LOGINเงื่อนไขเป็นเพียงข้ออ้าง แต่แค่เสี่ยหล่อ ทุกอย่างก็จบค่ะ! เขาอยู่ในจุดที่เอื้อมถึงยาก ที่ยอมลดตัวลงมา ก็แค่เห็นว่าเธอเป็น “ของเล่น” “ก็แล้วถ้าหนูไม่เต็มใจ มาทำงานแบบนี้ทำไมล่ะครับ” คำดูถูกที่แฝงอยู่ในเสียงนุ่มนวลนั้น..
View More“พะแพง พี่เกียรติฝากพี่มาบอกให้เธอออกไปช่วยข้างนอกคืนนี้”
คนตัวเล็กเดินเข้าร้านยังไม่ทันวางกระเป๋า *ยิ้มรุ่นพี่ที่ทำงานด้วยกันก็โผล่หน้าเข้ามาบอก
“ทำไมเหรอคะ”
งานข้างนอกเป็นหน้าที่ของส่วนหน้า ส่วนเธอทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเชฟอยู่ข้างหลัง แต่วันนี้รุ่นพี่ที่ทำงาน ทำหน้าที่เป็นเอนเตอร์เทน ถูกเจ้าของร้านวานให้มาบอกการเปลี่ยนแปลง
“อืม..เมื่อวานที่เขาประชุมกันพี่ก็ไม่อยู่ด้วยสิ แต่ได้ยินมาว่าห้องVIP ถูกเปิดจองนะ คงจะเกี่ยวกัน” เธออธิบายตามความเข้าใจของตัวเอง “คนไม่พออ่าแพง เฮียแกเครียดอยู่ แขกประจำมาเกือบทุกวัน คนอื่นๆก็ต้องไปดูแลตรงนั้น พอมีเพิ่มเข้ามาก็ขาดคน เอาน่า..ออกมาช่วยเฮียแกหน่อยนะ คืนเดียว”
พะแพงยิ้มอ่อน ถึงจะไม่ค่อยเต็มใจนักเพราะไม่ใช่ตำแหน่งชอบ แต่เพื่อเกียรติเจ้าของร้านที่ใจดีกับเธอมาก จึงไม่กล้าปฏิเสธ
“ค่ะ ให้แพงเตรียมตัวเลยไหม”
“ไปช่วยป้าเชฟก่อนก็ได้ ไว้ใกล้ค่ำพี่จะมาเรียกอีกที”
คนตัวเล็กเหลือบมองนาฬิกาบนข้อมือเมื่อเห็นว่าเพิ่งจะบ่ายสามจึงพยักหน้า เนื่องจากเหลือเวลาอีกตั้งเยอะ
“ได้ค่ะ”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินนะ ถือว่านอกเวลา เฮียแกให้พิเศษอยู่แล้ว”
“ค่ะ”
ผ้ากันเปื้อนถูกสวมทับชุดยูนิเฟอร์มทันทีที่ยิ้มออกไป เสียงถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้าออกมาจากคนตัวเล็ก แววตาแสนเศร้าสะท้อนผ่านกระจก เมื่อหลุดออกมาจากห้องแต่งตัวก็จะกลายเป็นอีกคน
“ป้าหวัดดีค่ะ”
“อ้าวแพง ทำไมวันนี้มาเร็วนักล่ะลูก เริ่มงานสี่โมงไม่ใช่หรือ”
เพราะรู้ว่าคนอื่นที่มาทำงานรวมกันที่นี่ล้วนแต่มีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น เธอจึงไม่อยากสร้างปัญหาเพิ่ม การตั้งใจทำงาน เชื่อฟัง อ่อนน้อมถ่อมตน และสร้างพลังบวก เปรียบเสมือนการช่วยเหลือกันแล้วกึ่งหนึ่ง
“อยู่ห้องเบื่อๆ แพงไม่ได้ทำอะไร เลยมาหาป้าดีกว่า”
“ชอบอุดอู้อยู่แต่ในครัวหรือเรา แปลกคน”
*น้อยหัวหน้าแม่ครัว เจ้าของร่างท้วมแต่เดินคล่องราวกับนั่นไม่ใช่อุปสรรคหัวเราะชอบใจ หันมองเสี้ยวข้างของคนตัวเล็กด้วยความเอ็นดู เธอหันมายิ้มกว้างให้พลันหยิบถุงผักไปล้างอย่างรู้งาน
“ เอ่อป้าคะ วันนี้ตอนค่ำแพงต้องออกไปช่วยเขาข้างนอกนะคะ”
“ทำไมล่ะ”
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ พี่ยิ้มมาบอกแพงเมื่อกี้ บอกว่าเฮียสั่งมา”
เธออธิบายทั้งที่ยังก้มหน้าล้างผัก สีหน้าในตอนนี้เต็มไปด้วยความกังวล เธอไม่เคยทำหน้าที่นี้ก็ย่อมเครียดเป็นธรรมดา
“น่าจะเรื่องงานเลี้ยงที่ประชุมกันหลายวันก่อน วันนี้ครัวถูกสั่งให้ทำเมนูแยก อาหารดีๆทั้งนั้นเลยแขกคงมีระดับ เห็นว่าเลี้ยงพวกหัวหน้าช่าง คนไม่พอล่ะสิท่า ถึงได้เรียกแพงไป”
“ค่ะ...”
