LOGIN
She is half of my soul, as the poets say.
She fell first, I fell harder.
เธอคือครึ่งหนึ่งของจิตวิญญาณฉัน
เธอเริ่มรักก่อน…แต่ฉันกลับถลำลึกจนหมดหัวใจ
Prologue
กาลครั้งหนึ่ง
“คุณรออยู่ข้างล่างเถอะค่ะ” สุ้มเสียงสงบเย็นตามวัยวุฒิ บอกกล่าวอย่างเคยชินกับบรรดาผู้ติดตาม
“ครับ นาย”
เธอเดินขึ้นเนินด้วยตนเอง ปราศจากผู้ติดตามที่คอยเฝ้าดูความเรียบร้อยอยู่ด้านล่างของเนินสุสาน จนมาถึงหลุมศพที่หมายที่ตั้งอยู่จุดสูงสุด แสงอาทิตย์ยามคล้อยเย็นส่งสีแสงละมุนตาอาบทาทั้งเนินหญ้าให้เป็นสีแสดละมุนอบอุ่น
ครรลองสายตายังคงชัดเจนจนน่าเกลียดต่างจากในฝันนั้น...
ชัดเจนจนสังเกตถึงมือที่เริ่มมีริ้วรอยเล็กน้อยของตนเอง มือที่วางช่อดอกไม้ ยอบตัวลงแผ่วค่อยด้วยเพราะเรี่ยวแรงจากวัยสาวลดหายไปเกือบครึ่ง
“ฉันไม่ใช่เด็กน้อยของคุณแล้วนะคะ” พูดกับเจ้าของป้ายหลุมศพตรงหน้า หยิบใบไม้ใบหนึ่งที่ร่วงหล่นจรดกับเนินหญ้าเขียวชอุ่มออกให้พ้นทาง ที่นี่มีคนคอยดูแลและทำความสะอาดตลอดทว่าเธอก็มิอาจวางใจ จึงคอยเทียวมาเยี่ยมเยียนสม่ำเสมอมิเคยขาดตก
ราวกับขาดจากกันไม่ได้เลย...
สายลมพัดผ่านมา ทุ่งหญ้าโดยรอบเอนไหวส่งเสียงน่าฟัง สงบเย็น...
เส้นผมที่เริ่มมีสีดอกเลาแซมเล็กน้อยพัดทิ้งตัวสลวยไปตามสายลมหนาว
ทว่าในอ้อมกอดยังคงรู้สึกร้อน อบอุ่น ราวกับไออุ่นของคนที่จากไปยังคงประทับตราตรึง
ตราตรึงเช่นเดียวกันกับในความทรงจำ ทุกชั่วขณะจิต ปรากฏอยู่ทั่วทุกตัวตน หนแห่ง...
ราวกับอีกคนยังคงไม่จากเธอไปไหน ยังคงอยู่ตามที่เคยลั่นวาจาไว้
“ตายในสายตาไม้ พี่ว่ามันคุ้ม” รอยยิ้มของหล่อนคนนั้นยังคงเปล่งประกาย ดั่งทิวาที่ยอแสงอบอุ่นให้เธอเสมอ
แม้กระทั่งวินาทีสุดท้ายของชีวิต...
“งานก็ยังวุ่นวายเหมือนเคย พอไม่มีคุณยิ่งแล้วใหญ่ ยังดีที่ได้น้องสาวคุณมาดูให้ เพราะฉันก็ไม่ค่อยเชี่ยวชาญเหมือนกัน” พูดเล่าเหมือนอย่างที่ทำเสมอเมื่อมาพบกัน
“ฉันก็เลยลองคิดเล่น ๆ ว่าถ้าคุณยังอยู่”
ช่อดอกสบันงาที่ถูกวางไว้สงบ พลันกลีบดอกไหวระริกส่งกลิ่นกำจาย คะนึงหาอย่างเข้มข้น...
“ว่าถ้าเป็นคุณ...คุณจะทำยังไงนะ”
สายลมพัดเข้ามาทายทัก ปรากฏรอยยิ้มที่มุมปากของคนพูดคนเดียว เธอเป็นคนยิ้มแล้วจะดูสวยขึ้นมาทันตา...หล่อนคนนั้นเคยบอกเธอแบบนั้น
ดังนั้นเธอจึงยิ้ม
“อีกนานเลยกว่าฉันจะได้ไปหา ก็คุณเล่นดูแลฉันดียิ่งกว่าอะไร...”
