ลุงใหญ่และลุงรองยืนตะลึง ไม่ใช่เพียงเพราะความกล้าหาญของหลานสาว แต่เพราะศิลปะการต่อสู้นั้น...พวกตนไม่เคยเห็นในแผ่นดินนี้มาก่อน
“หลีเอ๋อ!!..เป็นอย่างไรบ้าง หลานได้รับบาดเจ็บหรือไม่”
สองลุงรีบกระโดดลงจากเกวียนเพื่อดูหลานสาวคนดี
“ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ข้ายังสบายดีอยู่”
เมื่อตรวจสอบร่างกายของนาง พบว่าหลานสาวไม่ได้รับบาดเจ็บลุงทั้งสองจึงหันไปสนใจโจรโพกผ้าทั้งห้า
“แล้วจะทำอย่างไรกับคนเหล่านี้”
เสียงของลุงรองเอ่ยขึ้นเบาๆ ขณะมองร่างชายฉกรรจ์ทั้งห้านอนระเกะระกะอยู่บนพื้นดิน บางคนยังหมดสติ บางคนพยายามดิ้นขยับแต่ถูกอาการบาดเจ็บเล่นงานจนแทบกระดิกตัวไม่ได้
เซี่ยชิงหลีปรายตามองนิ่ง ก่อนยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย ท่าทางของนางทำเอาคนเหล่านั้นรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ
“ในเมื่อพวกเขากล้าปล้นชิง ข้าก็ขอเก็บคืนทุกอย่างจากพวกเขาไว้เป็นค่าปลอบขวัญก็แล้วกัน ครั้งนี้ข้าแค่สั่งสอนเท่านั้น วันหลังจะได้ไม่คิดปล้นชิงของผู้อื่นอีก”
เซี่ยชิงหลีก้าวเข้าไปหาทีละคน มือเรียวแตะค้นตามลำตัวอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ทุกอย่างถูกยึดอย่างรวดเร็วราวกับมืออาชีพ พอถึงคนสุดท้าย นางจึงถอนหายใจเบาๆ
“ไม่มีของไม่มีค่าอะไรเลย...นอกจากเสื้อผ้า”
ลุงใหญ่เบิกตากว้าง
“เจ้าคิดจะ...!!”
เซี่ยชิงหลีไม่ตอบ เพียงหมุนตัวไปถอดเสื้อคลุมตัวนอกจากชายฉกรรจ์เหล่าออกมา ผู้เป็นลุงถึงกับพูดไม่ออกกับพฤติกรรมของหลานสาว ตอนนี้พวกตนดูไม่ออกแล้วว่าใครกันแน่คือคนที่ถูกปล้น
“ถ้าไม่อยากถูกจับโยนเข้าไปในเมืองในสภาพน่าสมเพช... ก็จงจำไว้ให้ดีว่าอย่ามายุ่งกับข้า หรือคนของข้าอีก ไม่อย่างนั้นครั้งต่อไปข้าจะตัด...ไอ้นั่นของพวกเจ้าทิ้ง อ้อ....ฝากไปบอกเซี่ยจิ่งเฉิงด้วยล่ะ ว่างเมื่อไหร่ข้าจะไปพบเขาแน่ ล้างคอรอไว้ได้เลย”
หญิงสาวยึดชุดนอก เสื้อผ้าชั้นนอกทุกชิ้น ผ้าคาดเอว ผ้าโพกหัว รวมถึงรองเท้า ที่นางทำเช่นนั้นไม่ใช่เพราะต้องการ...แต่เพราะศักดิ์ศรีที่พวกเขาพยายามจะพรากไปจากนาง ดังนั้นนางก็จะเอามันกลับคืนในแบบเดียวกัน
เมื่อสายลมเย็นพัดผ่านอีกครั้ง ร่างของโจรทั้งห้าที่นอนสั่นอยู่กับพื้นก็ไม่เหลืออะไรให้แสดงถึง ความน่าเกรงขาม อีกต่อไป เหลือเพียงคนพ่ายแพ้...ในสภาพยับเยิน น่าอับอายอย่างที่สุด
เซี่ยชิงหลีโยนข้าวของทั้งหมดใส่ผ้าห่อเล็กๆ แล้วสะพายขึ้นบ่าพลางเอ่ยเสียงเรียบ
“ท่านลุงไปเถอะ...เดี๋ยวฟ้าจะมืดเสียก่อน ขอบคุณนะ สิ่งของเหล่านี้ข้าจะใช้เป็นอย่างดี”
หญิงสาวก้าวขึ้นเกวียนวัวด้วยท่าทางสง่างาม เสียงบดของล้อเกวียนกับถนนดังแว่วห่างออกไปทีละน้อย
ทิ้งให้เบื้องหลังมีเพียงเสียงครางเจ็บปวดและดวงตาที่เต็มไปด้วยความอับอายของชายทั้งห้าคน...ที่เคยคิดจะใช้หญิงสาวเป็นเพียงเครื่องระบายความใคร่
เพียงไม่นานหลังจากที่เซี่ยชิงหลีจากไป เซี่ยจิ่งเฉิงก็โผล่ออกมาจากเงาไม้ สีหน้าของเขาไม่เหลือแววมั่นใจและเย่อหยิ่งแบบที่เคยมี เหลือเพียงความตกตะลึงกับสิ่งที่เพิ่งได้เห็น
"นาง...สู้เก่งเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด!"
