LOGINช่วงสายของอีกวัน
บาสและม่อนกลับกันไปแล้ว เหลือเพียงเจ้าของห้องที่ยังคงนั่งอยู่ตรงจุดเดิม หลังจากขึ้นกลับมาจากส่งเพื่อนเสร็จ เมื่อคืนทั้งเธอและเพื่อนปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับเรื่องที่ยังเครียดจนถึงตอนนี้ กว่าจะพากันนอนก็เกือบเช้าถึงได้ตื่นสาย และเพราะม่อนมีธุระกับที่บ้านต่อเลยไม่ได้อยู่ทานข้าวเช้าด้วยกัน ส่วนบาสก็เหมือนจะติดร่างแหไปด้วยเพราะห่วงว่าม่อนจะกลับบ้านคนเดียว
เสียงโทรศัพท์ข้างกายเรียกสติของคนกำลังนั่งเหม่อ คนตัวเล็กวางแก้วกาแฟในมือลงบนโต๊ะ เมื่อเห็นว่าใครโทรมาถึงได้ยิ้มกว้าง
“แม่คะ..”
(เป็นไงบ้างลูก)
“สบายดีค่ะแม่ แม่ละคะ สายแล้วทานข้าวเช้ารึยัง”
(ทานแล้วจ้ะ ป้ามนเขาเอาแกงหน่อไม้มาให้ อร่อยเชียว กินแล้วนึกถึงแพง)
โครงหน้าหวานละมุนโอบล้อมด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง จังหวะเปลือกตาปิดลงเหมือนจะมีน้ำตาด้วย เธอพยายามเก็บความรู้สึกและเสียงด้วยใช้นิ้วบีบจมูก สลับกับแหงนหน้าขึ้น
“เทอมหน้าแพงจะกลับไปหาแม่นะ”
(เทอมหน้าเลยเหรอ อีกตั้งนานไม่ใช่เหรอแพง)
“แพง...”
(งานยุ่งเหรอลูก เงินที่แม่ให้ไปไม่พอใช้สินะ)
แต่เหมือนควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ เมื่อคำถามของปลายสายกระตุ้นให้มันหล่นแหมะ ลงบนหลังมือ พะแพงเงียบไม่ได้ตอบคำถามนี้ แต่เลือกที่จะถามกลับไปแทน
“แม่รู้แล้วเหรอ ใครบอกคะ”
(แพงเป็นลูกแม่นะ ทำไมแม่จะไม่รู้ อีกอย่างลุงก็เห็นว่าแพงเอาเงินให้น้องอยู่บ่อยๆ น้องมันคงไปเล่าให้ลุงฟัง ว่าแต่ได้ไปหาเพชรบ้างไหมลูก ถึงป่านนี้แม่ยังติดต่อน้องไม่ได้เลย ลุงเขาบอกว่าตั้งแต่เพชรขอค้างหอพักกับเพื่อนลุงก็แทบไม่ได้เจอ และช่วงนี้เขาตระเวนออกขายของแบบงานคาราวาน บางทีไกลกลับบ้านดึกก็หาที่พักใกล้ๆ เลยไม่รู้ว่าน้องกลับบ้านบ่อยแค่ไหน)
สาวเจ้าชะงัก เธอลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท ทั้งที่รับปากเอาไว้ว่าจะไปดูน้องชายให้ มัวแต่วุ่นวายเรื่องของตัวเอง ถึงได้ถอดสมองออกจากเรื่องไปเลย
“แพงจะไปวันนี้ค่ะแม่ เจอน้องแล้วแพงจะส่งข่าวนะคะ”
(จ้ะ หนูก็อย่าหักโหมมากนะลูก แม่เป็นห่วง)
“ค่ะแม่ อ๋อแม่.. จากนี้ไปไม่ต้องส่งเงินมาให้แพงแล้วนะ”