สายลมพัดผ่านเข้ามาอีกครั้งอย่างอ่อนโยนและปลอบประโลม
น่าแปลกที่พอเวลาผ่านไปมันกลับไม่ได้เจ็บปวดอย่างที่คิด
จะเหลือก็แต่ความคิดถึงเหลือเกิน...
“คิดถึงคุณจัง...”
.
.
.
เสียงฝ่ามือฟาดเข้าที่ซีกใบหน้าราวรูปวาดนางในวรรณคดีจนดังลั่นก้องโถงสลัว จนคนถูกทารุณด้วยความจำยอมนั่นเอนล้มลงกองกับพื้นเย็นเยียบเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหวอีกต่อไป
ที่ที่หล่อนเกลียดหนักหนา ทว่ากลับยินยอมให้ที่นี่กลืนกิน ทั้งที่ที่ผ่านมามิเคยมีใครกล้าดูหมิ่นใส่หล่อนขนาดนี้
ทว่าหล่อนกลับยินยอม ยอมแล้วเพื่อที่จะได้กลับไปหาใครบางคนที่เป็นดั่งแก้วกับอก
“มันสำคัญขนาดนั้นเลยรึไง” สุรเสียงทุ้มทรงอำนาจของเจ้าบ้านแห่งนราธิปกดังเข่นเขี้ยวเค้นคอเอากับคนที่ทรุดลงตรงหน้าอย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรง เพราะบอบช้ำจากการโดนซ้อมมากเหลือเกิน
กายนั้นไม่เท่าไร ทว่าใจนั้นยิ่งกว่าอะไรทั้งมวล...
“ขนาดที่จะทำให้แกยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อเด็กคนนั้นน่ะรึ”
เสียงหยดน้ำกระทบกับผิวน้ำ ณ บ่อน้ำกว้างใจกลางโถง แสงจันทร์จากหลังคาที่เปิดโล่งสาดส่องเข้ามาให้ความสว่างเล็กน้อย
พลัน...เสียงหัวเราะแผ่วค่อยดังมาจากปากที่บอบช้ำ จากคนที่ทรุดลงท่ามกลางบรรดาสายตาดูแคลนมิคิดให้ความช่วยเหลือแต่อย่างใด ได้แต่มองดูว่าหล่อนจะล่มจมได้ลึกเพียงใด
คล้องกันกับเสียงหยดเลือดที่หยดลงจากใบหน้า ท่ามกลางสายตาเหล่าธารกำนัลที่รอพิพากษาหล่อน
เสียงหัวเราะทุ้มน่าฟังกังวาน ราวกับกำลังทับถม เยาะเย้ยในสิ่งที่คู่สนทนา...คนที่ทำร้ายหล่อนมาตลอดมิคิดเห็นค่า
“อืม สำคัญสิ” เสียงแผ่วค่อยทว่ามั่นคง มันกังวานทุ้มหวานขณะที่พูดก็กำลังคิดถึงเด็กคนนั้นด้วย
คนที่ต้องตกใจแน่นอนหากเห็นสภาพของหล่อนแบบนี้เข้าเมื่อถึงบ้าน
คนคนเดียวที่ดีใจกับการมีอยู่ของหล่อน
คนคนเดียวที่เสียน้ำตาให้กับความเจ็บปวดของหล่อน
คนคนเดียวที่เสียสละชีวิตของตนเอง เพื่อให้หล่อนยังคงอยู่บนโลกเส็งเคร็งนี้
“สำคัญ...ยิ่งกว่าชีวิต” ยิ่งกว่าชีวิตอันไร้ค่าของหล่อนเหลือแสน
