“นี่หลี่หมิงเจ๋อ!! ข้าถามเจ้าดีๆ นะ ทำไมต้องทำท่าทางมีลับลมคมในด้วย หรือกลัวว่าข้าจะรู้ความลับในการหาเงินของพวกเจ้า”
จูเป่าเอ๋อไม่ยอมแพ้ รีบวิ่งตามชายหนุ่มไป หญิงสาวยื้อแย่งกับคู่หมั้นหนุ่มอย่างดื้อดึง แสดงท่าทางว่าหากวันนี้นางไม่ได้คำตอบก็จะไม่ยอมปล่อยให้เขาจากไป
“บอกมานะหลี่หมิงเจ๋อ!! เจ้าขึ้นเขาไปทำอะไร!! หากเจ้ายังปิดปากอยู่เช่นนี้ ข้าจะให้ท่านพ่อของข้ายกเลิกการหมั้นของเรา”
ตั้งแต่เล็กหลี่หมิงเจ๋อถูกสอนให้รักพี่น้องรักครอบครัว แต่จูเป่าเอ๋อบัดนี้ยังไม่แต่งเข้ามาก็ทำท่าทางเหมือนจะแย่งชิงทุกอย่างไปจากครอบครัวของเขา นางเป็นคนเห็นแก่ตัวเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด
ตัวเขาลำบากมาตั้งแต่ยังเล็ก มีความฝันคือต้องการให้ครอบครัวอยู่อย่างสุขสบาย ต่อให้ชีวิตลำบากเพียงใดก็ไม่เคยปริปากบ่น เพื่อรักษาความลับของครอบครัว หากวันนี้ต้องแตกหักกับนางเขาก็จะทำ
ชายหนุ่มคิดสะบัดจูเป่าเอ๋อให้ออกไป ทว่ามือเรียวเล็กของเซี่ยชิงหลีจับหัวไหลของเขาเอาไว้
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”
หญิงสาวใช้ห้านิ้วขยุ้มผมของจูเป่าเอ๋อ จากนั้นกระชากนางออกห่างจากหลี่หมิงเจ๋อ
“ท่านล่วงหน้าไปก่อน...เดี๋ยวข้าตามไป”
ร่างบางพยักพเยิดให้เขาออกเดิน คนตระกูลหลี่ที่เฝ้ามองอยู่ไกลๆ ต่างถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ทุกคนในที่นี้ไม่มีใครสามารถออกหน้าจัดการจูเป่าเอ๋อได้เหมือนเซี่ยชิงหลี เพราะไม่อย่างนั้นจะถูกกล่าวหาว่ารังแกคน
“กรี๊ด!! เซี่ยชิงหลี!! นางสารเลวปล่อยผมของข้า”
เสียงกรีดร้องแหลมสูงของจูเป่าเอ๋อดังลั่นไปทั่วแนวป่า ทว่าผู้ที่ทำให้นางเป็นเช่นนั้นกลับไม่แสดงสีหน้าสะทกสะท้านแม้แต่น้อย หญิงสาวในชุดผ้าฝ้ายสีหม่นขยุ้มผมของอีกฝ่ายแน่น
แม้ดวงตาดูเรียบนิ่งแต่แฝงด้วยแรงโทสะ นางลากร่างของสตรีสอดรู้สอดเห็นผู้นั้นกลับเข้าหมู่บ้านโดยไม่กล่าวคำใด ไม่ข่มขู่ ไม่ด่าทอ ไม่มีเสียงโวยวาย...มีเพียงความเงียบที่น่ากลัวกว่าเสียงใดๆ ทั้งสิ้น
เสียงฝีเท้าของทั้งสองกระแทกพื้นดินดังกึกกักเป็นจังหวะ ฝุ่นปลิวตามแรงกระชาก ราวกับพื้นแผ่นดินยังสะเทือนตามความหงุดหงิดในใจ
เมื่อเดินผ่านลานกลางหมู่บ้าน ชาวบ้านที่ได้ยินเสียงกรีดร้องต่างพากันโผล่ออกมาเพื่อดูเรื่องสนุก บางคนเปิดประตูออกมาดู บางคนถึงกับยืนอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