(เอ๋ ทำไมล่ะ)
“ก็ในเมื่อแม่รู้ว่าแพงไม่พอ และแพงทำงาน แม่ก็เก็บเอาไว้เถอะค่ะ ทำงานแล้วจะขอแม่อีกทำไม”
อันที่จริงเธอกะจะใช้เงินนี้ของเขา เจ้าของที่ต้องการให้คืนด้วยร่างกายซึ่งยังบริสุทธิ์แลกแทน แน่นอนเธอจะไม่ทำ และจะไม่คืนมันแล้วด้วย จะทำตามอย่างที่ลูกน้องเขาแนะนำ แถมยังรู้สึกเสียใจด้วยซ้ำ ที่เลือกอีกอย่างนึง ถ้าตอนนั้นเธอนิ่งเสียไม่ขอให้เขาไปรายงานนาย เรื่องจะเป็นแบบเมื่อคืนไหมนะ เขาจะโทรมาหาเธอไหม
(เอางั้นเหรอ แพงจะพอใช่ไหม)
“พอค่ะแม่ แพงดูแลตัวเองได้ แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ”
(มาสั่งแม่ไม่ให้ห่วงได้ยังไง เรานี่... เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่แพง แค่นี้ก่อนนะ ป้ามนเขามา เห็นถือถุงมาด้วยไม่รู้เอาอะไรมาให้อีก)
“ค่ะแม่ ดูแลตัวเองด้วยนะ”
วางสายจากแม่เสร็จ คนตัวเล็กก็พาร่างที่หนักอึ้งไปคว้าผ้าเช็ดตัว แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปเลยทันที เธอกะจะไปหาน้องชายที่วิทลัย ไม่อยากรอถึงตอนเย็น ช่วงนี้ไม่อยากไปไหนมาไหนตอนมืดค่ำหรือดึกดื่น
พักกลางวัน
“อะไรหอบมึงมาทานข้าวกับกูได้เนี่ย”
เหนือเมฆเอ่ยถามร่างสูงตรงหน้า ที่เดินเข้ามานั่งได้ไม่นาน และคว้าเมนูไปดู ส่วนลลิสาที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับใครสักคนยังอุตส่าห์หันมาขึงตาใส่ เป็นการต้อนรับเขาที่น่าประทับใจมาก
“ว่างก็มาได้ จะเป็นอะไรไป”
เขาเอ่ยเสียงทุ้ม หันไปชี้เมนูให้พนักงาน เหนือเมฆส่ายหน้าพลางยิ้มให้กับการกระทำของเขาที่มาหลังแต่กลับสั่งก่อนคนอื่น ด้วยเมนูเดิมไม่เคยเปลี่ยน
จนกระทั่งได้สิ่งที่ต้องการกันทุกคนพนักงานจึงจะเดินหายไป พวกเขาถึงเริ่มบทสนทนาเฉพาะเพื่อนคุยกันได้
“สรุป มึงจะเอาเด็กคนนั้นให้ได้?”
เป็นการเปิดประเด็นที่ทำเพื่อนสาวอย่างลลิสาถึงกับชะงัก ตัดบทปลายสายที่เดาว่าน่าจะเป็นเพื่อนจากต่างประเทศทันที เพื่อมาสนใจเขา หล่อนยกมือทาบอก แสร้งหันมองคนถูกถามพร้อมทำหน้าแหยง ส่วนอาคีรานอกจากจะทำหน้ามึนใส่แล้ว ยังเลิกคิ้วสูงอีก พลางมองคนทั้งคู่สลับกัน
“ถามกู?”
“อ้าว ไอ้นี่...ก็ต้องมึงสิ ให้กูไปถามใคร เชฟในครัวเรอะ?”
