ใต้ฟ้าตะวันเดียว
ผิวน้ำในบ่อน้ำแร่กระเพื่อมไหวส่งเสียงชวนสงบจิต ปลายเท้าชุ่มน้ำนวลลออล้อแสงจันทร์แตะบนพื้น พอกันกับเรือนร่างผุดผาดที่ปรากฏบนบกถูกห่อหุ้มไว้โดยเสื้อคลุมแพรต่วนเนื้อดีจากฝีมือผู้ติดตาม
“ผู้นำบ้านนราธิปกมาขอเข้าพบครับ”
ปรากฏรอยยิ้มบางเบาที่มุมปากผู้ฟัง “ถึงกับถ่อขึ้นมาเองเลยเหรอ คงจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายจริง ๆ สินะ”
เจ้าของพื้นที่เพียงฮัมเพลงอย่างพึงพอใจ ราวกับกำลังยืดเยื้อเวลาไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายจึงสั่งความ
“ให้มันเข้ามา”
มือขวาคนสนิทเมื่อได้รับคำอนุญาตจึงบอกให้แขกของนายเข้ามายังเคหะสถาน
พื้นที่คล้ายกับถูกออกแบบให้เป็นเหมือนออนเซนธรรมชาติ มีบ่อออนเซน รายล้อมด้วยกอไผ่และถูกรายล้อมอีกทีด้วยเนินหินคล้ายภูเขาจำลอง
มีเชิงเทียนและเทียนหอมเล็ก ๆ วางไว้ทั่ว ๆ เพื่อให้แสงสว่าง นำสายตาไปสู่ที่พำนักอยู่ของนายเหนือหัวของที่นี่
นายเหนือหัวของนารยพยัคฆ์
เรือนร่างอรชรนอนไสยาสน์ ส่วนสงวนที่คาดว่าคงจะงดงามไม่แพ้กับผิวพรรณผุดผาดถูกปกปิดด้วยผ้าเนื้อดี หล่อนกำลังได้รับการนวดเฟ้นปรนนิบัติอย่างดีจากผู้เชี่ยวชาญสาวงาม
เมื่อสบสายตาที่ขุ่นข้องเล็กน้อยเมื่อถูกรบกวนเวลาส่วนตัว กดให้ผู้เป็นแขกรีบพ่นจุดประสงค์ของการมา…ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเขาส่งคนสนิทของเขามา ทว่าทางนี้กลับปฏิเสธการให้เข้าพบ
เขาจึงต้องถ่อมาที่นี่ด้วยตนเอง ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังหยามหน้าเขาอย่างไม่น่าให้อภัย
ทันทีที่ได้สดับฟัง ปรากฏรอยยิ้มชวนหยุดหายใจ แสงจันทร์ที่สาดส่องจากด้านบนโถงส่งให้หล่อนยิ่งเปล่งประกาย
“หึ จะให้จับปูใส่กระด้ง ตบแต่งให้เป็นนราธิปกคนต่อไปแต่โดยดี?”
“ใช่ ไล่ให้มันออกไปให้พ้นทางศิรินภา…ลูกสาวของฉัน”
แล้วฉันล่ะ ไม่ใช่ลูกของคุณหรือ? แวบหนึ่งในความคิดของเจ้าบ้านนารยพยัคฆ์ที่ผุดขึ้นมา ก่อนมันจะถูกโถมทับหายไปคล้ายฟองคลื่นซัดหาดหราย
หล่อนจึงยกยิ้ม “เด็กคนนั้น… พวกคุณไม่มีปัญญาไล่ไปเอง จนต้องถ่อมาคุกเข่าให้ฉันช่วยน่ะเหรอคะ?” ว่าพร้อมยื่นมือข้างหนึ่งส่งให้ผู้เชี่ยวชาญสาวคนนั้นลูบไล้น้ำมันหอมเชื่องช้า
ท่าทางที่ทำราวกับเขา…นราธิปกคนปัจจุบัน พ่อของมันแท้ ๆ เป็นดั่งอากาศธาตุ หากไม่เพราะเขาหมดสิ้นหนทางต้องยืมมือของนังลูกไม่รักดีคนนี้ล่ะก็
“…”
“ไม่คิดเหรอว่านี่อาจเข้าทางฉัน” รอยยิ้มผุดที่มุมปาก “ฉันขึ้นไปนั่งเก้าอี้เจ้าบ้านนราธิปกเองเลยจะง่ายกว่ามั้ย?”
