วันต่อมา
เซี่ยชิงหลีได้มีโอกาสติดตามลุงทั้งสองเข้าไปในอำเภอหลิงหนานอีกครั้ง วันนี้ที่มาคือเพราะต้องการซื้อสมุนไพรเพื่อทดลองทำยาสีฟัน ส่วนเรื่องค้าขายสมุนไพรกับพวกเขาจำต้องพักเอาไว้ก่อน เพราะหากวันหน้าสิ่งที่ต้องทำมีมากเกินไปร่างกายเล็กๆ ของนางคงจะทนไม่ไหว
“แม่นางเจ้ามาเสียที วันนั้นเจ้ารีบร้อนกลับไป ข้ายังไม่ทันได้ขอบคุณเรื่องที่เจ้าช่วยโรงหมอของข้าเอาไว้”
หมอวัยกลางคนรีบวิ่งเข้ามาทักทายหญิงสาวทันที เมื่อนางก้าวเข้าไปภายในร้านขายยาจินสุ่ยถัง เซี่ยชิงหลีเห็นหมอผู้นั้นมีท่าทีอ่อนน้อมต่อตนก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย
“ไม่มีอะไรต้องขอบคุณหรอกเจ้าค่ะ ที่ข้าช่วยเขาเพราะข้าอยากจะช่วยเท่านั้น”
“ไม่ได้สิ...อย่างไรข้าก็ต้องขอบคุณเจ้าด้วยตนเอง หากวันนั้นเจ้าไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย เห็นทีว่าชะตาของข้าคงจะขาดแน่”
หญิงสาวอดขำท่าทางของหมอวัยกลางคนมิได้
“อ้อ..วันนั้นที่เจ้ามาที่นี่ได้ยินผู้ดูแลบอกว่าเจ้าต้องการซื้อสมุนไพรหรือ”
“ก็ทำนองนั้น พอดีเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน วันนี้จึงมาอีกรอบ”
เซี่ยชิงหลีพยักหน้ารับอย่างไม่ปิดบัง
“เช่นนั้นเจ้าต้องการสมุนไพรอะไรบ้าง ข้าจะให้คนจัดเตรียมเอาไว้ให้”
หญิงสาวส่งเทียบยาให้หมอวัยกลางคน เมื่อเขาได้อ่านก็แสดงสีหน้าไม่เข้าใจ
“เทียบยานี้เจ้าเขียนเองหรือ เหตุใดข้าดูไม่ออกว่าใช้รักษาโรคอะไร”
“เป็นข้าที่เขียนเอง ตัวยาสมุนไพรบางอย่างข้าเพียงต้องการนำไปผสมทำอย่างอื่น ท่านเพียงให้คนจัดยาตามที่ข้าต้องการเท่านั้น...คงจะได้กระมัง”
คำถามของหญิงสาวแม้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งทว่าแฝงไว้ด้วยแรงกดดัน หมอวัยกลางคนที่อยากรู้อยากเห็นรีบปาดเหงื่อบนใบหน้า
“ได้ๆ ...ได้แน่นอน เจ้ารอที่นี่สักครู่”
เซี่ยชิงหลีรอเพียงไม่นานนางก็ได้รับห่อยาสมุนไพรทั้งหมดมาไว้ในมือ
“ขอบคุณเจ้าค่ะ นี่คือเงินค่ายาสมุนไพร”
“ไม่ได้!! ไม่ได้!! ข้ารับเอาไว้ไม่ได้ เจ้าคือคนที่ช่วยให้ข้ารอดพ้นจากความตาย ข้าจะรับเงินของแม่นางได้อย่างไร”
หมอวัยกลางคนรีบโบกมือปฏิเสธ หญิงสาวไม่รู้ว่าตนควรทำอย่างไรกับสถานการณ์เหล่านี้ ทว่าด้านหลังได้มีใครคนหนึ่งเอ่ยทักขึ้น
“เซี่ยชิงหลี!! เป็นเจ้าอีกแล้วหรือ เจ้ามาที่นี่อีกทำไม”
หญิงสาวกลอกตาด้วยความเบื่อหน่าย ไม่รู้ทำไมไปที่ใดก็เจอแต่เจ้าโง่เซี่ยจิ่งเฉิงเสียทุกที ร่างบางวางถุงเงินเอาไว้บนโต๊ะก่อนเดินออกจากร้านไป แม้หมอวัยกลางคนจะร้องเรียกนางเพียงใดทว่าหญิงสาวก็ไม่หยุดเดิน