“ไม่รู้ดิ เห็นถามเฉยๆ ไม่เอ่ยชื่อ”
“ไม่กวนได้ไหมคี สาก็อยากรู้เหมือนกัน นี่ตอนวันเกิดสายังไม่เคลียร์กันเลยนะ เค้กก็ไม่ได้เป่า มัวสนใจแต่คนอื่น”
ประโยคหลังหล่อนทำหน้ากระเง้ากระงอด ร่างสูงมองหน้า พลันถอนหายใจพรืด เขามันเป็นคนจำพวกขี้รำคาญซะด้วย หากไม่เห็นเป็นเพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่อนุบาลคงตัดขาดไปแล้ว
“อยากตามเฉยๆ ไม่ได้หรือยังไง”
จึงตอบสั้นๆ ไปแค่นั้น ทั้งที่จริงเขาไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้สักนิด สำหรับเขามันคือเรื่องที่ไร้สาระเกินกว่าจะออกมาพูด แค่เรื่องงานก็เต็มพื้นที่ในสมอง อีกอย่างเรื่องนี้เปรียบเสมือนเป็นเพียงอีกด้านหนึ่งของชีวิตที่ดำมืดของเขาก็เท่านั้น และชีวิตด้านมืดก็ไม่ควรนำออกมาในที่สว่าง ทว่าแลดูเพื่อนๆ สนใจนัก และนั่นทำให้เริ่มรู้สึกว่าไม่ค่อยจะอยากกินของที่สักไปเมื่อกี้สักเท่าไหร่แล้ว
“แต่ดูท่าเด็กนั่นจะหยิ่งพอตัวเลยนะ”
“เขาไม่ได้เรียกว่าหยิ่งหรอกสา บางทีเด็กเขาไม่มีรสนิยมอะไรแบบนี้ น้องยังเรียนอยู่เลย อีกอย่างเลือกทำแผนกในครัว ทั้งที่สวยเช้งซะขนาดนั้น คิดดูสิ”
ทันทีที่ได้ยินคำบอกเล่าของคนที่นั่งฝั่งซ้ายลลิสาถึงกับเบ้ปาก หล่อนไม่ชอบสักเท่าไหร่เวลาเพื่อนชมคนอื่น ยิ่งเป็นผู้หญิงด้วยกันก็ยิ่งทำให้เกิดความหมั่นไส้ อาจจะเพราะติดนิสัยถูกตามใจตั้งแต่เล็ก เนื่องจากเป็นเพื่อนผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม
“น้องเขาไม่ยอม คีก็อย่าไปบังคับเขาเลย สาเห็นผู้หญิงมากมายที่คีเคยควง เธอเหล่านั้นล้วนแต่เต็มใจให้ไม่ใช่เหรอ จะวิ่งตามทำไมแค่เด็กกะโปโล”
“สา...”
ไม่มีคำตอบกลับจากเขา แน่นอนเหนือเมฆถึงได้เรียกชื่อเพื่อนหวังเตือนสติ ว่าบางอย่างก็ไม่ควรล้ำเส้น ไม่อย่างนั้นความเดือดร้อนจะมาตกลงที่เธอ เขาไม่อยากให้กลุ่มตัวเองแตกคอ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อาคีรามีแววตาแบบนี้ และทุกครั้งเขามักจะหายเข้ากลีบเมฆแบบไม่ทราบสาเหตุ เพราะขุ่นเคืองที่เพื่อนพูดไม่คิดนี่แหละ ทั้งอันที่จริงเป็นเพียงเจตนาที่ดี เหมือนเพื่อนเตือนเพื่อนทั่วไปก็เท่านั้น หากแต่เจ้าตัวไม่ได้คิดเช่นนั้น เขามักจะเป็นคนเอาแต่ใจ และเข้าถึงยากเสมอ ทว่าพวกเขานั้นกลับชิน จะมีก็แต่ลลิสาที่ยังติดพูดมากอยู่บ้างบางครั้ง เนื่องจากนิสัยหญิง
หลังจากทานมื้อเที่ยงเสร็จต่างคนก็ต่างกลับ ทั้งคู่เลือกเดินไปส่งลลิสาที่รถก่อน เนื่องจากวันนี้หล่อนเรียกรถมารับเพื่อไปส่งที่สนามบินและเดินทางต่อกลับฝรั่งเศสเลย
“ส่งแค่นี้นะบี๋ ถึงฝรั่งเศสแล้วโทรมาด้วยล่ะ”
เหนือเมฆโบกมือ หล่อนยิ้มให้พลางหันไปหาอีกคน ที่เอาแต่ยืนมองโทรศัพท์ไม่ได้สนใจหล่อนสักเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะเรื่องก่อนหน้านี้ที่เผลอไปทำเขาเคือง ทว่าคนแบบหล่อนหาสะทกสะท้านไม่ ยังคงทำตัวปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไปก่อนนะคี ไว้ถึงสาจะบอกลงกลุ่ม”
“อืม..”