แขกคนสำคัญจึงหลุดมาด ลุกขึ้นยืนจากที่นั่งหนานุ่มด้วยโทสะ “พันทิวา!”
ใช่…หล่อนคือพันทิวา พันทิวา นารยพยัคฆ์ ผู้นำคนปัจจุบันของนารยพยัคฆ์ แต่เป็นดั่งหนามยอกอกของนราธิปก เป็นนราธิปกนอกคอก!
เหล่าผู้ติดตามที่ยืนเฝ้าอยู่รายรอบห้องต่างยกปืนขึ้นจ่อยังแขกผู้นั้นทันที!
ทว่าเจ้าของนามกลับยกยิ้ม ไม่เอาความ “หนูไม่ดีตรงไหนล่ะคะคุณพ่อ” ใช่…หล่อนกำลังสนทนากับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อบังเกิดเกล้า “ก็แค่เด็กผู้หญิงคนเดียว น้ำหน้าอย่างคุณภาสกรผู้ยิ่งใหญ่ยังจัดการไม่ได้จนต้องถ่อมายืมมือฉัน ไม่ใช่เพราะกลัวว่ายัยภาจะโกรธจนละทิ้งหน้าที่ผู้สืบทอด…จนเก้าอี้นี้ไปตกอยู่กับตระกูลสายรองแทน” ขนงหยักโค้งรับองศาบัดนี้ยกขึ้นอย่างหยามหยัน “คุณพ่ออยากให้หนูมือเปื้อนเลือดแทน มันก็ต้องมีรางวัลแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อสิ จริงมั้ยคะคุณพ่อ?” พันทิวาว่าพร้อมเริ่มวาดวงแขนโอบรอบเอวโค้งมนของผู้ช่วยผ่อนคลายส่วนตัวในคืนนี้ของหล่อนขึ้นมาเกยกันบนเตียงเดียวกัน…ปราศจากยางอายทั้งนั้นทั้งคนทำและคนถูกกระทำที่พร้อมพลีกายอย่างเต็มใจ
ใคร ๆ ก็อยากขึ้นเตียงกับหล่อน อยากเป็นนายหญิงอีกคนของนารยพยัคฆ์ทั้งนั้น
ไม่มีข้อกังขาให้กับศักยภาพของพันทิวา นารยพยัคฆ์ที่รุ่งเรืองอย่างทุกวันนี้ก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าหล่อนมีดี
แต่เป็นเพราะว่า “แกมันเลี้ยงไม่เชื่อง แปรพรรคมาอยู่ที่นี่แล้วยังคิดจะรวบตระกูลฉันอีกหรือไง!” เสียงหยามเกียรติก้องลั่น
ยังดีที่บิดาของหล่อนรู้ตัวว่าไม่ควรหยามเกียรติหล่อนในถิ่นของหล่อนเอง เขาจึงเงียบปาก
“แค่กำจัดเด็กคนนั้นออกไปจากศิรินภา” นราธิปกจึงยอมศิโรราบ ยอมสยบต่อนารยพยัคฆ์ที่เกลียดชัง
เพียงเพื่อกำจัดเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เพราะรู้ว่าพันทิวามีอิทธิพลต่อศิรินภา…ว่าที่ผู้นำนราธิปกคนต่อไปยิ่งนัก
“ขอแค่เอามันออกไป เป็นตายฉันไม่สน…”
เจ้าบ้านนราธิปกคนปัจจุบันออกไปแล้ว ทว่าหล่อนยังคงจมอยู่กับความคิด ทั้งที่บัดนี้ร่างกายถูกนวดเฟ้นผ่อนคลายจากผู้เชี่ยวชาญ…การปรนนิบัติที่ไร้ที่ติ
พันทิวายกยิ้ม สายตาจับจ้องกับสายตาเชื่อมหวานของสาวงามตรงหน้า
“ไปสืบเรื่องเด็กคนนั้นมา”
สั่งการกับคนสนิทเท่านั้น ก่อนจะตวัดรัดรึงร่างแน่งน้อยที่พึงใจยิ่งนักลงให้อยู่ใต้อาณัติ
“ครับนาย” คนสนิทรับคำเท่านั้นก่อนจะหลบฉากออกไปอย่างรู้หน้าที่