“กล้าเมินข้าหรือ วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าต้องเสียใจที่ทำเช่นนั้น”
เซี่ยจิ่งเฉิงมองตามแผ่นหลังของนางไป จากนั้นหันมองถุงเงินที่หญิงสาววางเอาไว้ก่อนหน้านี้ ดวงตาคู่นั้นวาวโรจน์ขึ้นมาในทันทีโดยไม่ปิดบัง
ราวกับแสงเงินแวววาวที่ลอดออกมาจากปากถุงนั้นสะท้อนความโลภที่ซุกซ่อนอยู่ลึกภายในใจให้ฉายชัดขึ้น ริมฝีปากของเซี่ยจิ่งเฉิงยกยิ้มเล็กน้อย...มันคือรอยยิ้มที่น่าขยะแขยง หากหญิงสาวได้มาเห็นคงอดที่จะทุบตีเขาอีกมิได้
“ท่าทางด้านในจะใส่เงินเอาไว้ไม่น้อย หญิงบ้าผู้นั้นมีเงินตั้งแต่เมื่อใด แถมมันยังหายจากโรคใบ้ หรือว่าจะเจอโชคดีอะไรระหว่างที่ข้าไม่อยู่ที่เรือน”
ด้านนอกห่างจากประตูอำเภอหลิงหนานเพียงไม่กี่ลี้
เกวียนเทียมวัวเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ บนเส้นทางขรุขระ สายลมเย็นพัดแผ่วหอบเอากลิ่นหอมของดอกไม้ป่าโชยเข้าจมูก หญิงสาวนั่งเงียบๆ อยู่ตรงกลางระหว่างลุงใหญ่และลุงรอง ที่เร่งขับเกวียนวัวเพื่อให้ถึงเรือนก่อนมืดค่ำ
บรรยากาศชวนให้เคลิบเคลิ้ม...หากแต่เสียงฝีเท้าหนักๆ ที่กระแทกพื้นดินดังขึ้นจากด้านหน้า กลับปลุกสติทุกคนให้ตื่นตัวในฉับพลัน
ชายฉกรรจ์ห้าคนกระโดดจากพุ่มไม้สองข้างทาง ใบหน้าโพกผ้าปิดจมูกสวมชุดหยาบกร้านดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งร้าย...ชัดเจนว่าไม่ใช่คนดีแน่นอน
“หยุดเกวียน!”
เสียงหนึ่งในนั้นตะโกนลั่น ดาบสั้นในมือวาววับสะท้อนแสงอาทิตย์ ลุงใหญ่และลุงรองชะงักไปทันที ในมือทั้งสองควานหาอาวุธเพื่อป้องกันตัวทว่าบนเกวียนวัวบัดนี้มีเพียงตะกร้าข้าวสารอาการแห้งและยาสมุนไพร
เซี่ยชิงหลีจับหัวไหล่ของลุงทั้งสองเอาไว้มั่น ร่างบางก้าวลงจากเกวียนช้าๆ แม้หัวใจจะเต้นแรงทว่าสายตายังคงสงบนิ่ง นานแล้วที่ไม่ได้แสดงบทต่อสู้ คงต้องแสดงฝีมือให้เห็นสักหน่อย ไม่อย่างนั้นอาจจะถูกกล่าวหาว่าเป็นเพียงสตรีอ่อนแอ
เมื่อได้เห็นใบหน้างามชัดเต็มตา หนึ่งในพวกโจรแค่นหัวเราะก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหยาบกร้าน
“พวกข้าไม่ได้อยากได้อะไร…แค่ส่งของทุกอย่างที่พวกเจ้าพกติดตัวมา และเจ้าด้วย…มีใครบางคนบอกข้าว่าพวกเราสามารถเล่นสนุกกับเจ้าได้”
ดวงตาของเซี่ยชิงหลีเย็นเยียบในพริบตา นางไม่จำเป็นต้องถามว่า ใครบางคนคือใคร เพราะในใจของนาง...ชื่อหนึ่งได้ผุดขึ้นอย่างชัดเจน
เซี่ยจิ่งเฉิง เจ้าคนหน้าโง่และขี้ขลาดตาขาวผู้นั้น วันนี้ถึงกลับใจกล้าท้าทายตนเองอย่างโจ่งแจ้ง