เขากระชากชายเสื้อคลุมเดินเร็วตรงไปยังกลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งห้า ร่างของแต่ละคนยังคงนอนระเนระนาด บ้างร้องครางบ้างยังสลบเหมือด ทั้งตัวเหลือเพียงผ้าเตี่ยวผืนเดียวไว้ปิดของสงวน
เซี่ยจิ่งเฉิงเขย่าไหล่ของหนึ่งในนั้น
“พวกเจ้าบอกข้าว่าสามารถจัดการกับสตรีบ้าผู้นั้นได้ นางเป็นแค่หญิงบ้านนอก! แค่หญิงชาวบ้าน! เหตุใดถึง...!”
ชายฉกรรจ์ผู้ถูกเขย่าใบหน้าซีดเซียวพยายามอ้าปากพูดทว่าไร้เสียงตอบกลับชัดเจน มีเพียงเสียงครางเบาๆ กับดวงตาเบิกโพลงที่ยังเต็มไปด้วยความตื่นกลัว
เซี่ยจิ่งเฉิงหันขวับไปมองอีกคนพลางมือกำแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นชัดเจน
“ข้าใช้เงินตั้งมากมายเพื่อจ้างพวกเจ้า! แล้วนี่หรือคือผลงานที่ข้าได้รับ”
ไร้คำตอบ...มีเพียงกลิ่นดิน กลิ่นเหงื่อ และกลิ่นความพ่ายแพ้ที่ตลบอบอวล เซี่ยจิ่งเฉิงเงียบไปชั่วครู่ สีหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนจากความตกใจเป็นความขุ่นเคือง แต่มันไม่ใช่ความโกรธที่มีต่อเหล่าชายฉกรรจ์พวกนั้น
มันคือความโกรธที่มีต่อตนเอง...ที่ประเมินหญิงบ้าผู้นั้นต่ำเกินไป
“เซี่ยชิงหลี...เจ้ามันตัวอะไรกันแน่!”
เสียงของชายหนุ่มเบาลง ทว่าเต็มไปด้วยแรงอารมณ์ที่กดทับ
แววตาในยามนี้ปะปนทั้งความโกรธและความเสียหน้า ครั้งนี้เขาพ่ายแพ้ให้แก่นาง ครั้งหน้าเขาจะไม่แพ้แน่เกวียนวัวค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาจอดที่หน้าประตูเรือนตระกูลหลี่ เสียงล้อไม้บดกับดินดังเอื่อยๆ แต่ท่ามกลางบรรยากาศยามเย็นที่แสงอาทิตย์สีทองเริ่มลับยอดไม้ กลับมีบางสิ่งบางอย่างแปลกไปจากทุกครั้ง
ทันทีที่เก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว ตระกูลหลี่ทั้งหมดก็มารวมตัวกันที่ห้องโถงทันที ลุงใหญ่และลุงรองผลัดกันเล่าเหตุการณ์หวาดเสียวที่พวกตนถูกปล้นระหว่างทาง โชคยังดีที่ได้เซี่ยชิงหลีช่วยเอาไว้ หลานสาวผู้เก่งกาจของเขา ท่าทางของทั้งสองยังไม่หายจากอาการตกใจนัก ขณะเล่าถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
ลุงใหญ่เอ่ยขึ้นก่อน
“พวกมันโผล่มาเหมือนหมาป่าหิวโหย เห็นพวกเราเป็นเพียงชาวบ้านและเด็กสาวอ่อนแอเลยคิดว่าเรารังแกง่าย!”