ภาพที่ทุกคนเห็นคือหญิงสาวผู้ร่าเริงและมีน้ำใจ กำลังกระชากลากถูสตรีอีกคนที่กำลังดิ้นรนร้องไห้ปนสบถด่าทออย่างไม่เป็นภาษา เข้ามากลางหมู่บ้านอย่างไม่ไว้หน้า
“พ่อแม่ของนางอยู่ที่ใดไปตามพวกเขามา ให้สองคนดูสิว่าบุตรสาวของพวกเขาไร้ยางอายเพียงใด”
เสียงของนางดังก้องกังวานขึ้นเป็นครั้งแรก ท่าทางเอาเรื่องของเซี่ยชิงหลีทำให้ไม่มีใครกล้าเอ่ยเตือน
“นี่!! ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ เจ้ากำลังทำอะไรลูกสาวของข้า”
หญิงวัยกลางคนรีบวิ่งตรงมายังพวกนาง
“ท่านคือแม่ของนางหรือ”
ร่างบางถามสตรีผู้นั้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ท่านป้า...ท่านอาจจะยุ่งอยู่กับไร่นาไม่มีเวลาสั่งสอนบุตรสาว เช่นนั้นให้ข้าสอนนางแทนท่านดีหรือไม่”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“ท่านไม่รู้หรือ บุตรสาวของท่านวิ่งไล่ตามพี่ชายข้า ฉุดกระชากลากถูกเขาอย่างหน้าไม่อาย แม้สองคนจะเป็นคู่หมั้นทว่าท้องฟ้าสว่างโร่เพียงนี้ นางไม่อายบ้างหรือ หากให้หญิงสาวในหมู่บ้านมาเห็นแล้วทำตาม หญิงจากตระกูลจูของท่าน แล้วท่านจะให้คำอธิบายแก่ทุกคนอย่างไร”
คำพูดของเซี่ยชิงหลีมีเหตุผลและสามารถปิดปากทุกคนได้ในคราวเดียว เรือนหลังไหนในหมู่บ้านไม่มีบุตรสาวบ้าง หากประพฤติตนเช่นเดียวกับจูเป่าเอ๋อ เห็นทีคงไม่มีบุรุษดีดีที่ใดกล้าแต่งงานด้วย
ความเงียบเข้าปกคลุมเพียงชั่วลมหายใจ ก่อนเสียงซุบซิบจะเริ่มดังขึ้นรอบทิศทาง ราวกับไฟกำลังลามจากประกายเดียว
“ท่านแม่!...อย่าไปเชื่อคำพูดของนาง นางโกหกข้าไม่ได้ทำเช่นนั้น”
จูเป่าเอ๋อกรีดร้องราวกับคนบ้า ทว่าเสียงของหลี่หมิงเจ๋อกลับดังขึ้นทางด้านหลัง
“เจ้าไม่ได้ทำเช่นนั้นจริงๆ หรือ”
ชายหนุ่มก้าวเข้ามาเผชิญหน้ากับคู่หมั้นของตน หลายคนมองสภาพของหลี่หมิงเจ๋อด้วยสายตาสนใจ
“ท่านลุง ท่านอา ท่านน้าทั้งหลาย ข้าหลี่หมิงเจ๋อเติบโตมาในหมู่บ้านแห่งนี้ข้าเชื่อว่าทุกคนคงจะรู้จักนิสัยของข้าเป็นอย่างดี”
ชาวบ้านต่างพยักหน้าเห็นด้วย เมื่อพูดถึงลูกชายบ้านรองตระกูลหลี่อย่างชายหนุ่ม เขาเป็นคนซื่อสัตย์ทว่าพูดน้อยเงียบขรึมต่างจากหลี่เยว่หยางลูกชายคนเล็กของบ้านใหญ่ที่เป็นคนร่าเริงชอบพูดคุยเล่นหัวได้กับทุกคน เช่นนั้นคำพูดของเขาจึงน่าเชื่อถือกว่าคำพูดของจูเป่าเอ๋อสตรีปากมากผู้นั้น
