องจนกว่าข้าจะได้ยินคำอ้อนวอนยอมแพ้ของนางถึงจะยอมสั่งให้นางเข้าร่ม”
ไท่หยางเหลือบตามองไปด้านนอกเห็นสตรีที่ดื้อด้านไม่ยอมเอ่ยคำยอมแพ้ออกมายิ่งทำให้เขาโมโหมากกว่าเดิม เพียงแค่คำเดียวนางยังทำไม่ได้จะรักศักดิ์ศรีไปถึงไหน
‘เพียงศักดิ์ศรีจะรักไปทำไมในเมื่อชีวิตของเจ้าเจ้ายังไม่รักอยากตายหนีข้าในทุกเมื่อที่มีโอกาส’ ไท่หยางคิดในใจก่อนจะลุกขึ้นเดินหนีไปที่ห้องอ่านตำราเขาจะรอจนกว่าได้ยินคำอ้อนวอนของอวิ๋นหลิงถึงจะพอใจ
เวลาผ่านไปไม่นานจู่ ๆ ลมพัดกระโชกแรงฝุ่นฟุ้งกระจายท้องฟ้ามืดครึมที่แต่อวิ๋นหลิงไม่แม้แต่จะรู้สึกกลัว
“วันนี้อากาศคงจะช่วยข้าไม่ให้ข้าได้ตากแสงแดดทั้งวัน หากเป็นเช่นนี้วันนี้ข้าคงไม่สลบไปเช่นดั่งวันนั้น” นางเอ่ยพึมพำก่อนจะก้มหน้าลงต่ำเช่นเดิม
ทว่า 2 ยามผ่านไปท้องฟ้าไร้แสงแดดมีเพียงก้อนเมฆปกคลุมท้องฟ้าเม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงมาไม่แรงนัก หลวนฮวานเห็นอาการไม่ดีจึงได้รีบเดินไปแจ้งท่านแม่ทัพไท่หยางอีกครั้ง ใบหน้าของอวิ๋นหลิงแดงออกไหม้จากแสงแดดหากสตรีนางนี้ถูกน้ำฝนตกใส่นางอาจจะจับไข้ได้
“ท่านแม่ทัพยามนี้ท้องฟ้าเริ่มมีฝนโปรยปราย ได้โปรดสั่งการให้นางกลับไปพักเถอะขอรับข้าเกรงว่านางจะจับไข้เอาได้ยิ่งร่างกายของนางอ่อนแออยู่ด้วย” ไท่หยางวางตำราลงจ้องมองไปนอกหน้าต่างแสยะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย
“เจ้าจะสนใจไปใยนางเป็นเพียงเชลยไม่มีความสำคัญต่อข้า ข้าบอกแล้วอย่างไรต่อให้ฟ้าจะทล่มลงมาหากนางยังไม่เอ่ยปากออกมาแม้แต่คำเดียวก็ปล่อยให้นางอยู่เช่นนั้น” หลวนฮวานประสานมือก้มหัวลงเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไปที่หน้าตำหนักครานั้นเห็นไป๋หนิงซินกำลังเดินไปหาอวิ๋นหลิงและเกลี้ยกล่อมให้นางยอมรับและเอ่ยปากอ้อนวอนต่อท่านแม่ทัพ
“อวิ๋นหลิงยามนี้ฝนเริ่มลงเม็ดมาแล้วเจ้ารีบขอโทษและอ้อนวอนต่อท่านแม่ทัพเสียเถอะ อย่าได้ปากแข็งและรักศักดิ์ศรีเลย ”
“ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดทำไมข้าต้องขอโทษด้วยเล่า ในเมื่อเขาต้องการให้ข้านั่งอยู่เช่นนี้ข้าจะไม่ยอมลุกจนกว่าเขาจะพึงพอใจ เจ้าก็รู้นี่ยังไงนายท่านของเจ้าไม่ยอมปล่อยข้าไปง่าย ๆ เขาไม่ยอมให้ข้าตายง่าย ๆ หรอกเจ้ามิต้องเป็นห่วงกลับไปที่ห้องเถิดเดี๋ยวเจ้าจะเปียกเอา” ริมฝีปากแห้งผากตอบกลับไป๋หนิงซินด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ไป๋หนิงซินส่ายหัวไปมาไม่เข้าใจทั้งสองคนนี่เลย ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางจะทำอะไรได้นอกจากลุกขึ้นและเดินจากไปก่อนจะเดินจากไปนางได้หันมาพูดกับอวิ๋นหลิงหนึ่งประโยค
“ข้าหวังว่าสิ่งที่เจ้าต้องการจะมาถึงในเร็ววัน ข้าไม่อยากเห็นเจ้าต้องเจ็บปวดอีกต่อไปในเมื่อสิ่งนั้นคือความปรารถนาของเจ้า แต่ใจจริงของข้าไม่ได้อยากให้เป็นเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย” อวิ๋นหลิงยิ้มจาง ๆ ให้ไป๋หลินซินพลางจ้องมองแผ่นหลังของนางจนกระทั่งฝนเริ่มลงเม็ดใหญ่กว่าเดิมอีกทั้งยังมีลมแรงกระหน่ำมา ทำให้ร่างกายที่ถูกแดดมาครึ่งวันเริ่มหนาวสั่นถึงกระดูก นางเงยหน้ามองท้องฟ้าน้ำฝนหล่นลงบนใบหน้า นางมีหรือจะกลั่นอารมณ์ยามนั้นไหว ขนาดท้องฟ้ายังร่ำไห้อวิ๋นหลิงสะอึกสะอื้นน้อยใจโชคชะตาและเจ็บปวดในสิ่งที่กำลังถูกกระทำอยู่เช่นนี้
ครั้นนั้นสายฝนใกล้ตัวนางกลับหยุดลงนางคิดว่าฝนหยุดตกแต่เมื่อมองไปรอบ ๆ ฝนยังคงตกและตกมากกว่าแรงด้วยซ้ำ
“เกิดอะไรขึ้นทำไมเจ้าถึงได้มานั่งคุกเข่าอยู่หน้าห้องของไท่หยางทั้ง ๆ ที่ฝนตกเช่นนี้ เจ้าไม่รักตนเองเลยหรือไง หรือเพราะว่าไท่หยางลงโทษเจ้าอีกแล้วสินะ ข้ารู้ว่าเจ้าเจ็บปวดแต่อย่างทำเช่นนี้เลยลุกขึ้นเถิด ข้าจะช่วยพูดกับไท่หยางเอง” เส้นเลือดปูดบวมในมือกำร่มคันเล็กยื่นมาปิดบังน้ำฝนไม่ให้โดนตัวของอวิ๋นหลิง น้ำเสียงเกรี้ยวกราดจ้องมองลงมายังนางที่นั่งคุกเข่าอยู่ท่ามกลางสายฝน ตอนที่เขามาถึงหน้าจวนของไท่หยางเริ่มเห็นว่าท้องฟ้าอึกครึ้ม
เขาเดินมาเรื่อย ๆ ได้ยินเสียงพูดคุยของสาวใช้กำลังพูดถึงเรื่องของเชลย เขารีบเข้าไปถามและได้รู้ว่าตอนนี้นางถูกลงโทษให้นั่งคุกเข่าตั้งแต่ช่วงเช้ามืด จนถึงตอนนี้แม้แต่น้ำหยดเดียวก็ไม่ให้นางได้กิน ทำให้เขาโมโหเพราะเมื่อวานนางพึ่งผ่านความเป็นความตายมา แม้จะรู้ว่าสหายจะเสียใจและเจ็บแค้นเพียงใด แต่ทำถึงเพียงนี้มันไม่โหดร้ายเกินไปหน่อยหรือ ? ครั้งนี้เขาจะไม่ยอมอยู่เฉย ๆ แน่ต่อให้ต้องตัดขาดกับสหายรักเขาก็จะยอม