“ข้ากับพี่ใหญ่ได้แต่ภาวนาต่อสวรรค์อยู่ในใจ คิดว่าวันนี้คงไม่ได้กลับมาเห็นหน้าทุกคนเสียแล้ว!”
ลุงรองหันไปมองหลานสาวที่นั่งนิ่งอยู่ตรงมุมห้อง
“ทันใดนั้น หลีเอ๋อนางก้าวลงจากเกวียนแล้วใช้หมัดเปล่าล้มโจรทั้งห้าคนได้ในพริบตา!”
เสียงฮือฮาดังขึ้นทันทีในหมู่ญาติพี่น้อง บางคนอ้าปากค้าง บางคนมองหน้ากันด้วยความไม่เชื่อ แต่คนที่ให้ความสนใจในการต่อสู้ของนางมากกว่าผู้ใดคือ หลี่เยว่หยาง
“หลีเอ๋อเจ้ารู้วิชาต่อสู้ด้วยหรือ”
ชายหนุ่มลุกพรวดขึ้นทันที ท่าทางอยากรู้อยากเห็นของเขาทำเอานางแทบกลั้นหัวเราะไม่ไหว
“ข้าเคยได้เรียนกับอาจารย์ของข้ามานิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้เก่งกาจอะไร”
เสียงของเขาดังจนผู้ใหญ่หลายคนต้องปรามด้วยสายตา แต่เจ้าตัวก็ไม่ลดท่าทีตื่นเต้นลงเลยแม้แต่น้อย
ตั้งแต่เด็ก หลี่เยว่หยางก็หลงใหลเรื่องแม่ทัพ วีรบุรุษ ตำราพิชัยสงคราม เขาเคยฝันกลางวันว่าได้สวมเกราะ ขี่ม้า ถือทวน เข้าสู่สนามรบเพื่อปกป้องแคว้น ทว่าชาวบ้านธรรมดาอย่างเขาคงทำได้เพียงแค่ฝัน
“หลีเอ๋อ...เจ้าพอจะสอนการต่อสู้ให้ข้าบ้างได้หรือไม่”
เซี่ยชิงหลีหันไปมองชายหนุ่มช้าๆ รอยยิ้มบางผุดขึ้นที่มุมปาก เป็นรอยยิ้มที่ทั้งอ่อนโยนและเหน็ดเหนื่อย…ราวกับผู้เคยผ่านสนามรบมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
“พี่เยว่หยางท่านอยากจะฝึกจริงหรือ”
นางถามเสียงเรียบ
“จริง! ถ้าเจ้ายอมสอน ต่อให้ลำบากเจียนตายข้าก็จะทำตามที่เจ้าสั่งทุกประการ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารัวสีหน้าแน่วแน่ หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่เบา…แต่ชัดเจน
“หากคิดจะฝึก ท่านต้องรู้เอาไว้ก่อน…ว่าวิชาการต่อสู้นี้ไม่ได้มีไว้เพื่อโอ้อวด หรือใช้กดขี่ใคร มันมีไว้…เพื่อปกป้องคนที่ท่านรักและสิ่งที่ท่านหวงแหน ห้ามนำไปใช้ในทางที่ไม่ดีเด็ดขาด”
ห้องทั้งห้องเงียบลงทันที ดั่งเสียงนั้นสะท้อนเข้าไปในหัวใจของคนทุกคน หลี่เยว่หยางนิ่งเงียบ...ก่อนจะพยักหน้าอีกครั้งด้วยสายตาแน่วแน่ยิ่งกว่าเดิม
“ข้าจะจำเอาไว้ ข้าจะจดจำทุกคำสอนของเจ้าให้ลึกสุดหัวใจ”
เช้าตรู่ของวันใหม่ แสงแดดสีทองยังเพิ่งเริ่มแตะยอดไม้ เสียงไก่ขันแว่วมาเป็นระยะจากปลายหมู่บ้าน หมอกจางๆ ยังคงลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือลำธารเล็กๆ ที่ไหลผ่านหมู่บ้านสือโถว บรรยากาศเงียบสงบและเรียบง่าย เป็นอะไรที่ทำให้รู้สึกปลอดโปร่ง
