คำพูดนั้นทำให้หลายคนเบิกตากว้าง จินละห้าร้อยเหวิน ไม่ใช่จำนวนเล็กๆ สำหรับชาวบ้านเลย
“หลีเอ๋อ...แล้วพวกเราล่ะ”
“เวลาว่างของทุกคน…ข้าอยากให้มาเรียนรู้วิธีบดสมุนไพรเตรียมวัตถุดิบไว้สำหรับการทำยาสีฟันชุดใหญ่ เราจะเริ่มขายที่อำเภอหลิงหนานก่อน”
ทุกคนเริ่มมองหน้ากันด้วยความตื่นเต้น ต่างมองเห็นแววความหวังที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันกำลังเริ่มเปล่งประกายในดวงตาของพวกเขา หญิงสาวหันไปมองฟ้ากว้างพลางวางหมากต่อในใจ
“และแน่นอน...หากจะส่งขายในเมืองหลิงหนาน ข้าคงต้องขอความร่วมมือจากคนผู้นั้น มู่หรงหนานเฟิง เจ้าของหอหว่านหรงที่ตระกูลหลี่ของเราเคยร่วมมือทำการค้า”
เมื่อได้ยินชื่อของมู่หรงหนานเฟิง เซี่ยจื่ออี้ก็นิ่งไปทันที
“หลีเอ๋อ น้องทำการค้ากับคุณชายมู่หรงหรือ”
เซี่ยชิงหลีหัวเราะน้อยๆ นางลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้มู่หรงหนานเฟิงเคยบอกว่ารู้จักกับพี่ชายของนาง ตัวนางเองหลังจากกลับมาจากอำเภอหลิงหนานก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
“พี่ใหญ่ข้ายังไม่ได้บอกท่านใช่หรือไม่ มู่หรงหนานเฟิงบอกว่าจะมาเยี่ยมท่านที่นี่ คิดว่าหลังจากกลับมาที่เรือนจะบอกท่านแต่ข้ากลับลืมไปเสียได้”
เมื่อได้ยินน้องสาวบอกว่ามู่หรงหนานเฟิงเอ่ยถึงตนทั้งยังบอกจะมาที่นี่เขากลับมีท่าทีเปลี่ยนไป แววตาที่ทอดมองไปยังลานหน้าเรือนนั้นแฝงความวูบไหว
ริมฝีปากชายหนุ่มเม้มแน่นเหมือนคนที่กำลังควบคุมความรู้สึกบางอย่างและที่สำคัญนางมองไม่ผิดแน่ สายตาของเขา ‘ดีใจ’ อย่างเห็นได้ชัด แต่กลับรีบหลบตาทุกครั้งเมื่อนางเอ่ยถึงมู่หรงหนานเฟิง
“พี่ใหญ่ เมื่อครู่ข้าคิดว่าท่าน...ยิ้ม”
เซี่ยชิงหลีเอ่ยเบาๆ ขณะก้าวเข้ามายืนด้านข้าง เซี่ยจื่ออี้สะดุ้งเล็กน้อย รอยยิ้มบางถูกปั้นขึ้นบนใบหน้าในทันที
“ข้า...เปล่า เพียงแต่ดีใจเท่านั้นที่ได้พบสหายเก่าอีกครั้ง”
ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ในน้ำเสียงนั้นกลับแฝงความกังวลชัดเจน เซี่ยชิงหลีหรี่ตาลงเล็กน้อย นางเป็นคนที่เคยผ่านชีวิตมาแล้วหนึ่งชาติ อาการแบบนี้นางเคยเห็นกับตาตนเองในโลกก่อน มันคืออาการของคนมีความรัก ทว่าเป็นความรักที่ไม่อาจเอื้อม ไม่อาจเอ่ยออกมา ไม่อาจแม้แต่จะแสดงออกได้
ในโลกก่อน มักเป็นความรักระหว่างคนที่ไม่มีสิทธิ์รัก เช่นเพศเดียวกัน ฐานะต่างกัน หรือความสัมพันธ์ที่ไม่อาจเปิดเผย
แต่…ที่นี่คือยุคโบราณ...ทั้งสองยังเป็นบุรุษ...เป็นไปได้อย่างไร