ทว่าเซี่ยจิ่งเฉิงคงจะลืมไปว่าแม้ตนเองจะเป็นเพียงสตรี แต่ก็ไม่ใช่คนที่สามารถถูกจัดการได้ง่ายดายเพียงนั้น แววตาของเซี่ยชิงหลีในยามนี้ ไม่ใช่แววตาของเหยื่อ แต่เป็นดวงตาของคนที่พร้อมสู้เพื่อปกป้องตนเอง และครอบครัว
ภายใต้แสงอาทิตย์ที่กำลังโรยตัวลงเบื้องหลัง เบื้องหน้าคือหญิงสาวเพียงคนเดียว ในมือของนางไร้อาวุธ มีเพียงร่างกายและความมุ่งมั่นที่แน่วแน่ยิ่งกว่าเหล็กกล้า
ร่างบางย่างสามขุมตรงไปยังคนกลุ่มนั้นโดยไร้ท่าทีหวั่นเกรง ท่าทางของนางดูน่าเกรงขามเหมือนแม่ทัพผู้ผ่านสมรภูมิรบมาอย่างโชกโชน
"อย่าคิดว่าแสดงท่าทางเช่นนั้นแล้วพวกข้าจะกลัวเจ้า สตรีน้อยจงยอมศิโรราบแก่เราเสีย อย่าคิดต่อสู้ให้เจ็บตัว"
ใบหน้างามยังคงแฝงไว้ด้วยความเย็นชา ความจริงคนกลุ่มนั้นเมื่อเห็นหญิงสาวคิดต่อสู้ก็รู้สึกหวั่นใจอยู่บ้าง กังวลว่าพวกตนจะเตะเจอตอเข้า
ทว่าเมื่อมองร่างผอมบางของสตรีงามตรงหน้าก็รู้สึกว่าตนเองคิดมากเกินไป ชายร่างใหญ่หนึ่งในนั้นไม่รอคำสั่งเมื่อเห็นพรรคพวกยังคงนิ่งเฉย จึงพุ่งเข้าหานางด้วยแรงมหาศาล ใบหน้าหยาบกระด้างเต็มไปด้วยรอยยิ้มเหยียดหยาม เมื่อเห็นหญิงสาวไม่ขยับกาย
“เด็กน้อย! คิดจะสู้กับพวกข้าเรอะ! ช่างไม่รู้จักเจียมตัว”
ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ!
เสียงหมัดซัดเข้าเต็มคางอย่างจัง หมัดเร็ว ตรง และทรงพลังของนางรัวเข้าใส่ชายร่างยักษ์จนเขามึนงง ชายฉกรรจ์ผู้นั้นร่างหงายหลังราวกับถูกท่อนไม้ทุบ เมื่อเห็นสหายล้มทั้งยืนอีกสี่คนจึงเกิดความโมโหพุ่งกายเข้าหาหญิงสาวพร้อมกัน
“เจ้านี่มัน!...ใช้วิชาอะไรกันแน่!”
เซี่ยชิงหลีไม่ตอบ นางหมุนตัวหลบการฟันของดาบใหญ่ ก่อนจะถีบเฉียงเข้าที่หัวเข่าของอีกคน เสียง "กร๊อบ!" ดังขึ้น ร่างนั้นล้มลงกับพื้นอย่างน่าสยดสยอง
การเคลื่อนไหวของนางเร็ว ลื่นไหล และเด็ดขาด ต่างจากสำนักมวยใดในยุทธภพ เพราะมันคือการต่อสู้แบบผสมผสานจากโลกยุคปัจจุบัน ซึ่งเน้น ความเร็ว ความแม่นยำ และจุดตาย
ชายอีกสองคนรีบล้อมซ้ายขวาทว่าเซี่ยชิงหลีกลับย่อตัวแล้วพุ่งหมุนตีเข่าขึ้นกลางอกของอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล ก่อนจะฉวยจังหวะรวบข้อมืออีกคนบิดจนดาบร่วงแล้วฟาดเข้าลำคอด้วยสันมืออย่างแม่นยำ
ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งรอบลมหายใจชายฉกรรจ์ทั้งห้านอนเกลื่อนพื้น บางคนหมดสติ บางคนหายใจหอบรวยริน มีเพียงเสียงลมหายใจของหญิงสาวที่ยังมั่นคง ทว่ามือของนางเริ่มสั่นเพราะแรงสู้หมดไปเกือบครึ่ง
อ่อนแอเกินไป ร่างกายนี้อ่อนแอเกินไป นั้นคือสิ่งที่นางกำลังคิด