“พี่ไม่รู้ว่าไม้เจออะไรมาถึงได้ซึมขนาดนี้ ปกติไม้ไม่เคยเป็นถึงขนาดนี้ถ้าไม่ใช่เรื่องครอบครัว แต่คุณน้าก็ดูสบายดี พี่เลยคิดว่าไม่น่าใช่เรื่องนั้น...” ศิรินภาฉลาดและสังเกตเธอเสมอ“พี่ไม่คาดหวังให้ไม้เชื่อใจและเล่าทุกอย่างให้พี่ฟังหรอก พี่เลยคิดแค่ว่าอยากมาอยู่ข้าง ๆ ไม้ ให้ไม้รู้ว่าไม้ไม่ได้ตัวคนเดียว”“…”“ไม้ยังมีพี่อยู่ตรงนี้ และถ้าไม้อยากบอกเมื่อไหร่ พี่จะฟังและจะช่วยเหลือไม้เท่าที่ไม้อยากจะให้พี่ช่วย” เสียงนกร้องบินกลับรังดังขึ้นภายนอกตึก ทว่าภายในห้องกลับเงียบงัน “ขอบคุณมากค่ะ” นีรามนกล่าวแค่นั้น จะให้บอกอะไรอื่นได้เล่า จะให้บอกหรือว่าที่เธอต้องเศร้าแบบนี้ก็เพราะพี่สาวของคุณนั่นแหละศิรินภาเอื้อมมือไปหาคนน้อง ปลายนิ้วเกลี่ยเช็ดหยดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาที่แสนน่ารักของคนน้อง การกระทำที่ทะนุถนอมนี้ยิ่งทำนีรามนยิ่งร้องไห้หนักกว่าเก่าคนน้องหันมองไปทางอื่น หลังมือใช้ปาดน้ำตาป้อย ๆ ในหัวพลันคิด…ว่าหากคนใจร้ายคนนั้นใจดีได้เท่า หรืออาจจะเพียงเสี้ยวหนึ่งของศิรินภา ก็คงจะดีไม่น้อยไม่ใช่มองเธอเป็นตัวอะไรไม่รู้แบบนี้…ศิรินภาไม่อาจทนเห็นน้ำตาของคนน้อง ลุกขึ้นเข้าไปสวมกอดนีรามน หยาดน้ำตาข
หลังจากเหตุการณ์นั้นไม่นานในวันเดียวกัน ศิรินภาที่ติดภารกิจอยู่จึงส่งคนสนิทอย่างจันทร์จิราให้มาดูนีรามนถึงที่ นีรามนบอกไปว่าทุกอย่างโอเค จันทร์จิราที่เพียงรับฟังและเก็บรายละเอียดเงียบ ๆ ก่อนจะทำเป็นรับรู้เรื่องราวแล้วกลับไป จากนั้นนีรามนจึงเอาแต่นั่งซึม บางครั้งหน่วงถึงขั้นไม่รู้ตัวว่าน้ำตาไหลออกมา นีรามนไม่ใช่คนที่ร้องไห้กับอะไรง่าย ๆ ...ทำไมต้องใจร้ายกับฉันขนาดนี้ด้วยคะ...คุณพันทิวา ประโยคคำถามนี้มันเอาแต่วนเวียนอยู่ในใจของเธอพันทิวายังคงอยู่ในความคิด อยู่ในห้อง รสจูบยังอยู่ในความทรงจำไม่หายมันหวาน ทว่าขมขื่นเป็นหมื่นเท่าจูบที่ยัดเยียด หาใช่เกิดจากความต้องการจูบจริง ๆ จูบเพื่อเอาชนะ เพื่อเหนือกว่าเธอ...นีรามนปาดน้ำตาขณะนั่งกอดเข่าอยู่บนเก้าอี้ทำงาน พอดีกับที่มือถือมีสายเรียกเข้า...“พี่ไปหาได้มั้ย” เป็นศิรินภาที่โทรมา“คุณจันทร์จิราเพิ่งมาหาหนูเองค่ะ”“พี่รู้ แต่พี่อยากไปหาไม้” นีรามนเหม่อมองนอกหน้าต่าง เป็นท้องฟ้ายามเย็นที่อึมครึม มันไม่มีสีส้มอบอุ่นแฝงนีรามนกรอกเสียงตอบไป “หนูขอเวลาอาบ--” “พี่ไม่ได้มาเพราะเรื่องนั้น” ถ้อยคำของคนพี่ทำให้นีรามนนิ่งไป “พี่แค่อยากมาดูว่าไม
เรียวลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัดอย่างป่าเถื่อนจนเธอคล้ายถูกสูบลมหายใจ...ขณะเดียวกันนีรามนกลับรู้สึกคล้ายเติมเต็มราวกับรอคอยจูบนี้มาเนิ่นนาน...ทว่าไม่ควรเป็นจังหวะเวลานี้ ไม่ใช่เธอ...ที่เป็นผู้หญิงหน้าไม่อายที่อีกฝ่ายจงเกลียดจงชังเธอไม่นึกต้องการสัมผัสแบบนี้ แม้จะมาจากคนที่เธอมอบหัวใจให้ก็ตาม...คิดดังนั้นมือสั่นเทาจึงขึ้นผลักไสเต็มแรง และจนเมื่อปลายนิ้วร้อนสัมผัสถึงหยาดน้ำตาอุ่น...พันทิวาผละริมฝีปากออก สายใยสีใสยังเชื่อมต่อถึงกันก่อนคนใจร้ายจะยกยิ้ม ทั้งที่ความเป็นจริงในใจนั้นเริ่มหนักอึ้งราวถูกเหล็กถ่วง เมื่อได้สบสายตาแดงก่ำที่ฉ่ำน้ำทว่าปากนั้นร้ายไปก่อน แค่นยิ้มสะใจ “ก็ไม่ได้รังเกียจนี่” ทำเป็นหวงตัว จะตีราคาตนให้สูงขึ้นหรือไงทว่ารอยยิ้มกลับกระตุกวูบพอกันกับใจ เมื่อนีรามนเงยหน้าขึ้นสบสายตาเต็มขั้น ไม่ได้ร้องไห้คร่ำครวญ ทว่ากำลังกัดฟัน ปากบวมแดงเจ่อน่าจูบต่อนั้นปิดนิ่ง สายตาฉ่ำน้ำแดงก่ำ ก่อนที่น้ำตาหยดต่อไปจะไหลอาบหน้าเป็นทางยาว... ทว่าคนปากร้ายกลับอยากนึกตบปากตนเองให้เลือดอาบ ที่ดันเอ่ยเสียงเรียบเรื่อยอย่างเย็นใจยิ่งนักกับการกระทำสามานย์นี้ “ทำกับฉันมันก็ไม่ได้แย่ ถูกมั้ย?” ไม่
นีรามนซ่อนสายตาสั่นไหวของตน เปลี่ยนเป็นสู้เสือ “คุณมีเท่าไหร่ล่ะ” บังเกิดรอยยิ้มถูกใจบนใบหน้างามผุดผาด ถูกใจมาก... “มีมากกว่าไอ้ภาแล้วกัน สนใจมั้ย” จนอยากปราบให้หายพยศ ไวกว่าความคิด นีรามนจึงเบิกตากว้าง เนื้อตัวนิ่งค้าง ผิดกับความคาดหวังที่ว่าต้องช่ำชองชำนิชำนาญตามประสาเด็กกร้านโลก...คนใจดำคิด ก่อนจะเริ่มเดินเกมต่อมิคิดปล่อยให้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเป็นอิสระ “อื้อ” นีรามนครางเครือกับการรุกรานแสนวาบหวาม เมื่อได้สติเข้า เรี่ยวแรงมดในความคิดคนใจร้ายจึงผลักไส ทั้งทุบตี อย่างที่มิเคยมีใครหาญกล้าริทำ...แม้หล่อนจะไม่ปฏิเสธว่าสารเลวที่เข้าขืนใจอีกฝ่ายก่อนก็ตาม ทั้งปฏิเสธจูบ ทั้งประทุษร้าย... เอวถูกรวบเข้าแนบแน่น พอกันกับเสี้ยวหน้าที่ถูกมืออุ่นร้อนประคองไว้แนบแน่นคล้ายกักกันมิให้ไม้ปฏิเสธจูบอุกอาจตรงหน้า ความหวานอุ่นนุ่มล้ำซึมซ่านเข้า...พันทิวาครางออกมาด้วยความพึงพอใจ รวบกอดคนตัวเล็กกว่าแน่นเข้า ความเป็นนีรามนกำลังทำให้หล่อนคลั่ง นีรามนเริ่มอ่อนปวกเปียก มือสั่นเทาเผลอวางทาบบนไหล่ระหงมั่นคง แล้วร่างก็ถูกรวบเข้าอ้อมกอดคล้ายหลักยึดไว้พอดี ความร้อนถ่ายเทกันและกัน นีรามนยิ่งใจสั่น ราว