เซี่ยชิงหลีหันไปมองพี่ชายอีกครั้ง นางเงียบไปชั่วอึดใจก่อนยกยิ้มบางเบาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มีเพียงสองคนได้ยิน
“พี่ใหญ่หากสิ่งที่ท่านรู้สึกไม่อาจพูดออกไปก็จงอย่ากลบเกลื่อนมันด้วยความกลัว จงยอมรับมันด้วยความเคารพต่อตนเองเถอะเจ้าค่ะ ข้าเชื่อว่าไม่ว่าท่านเลือกเช่นไร ครอบครัวของเราล้วนแต่เห็นด้วย ความสุขของท่านคือความสุขของท่าน ไม่สามารถเห็นแก่ผู้อื่นแล้วตนต้องตกอยู่ในความทุกข์ได้”
เซี่ยจื่ออี้ชะงักงัน ใบหน้าสงบนิ่งของเขามีแววตกใจวูบผ่าน ก่อนจะรีบหลบสายตาน้องสาวทันที
“ข้า…ไม่รู้ว่าเจ้าพูดถึงเรื่องอะไร”
“ข้าไม่ได้บอกว่ารู้ เพียงแค่…ข้ารู้สึกถึงมันได้”
หญิงสาวส่งยิ้มอย่างจริงใจให้กับพี่ชาย
“ท่านไม่ต้องอธิบายให้ข้าเข้าใจ แต่ข้าอยากให้ท่านเข้าใจตนเองมากกว่า”
เสียงลมพัดผ่านเบาๆ ชายแขนเสื้อของทั้งสองพี่น้องไหวตามสายลม เบื้องหน้าคือแสงแดดยามสายที่ส่องลอดผ่านกิ่งไม้ เบื้องหลังคือความรู้สึกบางอย่าง…ที่ไม่อาจพูดออกไปในตอนนี้
หลังจากการประชุมจบลง เซี่ยชิงหลีได้เรียกรวมตัวสตรีในเรือน มีมารดาของนางหลี่หลันฮวา แม่เฒ่าโจวผู้เป็นยาย ป้าสะใภ้ใหญ่โจวชุนเถา ป้าสะใภ้รองสวีเจียงเหมย และตู้เฟิงอิง คนสุดท้ายคือเถาเถาน้อยบุตรสาวของตู้เฟิงอิง ส่วนเซี่ยชิงเป่าออกไปวิ่งเล่นกับอาเหิงข้างนอก
หญิงสาวตระกูลหลี่ทุกคนต่างมองมาที่เซี่ยชิงหลีเป็นตาเดียว และเฝ้ารอว่านางจะมอบหมายงานอะไรแก่พวกตน
“ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ต่างเป็นเสาหลักทำหน้าที่ขับเคลื่อนตระกูลหลี่ให้เดินหน้าต่อไปได้ วันนี้หลีเอ๋อจึงขอมอบของขวัญแก่พวกท่านเพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการดูแลตระกูลต่อไป”
ผ้าไหมอย่างดีที่ได้รับจากผู้เฒ่าเมิ่งถูกแบ่งออกให้แต่ละคนอย่างเท่าเทียม ยังมีเครื่องประดับอย่างปิ่นปักผมและต่างหูชิ้นเล็ก เซี่ยชิงหลีก็ไม่คิดเก็บเอาไว้
ก่อนหน้านางเห็นสายตาชื่นชมของทุกคนที่มีต่อสิ่งของเหล่านี้ หากนางเก็บเอาไว้แต่เพียงผู้เดียวอาจนำพาซึ่งความไม่พอใจ และเกิดความแตกแยกภายในตระกูล
“หลีเอ๋อ สิ่งของเหล่านี้ผู้เฒ่าคนนั้นมอบให้เจ้าเพราะเจ้าช่วยชีวิตเขาไม่ใช่หรือ เหตุใดเอามาแบ่งให้เรา”
“ป้าสะใภ้ใหญ่ พวกเราคือคนตระกูลหลี่ไม่มีของข้าของเจ้า ในเมื่อลาภนี้ข้าได้มาอย่างโชคดี เรื่องอะไรข้าจะต้องเก็บเอาไว้โชคดีเองคนเดียว แบ่งพวกท่านทุกคนให้ได้รับความโชคดีด้วยไม่ดีกว่าหรือ”
“แต่ว่า...”