ในเช้าตรู่ของวันหนึ่ง หลังจากหอหว่านหรงสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคง ถึงเวลาที่หญิงสาวต้องกลับบ้านเสียที รถม้าสีเทาเรียบหรูคันหนึ่งแล่นออกจากตัวเมืองหลิงหนาน มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเล็กๆ ที่เงียบสงบใต้เงาภูเขาเขียวภายในรถม้า เซี่ยชิงหลีนั่งเงียบๆ มือถือกล่องไม้เล็กใส่ของฝากจากในเมือง ข้างกายนางคือมู่หรงหนานเฟิงผู้เงียบไม่แพ้กัน ทว่าแววตากลับอ่อนลงกว่าเมื่อเดือนก่อน“เจ้าแน่ใจหรือว่าเขายังอยากพบข้า”ชายหนุ่มถามเสียงเบา ขณะทอดสายตามองออกไปยังทิวทุ่งข้าวเขียวขจีที่ทอดยาว เซี่ยชิงหลีเหลือบมองเขาดวงตานิ่งสงบ แต่แฝงแววล้อเลียนเล็กน้อย“พี่ชายข้า...อาจไม่พูดออกมาตรงๆ แต่ท่านเองก็ควรรู้ว่าเขาเฝ้ามองข่าวจากหอหว่านหรงทุกคืน”หลังจากได้ร่วมงานกัน หญิงสาวจึงได้รู้ว่ามู่หรงหนานเฟิงใส่ใจพี่ชายของนางไม่น้อย ทว่าสิ่งที่ทั้งสองรู้สึกไม่อาจเอ่ยปากได้โดยง่าย เพียงเพราะเพศเดียวกันจึงไม่สามารถครองคู่หญิงสาวยกยิ้มบางเบาเมื่อยามนึกถึงสิ่งที่พี่ชายของตนกระทำ“ข้าเคยเห็นเขาอ่านแผนการที่ข้าเขียนในกระดาษซ้ำหลายครั้งในทุกคืน เพียงเพราะบนกระดาษแผ่นนั้นมีชื่อของท่านอยู่”มู่หรงหนานเฟิงยิ้มบางๆ ลมหายใจในอกพลันอบอุ่น
เซี่ยชิงหลีนั่งลงบนม้านั่งไม้ริมหน้าต่าง แขนขวาของนางมีรอยแดงช้ำตรงปลายข้อศอกถลอกเล็กน้อยจากแรงปะทะ มู่หรงหนานเฟิงนั่งตรงข้าม มือของเขาถือผ้าผืนเล็กกับน้ำสะอาดเตรียมล้างแผลให้ตนเองแววตาของเขาในตอนนี้…ว่างเปล่าเสียจนชวนให้นางรู้สึกหนักอึ้งในอก เขากำลังคิดอะไรอยู่…ไม่ต้องเดาก็รู้ดวงตาคู่นั้นไม่มีเป้าหมาย ไม่มีไฟ ไม่มีแม้แต่ความเคียดแค้น มันคือแววตาของคนที่หมดแรงเดินต่อแม้จะยังยืนอยู่ เซี่ยชิงหลีมองเขาเงียบๆ ปล่อยให้เสียงเช็ดแผลเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ดังอยู่ในห้องนั้นภาพชายหนุ่มตรงหน้าแตกต่างจากตอนที่นางพบเขาครั้งแรกโดยสิ้นเชิง ตอนนั้นเขาคือเจ้าของหอสุราที่สง่างาม สุขุม และแฝงแรงใจเข้มแข็งในแววตา ทว่าวันนี้…เขาไม่ต่างจากคนที่ถูกบีบจนไม่เหลือทางเดิน“มีบ้านก็กลับไม่ได้ มีตระกูลแต่ไร้ที่ยืน”หากเขายังจมอยู่กับความสิ้นหวังเช่นนี้...เขาอาจจะไม่ใช่คู่ค้าที่นางพึ่งพาได้ในวันหน้า“คุณชายมู่หรง”เซี่ยชิงหลีเอ่ยเสียงเบา“ข้าไม่ใช่คนดีมากพอจะให้คำปลอบใจอันเลิศหรู แต่ในโลกแห่งการค้า หากเจ้าหยุดเดินเพียงเพราะเส้นทางข้างหน้ามีคนขวาง…เจ้าจะไม่มีวันไปถึงจุดที่เขาไม่กล้าตามไปเหยียบ”มู่หรงหนานเฟิงเงยหน