ถึงท่าทีของเขาจะได้กลับมาแค่การพยักหน้า แต่หล่อนก็ถือว่าเขารับรู้แล้ว จึงเดินไปกอดแบบหลวมๆ ทั้งเขาและกับอีกคน
“เรื่องแข่งรถยังไงนะ จะยังเป็นสปอนเซอร์อยู่?”
“อืม”
“รอบที่แล้วฟีดแบคเป็นไง”
“ใช้ได้”
“อ่า”
บทสนทนาของพวกเขาจบเพียงแค่นั้น เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เดินมาถึงรถพอดีซึ่งจอดรออยู่แล้ว อาคีราพยักหน้าให้เพื่อนเป็นการบอกลาตอนเหนือเมฆเดินเลยไป
เขาขึ้นไปนั่งประจำที่ พร้อมใบหน้าอีกด้านหนึ่งของเขา ด้วยคลื่นที่ไม่ปกติจนปุณสามารถรับรู้ได้ เขาเหลือบมองนายผ่านกระจกทันทีที่ปิดประตูลงหลังขึ้นมานั่งประจำคนขับ เมื่อเห็นสีหน้าท่ามกลางความเงียบจึงเอ่ยสิ่งที่ต้องรายงาน
“เป็นน้องชายเธอครับนาย ชื่อเพชร มาเรียนต่อที่นี่เหมือนกับเธอ แต่พักอยู่คนละที่กันครับ”
“........”
เมื่อเห็นท่าทางที่เรียบเฉย ราวกับไม่ได้อยากรู้สักเท่าไหร่ คนรายงานจึงเริ่มลังเลระหว่างการเงียบไปกับพูดต่อไปอย่าหยุด แต่พอเห็นสายตาพิฆาตจ้องเขม็งผ่านกระจกหลังที่เขามองอยู่ จึงพูดต่อไปทันที
“หมอนั่นมักจะไถ่เงินเธอครับ”
“บ่อยแค่ไหน”
“ทุกครั้งที่หมดตัว เอ่อ..มันติดการพนัน”
“เป็นน้องชาย ก็ต้องอายุน้อยกว่าพี่สาว พี่สาวยังเรียนอยู่แถมทำงานไปด้วย แล้วมัน..มีสิทธิ์อะไรติดการพนัน?” ประโยคนี้นายบ่นลอยๆ ไม่ได้ต้องการคำตอบจากเขา “แล้วไง เธอให้ทุกครั้ง?”
“ครับ เพราะมันมักจะขู่ ถ้าไม่ให้จะไปขอแม่แทน”
“อ่า..”
ความเงียบเข้าปกคลุมภายในรถอีกครั้ง คิ้วหนาไม่ได้ขมวดเข้าหากันแน่นอย่างทุกๆ ครั้งยามครุ่นคิดหนัก ประหนึ่งว่าคราวนี้ ทุกอย่างได้ถูกล็อคเป้าไว้แล้ว ถึงได้มีคำสั่งออกมาจากปากเขา ผ่านน้ำเสียงนุ่มนวล และสีหน้าที่เรียบเฉย
“ทำให้มันเป็นหนี้”
“ครับ?”