สะใภ้ใหญ่ยังมีท่าทีลังเล หลี่หลันฮวาผู้เป็นน้องสามีจึงช่วยเอ่ยอีกแรง
“ในเมื่อนางบอกว่าให้พวกท่าน ก็ไม่ต้องคิดมากและรับเอาไว้เถอะ” สะใภ้ใหญ่มีท่าทีลังเลเล็กน้อย จากนั้นจึงพยักหน้ารับ
“ได้เช่นนั้นข้าขอรับเอาไว้ด้วยความเต็มใจ”
สตรีตระกูลหลี่ทั้งหมดต่างมีสีหน้าเบิกบานเมื่อได้รับของขวัญจากเซี่ยชิงหลี
“ป้าสะใภ้รอง ท่านรอก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ”
หญิงสาวรั้งสะใภ้รองเอาไว้ในระหว่างที่ทุกคนแยกย้ายกลับห้องของตน
“มีอะไรหรือ หลีเอ๋อ”
เซี่ยชิงหลียื่นผ้าไหมและเครื่องประดับให้แก่นาง สะใภ้รองมองสิ่งของเหล่านั้นด้วยสีหน้างงงัน
“นี่เป็นส่วนของพี่ซิ่วเอ๋อ ตั้งแต่ที่นางแต่งออกไปท่านก็ไม่ได้ไปเยี่ยมนางบ่อยๆ ถือโอกาสนี้นำของขวัญจากข้ามอบให้นางได้หรือไม่”
คำพูดของหลานสาวทำให้สะใภ้รองตื่นตกใจ ต้องบอกว่าหญิงสาวที่แต่งงานออกจากตระกูลไม่ต่างจากน้ำที่สาดทิ้ง บ้านเดิมแทบไม่สนใจ ทว่าการกระทำของเซี่ยชิงหลีทำให้นางรู้สึกขัดแย้ง
“แต่ซิ่วเอ๋อนางแต่งออกไปแล้วนะ ทำเช่นนี้จะดูไม่ดีหรือไม่”
“ป้าสะใภ้รอง ท่านแม่ของข้าก็แต่งออกจากตระกูลหลี่ไปแล้ว ทุกวันนี้มิใช่พวกท่านก็ดูแลเราหรือ หากท่านเป็นกังวลเช่นนั้นก็บอกพี่ซิ่วเอ๋อไปว่าเป็นของขวัญแต่งงานที่ข้ามอบให้แก่นาง”
คำพูดของเซี่ยชิงหลีทำให้สะใภ้รองไม่สามารถปฏิเสธได้ นางรับผ้าไหมพับนั้นและเครื่องประดับมาด้วยสีหน้าซาบซึ้ง
ทุกการกระทำของเซี่ยชิงหลีถูกบันทึกโดยองครักษ์ลับที่ถูกมอบหมายให้คอยเฝ้าดูแลที่นี่ตามคำสั่งของไท่ซ่างหวง แม้หญิงสาวจะไม่รู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขา ทว่าหลายครั้งที่นางรู้สึกเหมือนถูกใครบางคนกำลังจับตามอง
ยาสีฟันและแปรงสีฟันของเซี่ยชิงหลีก็ผลิตออกมาได้เป็นจำนวนมาก และยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ช่วงเวลาที่กำลังผลิตยาสีฟันและแปรงสีฟันหญิงสาวไม่ปล่อยให้สูญเปล่า
นางได้ใช้เงินเก็บกว่าสามร้อยตำลึงซื้อพื้นที่รอบๆ ตระกูลหลี่เพื่อเตรียมสร้างโรงงาน และหลังจากนี้ชาวบ้านสือโถวจะกลายเป็นพนักงานประจำที่สามารถทำเงินโดยไม่ต้องพึ่งพาการทำงานในเมืองใหญ่
จากแผนของนางที่วางเอาไว้ในหัว อันดับแรกจ้างชาวบ้านที่ยังว่างงานทำการล้อมพื้นที่ทั้งหมดสิบหมู่รอบเรือนตระกูลหลี่อย่างแน่นหนา จากนั้นเริ่มสร้างโรงงานด้านข้างถัดจากเรือนหลัก เพราะพื้นที่ตรงนั้นมีเอาไว้เพื่อจัดเตรียมวัตถุดิบ