“อย่าเลยเพคะ หม่อมฉันไม่อยากให้องค์ชายต้องผิดใจกับสหายของท่าน ความหนาวเหน็บหรือแม้แต่ความทุกข์ทรมานที่หม่อมฉันพบเจอคงยังไม่สาสมแก่ใจของท่านแม่ทัพ อีกอย่างหม่อมฉันเป็นเชลยต่อให้ต้องนั่งตากแดดตากฝนอยู่เช่นนี้สามวันสามคืนหม่อมฉันก็มิอาจขดคำสั่งได้ อีกอย่างหม่อมลำบากมามากพอแล้วหากจะเป็นการดีถ้าสวรรค์ได้ยินคำอ้อนวอนให้หม่อมฉันและให้ร่างกายรับไม่ไหวจับไข้จนหมดลมหายใจท่ามกลางสายฝนในครั้งนี้ หม่อมฉันเหนื่อยเหลือเกินเพคะ” เสียงสั่นสะอื้นนัยน์ตาคลอแดงความเจ็บปวดของนางและความขมขื่นที่นางพบเจอส่งผ่านคำพูดและแววตาของนางจนหมด ทำให้เหลียงอวี้มิอาจจะทนดูได้ตะโกนออกมาเสียงดัง
“ข้าองค์ชายสามเหลียงอวี้ขอสั่งให้เชลยนางนี้ลุกขึ้นกลับห้องพัก ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งของผู้ใดที่สั่งลงโทษนางหากผู้ใดขัดคำสั่งข้าเท่ากับดูหมิ่นไม่ฟังคำพูดของเชื้อพระวงศ์ถือว่าตั้งตนเป็นกบฏกับข้าทันที ” เสียงน่าเกรงขามดังขึ้นทหารที่อยู่แถวนั้นเริ่มมองหน้ากันไปมา ไม่ว่าจะทางไหนเขาก็ไม่อยากจะขัดคำสั่งเพราะกลัวถูกลงโทษ
ครานั้นไท่หยางได้ยินเสียงดังเอะอะแข่งกับเสียงของสายฝนเขาเดินออกมาเห็นเหลียงอวี้ยืนถือร่มให้อวิ๋นหลิงและคำพูดของเขาเมื่อครู่ เขาได้ยินชัดเจนพยักหน้าให้ทหารยอมทำตามคำสั่งขององค์ชายสาม เขาจ้องมองไปยังร่างกายที่เปียกโชกราวกับไก่ต้มใบหน้าแดงจากแดดไหม้แต่ก็ซีดขาวไร้เลือดฝาดตัวสั่นเทาในร่มใต้เงาของเหลียงอวี้
“ผู้ใดจะกล้าขัดคำสั่งขององค์ชายสามกันเล่า ข้าจะยอมยกโทษครั้งนี้ให้แก่นางเพราะเห็นแก่องค์ชายก็แล้วกัน เชิญท่านเข้ามาด้านในก่อนเถอะส่วนเจ้าคงยังมีเรี่ยวแรงเดินกลับห้องอย่ามาโอดครวญทำเป็นไร้เรี่ยวแรงให้ผู้ใดสงสารอีก ” อวิ๋นหลิงเงยหน้าไปสบตากับไท่หยางใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทำให้ใจของเขาสั่นไหวและเจ็บจี้ดที่กลางหน้าอกรีบหันหน้าหนีนางและเดินเข้าห้อทันที
“กลับไปที่ห้องอย่าลืมกินยาด้วยล่ะ เปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ของเจ้าและนอนพักเรื่องวันนี้เจ้ามิต้องคิดมากและกลัวว่าจะสร้างปัญหาให้แก่ข้า ข้าเต็มใจช่วยเหลือเจ้าเสมอ” น้ำเสียงอ่อนนุ่มแววตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนเอ่ยกับอวิ๋นหลิงทำให้นางอบอุ่นหัวใจอย่างน้อยในชีวิตครั้งนี้มีคนที่ใจดีกับนางอยู่บ้าง นางพยักหน้าลุกขึ้นยอบตัวลงเพื่อขอบคุณน้ำใจไมตรีของเขาในครั้งนี้และครั้งที่แล้ว