“แล้วยังไง หนูไม่เต็มใจเหรอ”
ผักในมือบางชะงักจังหวะสะเด็ดน้ำเพื่อเปลี่ยนภาชนะใหม่ พะแพงเม้มปากแน่น เงยหน้าขึ้นมา
“ก็นิดนึงค่ะป้า แพงไม่เคยทำตำแหน่งนี้”
“เงินดีนา.. ป้ายังงงเลย ตอนแพงมาทำงานวันแรก สวยขนาดนี้ทำไมถึงเลือกสมัครตำแหน่งในครัว ร้อนก็ร้อน อยู่ส่วนหน้านะได้แต่งตัวสวยๆ ได้ทิปเยอะ ไม่ต้องยืนนานแบบนี้ด้วยลูก”
“แพงไม่ชอบอ่ะป้า อีกอย่างแพงพูดไม่เก่ง”
เธอบอกตามตรง คนพูดถึงกับเม้มปากแน่นอยากจะตบปากตัวเองสักสองที ที่เผลอพลั้งออกไป
“กลัวแขกลวนลามด้วยใช่ไหม? อย่างนั้นแหละลูก พอเมาเข้าหน่อยก็ขาดสติ ไอ้เรามันก็คนสวย นี่ป้ายังคิดอยู่เลยว่าส้มกับฟ้ามันเก่งนะ เอาตัวรอดได้”
คนตัวเล็กแสะยิ้มให้กับเรื่องเล่าของเชฟน้อยพลันเผลอนึกถึงเจ้าของชื่อ ซึ่งไม่ค่อยชอบหน้าเธอสักเท่าไหร่ และเห็นบ่อยครั้งว่าพวกเธอมักจะขึ้นรถไปกับแขก เนื่องจากเวลานั้นเป็นเวลาที่ส่วนครัวร้อนปิด งดสั่งอาหาร แต่แขกสามารถนั่งต่อได้เพราะโซนผับปิดช้ากว่าสองชั่วโมง แน่นอนตอนที่พวกหล่อนเดินออกมากับแขก ประจวบเหมาะกับที่เธอเดินมาลานจอดรถพอดี เพื่อขี่รถกลับที่พักตัวเอง
อันที่จริงเธอไม่ได้กังวลเรื่องนั้น เพียงเธอไม่เต็มใจไปด้วย ใครหน้าไหนจะมาลาก ที่ไม่สบายใจอยู่ตอนนี้คือเธอไม่ชอบเสียงดัง และที่สำคัญเธอไม่อยากทำงานร่วมกับสองคนนั้นเท่านั้นเอง
“คืนเดียว ช่วยเกียรติมันหน่อย นี่มันก็คงจะหัวหมุนอยู่นะถ้าให้ป้าเดา นานๆห้องนั้นจะถูกเปิดใช้สักที แถมแขกมีระดับ คงตื่นเต้นน่าดู”
“พวกเขาจะเรื่องมากไหมคะป้า”
“ป้าว่าไม่หรอก อย่าเพิ่งคิดมากไปก่อนสิ แขกระดับนั้นแล้ว อาจจะเป็นการสังสรรค์แบบผู้ดีก็ได้”
“ค่ะ”
คนตัวเล็กพยักหน้าทำตามคนพูดอย่างว่าง่าย เธอไม่อยากให้ความกังวลของตัวเองมาทำลายบรรยากาศ จนหัวหน้าเชฟต้องไม่สบายใจไปด้วย เพราะนี่ก็คืองานเช่นกัน ที่จะต้องใช้ทั้งสมาธิและการใส่ใจ
พะแพงถูกตามตัวในเวลาหกโมงเย็น เธอใช้เวลากับการแต่งตัวเพียงสิบห้านาทีก็ออกมายืนเตรียมความพร้อมข้างนอก ตรงที่เธอยืนอยู่เป็นบาร์น้ำ นั่นเพราะคนที่อยู่ตำแหน่งนี้เธอค่อนข้างจะสนิท เขาเป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยมที่เรียนอยู่ในห้องเดียวกัน แต่พอแยกกันตอนเรียนมหาลัยก็ไม่ได้เจอ มาเจอกันทีที่นี่ซึ่งทั้งคู่มีเป้าหมายเดียวกันคือทำงานพาร์ทไทม์หาเงินส่งตัวเองเรียน และพอเขาเห็นเธอถึงกับแปลกใจไม่น้อย