“นี่คือแขนเสื้อที่ถูกนางฉีกจนขาดของข้า ก่อนหน้านี้จูเป่าเอ๋อต้องการให้ข้าบอกความลับในการหาเงินแก่นาง เพราะตัวข้าเป็นบุตรชายของบิดามารดา เป็นหลานชายของท่านปู่และท่านย่า ข้าจะทรยศต่อพวกเขาได้อย่างไร”
คำพูดของหลี่หมิงเจ๋อทำให้หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย ทว่าก็มีบางคนที่นิสัยไม่ต่างจากจูเป่าเอ๋อ คือเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนและโลภมากในสิ่งของของผู้อื่น คนเหล่านี้ความจริงก็อยากรู้เกี่ยวกับวิธีหาเงินของบ้านหลี่เช่นกัน ทว่าไม่กล้าเอ่ยปาก
“นางเป็นคู่หมั้นของเจ้า อีกไม่นานก็แต่งงานเข้าตระกูลหลี่ เหตุใดถึงได้ขี้เหนียวไม่ยอมบอกนาง เจ้าว่าจูเป่าเอ๋อเป็นคนเห็นแก่ตัว แล้วเจ้าเล่า ต่างกันตรงไหน”
หวังฟู่กุ้ย คือเขยที่แต่งเข้าสกุลฟาง ภรรยาของเขาคือฟางลี่จิ่น สตรีขี้หึงอันดับหนึ่งในหมู่บ้าน นางเป็นบุตรสาวคนเดียวของตระกูลฟางสาขารอง จึงหาสามีแต่งเข้าบ้านเพื่อสืบทอดสายเลือด
ฟางลี่จิ่นเป็นสตรีร่างท้วมทว่ารักสามียิ่งชีพ หากมีแม่หม้ายหรือสาวใดกล้าชายตามองสามีของนาง นางก็จะตามหาเรื่องไม่หยุดหย่อน
“ถ้าเจ้าบอกว่าข้าเห็นแก่ตัว เช่นนั้นข้าขอถาม ทุกคนที่นี่หากมีหนทางทำเงินมีใครในนี้จะยอมเปิดปากบอกผู้อื่นให้มาแบ่งเงินจากพวกท่านหรือไม่”
คำถามของชายหนุ่มสามารถปิดปากของหวังฟู่กุ้ยได้ในทันที
“หลี่หมิงเจ๋อ!! เจ้ากล้าดีอย่างไรมาฉีกหน้าข้า เจ้าคนสารเลวข้าเกลียดเจ้า!! ฮื่อ!! เจ้ายอมเข้าข้างคนอื่นแต่ไม่เข้าข้างข้า”
จูเป่าเอ๋อทรุดกายนั่งลงก้มหน้าร้องไห้ ทว่าคำพูดของหลี่หมิงเจ๋อทำให้นางถึงกับชะงักไป
“นางไม่ใช่คนอื่น...นางคือน้องสาวของข้า”
ชายหนุ่มเอ่ยเพียงเท่านั้นก็พยักหน้าให้ลูกพี่ลูกน้องเดินตามตนเองออกมา ละทิ้งเรื่องราวทุกอย่างเอาไว้เบื้องหลัง และบัดนี้ในใจของเขาได้ตัดสินใจแล้วว่าจะยุติความสัมพันธ์กับจูเป่าเอ๋อ
“พี่หมิงเจ๋อ...ท่านเสียใจหรือไม่”
ระหว่างทางเซี่ยชิงหลีลอบสำรวจความรู้สึกของลูกพี่ลูกน้องหนุ่ม
“ไม่เลย ข้ากลับรู้สึกคล้ายตนเองได้รับอิสระ”
“ท่านอายุยังน้อย ยังมีเวลาหาสตรีที่ถูกในใจอนาคต วันหน้าครอบครัวของเราต้องมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่านี้ ข้าคิดว่าเมื่อร่ำรวยขึ้นบางทีท่านอาจไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้”
คำปลอบใจของลูกพี่ลูกน้องหญิงทำให้ชายหนุ่มยิ้มออกมาได้
“ภรรยา!! อาเหิงรออยู่ที่นี่!!”