“ถ้าเป็นพวกมาเฟียแถวตึกสีพ่น จะดีมาก”
“รับทราบครับนาย”
“ครับ ผมจะทำให้เลย ทำทันที และเร็วที่สุด”ก่อนความเงียบจะเข้าปกคลุมทันทีที่พุนพินเอ่ยจบ และค่อยๆเรียกรอยยิ้มของคนทั้งสามออกมาเปื้อนใบหน้า เมื่อคำขอนั้นแท้จริงไม่ได้ยากอะไรเลย กลับกันเป็นอีกเรื่องที่พวกเขากำลังครุ่นคิด และมีอยู่ในหัวอยู่ก่อนแล้ว“แต่งงานกับลูกสาวของน้าในตอนที่น้ายังแข็งแรงอยู่ได้ไหมคะ”“ได้ครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมกับแพงคิดอยู่เหมือนกันว่าจะเอายังไง พอเป็นแบบนี้ก็ดีครับ งั้นจบทริปนี้ กลับไปผมจะให้พ่อแม่มาสู่ขอเลยละกัน แพงว่าไง..หนูโอเคไหม”คนถูกถามละสายตาจากมือบางที่แอบบีบเข้าหากันแน่นเพราะความเขิน เงยหน้าขึ้น มองหน้าผู้เป็นแม่สลับกับเขาแล้วยิ้มกว้าง ถึงจะรู้สึกติดเรื่องเรียนอยู่เล็กน้อย เพราะรู้สึกเหมือนจะฉุกละหุกจนเกินไป แต่ถ้านี่คือความต้องการของแม่เธอ หญิงสาวก็ไม่ขัด ดีซะอีก จะได้ไม่ต้องค้างคา เพราะถึงยังไงคนที่เธอคิดจะฝากชีวิตและอยู่ด้วยกันจนวันสุดท้ายก็เป็นเขาอยู่แล้ว“ได้ค่ะ แพงโอเค”“ถ้าอย่างนั้นก็ตามนั้นครับ”“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณมากที่เอ็นดูและรักยัยแพง”“ครับ ผมยินดี”วันต่อมาด้านของปานดาวเช้านี้หล่อนได้รับข่าวดีที่ทำให้กล้ามเนื้อทั้งมัดเล็กมัดใหญ่โลดเต้น
จุดหมายปลายทางคือบ้านสวนที่อาคีราซื้อทิ้งไว้แถวปริมณฑล เคยเป็นที่ดินเปล่ารกร้างมาก่อน แต่ถูกดัดแปลงให้เป็นบ้านสวนเพื่อการพักผ่อนโดยเฉพาะ แน่นอนว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ย่าของเขาชื่นชอบ แต่ไม่มีเวลาได้มาพักผ่อนเลยสักครั้ง เนื่องจากท่านเสียชีวิตไปซะก่อน เหตุการณ์ครานั้นเป็นสิ่งย้ำเตือนใจเขา หากคิดจะทำอะไรสักอย่างอย่ารอวันที่สาย อาทิเช่นตอนนี้กับว่าที่ภรรยาของเขาคือพะแพงและแม่ของเธอ ที่ไม่อยากให้เวลาเดินไปข้างหน้าอย่างสูญเปล่าแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว เขาจึงจัดทริปนี้ขึ้นมา เพื่อให้แม่ของเธอได้สูดอากาศที่มาจากธรรมชาติจริงๆบ้าง อีกนัยยะ ไม่อยากให้อุดอู้อยู่แต่กับบ้าน ถึงมันจะใหญ่มากก็เถอะ“ซื้อไว้นานแล้วเหรอคะ”เสียงหวานกังวานหันมาถามทันทีที่เดินลงมาจากรถ โดยมีปุณและพยาบาลดูแลพุนพินอีกคนช่วยกันยกของ รวมถึงเขาและเธอที่ช่วยกันละไม้คนละมือ ไม่ได้เดินตัวเปล่าลงมา“ครับ หลายปีแล้ว ครั้งนี้ครั้งที่สามที่พี่มา”พะแพงเพิ่งสังเกตเห็นคนสวนเดินเข้ามาอย่างนอบน้อมและถ่อมตน ทันทีที่หยุดอยู่ตรงหน้าร่างสูงก็ยกมือไหว้ หลังจากนั้นเดินไปเปิดประตู แล้วไปช่วยปุณยกของต่อ“คนนี้..”“ลุงพันอยู่เฝ้าที่นี่ตั้งแต่แรก” เขา