เด็กคนนั้น มันจะแน่สักแค่ไหนกันเชียว…
นีรามนเพียงหลับตาฟัง เป็นผู้ฟังที่ดี ดู ๆ แล้วก็เหมือนลูกแมวตัวน้อยที่ถูกจับให้กึ่งนั่งนอนบนตัก แล้วฟังหล่อนระบายความทุกข์ภายใน “เขาโดดเด่นกว่าฉันเสมอ ทั้งที่มาทีหลัง แต่ฉันดันถูกเอาไปเปรียบเทียบกับเขา” น้ำเสียงของศิรินภารวมทั้งสายตาดำมืดลง “ทั้งที่เป็นคนที่ไม่มีใครต้องการแท้ ๆ” ฝ่ามือกำเข้าหากันแน่นจนสั่นเทา น้ำเสียงเจือความต่ำต้อยน้อยใจด้อยค่าตนเองอย่างน่าตกใจ ทว่าเมื่อมีมือหนึ่งของเด็กน้อยเข้ามาทาบทับ เมื่อนั้นความคิดน้อยใจและความคิดลบ ๆ ทุกอย่างก็มลายหายไป เมื่อหันไปมองเจ้าของมือข้างนั้น ศิรินภาจึงให้ชะงักงัน… เมื่อสายตาของเด็กที่คิดว่าเพียงฟังหล่อนแบบผ่าน ๆ เท่านั้นกลับลืมตาขึ้นเพื่อสบสายตากับหล่อน ราวกับตั้งใจฟังทุกคำพูดของหล่อน คำพูดที่มันแทบจะไม่มีผลได้ผลเสียอันใดเลยกับเด็กคนนี้ หรือทำไปเพื่อเอาใจหล่อน? อย่างไรก็ตาม…บอกเลยว่าเด็กคนนี้ทำสำเร็จ “ความพยายามของคุณมันมีค่า อย่าดูถูกความพยายามของตัวเองสิ” ท่ามกลางความสลัวราง สายตาของนีรามนมั่นคงจริงใจ เปล่งประกาย เหมือนดาวท่ามกลางท้องฟ้ามืดมิด คอยส่องแสงสว่างนำทางใจที่หลงทาง “คุณพยายามเพื่อที่จะทำให้คนที่คุณรักภูมิใจ สำหรั
Thinkin Bout You สายตาเจ็บปวดของนีรามน...เด็กคนนั้น ยังคงวนเวียนอยู่ในห้วงคำนึงของหล่อน หล่อนกำลังรู้สึกผิด? ไม่มีทาง เด็กนั่นมันกำลังแสดง เสแสร้ง ที่ร้องไห้...เพราะอยากให้ฉันสงสาร หรือเพราะเจ็บจริงกันแน่? “เป็นแค่พนักงานเสิร์ฟเท่านั้นค่ะ ถึงจะน่ารักจิ้มลิ้มถูกใจแขก แต่เขาก็ยืนยันว่าไม่รับงานอื่นนอกจากงานครัว” ดิษยาเคยกล่าวกับพันทิวาว่าอย่างนั้น และหล่อนก็รับรู้ตั้งแต่แรกแล้ว ทว่าก็ยังเลือกที่จะรังแกเด็กนั่น ทำให้ตื่นกลัว... ก็แค่เด็กเสิร์ฟ...แค่เด็กเสิร์ฟ แต่ทำไมยังไม่ออกไปจากหัวสักที? “อีกอย่าง...ต่อจากนี้คงจะรับงานอื่นไม่ได้แล้วล่ะค่ะ เจ้าของดุขนาดนั้น” ดิษยาว่าอย่างมีนัย ซึ่งพันทิวาก็รับรู้ดีว่าเพราะอะไร กลับมายังปัจจุบัน ศิลาอยู่ ณ มุมห้อง พันทิวายกไวน์แดงขึ้นจิบ ภายในเพนท์เฮาส์ที่ถูกเปิดเพียงไฟจากด้านนอกดาดฟ้า แสงภายในจึงสลัวราง แสงไฟระยิบระยับจากเมืองหลวงเบื้องล่างสวยงามเหลือเกิน แต่ในอกกลับว่างเปล่าเหมือนเพนท์เฮาส์หลังนี้ที่ไม่มีใครเลย สายตาคมกริบจับจ้องยังทิวทัศน์มหานคร... คืนนี้ไม่มีใครที่จะได้อยู่กับหล่อนทั้งนั้น ไม่มีใคร . . . นีรามนยิ้มแย้ม ยกมือไหว้ตอบก