เสียงของชายหนุ่มดังสะท้อนมาจากไหล่เขา ร่างสูงตระหง่านโดดเด่นของเขามองเห็นแต่ไกล หลี่หมิงเจ๋อมองภาพนั้นพลางหันมาส่งยิ้มให้ลูกพี่ลูกน้องสาว
“เหมือนที่เจ้าเลือกเขาหรือ”
ชายหนุ่มเอ่ยเย้าเสียงเบา ใบหน้างามแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงสุกปลั่งยามเมื่อเอ่ยถึงสามีผู้ไม่เหมือนใครของตน
“ท่านคิดมากเกินไปแล้ว”
ทั้งสองรีบสาวเท้าเดินขึ้นเขาเพื่อตามให้ทันครอบครัวที่เฝ้ารออยู่ไม่ไกล สายตาเป็นกังวลที่มองมาทำให้เซี่ยชิงหลีรู้สึกตื้นตัน วันนี้นางได้รู้แล้วว่าโชคดีทั้งหมดของนางคือการได้มีครอบครัวที่ห่วงใยและเป็นหนึ่งเดียว
ภายหลังจากจูเป่าเอ๋อก่อเรื่องในวันนั้น ชื่อเสียงของนางก็ยิ่งแย่ลงกว่าเดิม แม้ตระกูลหลี่อยากจะถอนหมั้นเพียงใดทว่าก็ไร้เหตุผลอันสมควร เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องที่ยังคาราคาซังไม่สามารถจัดการได้
ในเช้าตรู่ของวันหนึ่ง หลังจากหอหว่านหรงสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคง ถึงเวลาที่หญิงสาวต้องกลับบ้านเสียที รถม้าสีเทาเรียบหรูคันหนึ่งแล่นออกจากตัวเมืองหลิงหนาน มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเล็กๆ ที่เงียบสงบใต้เงาภูเขาเขียวภายในรถม้า เซี่ยชิงหลีนั่งเงียบๆ มือถือกล่องไม้เล็กใส่ของฝากจากในเมือง ข้างกายนางคือมู่หรงหนานเฟิงผู้เงียบไม่แพ้กัน ทว่าแววตากลับอ่อนลงกว่าเมื่อเดือนก่อน“เจ้าแน่ใจหรือว่าเขายังอยากพบข้า”ชายหนุ่มถามเสียงเบา ขณะทอดสายตามองออกไปยังทิวทุ่งข้าวเขียวขจีที่ทอดยาว เซี่ยชิงหลีเหลือบมองเขาดวงตานิ่งสงบ แต่แฝงแววล้อเลียนเล็กน้อย“พี่ชายข้า...อาจไม่พูดออกมาตรงๆ แต่ท่านเองก็ควรรู้ว่าเขาเฝ้ามองข่าวจากหอหว่านหรงทุกคืน”หลังจากได้ร่วมงานกัน หญิงสาวจึงได้รู้ว่ามู่หรงหนานเฟิงใส่ใจพี่ชายของนางไม่น้อย ทว่าสิ่งที่ทั้งสองรู้สึกไม่อาจเอ่ยปากได้โดยง่าย เพียงเพราะเพศเดียวกันจึงไม่สามารถครองคู่หญิงสาวยกยิ้มบางเบาเมื่อยามนึกถึงสิ่งที่พี่ชายของตนกระทำ“ข้าเคยเห็นเขาอ่านแผนการที่ข้าเขียนในกระดาษซ้ำหลายครั้งในทุกคืน เพียงเพราะบนกระดาษแผ่นนั้นมีชื่อของท่านอยู่”มู่หรงหนานเฟิงยิ้มบางๆ ลมหายใจในอกพลันอบอุ่น
เซี่ยชิงหลีนั่งลงบนม้านั่งไม้ริมหน้าต่าง แขนขวาของนางมีรอยแดงช้ำตรงปลายข้อศอกถลอกเล็กน้อยจากแรงปะทะ มู่หรงหนานเฟิงนั่งตรงข้าม มือของเขาถือผ้าผืนเล็กกับน้ำสะอาดเตรียมล้างแผลให้ตนเองแววตาของเขาในตอนนี้…ว่างเปล่าเสียจนชวนให้นางรู้สึกหนักอึ้งในอก เขากำลังคิดอะไรอยู่…ไม่ต้องเดาก็รู้ดวงตาคู่นั้นไม่มีเป้าหมาย ไม่มีไฟ ไม่มีแม้แต่ความเคียดแค้น มันคือแววตาของคนที่หมดแรงเดินต่อแม้จะยังยืนอยู่ เซี่ยชิงหลีมองเขาเงียบๆ ปล่อยให้เสียงเช็ดแผลเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ดังอยู่ในห้องนั้นภาพชายหนุ่มตรงหน้าแตกต่างจากตอนที่นางพบเขาครั้งแรกโดยสิ้นเชิง ตอนนั้นเขาคือเจ้าของหอสุราที่สง่างาม สุขุม และแฝงแรงใจเข้มแข็งในแววตา ทว่าวันนี้…เขาไม่ต่างจากคนที่ถูกบีบจนไม่เหลือทางเดิน“มีบ้านก็กลับไม่ได้ มีตระกูลแต่ไร้ที่ยืน”หากเขายังจมอยู่กับความสิ้นหวังเช่นนี้...