ในเช้าตรู่ของวันหนึ่ง หลังจากหอหว่านหรงสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคง ถึงเวลาที่หญิงสาวต้องกลับบ้านเสียที รถม้าสีเทาเรียบหรูคันหนึ่งแล่นออกจากตัวเมืองหลิงหนาน มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเล็กๆ ที่เงียบสงบใต้เงาภูเขาเขียวภายในรถม้า เซี่ยชิงหลีนั่งเงียบๆ มือถือกล่องไม้เล็กใส่ของฝากจากในเมือง ข้างกายนางคือมู่หรงหนานเฟิงผู้เงียบไม่แพ้กัน ทว่าแววตากลับอ่อนลงกว่าเมื่อเดือนก่อน“เจ้าแน่ใจหรือว่าเขายังอยากพบข้า”ชายหนุ่มถามเสียงเบา ขณะทอดสายตามองออกไปยังทิวทุ่งข้าวเขียวขจีที่ทอดยาว เซี่ยชิงหลีเหลือบมองเขาดวงตานิ่งสงบ แต่แฝงแววล้อเลียนเล็กน้อย“พี่ชายข้า...อาจไม่พูดออกมาตรงๆ แต่ท่านเองก็ควรรู้ว่าเขาเฝ้ามองข่าวจากหอหว่านหรงทุกคืน”หลังจากได้ร่วมงานกัน หญิงสาวจึงได้รู้ว่ามู่หรงหนานเฟิงใส่ใจพี่ชายของนางไม่น้อย ทว่าสิ่งที่ทั้งสองรู้สึกไม่อาจเอ่ยปากได้โดยง่าย เพียงเพราะเพศเดียวกันจึงไม่สามารถครองคู่หญิงสาวยกยิ้มบางเบาเมื่อยามนึกถึงสิ่งที่พี่ชายของตนกระทำ“ข้าเคยเห็นเขาอ่านแผนการที่ข้าเขียนในกระดาษซ้ำหลายครั้งในทุกคืน เพียงเพราะบนกระดาษแผ่นนั้นมีชื่อของท่านอยู่”มู่หรงหนานเฟิงยิ้มบางๆ ลมหายใจในอกพลันอบอุ่น
เซี่ยชิงหลีนั่งลงบนม้านั่งไม้ริมหน้าต่าง แขนขวาของนางมีรอยแดงช้ำตรงปลายข้อศอกถลอกเล็กน้อยจากแรงปะทะ มู่หรงหนานเฟิงนั่งตรงข้าม มือของเขาถือผ้าผืนเล็กกับน้ำสะอาดเตรียมล้างแผลให้ตนเองแววตาของเขาในตอนนี้…ว่างเปล่าเสียจนชวนให้นางรู้สึกหนักอึ้งในอก เขากำลังคิดอะไรอยู่…ไม่ต้องเดาก็รู้ดวงตาคู่นั้นไม่มีเป้าหมาย ไม่มีไฟ ไม่มีแม้แต่ความเคียดแค้น มันคือแววตาของคนที่หมดแรงเดินต่อแม้จะยังยืนอยู่ เซี่ยชิงหลีมองเขาเงียบๆ ปล่อยให้เสียงเช็ดแผลเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ดังอยู่ในห้องนั้นภาพชายหนุ่มตรงหน้าแตกต่างจากตอนที่นางพบเขาครั้งแรกโดยสิ้นเชิง ตอนนั้นเขาคือเจ้าของหอสุราที่สง่างาม สุขุม และแฝงแรงใจเข้มแข็งในแววตา ทว่าวันนี้…เขาไม่ต่างจากคนที่ถูกบีบจนไม่เหลือทางเดิน“มีบ้านก็กลับไม่ได้ มีตระกูลแต่ไร้ที่ยืน”หากเขายังจมอยู่กับความสิ้นหวังเช่นนี้...เขาอาจจะไม่ใช่คู่ค้าที่นางพึ่งพาได้ในวันหน้า“คุณชายมู่หรง”เซี่ยชิงหลีเอ่ยเสียงเบา“ข้าไม่ใช่คนดีมากพอจะให้คำปลอบใจอันเลิศหรู แต่ในโลกแห่งการค้า หากเจ้าหยุดเดินเพียงเพราะเส้นทางข้างหน้ามีคนขวาง…เจ้าจะไม่มีวันไปถึงจุดที่เขาไม่กล้าตามไปเหยียบ”มู่หรงหนานเฟิงเงยหน