“ไม่ว่าจะเป็นเมื่อวานหรือวันนี้ล้วนเป็นท่านที่ยื่นมือช่วยเหลือหม่อมฉัน หม่อมฉันจะจดจำใส่ใจเอาไว้มิขอลืมเพคะ”
“ตอนนี้เจ้าติดหนี้บุญคุณข้าแล้ว หากเจ้าอยากตอบแทนข้าอยากให้เจ้าเลิกมีแววตาที่หมองหม่นโศกเศร้าและชีวิตต่อจากนี้ให้มีความสุขแม้ว่าเจ้าจะเป็นเชลยก็ตาม ข้าสัญญาข้าจะหาทางช่วยเหลือเจ้าออกจากจวนแห่งนี้เอง ” เพียงได้ยินคำปลอบโยนราวกับว่าเขามอบชีวิตใหม่ให้แก่นาง หากเขาทำเช่นนั้นได้นางจะเปลี่ยนความคิดใหม่ และพยายามรักษาชีวิตให้อยู่รอดจนกว่าองค์ชายสามจะช่วยนางออกไปจากที่นี่ หากออกไปได้เมื่อไหร่นางจะขอใช้ชีวิตอยู่เงียบ ๆ ทำราวไม่มีตัวตนอีกเลย ในเมื่อการตายมันยากนักต่อจากนี้นางจะมีชีวิตอยู่ต่อไป
“หากทำได้ชั่วชีวิตนี้ข้าก็ไม่ต้องการอะไรแล้วเพคะ หม่อมฉันหวังว่าวันนั้นจะมาถึงในเร็ววัน และข้าจะรักษาชีวิตรอวันที่ท่านช่วยปลดปล่อยข้าออกไปได้นะเพคะ” นางยอบตัวลงก่อนจะเดินจากเหลียงอวี้นางยิ้มจาง ๆ ให้เขารู้ว่านางเริ่มเปลี่ยนใจและอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ทำให้เขาเริ่มรู้สึกดีใจและมีกำลังใจที่จะทำให้นางต่อจากนี้ไม่ว่าจะวิธีใดเขาจะช่วยนางสุดกำลัง
บทที่ 28 ปล่อยวางอวิ๋นหลิงเงยหน้าขึ้นมองไปด้านอื่นน้ำตาไหลรินไม่ต่างกัน ความเจ็บปวดที่นางพบเจอล้วนแต่เป็นเขาที่เป็นคนทำมัน ความปวดร้าวเรื่องราวที่ผ่านมาจะให้นางให้อภัยได้อย่างไร เขายังคงกอดขานางแน่น อวิ๋นหลิงไตร่ตรองเป็นอย่างดีก่อนจะเอ่ยมาทำลายความเงียบภายในห้อง“แต่มีทางหนึ่งที่ท่านสามารถทำให้ข้าให้อภัยท่านได้ ” ไท่หยางเงยหน้าขึ้นจ้องมองนาง รีบลุกขึ้นไม่ว่านางจะให้เขาทำอะไรข้ายอมทั้งนั้นหากมันจะทำให้นางให้อภัยเขาได้ และเขาจะได้ไถ่โทษกับตระกูลของนาง“ไม่ว่าเจ้าจะให้ข้าทำอะไร ข้าทำให้เจ้าได้ทั้งนั้นหากเจ้ายอมให้อภัยข้าในสิ่งที่ผ่านมา”“ปล่อย.. ปล่อยข้าไปอย่าได้รั้งกันไว้อีกเลย เพียงเท่านี้เราทั้งสองก็เจ็บปวดมามากพอแล้ว ข้าไม่อาจทนเห็นใบหน้าของท่านได้อีกความเกลียดความแค้นมันมากมายเหลือเกิน เพียงเห็นใบหน้าของท่าน ข้าก็อดที่จะคิดถึงเรื่องราวที่ท่านเคยทำไว้ไม่ได้ ได้โปรดปล่อยข้าไปเสีย ข้าจะอภัยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเราหมดวาสนาต่อกันเพียงเท่านี้เถิด ข้าเหน็ดเหนื่อยไม่อยากจะพบเจอเรื่องเช่นนี้อีกต่อไป ...” ไท่หยางหมดเรี่ยวแรงปล่อยมือออกจากกายของนาง ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมที่ตนเองก่อขึ้นมา“ข้ารู้ว
บทที่27 ความจริงที่แสนเจ็บปวดครั้นสองเท้าย่างกรายออกมาด้านนอกบัดนี้กองกำลังของเขาถูกล้อมไปด้วยทหารของแคว้นหยางอันจนหมดสิ้น โดยมีแม่ทัพหลิวไท่หยางยืนรอเขาอยู่ด้านหน้าจวน“เจ้าช้ากว่าข้าไปหนึ่งก้าว ยอมแพ้แต่โดยดีเพราะตอนนี้แคว้นของเจ้าถูกคนของข้าล้อมรอบไว้หมดแล้ว” ไท่หยางป่าวประกาศน้ำเสียงเข้มขรึมน่าเกรงขาม อีกฝ่ายกลับหัวเราะออกมาอย่างขบขัน นี่เขาพลาดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน“ฮ่า ฮ่า เจ้าคิดว่าเพียงแค่นี้ข้าจะยอมแพ้หรือ แคว้นฉู่ของข้า ยอมตายแต่ไม่ยอมลดศักดิ์ศรีเด็ดขาด พวกเราลุกขึ้นสู้เพื่อแคว้นของเรา” ชางถิงพูดปลุกใจของเหล่าทหารชั่วพริบตาเดียวกองทัพทหารของแคว้นฉู่ได้วิ่งกรู่ออกมาอีกจำนวนมาก เริ่มปะทะสู้กันอย่างดุเดือด ยามนี้แคว้นฉู่นองเลือดจนกลิ่นคละคลุ้งผู้คนเริ่มล้มตายจากการต่อสู้ และแล้วเขาก็ตกอยู่ใต้ดาบของหลิวไท่หยาง กายเต็มไปด้วยเลือดของศัตรูอาบใบหน้า ถือดาบจ่อที่คอของชางถิง“ฮ่า ฮ่า ในที่สุดเจ้าก็ชนะข้า เอาสิบั่นคอข้าไปเลยเจ้าจะได้นำชัยชนะกลับไป เอ๊ะเดี๋ยวสิ! ข้าจะบอกแก่เจ้าก่อนแล้วกัน ข้าได้ยินมาว่าจับตัวบุตรสาวของจางชิงหลงแคว้นหนานไฮ้ไปเพื่อแก้แค้นนางใช่หรือไม่ อีกอย่างเจ้าเองก็ลงมื
บทที่ 26 รับไว้เพียงไมตรีมิอาจจะรับความรักของท่านได้ฝั่งด้านอวิ๋นหลิงตั้งแต่หลังจากกลับมาจากวันนั้น นางไม่ได้พบเจอหน้าไท่หยางอีกเลย ได้ยินผ่านจากไป๋หนิงซินว่าเขาปลอดภัยดีนางเองก็สบายใจทำงานเหมือนอย่างเคย แม้จะอยู่ห้องใกล้ ๆ กันกับเขาแต่ทว่านางไม่เคยคิดจะก้าวเข้าไปหาเขาเลยด้วยซ้ำ“เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ ? ” ไป๋หนิงซินยื่นหมั่นโถวให้นางพลางย่อนกายนั่งลงข้าง ๆ ช่วงนี้เหมือนหิมะจะหยุดตกแล้วทว่ายังมีความเยือกเย็นหลงเหลืออยู่ในอากาศ หมั่นโถวร้อน ๆ พอทำให้คลายหนาวได้บ้าง“ขอบใจนะ ข้าเพียงแค่คิดว่าหากข้าไม่กลับมาเจ้าจะเป็นอย่างไร คิดถึงข้าบ้างหรือไม่?”