เขาอาจจะไม่ใช่คู่ค้าที่นางพึ่งพาได้ในวันหน้า“คุณชายมู่หรง”เซี่ยชิงหลีเอ่ยเสียงเบา“ข้าไม่ใช่คนดีมากพอจะให้คำปลอบใจอันเลิศหรู แต่ในโลกแห่งการค้า หากเจ้าหยุดเดินเพียงเพราะเส้นทางข้างหน้ามีคนขวาง…เจ้าจะไม่มีวันไปถึงจุดที่เขาไม่กล้าตามไปเหยียบ”มู่หรงหนานเฟิงเงยหน
อาเหิงเอ่ยอย่างเคืองๆ เซี่ยชิงหลีมองคนต่างวัยทั้งสองที่ไม่ต่างจากเพื่อนในวัยเดียวกันแล้วอดหัวเราะไม่ได้เมื่อถึงร้านเครื่องปั้นดินเผาต้าเหอยิ่น ร้านเก่าแก่ที่มีโรงเผาอยู่ด้านหลัง เซี่ยชิงหลีก็ยื่นกระดาษแบบร่างให้กับเถ้าแก่ผู้เป็นเจ้าของกิจการชายวัยกลางคนผู้มีหนวดเคราสีดำน้ำตาล คิ้วเข้มท่าทางค่อนข้างดุร้าย แต่พอเห็นกระดาษที่หญิงสาวยื่นให้ สีหน้ากลับแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังในทันทีแบบที่นางส่งให้ไม่ใช่ไหดินเผาทั่วไป หากแต่เป็นบรรจุภัณฑ์รูปทรงกลมเตี้ย ฝาปิดแน่น ขนาดพอเหมาะสำหรับบรรจุสบู่ แชมพู หรือแป้งสมุนไพร ผิวภายนอกขอให้เผาแบบไม่เคลือบเพื่อให้มีผิวสัมผัสธรรมชาติ แต่ขอฝังตราประทับรูปดอกเหมย ที่มุมหนึ่งของฝาเพื่อเป็นเอกลักษณ์“แบบนี้...ไม่เคยมีใครสั่งมาก่อน แต่ข้าชอบความคิดเจ้านะ ดูเรียบง่ายแต่มีจุดเด่น”เซี่ยชิงหลีประสานมือคำนับ“ข้าขอสั่งทำชุดแรก หนึ่งพันใบก่อนเจ้าค่ะ เพื่อดูทิศทางตลาดหากผลตอบรับออกมาดีข้าอยากร่วมมือกับร้านท่านเป็นคู่ค้าถาวร รับรองข้าจะไม่หันไปหาที่อื่นแน่นอน”เถ้าแก่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้าช้า ๆ“หนึ่งพันใบข้าจัดให้ได้ ภายในสิบห้าวัน แต่ขอให้เจ้ามารับด้วยต
ณ ตอนนี้ เซี่ยชิงหลีกำลังยืนอยู่หน้าหม้อต้มสมุนไพรใบใหญ่ กลิ่นใบมะกรูดแห้งผสมกับกลิ่นหอมอ่อนของกลีบดอกบัวที่กำลังเคี่ยวเข้ากันลอยคลุ้งอบอวลไปทั่วลานด้านหลังเรือนมือเรียวของหญิงสาวคนไปอย่างต่อเนื่องด้วยไม้พาย ในขณะที่เหงื่อผุดซึมบนหน้าผากอย่างไม่อาจเลี่ยงผ่านไปแล้วหลายวัน...ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ นางทดลองผสมอัตราส่วนใหม่ ลองอุณหภูมิที่ต่างกัน ทดลองการตาก การกวน การแยกชั้นของน้ำมันกับสมุนไพรทุกครั้งที่ล้มเหลว สบู่จับตัวไม่ขึ้นหรือแชมพูกลายเป็นน้ำเหนียวข้นกลิ่นเหม็นเปรี้ยวนางก็ต้องเริ่มใหม่...ตั้งแต่ต้นยามตะวันบ่ายคล้อย สายลมเอื่อยพัดชายแขนเสื้อที่เลอะเปื้อนของนางอย่างแผ่วเบา เซี่ยชิงหลีค่อยๆ วางไม้พายลงพลางถอนหายใจเงียบๆ และทรุดตัวนั่งพิงข้างถังน้ำอย่างเหนื่อยล้าสายตาของนางทอดมองสบู่ก้อนเล็กๆ ที่พอใช้การได้ก้อนแรกในรอบหลายวัน กลิ่นหอมของมันยังอ่อนนัก รูปทรงไม่สวย เนื้อไม่เนียนแต่มัน...สามารถชำระล้างได้จริง“ทำไมกันนะ…”ร่างบางพึมพำกับตนเองเบาๆ เสียงนั้นแฝงไว้ทั้งความเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อย“คนอื่นพอเกิดใหม่ก็มีกระบี่เทพติดมือ มีพลังปราณฟ้าฟาด ฝึกแค่ไม่กี่วันก็กวาดล้างทั้งตระกูลศัตรู…