สายตาของนีรามนเปิดมองยังคนมาใหม่ที่ยังคงยืนนิ่ง กอดอก ช่วยเธอหน่อย...นีรามนส่งสายตาเชิงขอร้อง ทว่าหญิงสาวคนนั้นกลับมองตอบตาเธอ แล้วยกยิ้ม นีรามนเกือบจะถอดใจ ทว่าสุดท้ายเธอคนนั้นกลับเข้าหาแขกกิตติมศักดิ์ ซึ่งนีรามนมั่นใจว่าหาใช่เพราะผู้หญิงคนนี้อยากช่วยเหลือเธอไม่ “ดูเหมือนคุณแพรจะเข้าใจผิดนะคะ วินอยู่นี่ค่ะ เด็กคนนั้นก็แค่เด็กเสิร์ฟ...” “เธอจะหาว่าฉันเลอะเลือนงั้นสิ” สุ้มเสียงที่พาให้นีรามนหนาวเยือกไปทั้งสันหลัง กอปรกับที่ได้มองสบสายตาคมสวยที่อยู่ชิดใกล้...ที่ยังคงไม่ห่างไปไหนแม้นีรามนจะพยายามขัดขืนเพียงใดก็ตาม พลันสายตาคมสวย เปลี่ยนเป็นดุดัน ห้ำหั่นคนที่เข้ามาขัดจังหวะไม่ดูตาม้าตาเรือ นีรามนรู้สึกถึงความอันตราย และรู้สึกอยากช่วยเหลือผู้หญิงคนนั้นขึ้นมา ทั้งที่ลำพังตนเองนี่แหละที่ยังเอาตัวไม่รอด ทว่า...หญิงสาวคนนั้นกลับทำให้นีรามนรู้สึกเหนือคาด “เปล่านะคะ วินแค่จะเสนอ... ว่าวินน่ะดีกว่าเป็นไหน ๆ” ว่าพร้อมเยื้องย่างเข้าใกล้ หย่อนก้นนั่งลงไม่ใกล้ไม่ไกลอีกฝั่งของโซฟายาวกว้าง “ระดับคุณแพรน่ะเหมาะสมกับสิ่งที่ดีที่สุด หรือไม่ใช่” ความเงียบคลี่คลุมทั้งห้องแอร์เย็นเฉียบ ก่อนน
มือบอบบางที่แข็งแรงกว่าที่คาด แยกเรียวขาของนีรามนออก กระโปรงตัวสั้นที่เมื่อนั่งก็ร่นขึ้นจนเห็นต้นขาอยู่แล้วก็ยิ่งเลิกขึ้นเมื่อมือร้อนแทรกเข้าไปสัมผัสกับกลีบกุหลาบที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ชั้นในเนื้อบางนุ่ม เสียงครางอย่างพยายามกักกลั้น สีหน้าที่นิ่วนั้นช่างน่ามอง ลมหายใจที่ขาดห้วงราวกับจะขาดใจให้ได้นั่น เด็กน้อยพยายามดิ้นออกจากตักราวลูกแมวน้อยในอยู่ในกำมือหล่อน ทว่าเมื่อหาทางรอดให้ตนเองไม่ได้ จึงซุกหน้าเข้ากับไหล่ของเธออย่างต้องการหลบความสะเทิ้นอาย เนื้อตัวสั่นเทา ลมหายใจและเสียงครางแผ่วขาดห้วงเป็นระยะ พันทิวาทอดสายตามองผลงานที่ตนเองบรรจงทำ ริมฝีปากกดจูบที่หัวไหล่นวลของเด็กน้อย ปลายนิ้วเริ่มสัมผัสได้ถึงความชื้นฉ่ำที่คงหวานล้ำ มือจึงละออกจากส่วนนั้นให้เด็กน้อยหวิวเล่น เข้าไปเกี่ยวแก้วบรั่นดีขึ้นมาดื่มอีกหน ก่อนจะโน้มใบหน้าช้อนเข้าหา แล้วจูบเด็กบนตักที่บัดนี้ไม่ทันตั้งตัวกับจูบนี้ จึงเผลอกลืนบรั่นดีรสร้อนแรงเข้าไปเต็มกลืน บางส่วนหยาดหยดหกเลอะเทอะเสื้อยืดสีขาวตัวน้อย จูบยังคงดำเนินต่อไป นีรามนเริ่มต่อต้านน้อยลงเพราะความร้อนรุ่มที่แผดเผาตามลำคอและช่องท้อง ก่อนจะลามไปทั่วทั้งกาย ตัดกับอากา