“ถามมาได้ขนาดเจ้าหายไปเพียงหนึ่งคืนข้าแทบนอนไม่หลับ กระวนกระวายไปหมดไม่เห็นหรือไงว่าข้าดีใจแค่ไหนที่เจ้ากลับมา ” ไป๋หนิงซินเอ่ยพลางกินหมั่นโถวเข้าปากคำใหญ่“นั่นสินะ ... ถ้าตอนนั้นข้าเลือกที่จะทิ้งไท่หยางและหนีไปตอนนี้ชีวิตของข้าจะเป็นอย่างไรนะ”“อย่าบอกนะว่าเจ้ามีโอกาสหนียามที่ท่านแม่ทัพได้รับบาดเจ็บนะ”“อื้ม ...แม่ทัพของเจ้าบอกให้ข้าหนีไปยามมีโอกาสแต่ไม่รู้ทำไมข้าถึงไม่หนีกันนะ อาจจะเป็นเพราะว่าข้าเกรงว่าเจ้าจะร่ำไห้เพราะเป็นห่วงข้านะสิ ฮึ ฮึ”
บทที่ 25 แม่ทัพถูกโจมตีจวนแม่ทัพหลิวไท่หยางไป๋หนิงซินเฝ้ามองไปที่ประตูจิตใจกระวนกระวายเป็นห่วงอวิ๋นหลิง นี่ก็ยามซวี (19.00) แล้วทั้งสองคนยังไม่กลับเข้าจวนอีกทั้งหิมะก็ตกแรงมากกว่าเดิม นางมิอาจจะเก็บความเป็นห่วงเอาไว้ได้รีบย่างกรายไปหาหลวนฮวานที่ยืนอยู่หน้าห้องของแม่ทัพไท่หยาง“หลวนฮวานทำไมท่านถึงใจเย็นได้ ไม่ร้อนใจเลยหรือ?เมื่อไหร่ท่านแม่ทัพจะพาอวิ๋นหลิงกลับจวน ข้าชักเป็นห่วงจริง ๆ หวังว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับท่านแม่ทัพหรอกใช่มั้ย”“เจ้าอย่าเป็นกังวลไปเลย ท่านแม่ทัพมีฝีมืออีกไม่นานก็คงกลับมา” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้นแต่ใจของหลวนฮวานก็เป็นห่วงท่านแม่ทัพเช่นเดียวกัน ทว่ายามนั้นมีทหารใบหน้าแตกตื่นวิ่งเข้ามาแจ้งให้หลวนฮวานได้รับรู้“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”“เรื่องอะไรกันทำไมเจ้าถึงได้รีบร้อนวิ่งมาถึงเพียงนี้”“ข้าออกไปดื่มสุราที่โรงเตี๊ยมมาเมื่อครู่ได้ยินเรื่องของท่านแม่ทัพ มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ หุบเขามาพูดคุยกันเรื่องของแม่ทัพไท่หยางเขาขึ้นไปเก็บสมุนไพรและเห็นว่าท่านแม่ทัพกำลังถูกคนของแคว้นฉู่ไล่ล่า คนของพวกนั้นมากันมาเหลือเกินไม่รู้ว่าป่านนี้ท่านแม่ทัพจะเป็น