ในเช้าตรู่ของวันหนึ่ง หลังจากหอหว่านหรงสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคง ถึงเวลาที่หญิงสาวต้องกลับบ้านเสียที รถม้าสีเทาเรียบหรูคันหนึ่งแล่นออกจากตัวเมืองหลิงหนาน มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเล็กๆ ที่เงียบสงบใต้เงาภูเขาเขียวภายในรถม้า เซี่ยชิงหลีนั่งเงียบๆ มือถือกล่องไม้เล็กใส่ของฝากจากในเมือง ข้างกายนางคือมู่หรงหนานเฟิงผู้เงียบไม่แพ้กัน ทว่าแววตากลับอ่อนลงกว่าเมื่อเดือนก่อน“เจ้าแน่ใจหรือว่าเขายังอยากพบข้า”ชายหนุ่มถามเสียงเบา ขณะทอดสายตามองออกไปยังทิวทุ่งข้าวเขียวขจีที่ทอดยาว เซี่ยชิงหลีเหลือบมองเขาดวงตานิ่งสงบ แต่แฝงแววล้อเลียนเล็กน้อย“พี่ชายข้า...อาจไม่พูดออกมาตรงๆ แต่ท่านเองก็ควรรู้ว่าเขาเฝ้ามองข่าวจากหอหว่านหรงทุกคืน”หลังจากได้ร่วมงานกัน หญิงสาวจึงได้รู้ว่ามู่หรงหนานเฟิงใส่ใจพี่ชายของนางไม่น้อย ทว่าสิ่งที่ทั้งสองรู้สึกไม่อาจเอ่ยปากได้โดยง่าย เพียงเพราะเพศเดียวกันจึงไม่สามารถครองคู่หญิงสาวยกยิ้มบางเบาเมื่อยามนึกถึงสิ่งที่พี่ชายของตนกระทำ“ข้าเคยเห็นเขาอ่านแผนการที่ข้าเขียนในกระดาษซ้ำหลายครั้งในทุกคืน เพียงเพราะบนกระดาษแผ่นนั้นมีชื่อของท่านอยู่”มู่หรงหนานเฟิงยิ้มบางๆ ลมหายใจในอกพลันอบอุ่น
เซี่ยชิงหลีนั่งลงบนม้านั่งไม้ริมหน้าต่าง แขนขวาของนางมีรอยแดงช้ำตรงปลายข้อศอกถลอกเล็กน้อยจากแรงปะทะ มู่หรงหนานเฟิงนั่งตรงข้าม มือของเขาถือผ้าผืนเล็กกับน้ำสะอาดเตรียมล้างแผลให้ตนเองแววตาของเขาในตอนนี้…ว่างเปล่าเสียจนชวนให้นางรู้สึกหนักอึ้งในอก เขากำลังคิดอะไรอยู่…ไม่ต้องเดาก็รู้ดวงตาคู่นั้นไม่มีเป้าหมาย ไม่มีไฟ ไม่มีแม้แต่ความเคียดแค้น มันคือแววตาของคนที่หมดแรงเดินต่อแม้จะยังยืนอยู่ เซี่ยชิงหลีมองเขาเงียบๆ ปล่อยให้เสียงเช็ดแผลเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ดังอยู่ในห้องนั้นภาพชายหนุ่มตรงหน้าแตกต่างจากตอนที่นางพบเขาครั้งแรกโดยสิ้นเชิง ตอนนั้นเขาคือเจ้าของหอสุราที่สง่างาม สุขุม และแฝงแรงใจเข้มแข็งในแววตา ทว่าวันนี้…เขาไม่ต่างจากคนที่ถูกบีบจนไม่เหลือทางเดิน“มีบ้านก็กลับไม่ได้ มีตระกูลแต่ไร้ที่ยืน”หากเขายังจมอยู่กับความสิ้นหวังเช่นนี้...เขาอาจจะไม่ใช่คู่ค้าที่นางพึ่งพาได้ในวันหน้า“คุณชายมู่หรง”เซี่ยชิงหลีเอ่ยเสียงเบา“ข้าไม่ใช่คนดีมากพอจะให้คำปลอบใจอันเลิศหรู แต่ในโลกแห่งการค้า หากเจ้าหยุดเดินเพียงเพราะเส้นทางข้างหน้ามีคนขวาง…เจ้าจะไม่มีวันไปถึงจุดที่เขาไม่กล้าตามไปเหยียบ”มู่หรงหนานเฟิงเงยหน