มหาวิทยาลัย “ปิดเทอมคราวนี้ไปไหนกันดี” “เคยพูดว่าอยากไปภูเขาไม่ใช่รึไง” “แพงว่าไงแกจะไปไหน” ทั้งสามเดินทอดน่องจากตึกคณะมานั่งตรงม้าหินอ่อนที่ประจำเพื่อรอส่งงานอาจารย์ หลังจากนั้นจะปิดเทอม คนถูกถามได้ยินเสียงเพื่อนคุยกันเรื่องเที่ยว แต่ไม่ได้ยินคำถามที่เจาะจงมายังตัวเอง พอบรรยากาศเงียบผิดปกติเพราะเพื่อนของเธอจ้องมองอยู่ถึงได้หลุดออกจากภวังค์นั้น “ฮะ ถามว่าอะไรนะ” “ทำไมเหม่ออีกแล้วล่ะ” พะแพงไม่ได้ตอบในทันที เธอมองหน้าเพื่อนสลับกันก่อน พลางถอนหายใจ “ม่อนกับบาสอย่าทิ้งแพงนะ เรียนจบไปแล้วก็ห้ามทิ้งแพงนะ” ไม่ใช่หัวคิ้วคนนั่งใกล้สุดอย่างม่อนเพียงคนเดียวที่ขมวดชนกัน แต่เป็นบาสด้วย พร้อมกับท่าทีที่ไปไม่ถูก เพราะงุนงงอยู่ “ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ ใครจะทิ้งแพง เป็นอะไรไป” สังเกตจากดวงตาแดงก่ำ ก็ยิ่งทำให้เพื่อนร้อนรน ม่อนหันไปมองบาสก่อนจะหันกลับมามองหน้า ถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม “แม่แพงอาการแย่ลงแล้วอ่า แพงกลัวว่าจะอยู่ไม่ถึงวันแต่งงาน”
ณ คลับประจำ ร่างสูงนามว่าเหนือเมฆนั่งอยู่ในที่แห่งนี้ ตรงโซฟาโซนวีไอพี ในมือของเขาถือแก้วบรั่นดีที่มีของเหลวอยู่ครึ่งแก้ว สายตาทอดมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย หนึ่งเดือนมานี้เขามีแต่คำถามมากมายในหัว เกี่ยวกับเพื่อนสนิท และการกระทำของตัวเอง ที่ผ่านมาไม่เคยรู้สึกลังเลเลยสักครั้ง หากใจสั่งให้ทำเรื่องที่ถูกต้องก็ทำเลยโดยไม่ต้องคิด จนกระทั่งครั้งนี้ เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า สิ่งที่ทำลงไปมันถูกต้องรึเปล่า หรืออาจเป็นเพราะผลของมัน จึงไม่อยากจะรับความจริงถูกตัดเพื่อนทั้งที่ทำเรื่องที่ถูกต้อง และหวังดี“มาคนเดียวเหรอคะ”จู่ๆก็มีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาทัก ทั้งที่เธอดูสวยแต่เขากลับมองด้วยสายตารำคาญ“เห็นใครนั่งอยู่ด้วยปะล่ะ”น้ำเสียงเย็นชาโพล่งออกมาอย่างไม่คิด แค่ต้องการตัดบทให้คนมาใหม่ไปไกลๆเสีย ทว่าเปล่าเลย เธอกลับคลี่ยิ้มที่มุมปากด้วยท่าทางยั่วยวน เสมือนมองสิ่งนั้นเป็นการท้าทาย แล้วเดินนวยนาดเข้ามานั่งข้างๆ“ให้นั่งเป็นเพื่อนไหมคะ”“ลุก”“งื้อ อย่าไล่กันอย่างนี้สิคะ รู้ไหมว่าความหล่อของคุณมันทิ่มแทงไปถึง..มดลูกของเอวา”เธอจงใจเน้นประโยคหลังด้วยเสียงที่แหบพร่า หากแต่ร่างสูงกลับถอนหายใจออกมาแรงๆจนอีกฝ่