รอเธอหันมา พลันเมื่อเห็นนายของพวกเขาเดินตามเด็กสาวคนนั้นเข้าไปในหอพัก นายของเขากลายเป็นคนในหอพักไปเรียบร้อย ทั้งชานนท์และศิลามองนายเหนือหัวของพวกเขาจนลับสายตา ก่อนจะหันมามองตากันอย่างไม่พูดอะไรก็เข้าใจ ตอนนี้นายของพวกเขาคล้ายหมาจรที่เอาแต่คอยขู่กรรโชกคนที่หวังดี อยากรับเลี้ยง... ทว่าเมื่อเห็นว่าเขาถอยห่าง ก็กลับหงอย ได้แต่คาบสายจูงไว้รอท่า ด้วยท่าทีหูลู่ หางตก และ ณ ตอนนี้นายของพวกเขาก็โดนตกเข้าให้แล้ว ตก...ด้วยรอยยิ้มของเด็กคนนั้น นีรามน . . . พันทิวากวาดตามองห้องเล็กแคบของนีรามนอย่างประเมิน สายตานั่นไม่ใช่แค่สงสัย...มันดูหมิ่น แต่ซ่อนความสนใจบางอย่างอยู่ด้วย “อยู่ที่แบบนี้ทุกวันเหรอ?” เสียงที่เอ่ยฟังดูปกติ แต่แฝงแรงตัดสินลึก ๆ ในทุกถ้อยคำ นีรามนวางถุงข้าวของลง “สำหรับอยู่คนเดียว ก็พออยู่ได้ค่ะ” “ไอ้ภามันไม่เคยมาดูแลบ้างเลยเหรอ?” “มันไม่เกี่ยวกับคุณภา” เธอว่าเสียงเรียบ พันทิวาหัวเราะเบา ๆ เดินสำรวจห้องราวกับถือกรรมสิทธิ์ เธอไม่ควรปล่อยให้คนคนนี้อยู่ใกล้ แต่ก็ไม่เคยห้ามเขาได้เลยตั้งแต่ต้น "ดูเธอเหมือนอยากให้ฉันอยู่ อยากให้ฉันเห็น" พันทิวา...คนสวยของเธอ เดินสำรวจไปท
เหตุใดยามที่เห็นรอยยิ้มของเด็กคนนั้นที่เพียงแย้มยิ้มใส่แมวสีส้มและสีขาว และลายขมุกขมัวที่เดิมก็นอนอยู่แถว ๆ ทางเข้าหอพัก เมื่อเห็นนีรามนพวกมันจึงเดินเข้ามาหาอย่างรู้งาน หางสะบัดไหวไปมา ท่าทางที่เด็กคนนั้นยอบตัวลงลูบหัวพวกมันพร้อมเทอาหารเปียกที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อใส่จานข้าวที่ตั้งอยู่หน้าทางเข้าหอพัก คล้ายภายในของหล่อนที่มันว้าวุ่น หาที่ลงไม่ได้ สุดท้ายจึงสงบลงในที่สุด...เมื่อพบเห็นเด็กอวดดีว่ายังอยู่ดี . . . “แค่เขาให้ข้าวก็เชื่องแล้วหรือไง โง่...” เสียงหนึ่งที่ดังขึ้นจากด้านหลัง เสียงที่เธอไม่ได้ยินมาสักพักทว่ายังคงดังในความรู้สึก นีรามนหันขวับไปหา พบว่ามีใครก็ไม่รู้ที่ปรามาสได้แม้กระทั่งแมวที่ไม่รู้เดียงสา พันทิวายกยิ้มสะใจ ทว่าภายในรู้สึกวูบโหวงเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาที่วูบไหวของเด็กอวดดี ราวกับไม่ดีใจสักนิดที่หล่อนมาอยู่ตรงนี้ “คุณพันทิวา” นีรามนยืนขึ้นในรองเท้าผ้าใบ เธออยู่ในกางเกงยีนขายาว เสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบ ๆ มวยผมเกล้าที่หลังท้ายทอย เธอยกมือไหว้อีกคนที่ยังคงสวยสง่าดังเดิม ดูไม่เข้ากันกับพื้นที่นี้สักนิด พันทิวามองดูเด็กกะโปโลยกมือไหว้หล่อน ไม่ได้รับไหว้ มอง



![What is a divorce? [Mpreg]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)