“อ้าวพะแพง วันนี้ทำไมออกมาข้างนอกล่ะ”
“เฮียให้ออกมาช่วยเขาอ่ะ เห็นว่ามีแขกเปิดห้องวี แต่คนไม่พอ”
“อ๋อ ใช่.. ไม่พอจริงด้วยแหละ ไม่พอมาสักพักแล้ว แม็กเห็นเวลาลูกค้าเยอะ ฝ่ายเสิร์ฟ ฝ่ายเอนฯ วิ่งกันให้วุ่น หมุนอย่างกับลูกข่าง”
พะแพงหลุดขำให้กับหน้าของเขาที่พอพูดจบก็แลบลิ้นออกมาทำท่าหมาหอบ พลันชี้ไปที่บาร์น้ำ
“แพงกินอะไรไหม เดี๋ยวแม็กทำให้ อันที่จริงเฮียเกียรติเขาให้สวัสดิการน้ำฟรีคนละแก้วนะ แม็กไม่เห็นแพงออกมากิน”
“ในครัวยุ่งจะตายแม็ก จะเอาเวลาไหนกินล่ะ แค่น้ำที่หิ้วตอนมาทำงานก็ละลายก่อนไม่เคยกินหมด ว่าแต่ทำไมเฮียเขาไม่รับคนเพิ่ม รู้ว่าลูกค้าเยอะ”
“ก็รับนะ แต่อยู่ไม่เคยถึงอาทิตย์”
คิ้วคู่สวยขมวดเข้าหากันอัตโนมัติขณะฟังไปด้วยและมองคนพูดผสมน้ำไปด้วย
“ทำไมล่ะ”
“ไม่เอาดีกว่า อย่าให้พูดเลย มันไม่ดี”
ไม่ต้องพูดเธอก็พอจะเดาออก เพราะมักจะได้ยินพี่ยิ้มบ่นเป็นประจำถึงเด็กที่เข้ามาใหม่แล้วหายไปพร้อมแขก พออีกวันลาออกแบบไม่บอกไม่กล่าว ทว่านั่นไม่ใช่ประเด็นที่เธองงเท่ากับตอนนี้
“อ่า แล้วนั้นแม็กกำลังทำอะไร”
“ทำน้ำให้แพงไง รับรองว่าอร่อยติดใจต้องมาสั่งอีก”
เขาเงยหน้าขึ้นมายิ้มทะเล้น แต่คนตัวเล็กที่มองอยู่ไม่ได้ยิ้มด้วย
“แพงยังไม่ได้สั่งเลยนะแม็ก เดี๋ยวเมา”
“บ้าเหรอแพง มันคือน้ำผลไม้” แม็กถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ ขำพรวดออกมา ไม่สนคนถูกขำกำลังทำหน้าเขิน เนื่องจากแตกละเอียดหมอก็เย็บไม่ได้ “ดื่มก่อนไปทำงาน จะได้สดชื่น ไม่ตื่นเต้นมาก”
“รู้เหรอ..”
“รู้สิ สีหน้าของแพงตอนนี้ออกมาเลยนะ”
คนตัวเล็กพอจะรู้ตนเป็นคนเก็บสีหน้าไม่เก่งแต่ไม่คิดว่าจะขนาดนี้ ถ้าเช่นนั้นตอนทำงาน เกิดแขกเมาเผลอทำเรื่องไม่ดีแล้วเธอเก็บอาการไม่อยู่ตีหัวแตกขึ้นมาจะทำยังไง จะโดนไล่ออกไหม ค่าเทอมจะมาถึงแล้วด้วย
“อะ เสร็จแล้ว ลองชิมดู”
จังหวะนั้นกำลังเหม่อลอย ทันทีที่เห็นเครื่องดื่มถูกยื่นมาให้ ก็ยื่นมือไปคว้าไว้อย่างไว พลันเบ้ปากอยากจะร้องไห้ คนตรงหน้าถึงกับขำ
“เส้นตื้นปะเนี่ย ไม่เห็นตลกเลยแม็ก ฮัลโหล..”