อาเหิงเอ่ยอย่างเคืองๆ เซี่ยชิงหลีมองคนต่างวัยทั้งสองที่ไม่ต่างจากเพื่อนในวัยเดียวกันแล้วอดหัวเราะไม่ได้เมื่อถึงร้านเครื่องปั้นดินเผาต้าเหอยิ่น ร้านเก่าแก่ที่มีโรงเผาอยู่ด้านหลัง เซี่ยชิงหลีก็ยื่นกระดาษแบบร่างให้กับเถ้าแก่ผู้เป็นเจ้าของกิจการชายวัยกลางคนผู้มีหนวดเคราสีดำน้ำตาล คิ้วเข้มท่าทางค่อนข้างดุร้าย แต่พอเห็นกระดาษที่หญิงสาวยื่นให้ สีหน้ากลับแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังในทันทีแบบที่นางส่งให้ไม่ใช่ไหดินเผาทั่วไป หากแต่เป็นบรรจุภัณฑ์รูปทรงกลมเตี้ย ฝาปิดแน่น ขนาดพอเหมาะสำหรับบรรจุสบู่ แชมพู หรือแป้งสมุนไพร ผิวภายนอกขอให้เผาแบบไม่เคลือบเพื่อให้มีผิวสัมผัสธรรมชาติ แต่ขอฝังตราประทับรูปดอกเหมย ที่มุมหนึ่งของฝาเพื่อเป็นเอกลักษณ์“แบบนี้...ไม่เคยมีใครสั่งมาก่อน แต่ข้าชอบความคิดเจ้านะ ดูเรียบง่ายแต่มีจุดเด่น”เซี่ยชิงหลีประสานมือคำนับ“ข้าขอสั่งทำชุดแรก หนึ่งพันใบก่อนเจ้าค่ะ เพื่อดูทิศทางตลาดหากผลตอบรับออกมาดีข้าอยากร่วมมือกับร้านท่านเป็นคู่ค้าถาวร รับรองข้าจะไม่หันไปหาที่อื่นแน่นอน”เถ้าแก่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้าช้า ๆ“หนึ่งพันใบข้าจัดให้ได้ ภายในสิบห้าวัน แต่ขอให้เจ้ามารับด้วยต
ณ ตอนนี้ เซี่ยชิงหลีกำลังยืนอยู่หน้าหม้อต้มสมุนไพรใบใหญ่ กลิ่นใบมะกรูดแห้งผสมกับกลิ่นหอมอ่อนของกลีบดอกบัวที่กำลังเคี่ยวเข้ากันลอยคลุ้งอบอวลไปทั่วลานด้านหลังเรือนมือเรียวของหญิงสาวคนไปอย่างต่อเนื่องด้วยไม้พาย ในขณะที่เหงื่อผุดซึมบนหน้าผากอย่างไม่อาจเลี่ยงผ่านไปแล้วหลายวัน...ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ นางทดลองผสมอัตราส่วนใหม่ ลองอุณหภูมิที่ต่างกัน ทดลองการตาก การกวน การแยกชั้นของน้ำมันกับสมุนไพรทุกครั้งที่ล้มเหลว สบู่จับตัวไม่ขึ้นหรือแชมพูกลายเป็นน้ำเหนียวข้นกลิ่นเหม็นเปรี้ยวนางก็ต้องเริ่มใหม่...ตั้งแต่ต้นยามตะวันบ่ายคล้อย สายลมเอื่อยพัดชายแขนเสื้อที่เลอะเปื้อนของนางอย่างแผ่วเบา เซี่ยชิงหลีค่อยๆ วางไม้พายลงพลางถอนหายใจเงียบๆ และทรุดตัวนั่งพิงข้างถังน้ำอย่างเหนื่อยล้าสายตาของนางทอดมองสบู่ก้อนเล็กๆ ที่พอใช้การได้ก้อนแรกในรอบหลายวัน กลิ่นหอมของมันยังอ่อนนัก รูปทรงไม่สวย เนื้อไม่เนียนแต่มัน...สามารถชำระล้างได้จริง“ทำไมกันนะ…”ร่างบางพึมพำกับตนเองเบาๆ เสียงนั้นแฝงไว้ทั้งความเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อย“คนอื่นพอเกิดใหม่ก็มีกระบี่เทพติดมือ มีพลังปราณฟ้าฟาด ฝึกแค่ไม่กี่วันก็กวาดล้างทั้งตระกูลศัตรู…