อาเหิงเอ่ยอย่างเคืองๆ เซี่ยชิงหลีมองคนต่างวัยทั้งสองที่ไม่ต่างจากเพื่อนในวัยเดียวกันแล้วอดหัวเราะไม่ได้เมื่อถึงร้านเครื่องปั้นดินเผาต้าเหอยิ่น ร้านเก่าแก่ที่มีโรงเผาอยู่ด้านหลัง เซี่ยชิงหลีก็ยื่นกระดาษแบบร่างให้กับเถ้าแก่ผู้เป็นเจ้าของกิจการชายวัยกลางคนผู้มีหนวดเคราสีดำน้ำตาล คิ้วเข้มท่าทางค่อนข้างดุร้าย แต่พอเห็นกระดาษที่หญิงสาวยื่นให้ สีหน้ากลับแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังในทันทีแบบที่นางส่งให้ไม่ใช่ไหดินเผาทั่วไป หากแต่เป็นบรรจุภัณฑ์รูปทรงกลมเตี้ย ฝาปิดแน่น ขนาดพอเหมาะสำหรับบรรจุสบู่ แชมพู หรือแป้งสมุนไพร ผิวภายนอกขอให้เผาแบบไม่เคลือบเพื่อให้มีผิวสัมผัสธรรมชาติ แต่ขอฝังตราประทับรูปดอกเหมย ที่มุมหนึ่งของฝาเพื่อเป็นเอกลักษณ์“แบบนี้...ไม่เคยมีใครสั่งมาก่อน แต่ข้าชอบความคิดเจ้านะ ดูเรียบง่ายแต่มีจุดเด่น”เซี่ยชิงหลีประสานมือคำนับ“ข้าขอสั่งทำชุดแรก หนึ่งพันใบก่อนเจ้าค่ะ เพื่อดูทิศทางตลาดหากผลตอบรับออกมาดีข้าอยากร่วมมือกับร้านท่านเป็นคู่ค้าถาวร รับรองข้าจะไม่หันไปหาที่อื่นแน่นอน”เถ้าแก่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้าช้า ๆ“หนึ่งพันใบข้าจัดให้ได้ ภายในสิบห้าวัน แต่ขอให้เจ้ามารับด้วยต
ณ ตอนนี้ เซี่ยชิงหลีกำลังยืนอยู่หน้าหม้อต้มสมุนไพรใบใหญ่ กลิ่นใบมะกรูดแห้งผสมกับกลิ่นหอมอ่อนของกลีบดอกบัวที่กำลังเคี่ยวเข้ากันลอยคลุ้งอบอวลไปทั่วลานด้านหลังเรือนมือเรียวของหญิงสาวคนไปอย่างต่อเนื่องด้วยไม้พาย ในขณะที่เหงื่อผุดซึมบนหน้าผากอย่างไม่อาจเลี่ยงผ่านไปแล้วหลายวัน...ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ นางทดลองผสมอัตราส่วนใหม่ ลองอุณหภูมิที่ต่างกัน ทดลองการตาก การกวน การแยกชั้นของน้ำมันกับสมุนไพรทุกครั้งที่ล้มเหลว สบู่จับตัวไม่ขึ้นหรือแชมพูกลายเป็นน้ำเหนียวข้นกลิ่นเหม็นเปรี้ยวนางก็ต้องเริ่มใหม่...ตั้งแต่ต้นยามตะวันบ่ายคล้อย สายลมเอื่อยพัดชายแขนเสื้อที่เลอะเปื้อนของนางอย่างแผ่วเบา เซี่ยชิงหลีค่อยๆ วางไม้พายลงพลางถอนหายใจเงียบๆ และทรุดตัวนั่งพิงข้างถังน้ำอย่างเหนื่อยล้าสายตาของนางทอดมองสบู่ก้อนเล็กๆ ที่พอใช้การได้ก้อนแรกในรอบหลายวัน กลิ่นหอมของมันยังอ่อนนัก รูปทรงไม่สวย เนื้อไม่เนียนแต่มัน...สามารถชำระล้างได้จริง“ทำไมกันนะ…”ร่างบางพึมพำกับตนเองเบาๆ เสียงนั้นแฝงไว้ทั้งความเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อย“คนอื่นพอเกิดใหม่ก็มีกระบี่เทพติดมือ มีพลังปราณฟ้าฟาด ฝึกแค่ไม่กี่วันก็กวาดล้างทั้งตระกูลศัตรู…