“แพงเร็วน้อง แขกมาแล้ว”
เสียงทีมงานเดินมากระซิบใกล้ๆ หลังจากนั้นม่านก็ค่อยๆแยกออกจากกัน นาทีที่ได้เห็นแสงสว่างในนาทีนั้น สาดส่องจากหลังม่านเข้ามา พร้อมเสียงดนตรีจากเปียโนที่ดังชัดเจนขึ้น เธอรู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างกำลังอ่อนแรง แต่ละก้าวที่เดินเหมือนผู้เป็นแม่ของเธอประคองไปซะมากกว่า ช่างเป็นการเดินที่ยากต่อการตวบคุม ไม่ต่างกับเด็กน้อยเพิ่งเดินเป็น “ดูสิ คนหันมายิ้มให้ลูกของแม่เยอะเลย” พุนพินกระซิบบอกลูกสาว เธอกวาดตามองตาม เมื่อเห็นแขกที่ถูกเชิญ ทั้งเพื่อนของตัวเอง ทั้งคนที่รู้จัก และไม่รู้จัก ต่างพร้อมใจกันยืนขึ้น และส่งยิ้มให้ เพียงแค่นั้นความประหม่าของเธอก็หายไปทันที ไม่พอเพียงแค่นั้น สิ่งที่ทำให้เธอเกิดความมั่นใจขึ้น และกลับมาเดินอย่างมั่นคงต่อไปได้อีกครั้ง คือร่างสูงไกลๆตรงหน้า เขาอยู่ในชุดสูทสีขาวที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่กลับทำให้ดูดีมากขึ้นอีกเท่าตัว ไม่เกินจริงอย่างที่เพื่อนสนิทของเธอสปอยล์ เขากำลังยิ้ม สายตาจับจ้องมายังเธอเพียงคนเดียว ราวกับรอให้เธอเดินไปถึงด้วยก้าวที่มั่นคงทีละก้าวอย่างใจจดใจจ่อ และเมื่อมาถึงเขาระหว่างทาง เขาจะเป็นฝ่ายพาเธอไปยังอนาคตด้วยตั
ผ่านไปนานเท่าไหร่เธอเองก็ไม่รู้ เพราะไม่ได้รู้สึกเบื่อหน่ายหรือเหนื่อยเลยกับการถูกจับทำโน่นทำนี่ราวกับตุ๊กตา กลับกันตลอดเวลาที่ช่างแต่งหน้าพากันล้อมรอบ แปลงโฉมด้วยเครื่องประทินผิวยี่ห้อแพง และคุณภาพดีให้เธอ เธอรู้สึกว่ามีค่าและวาสนามากเรียกได้ว่าวันนี้เป็นความสุขที่ล้นเปี่ยมอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต และครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตัวเองสวยขนาดนี้ ผ่านกระจกบานหรูของโรงแรม“โอมายก็อด..”“บอกแล้ว ว่านางฟ้าต้องประทับร่าง”“มงลงไปเลยจ้า”เสียงปรบพร้อมกับคำเยินยอดังสนั่นห้อง หลังจากเครื่องประดับทั้งหมดที่เตรียมมาได้ถูกจัดวางบนตัวเธอ รวมถึงชุดเจ้าสาวที่สวมอยู่ด้วย ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าตัวเองจะมาถึงจุดนี้ อาคีราเสกให้เธอกลายเป็นผู้โชคดีจริงๆแกร็ก!เสียงบานประตูถูกผลักเข้ามาหลังเคาะเป็นจังหวะสามครั้ง ดึงความสนใจของคนในห้องให้หันไปทั้งหมด เมื่อเห็นว่าเป็นแม่ของเจ้าสาว แม่ของเจ้าบ่าว และเพื่อนของเจ้าสาว ทั้งสามคนก็ถอยร่น เป็นการเปิดทางให้ทุกคนเข้ามา แน่นอนว่าทันทีที่ได้เห็น คนมาใหม่ถึงกับตาค้าง“สวยจังเลยลูก” นี่คงเป็นความรู้สึกหัวใจพองโตที่จะต้องจดจำไว้อย่าได้ลืมเชียว ก