บทที่ 24 หนีไปสิตอนที่เจ้ามีโอกาสสีหน้าของเขาเริ่มซีดเซียวขาวเผือกไร้เลือดฝาด นางพยุงเขาเข้ามาด้านในพร้อมจับเขานั่งลงพิงผนังหิน กลิ่นเลือดคละคลุ้งเต็มอากาศยังคงไหลไม่หยุด อวิ๋นหลิงจ้องมองฝ่ายตรงข้ามพร้อมครุ่นคิดหากนางจะใช้โอกาสนี้ในการหลบหนีคงไม่ยากเพราะเขาคงไม่มีเรี่ยวแรงจะตามนางได้ทันแน่ ๆ นางต้องการหลุดพ้นจากเขาจึงช่างใจคิดครู่ใหญ่ และเหมือนว่าไท่หยางจะรู้ถึงความคิดของนาง“เจ้าคงคิดอยากจะทิ้งข้าไว้และหนีข้าไปสินะ เอาสิยามนี้เป็นเวลาที่เจ้าจะได้หลุดพ้นจากเนื้อมือของข้าแล้ว โอกาสที่เจ้าจะหนีจากข้ามาถึงแล้วปล่อยให้ข้ารอความตายอยู่ที่นี่โดยมิต้องใส่ใจข้า แต่ถ้าหากว่าข้ารอดไปได้ข้าจะตามหาเจ้าต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินทั่วใต้หล้าข้าก็จะตามหาเจ้าให้เจอ เมื่อนั้นอย่าหวังว่าจะหนีข้าไปได้เพราะข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปอีก” น้ำเสียงแหบพร่าคล้ายคนกำลังหมดแรงเอ่ยออกมาโดยใช้กำลังทั้งหมด อวิ๋นหลิงเริ่มลังเล หากนางจะหนีเขาไปนางจะไม่มีทางให้เขาหานางได้พบเลย นางหันไปมองหน้าถ้ำก่อนจะหันกลับมามองไท่หยางอีกครา ถอนหายใจเฮือกใหญ่ลุกขึ้นยืนและวิ่งออกไปจากถ้ำทันที ปล่อยให้เขาอยู่ในถ้ำรอความตายและทนความเจ็บปวดที่กำ
บทที่ 23 จำไม่ได้‘คำพูดของนางทำให้จิตใจของข้าสั่นคลอนได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ ?’ “เฮ้อ ! เจ้าคิดว่าเจ้าพบเจอเพียงเท่านี้แล้วข้าจะหายโกรธแค้นหรืออย่างไรกัน เพียงเท่านี้ยังน้อยไปกับที่ท่านแม่ข้าพบเจอ เลิกทำสายตาสีหน้าเบื่อโลกเสียข้าบอกแล้วอย่างไรว่าข้าไม่มีทางให้เจ้าตายจากข้าไปง่าย ๆ ที่ข้าพาเจ้ามาที่นี่เพราะอยากตอกย้ำความเจ็บปวดเจ้าเท่านั้น เจ้าจำที่นี่ไม่ได้เลยหรือ” อวิ๋นหลิงหมดสิ้นความหวังที่เขาจะผลักนางลงเหว เขาก็ยังคงเป็นเช่นนี้เสมอเป็นชายที่ไร้ใจอำมหิตไม่ยอมปล่อยให้นางได้ทำตามความปรารถนานางกวาดสายตามองไปด้านหน้า เทือกเขาสูงชันแม้ท้องฟ้าจะไร้แสงอาทิตย์แต่นางยังคงมองเห็นทิวทัศน์ด้านล่างได้อย่างชัดเจน แต่ทว่าความทรงจำของอวิ๋นหลิงกลับจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าที่นี่มีความหมายต่อนางอย่างไร แล้วทำไมนางต้องเจ็บปวดด้วยเล่า“ข้าไม่เห็นอันใดแม้แต่น้อยเห็นแต่หุบเขา ท่านต้องการสิ่งใดกับข้ากันแน่ หากไม่ต้องการผลักข้าตกเหวแล้วสิ่งใดกันในที่นี่จะทำให้ข้าเจ็บปวด ” น้ำเสียงนิ่งเรียบตอบกลับอย่างไร้ความรู้สึก ทำให้อีกฝ่ายโมโหขึ้นทันตา เพราะสถานที่นี้คือที่ที่เขาเคยพานางเมื่อยามที่รักกันปานจะกลืนกินก่อนที