คำพูดนั้นทำให้หลายคนเบิกตากว้าง จินละห้าร้อยเหวิน ไม่ใช่จำนวนเล็กๆ สำหรับชาวบ้านเลย“หลีเอ๋อ...แล้วพวกเราล่ะ”“เวลาว่างของทุกคน…ข้าอยากให้มาเรียนรู้วิธีบดสมุนไพรเตรียมวัตถุดิบไว้สำหรับการทำยาสีฟันชุดใหญ่ เราจะเริ่มขายที่อำเภอหลิงหนานก่อน”ทุกคนเริ่มมองหน้ากันด้วยความตื่นเต้น ต่างมองเห็นแววความหวังที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันกำลังเริ่มเปล่งประกายในดวงตาของพวกเขา หญิงสาวหันไปมองฟ้ากว้างพลางวางหมากต่อในใจ“และแน่นอน...หากจะส่งขายในเมืองหลิงหนาน ข้าคงต้องขอความร่วมมือจากคนผู้นั้น มู่หรงหนานเฟิง เจ้าของหอหว่านหรงที่ตระกูลหลี่ของเราเคยร่วมมือทำการค้า”เมื่อได้ยินชื่อของมู่หรงหนานเฟิง เซี่ยจื่ออี้ก็นิ่งไปทันที“หลีเอ๋อ น้องทำการค้ากับคุณชายมู่หรงหรือ”เซี่ยชิงหลีหัวเราะน้อยๆ นางลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้มู่หรงหนานเฟิงเคยบอกว่ารู้จักกับพี่ชายของนาง ตัวนางเองหลังจากกลับมาจากอำเภอหลิงหนานก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท“พี่ใหญ่ข้ายังไม่ได้บอกท่านใช่หรือไม่ มู่หรงหนานเฟิงบอกว่าจะมาเยี่ยมท่านที่นี่ คิดว่าหลังจากกลับมาที่เรือนจะบอกท่านแต่ข้ากลับลืมไปเสียได้”เมื่อได้ยินน้องสาวบอกว่ามู่หรงหนานเฟิงเอ่ยถึงตนทั้งยัง
บัดนี้เซี่ยชิงหลีมองชายชราในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิมเพียงเพราะเขาเอ่ยปากชมสามีของนาง“ท่านจะเข้ามาดื่มชาในเรือนก่อนหรือไม่”“ไม่เป็นไรข้ายังมีธุระต่อ ที่มาวันนี้เพียงต้องการมาขอบคุณเจ้าอย่างจริงใจสักครั้งเท่านั้น อีกอย่างข้าอยากให้เจ้ารับสิ่งของเหล่านี้จากข้า ถือเสียว่าเป็นของขวัญสำหรับงานแต่งของเจ้าสองคน”คำพูดนั้นราวกับมีระเบิดถูกปามาที่นาง เสียงบึ้มดังขึ้นในหัวพลันใบหน้าของหญิงสาวเห่อร้อนและแดงก่ำอย่างห้ามไม่อยู่ ชายชรามองหลานสะใภ้ตัวน้อยด้วยสีหน้าชอบใจ นานแล้วที่ตนไม่ได้เอ่ยเล่นหัวกับลูกหลานหากวันหน้าหลานชายผู้นี้ไม่มีทางหายดี แต่เขาได้แต่งงานกับหญิงสาวที่ดีเช่นนั้นตนก็วางใจ เซี่ยชิงหลีมองหีบไม้มากมายตรงหน้า นางตัดสินใจเพียงชั่วอึดใจก่อนพยักหน้ารับ“เช่นนั้นข้าจะขอรับเอาไว้ ขอบคุณท่านเจ้าค่ะ”“ท่านอันใดกัน ต่อไปเจ้าเรียกข้าว่าท่านปู่เมิ่งก็พอ”ชายชรากลับขึ้นรถม้าไปด้วยสีหน้าอิ่มเอม ในที่สุดภาระที่เคยหนักอึ้งในหลายเดือนนี้ก็ได้ถูกวางลงแล้วต่อไปก็จัดการตัวต้นเรื่องที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ขึ้น ชายชราตัดสินใจกลับเมืองหลวงเพื่อจัดการกับคนที่เป็นสาเหตุให้หลานชายของตนต้องกลายเป็นค