คำพูดนั้นทำให้หลายคนเบิกตากว้าง จินละห้าร้อยเหวิน ไม่ใช่จำนวนเล็กๆ สำหรับชาวบ้านเลย“หลีเอ๋อ...แล้วพวกเราล่ะ”“เวลาว่างของทุกคน…ข้าอยากให้มาเรียนรู้วิธีบดสมุนไพรเตรียมวัตถุดิบไว้สำหรับการทำยาสีฟันชุดใหญ่ เราจะเริ่มขายที่อำเภอหลิงหนานก่อน”ทุกคนเริ่มมองหน้ากันด้วยความตื่นเต้น ต่างมองเห็นแววความหวังที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันกำลังเริ่มเปล่งประกายในดวงตาของพวกเขา หญิงสาวหันไปมองฟ้ากว้างพลางวางหมากต่อในใจ“และแน่นอน...หากจะส่งขายในเมืองหลิงหนาน ข้าคงต้องขอความร่วมมือจากคนผู้นั้น มู่หรงหนานเฟิง เจ้าของหอหว่านหรงที่ตระกูลหลี่ของเราเคยร่วมมือทำการค้า”เมื่อได้ยินชื่อของมู่หรงหนานเฟิง เซี่ยจื่ออี้ก็นิ่งไปทันที“หลีเอ๋อ น้องทำการค้ากับคุณชายมู่หรงหรือ”เซี่ยชิงหลีหัวเราะน้อยๆ นางลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้มู่หรงหนานเฟิงเคยบอกว่ารู้จักกับพี่ชายของนาง ตัวนางเองหลังจากกลับมาจากอำเภอหลิงหนานก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท“พี่ใหญ่ข้ายังไม่ได้บอกท่านใช่หรือไม่ มู่หรงหนานเฟิงบอกว่าจะมาเยี่ยมท่านที่นี่ คิดว่าหลังจากกลับมาที่เรือนจะบอกท่านแต่ข้ากลับลืมไปเสียได้”เมื่อได้ยินน้องสาวบอกว่ามู่หรงหนานเฟิงเอ่ยถึงตนทั้งยัง
บัดนี้เซี่ยชิงหลีมองชายชราในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิมเพียงเพราะเขาเอ่ยปากชมสามีของนาง“ท่านจะเข้ามาดื่มชาในเรือนก่อนหรือไม่”“ไม่เป็นไรข้ายังมีธุระต่อ ที่มาวันนี้เพียงต้องการมาขอบคุณเจ้าอย่างจริงใจสักครั้งเท่านั้น อีกอย่างข้าอยากให้เจ้ารับสิ่งของเหล่านี้จากข้า ถือเสียว่าเป็นของขวัญสำหรับงานแต่งของเจ้าสองคน”คำพูดนั้นราวกับมีระเบิดถูกปามาที่นาง เสียงบึ้มดังขึ้นในหัวพลันใบหน้าของหญิงสาวเห่อร้อนและแดงก่ำอย่างห้ามไม่อยู่ ชายชรามองหลานสะใภ้ตัวน้อยด้วยสีหน้าชอบใจ นานแล้วที่ตนไม่ได้เอ่ยเล่นหัวกับลูกหลานหากวันหน้าหลานชายผู้นี้ไม่มีทางหายดี แต่เขาได้แต่งงานกับหญิงสาวที่ดีเช่นนั้นตนก็วางใจ เซี่ยชิงหลีมองหีบไม้มากมายตรงหน้า นางตัดสินใจเพียงชั่วอึดใจก่อนพยักหน้ารับ“เช่นนั้นข้าจะขอรับเอาไว้ ขอบคุณท่านเจ้าค่ะ”“ท่านอันใดกัน ต่อไปเจ้าเรียกข้าว่าท่านปู่เมิ่งก็พอ”ชายชรากลับขึ้นรถม้าไปด้วยสีหน้าอิ่มเอม ในที่สุดภาระที่เคยหนักอึ้งในหลายเดือนนี้ก็ได้ถูกวางลงแล้วต่อไปก็จัดการตัวต้นเรื่องที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ขึ้น ชายชราตัดสินใจกลับเมืองหลวงเพื่อจัดการกับคนที่เป็นสาเหตุให้หลานชายของตนต้องกลายเป็นค