อาเหิงเอ่ยอย่างเคืองๆ เซี่ยชิงหลีมองคนต่างวัยทั้งสองที่ไม่ต่างจากเพื่อนในวัยเดียวกันแล้วอดหัวเราะไม่ได้เมื่อถึงร้านเครื่องปั้นดินเผาต้าเหอยิ่น ร้านเก่าแก่ที่มีโรงเผาอยู่ด้านหลัง เซี่ยชิงหลีก็ยื่นกระดาษแบบร่างให้กับเถ้าแก่ผู้เป็นเจ้าของกิจการชายวัยกลางคนผู้มีหนวดเคราสีดำน้ำตาล คิ้วเข้มท่าทางค่อนข้างดุร้าย แต่พอเห็นกระดาษที่หญิงสาวยื่นให้ สีหน้ากลับแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังในทันทีแบบที่นางส่งให้ไม่ใช่ไหดินเผาทั่วไป หากแต่เป็นบรรจุภัณฑ์รูปทรงกลมเตี้ย ฝาปิดแน่น ขนาดพอเหมาะสำหรับบรรจุสบู่ แชมพู หรือแป้งสมุนไพร ผิวภายนอกขอให้เผาแบบไม่เคลือบเพื่อให้มีผิวสัมผัสธรรมชาติ แต่ขอฝังตราประทับรูปดอกเหมย ที่มุมหนึ่งของฝาเพื่อเป็นเอกลักษณ์“แบบนี้...ไม่เคยมีใครสั่งมาก่อน แต่ข้าชอบความคิดเจ้านะ ดูเรียบง่ายแต่มีจุดเด่น”เซี่ยชิงหลีประสานมือคำนับ“ข้าขอสั่งทำชุดแรก หนึ่งพันใบก่อนเจ้าค่ะ เพื่อดูทิศทางตลาดหากผลตอบรับออกมาดีข้าอยากร่วมมือกับร้านท่านเป็นคู่ค้าถาวร รับรองข้าจะไม่หันไปหาที่อื่นแน่นอน”เถ้าแก่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้าช้า ๆ“หนึ่งพันใบข้าจัดให้ได้ ภายในสิบห้าวัน แต่ขอให้เจ้ามารับด้วยต
ณ ตอนนี้ เซี่ยชิงหลีกำลังยืนอยู่หน้าหม้อต้มสมุนไพรใบใหญ่ กลิ่นใบมะกรูดแห้งผสมกับกลิ่นหอมอ่อนของกลีบดอกบัวที่กำลังเคี่ยวเข้ากันลอยคลุ้งอบอวลไปทั่วลานด้านหลังเรือนมือเรียวของหญิงสาวคนไปอย่างต่อเนื่องด้วยไม้พาย ในขณะที่เหงื่อผุดซึมบนหน้าผากอย่างไม่อาจเลี่ยงผ่านไปแล้วหลายวัน...ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ นางทดลองผสมอัตราส่วนใหม่ ลองอุณหภูมิที่ต่างกัน ทดลองการตาก การกวน การแยกชั้นของน้ำมันกับสมุนไพรทุกครั้งที่ล้มเหลว สบู่จับตัวไม่ขึ้นหรือแชมพูกลายเป็นน้ำเหนียวข้นกลิ่นเหม็นเปรี้ยวนางก็ต้องเริ่มใหม่...ตั้งแต่ต้นยามตะวันบ่ายคล้อย สายลมเอื่อยพัดชายแขนเสื้อที่เลอะเปื้อนของนางอย่างแผ่วเบา เซี่ยชิงหลีค่อยๆ วางไม้พายลงพลางถอนหายใจเงียบๆ และทรุดตัวนั่งพิงข้างถังน้ำอย่างเหนื่อยล้าสายตาของนางทอดมองสบู่ก้อนเล็กๆ ที่พอใช้การได้ก้อนแรกในรอบหลายวัน กลิ่นหอมของมันยังอ่อนนัก รูปทรงไม่สวย เนื้อไม่เนียนแต่มัน...สามารถชำระล้างได้จริง“ทำไมกันนะ…”ร่างบางพึมพำกับตนเองเบาๆ เสียงนั้นแฝงไว้ทั้งความเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อย“คนอื่นพอเกิดใหม่ก็มีกระบี่เทพติดมือ มีพลังปราณฟ้าฟาด ฝึกแค่ไม่กี่วันก็กวาดล้างทั้งตระกูลศัตรู…