วันต่อมาเป็นครั้งแรกที่เพื่อนสนิทของเธอมาบ้าน ด้วยโลเคชั่นของเธอที่ส่งไปตั้งแต่เมื่อคืน เพียงแค่ทั้งสามคนเจอกันก็เรียกรอยยิ้มของคนป่วยได้ไม่น้อย ร่างเล็กนามว่าม่อนไม่ได้พูดอะไรมากนอกจากการพนมมือไหว้เคารพผู้ใหญ่ วางกระเป๋า แล้วเดินเข้าไปหา เธอเลือกนั่งข้างๆ ยื่นมือบางไปทาบทับมือเหี่ยวของแม่เพื่อนสนิทเบาๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ มาจากความรู้สึกล้วนๆ หลังจากสังเกตว่าพุนพินซูบผอมลงไปเยอะ เหมือนคนป่วยจริงๆ จนหล่อนรู้สึกเศร้าขึ้นมาเลย ทันทีที่นึกไปถึงอนาคต วันนั้นที่พะแพงไม่มีแม่คนนี้แล้ว“ป้าพินเป็นไงบ้างคะ”“ก็ทรงตัวอยู่ แต่เวลาปวดขึ้นมาก็ทรมานเหมือนกัน”ร่างสูงที่เห็นแบบนั้น จากท่าเดินที่เร็วตามบุคลิก กลายเป็นเชื่องช้าลงขณะเดินไปนั่งโซฟาตรงกันข้าม มองภาพนั้นด้วยสายตาละห้อย ไร้คำพูดใดๆ ส่วนพะแพงคนเป็นลูกที่เห็นอาการของแม่จนชินตาแล้ว ทำได้เพียงยืนมองอยู่เฉยๆ ด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังใช่..เธอยังคงมีความหวังอยู่ หวังว่าแม่ของเธอจะอยู่ถึงตอนเธอรับปริญญา แม้ว่ามันจะเป็นไปได้ยากก็ตามทีหนึ่งชั่วโมงผ่านไป หลังทุกคนพากันพูดคุยหัวเราะต่อกระซิก พร้อมกินขนมที่พุนพินทำไปด้วยความเอร็ดอร่อยตรงโ
สองอาทิตย์ต่อมา งานแต่งของพวกเขาถูกแพลนไปไกลแล้ว และเหลืออีกไม่กี่อย่างก็พร้อม อาคีราเลือกที่จะเริ่มไปนอนที่บ้านของตัวเองในคืนพรุ่งนี้ เช้านี้จึงอยากจะพาครอบครัวของฝั่งเจ้าสาวไปทำบุญก่อน ตกตอนเย็นก็ค่อยกลับบ้านตามลำพัง “คนมาทำทานเยอะเหมือนกันนะคะ” ใบหน้าสะสวยยืนหันหน้าไปทางกระแสลม ให้พัดหน้าจนผมปลิวว่อน ตรงข้ามเป็นแม่น้ำค่อนข้างใหญ่มีไว้สำหรับปล่อยปลา ข้างกันคือพุนพินที่หน้าตาถัดไปทางสดใสและอิ่มบุญ หากแต่ด้วยกายหยาบไม่ค่อยเอื้ออำนวยจึงทำอะไรเชื่องช้าไปหมด หล่อนเหมือนคนเหนื่อยตลอดเวลา ทว่าเมื่อถามทุกครั้งกลับส่ายหน้าและตอบว่าไม่เป็นไร ครั้งนี้ก็เช่นกัน “แม่หมดห่วงเรื่องของแพงได้แล้วใช่ไหมลูก” จู่ๆหล่อนก็โพล่งคำถามนี้ขึ้นมา หญิงสาวที่กำลังมองร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงสีดำที่ยืนห่างไปพอควร อยู่ในลักษณะท่ายืนเท้าเอวสอบ หันหลังให้กับทุกคน เบื้องหน้าคือแม่น้ำวิวเดียวกันกับเธอ เขากำลังยืนรับลมไม่ต่าง เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยปิดเปลือกตาลงปล่อยให้สายลมบางเบาพัดโบก เสมือนกำลังผ่อนคลายพลางหันมาทางผู้เป็นแม่ “แม