หลังจากทานมื้อเที่ยงเสร็จอาคีรากับเกรียงไกรก็แยกตัวไปยังห้องทำงานเพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับเรื่องงานในบริษัทใหม่ของเขา เนื่องจากมีลูกค้าบางกลุ่มที่เข้ามาติดต่อเคยเป็นลูกค้าของบริษัทในตระกูลมาก่อน ปล่อยให้พะแพงนั่งเล่นเดินเล่นอยู่คนเดียวในบ้านกินเวลาไปมากกว่าหนึ่งชั่วโมง แชทกลุ่ม : เพื่อนกันแค่นี้เพราะไม่มีใครคบแล้ว PP : เบื่อออออออ MON : อะไรยะ ไม่ได้อยู่บ้านสามีหรือไง PP : อยู่ MON : แล้ว? PP : เขาไปคุยงานกับพ่อ แพงนั่งคนเดียวอยู่ในห้องรับแขก เป็นชั่วโมงแล้วเนี่ย MON : โธ่ แม่คุณ ไอ้เราก็นึกว่าถูกเขาทิ้งเอาไว้ข้างทาง กะจะให้ @BAS ไปรับแล้วเนี่ย พะแพงถึงกับหลุดยิ้มตอนที่เห็นรายชื่อนั้นถูกแท็ก จากนั้นก็ขึ้นว่าอ่านทั้งหมด BAS : ออกมาทำงาน MON : ไหนบอกว่าวันนี้หยุด BAS : พรุ่งนี้ มึงจำผิดป่าว MON : บอกผิดหรือเปล่าเถอะ อย่างกูไม่มีทางจำผิด BAS : ?
“ไม่ได้ยังไง นี่มันห้องนอนพี่ใครมันจะเข้ามา” “แต่พ่อกับแม่อยู่ข้างล่าง ไหนจะพ่อบ้านแม่บ้านอีก อีกอย่างยังกลางวันอยู่เลย” ร่างสูงที่ตามคร่อมลงมาซ้อนทับเธอถึงกับชะงัก พลางขมวดคิ้ว “นี่กลายเป็นคนหัวโบราณตั้งแต่เมื่อไหร่ ลืมไปแล้วเหรอว่า..ในรถเราก็เคยทำกันมาแล้ว” “อย่าพูดนะ” พะแพงหลับตาปี๋ไม่อยากได้ยินคำนั้นจากปากเขา แต่ลืมไปว่าการหลับตาแบบนั้นจะเปิดโอกาสให้กับคนฉลาดแกมโกง แน่นอนว่าคนที่กำลังหิวกระหายไม่มีทางปล่อยให้มันหลุดมือ เลิกเสื้อเธอขึ้นจนเผยหน้าอกสวยสร่างขาวเนียน ก้อนเนื้อกลมโตเกินตัวต่อหน้าต่อตา เธอเบิกตากว้าง อ้าปากจะห้ามกลับถูกอวัยวะเดียวกันฉกแย่งไปจูบครั้งนี้เป็นจูบที่ดูดดื่มที่โหยหาที่สุด เธอไม่เคยรู้สึกวาบหวามจนสมองขาวโพลนขนาดนี้มาก่อน อาจเป็นเพราะทั้งคู่ห่างนานเกินไป เมื่อถึงช่วงเวลาประจวบเหมาะกลับมาสานต่อความสัมพันธ์ ความต้องการที่มีปกติอยู่แล้ว ยิ่งทวีคูณเข้าไปอีก ต่างฝ่ายต่างโหยหาซึ่งกันและกัน พอร่างกายสัมผัสจึงปานไฟราคะโชนลุก ลำคอระหงแหงนขึ้นจังหวะปลายจมูกโด่งชอนไชเข้ามา