หน้าห้องมีการ์ดถึงสี่คนด้วยกันที่คุมอยู่หน้าประตู ประจำหลักกันคนละทิศ ทว่านีรามนกลับไม่สนใจ เธอสนแค่หน้าที่ของเธอ เพียงแค่เดินเข้าใกล้ หนึ่งในนั้นที่ยืนอยู่ใกล้ประตูจึงถอยให้เธอและเปิดประตูบานหนาหนักให้เสร็จสรรพ นีรามนเดินเข้าไปพร้อมถาดเสิร์ฟผลไม้หลากหลายฉ่ำเย็นมีคุณภาพ แอร์เย็นเฉียบปะทะเข้าใบหน้าและผิวกายที่โผล่พ้นเสื้อสีขาวแขนกุดและกระโปรงสั้นอวดเรียวขา ทว่านีรามนกลับยังทำหน้าที่ของตนเอง ไม่สบสายตากับใครทั้งนั้น แม้จะนึกแปลกใจที่ในห้องนี้โล่ง ไม่มีหญิงสาวสวย ๆ เยอะแยะดังที่เธอคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า ทว่ากลิ่นอายอันตรายที่คืบคลานและวนเวียนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนั้นคล้ายจะช่วงชิงลมหายใจของเธอไปได้ทุกเมื่อ เสียงแค่นหัวเราะหวานดังขึ้น “คำว่าศักดิ์ศรีคงใช้ไม่ได้สำหรับเธอหรอกมั้ง นีรามน” นีรามนที่กำลังวางถาดผลไม้ถึงกับนิ่งค้าง เมื่อเงยหน้าขึ้นมองจึงคล้ายร่างกายถูกสาปให้เย็นเฉียบ กอปรกับที่เห็นรอยยิ้มเย้ยหยันของอีกคนที่ส่งมาทางเธอ ช่างดูถูกเหยียดหยามเธอให้จมดินสิ้นดี นีรามนข่มกลั้นความรู้สึกที่เหมือนหัวใจคล้ายถูกบดบี้ ยิ้มไม่ออก ทั้งควรยิ้มอย่างมีมารยาทต่อแขกคนสำคัญของคลับ “น้องฉันมั
มองดูท่าทีของพันทิวา พบว่าเจ้าตัวแค่นยิ้ม...ยิ้มที่ไม่ถึงดวงตา เท่านั้นนีรามนจึงเบาใจ เธอตบตาอีกฝ่ายสำเร็จ ทั้งที่ในใจนั้นเจ็บปวดราวกับโดนน้ำกรดราดรด พันทิวาแค่นยิ้ม “ถ้างั้นก็ช่วยปอกลอกให้มันตลอดรอดฝั่งสิ ช่วยเป่าหูให้น้องฉันมันทำตามที่ฉันสั่งหน่อย ผลประโยชน์เข้าตัวเธอล้วน ๆ เลยนะ” “บอกให้มันทำตามที่ฉันต้องการ แค่นั้น...” พันทิวายกยิ้มหยัน อย่างดูแคลนอย่างถึงที่สุด “ส่วนจะไปกินกันลับหลังยังไง ฉันไม่ขัดอยู่แล้ว” นีรามนยกยิ้ม ไม่พูดอันใด เพราะหากพูดมากกว่านี้อีกฝ่ายคงจับสังเกตถึงเสียงสั่นเครือของเธอเป็นแน่ “ขอบคุณที่เลี้ยงอาหารค่ะ” นีรามนยกมือไหว้หล่อนตามประสาเด็กเคารพผู้ใหญ่ ก่อนจะกระชับกระเป๋าผ้าเดินจากอีกฝ่ายไป น้ำตาหยดหนึ่งรินไหลอาบแก้ม นีรามนใช้หลังมือเช็ดมันออกอย่างไม่ไยดี . . . “หยุด” เสียงเรียบเรื่อยดังจากที่นั่งด้านหลัง ชานนท์ทำตามทันที เขามองสังเกตสายตาของนายจากกระจกมองหลัง นายของเขากอดอก เมียงมองไปยังทางเข้าของห้างไม่ไกลจากถนนใหญ่นัก มองเห็นเด็กสาวในชุดนิสิตเรียบร้อยเดินออกมาจากตัวห้าง พร้อมกับเด็กนักเรียนหญิงวัยมัธยมปลายอีกสองคนที่ยกมือไหว้ติวเตอร์ของพว