คำพูดนั้นทำให้หลายคนเบิกตากว้าง จินละห้าร้อยเหวิน ไม่ใช่จำนวนเล็กๆ สำหรับชาวบ้านเลย“หลีเอ๋อ...แล้วพวกเราล่ะ”“เวลาว่างของทุกคน…ข้าอยากให้มาเรียนรู้วิธีบดสมุนไพรเตรียมวัตถุดิบไว้สำหรับการทำยาสีฟันชุดใหญ่ เราจะเริ่มขายที่อำเภอหลิงหนานก่อน”ทุกคนเริ่มมองหน้ากันด้วยความตื่นเต้น ต่างมองเห็นแววความหวังที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันกำลังเริ่มเปล่งประกายในดวงตาของพวกเขา หญิงสาวหันไปมองฟ้ากว้างพลางวางหมากต่อในใจ“และแน่นอน...หากจะส่งขายในเมืองหลิงหนาน ข้าคงต้องขอความร่วมมือจากคนผู้นั้น มู่หรงหนานเฟิง เจ้าของหอหว่านหรงที่ตระกูลหลี่ของเราเคยร่วมมือทำการค้า”เมื่อได้ยินชื่อของมู่หรงหนานเฟิง เซี่ยจื่ออี้ก็นิ่งไปทันที“หลีเอ๋อ น้องทำการค้ากับคุณชายมู่หรงหรือ”เซี่ยชิงหลีหัวเราะน้อยๆ นางลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้มู่หรงหนานเฟิงเคยบอกว่ารู้จักกับพี่ชายของนาง ตัวนางเองหลังจากกลับมาจากอำเภอหลิงหนานก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท“พี่ใหญ่ข้ายังไม่ได้บอกท่านใช่หรือไม่ มู่หรงหนานเฟิงบอกว่าจะมาเยี่ยมท่านที่นี่ คิดว่าหลังจากกลับมาที่เรือนจะบอกท่านแต่ข้ากลับลืมไปเสียได้”เมื่อได้ยินน้องสาวบอกว่ามู่หรงหนานเฟิงเอ่ยถึงตนทั้งยัง
บัดนี้เซี่ยชิงหลีมองชายชราในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิมเพียงเพราะเขาเอ่ยปากชมสามีของนาง“ท่านจะเข้ามาดื่มชาในเรือนก่อนหรือไม่”“ไม่เป็นไรข้ายังมีธุระต่อ ที่มาวันนี้เพียงต้องการมาขอบคุณเจ้าอย่างจริงใจสักครั้งเท่านั้น อีกอย่างข้าอยากให้เจ้ารับสิ่งของเหล่านี้จากข้า ถือเสียว่าเป็นของขวัญสำหรับงานแต่งของเจ้าสองคน”คำพูดนั้นราวกับมีระเบิดถูกปามาที่นาง เสียงบึ้มดังขึ้นในหัวพลันใบหน้าของหญิงสาวเห่อร้อนและแดงก่ำอย่างห้ามไม่อยู่ ชายชรามองหลานสะใภ้ตัวน้อยด้วยสีหน้าชอบใจ นานแล้วที่ตนไม่ได้เอ่ยเล่นหัวกับลูกหลานหากวันหน้าหลานชายผู้นี้ไม่มีทางหายดี แต่เขาได้แต่งงานกับหญิงสาวที่ดีเช่นนั้นตนก็วางใจ เซี่ยชิงหลีมองหีบไม้มากมายตรงหน้า นางตัดสินใจเพียงชั่วอึดใจก่อนพยักหน้ารับ“เช่นนั้นข้าจะขอรับเอาไว้ ขอบคุณท่านเจ้าค่ะ”“ท่านอันใดกัน ต่อไปเจ้าเรียกข้าว่าท่านปู่เมิ่งก็พอ”ชายชรากลับขึ้นรถม้าไปด้วยสีหน้าอิ่มเอม ในที่สุดภาระที่เคยหนักอึ้งในหลายเดือนนี้ก็ได้ถูกวางลงแล้วต่อไปก็จัดการตัวต้นเรื่องที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ขึ้น ชายชราตัดสินใจกลับเมืองหลวงเพื่อจัดการกับคนที่เป็นสาเหตุให้หลานชายของตนต้องกลายเป็นค