คำพูดนั้นทำให้หลายคนเบิกตากว้าง จินละห้าร้อยเหวิน ไม่ใช่จำนวนเล็กๆ สำหรับชาวบ้านเลย“หลีเอ๋อ...แล้วพวกเราล่ะ”“เวลาว่างของทุกคน…ข้าอยากให้มาเรียนรู้วิธีบดสมุนไพรเตรียมวัตถุดิบไว้สำหรับการทำยาสีฟันชุดใหญ่ เราจะเริ่มขายที่อำเภอหลิงหนานก่อน”ทุกคนเริ่มมองหน้ากันด้วยความตื่นเต้น ต่างมองเห็นแววความหวังที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันกำลังเริ่มเปล่งประกายในดวงตาของพวกเขา หญิงสาวหันไปมองฟ้ากว้างพลางวางหมากต่อในใจ“และแน่นอน...หากจะส่งขายในเมืองหลิงหนาน ข้าคงต้องขอความร่วมมือจากคนผู้นั้น มู่หรงหนานเฟิง เจ้าของหอหว่านหรงที่ตระกูลหลี่ของเราเคยร่วมมือทำการค้า”เมื่อได้ยินชื่อของมู่หรงหนานเฟิง เซี่ยจื่ออี้ก็นิ่งไปทันที“หลีเอ๋อ น้องทำการค้ากับคุณชายมู่หรงหรือ”เซี่ยชิงหลีหัวเราะน้อยๆ นางลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้มู่หรงหนานเฟิงเคยบอกว่ารู้จักกับพี่ชายของนาง ตัวนางเองหลังจากกลับมาจากอำเภอหลิงหนานก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท“พี่ใหญ่ข้ายังไม่ได้บอกท่านใช่หรือไม่ มู่หรงหนานเฟิงบอกว่าจะมาเยี่ยมท่านที่นี่ คิดว่าหลังจากกลับมาที่เรือนจะบอกท่านแต่ข้ากลับลืมไปเสียได้”เมื่อได้ยินน้องสาวบอกว่ามู่หรงหนานเฟิงเอ่ยถึงตนทั้งยัง
บัดนี้เซี่ยชิงหลีมองชายชราในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิมเพียงเพราะเขาเอ่ยปากชมสามีของนาง“ท่านจะเข้ามาดื่มชาในเรือนก่อนหรือไม่”“ไม่เป็นไรข้ายังมีธุระต่อ ที่มาวันนี้เพียงต้องการมาขอบคุณเจ้าอย่างจริงใจสักครั้งเท่านั้น อีกอย่างข้าอยากให้เจ้ารับสิ่งของเหล่านี้จากข้า ถือเสียว่าเป็นของขวัญสำหรับงานแต่งของเจ้าสองคน”คำพูดนั้นราวกับมีระเบิดถูกปามาที่นาง เสียงบึ้มดังขึ้นในหัวพลันใบหน้าของหญิงสาวเห่อร้อนและแดงก่ำอย่างห้ามไม่อยู่ ชายชรามองหลานสะใภ้ตัวน้อยด้วยสีหน้าชอบใจ นานแล้วที่ตนไม่ได้เอ่ยเล่นหัวกับลูกหลานหากวันหน้าหลานชายผู้นี้ไม่มีทางหายดี แต่เขาได้แต่งงานกับหญิงสาวที่ดีเช่นนั้นตนก็วางใจ เซี่ยชิงหลีมองหีบไม้มากมายตรงหน้า นางตัดสินใจเพียงชั่วอึดใจก่อนพยักหน้ารับ“เช่นนั้นข้าจะขอรับเอาไว้ ขอบคุณท่านเจ้าค่ะ”“ท่านอันใดกัน ต่อไปเจ้าเรียกข้าว่าท่านปู่เมิ่งก็พอ”ชายชรากลับขึ้นรถม้าไปด้วยสีหน้าอิ่มเอม ในที่สุดภาระที่เคยหนักอึ้งในหลายเดือนนี้ก็ได้ถูกวางลงแล้วต่อไปก็จัดการตัวต้นเรื่องที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ขึ้น ชายชราตัดสินใจกลับเมืองหลวงเพื่อจัดการกับคนที่เป็นสาเหตุให้หลานชายของตนต้องกลายเป็นค