บทที่ 4
ร่ำลาครั้งสุดท้าย
หลังจากจักรพรรดิออกราชโองการส่งองค์ชายเซี่ยอวี้ไปเมืองหนานหลิง เมืองชายแดนที่อยู่ทางใต้เพื่อกำจัด “ต้นตอแห่งภัยแล้ง” ข่าวนี้ได้แพร่สะพัดไปยังหัวเมืองต่างๆ
ด้วยเหตุนี้ ระหว่างที่ขบวนรถม้าเคลื่อนออกจากเมืองหลวง สองข้างทางจึงแน่นขนัดไปด้วยผู้คน
ว่ากันตามจริง ราชโองการของจักรพรรดิล้วนเต็มไปด้วยความงมงาย การส่งองค์ชายน้อยออกนอกเมืองไม่สามารถแก้ต้นตอของภัยแล้งได้ สิ่งที่สำคัญในยามนี้จริงๆ คือเสบียง เงินและความช่วยเหลือจากเหล่าขุนนาง
“ส่งองค์ชายสามอายุแค่ 5 ขวบ ไปเมืองที่ประสบภัยแล้งก็ไม่ได้ช่วยให้ฝนฟ้าตกลงมาเสียหน่อย ขุนนางพวกนั้นคิดอะไรกันอยู่ เหตุใดไม่นำเงินจากท้องพระคลังออกมาช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบภัย!”
เสียงของปัญญาชนผู้หนึ่งดังขึ้นท่ามกลางกลุ่มคนมากมาย
เมื่อมีคนหนึ่งกล้าวิจารณ์ราชโองการที่ไม่สมเหตุผล คนอื่นๆ ก็ไม่ลังเลที่จะออกความคิดเห็น
“ข้าเห็นด้วย ส่งเด็กคนหนึ่งไปชายแดน ฝนจะตกตามฤดูกาลได้อย่างไร”
“อืม ใช่ๆ”
“เฮอะ!”
ระหว่างที่ชาวบ้านกำลังวิจารณ์กันออกรส ชายแก่คนหนึ่งก็แค่นเสียงเย้ยหยัน
“พวกเจ้าจะรู้อะไร จริงๆ แล้ว ราชโองการฉบับนี้ก็เพื่อลดทอนอำนาจของตระกูลซิน องค์ชายกับองค์หญิงเป็นเพียงแค่ตัวประกัน ควบคุมไม่ให้จวนโหวมีอำนาจเหนือกว่าองค์จักรพรรดิ”
“ต้องทำขนาดเลยหรือ อำนาจของจักรพรรดิเหนือกว่าจวนโหวอยูแล้ว ตาแก่ เจ้าพูดเกินจริงไปหรือไม่”
“ใช่ๆ ตาแก่ เจ้าห้ามพูดซี้ซั้วเชียวนะ ประเดี๋ยวก็ถูกตัดหัวทั้งตระกูลเอาหรอก!”
ชายแก่ส่ายหน้าเบาๆ แล้วกล่าว “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล…พวกเจ้าไม่เคยได้ยินกันหรือ เฮ้อ...ข้าไม่พูดแล้วก็ได้”
ตาแก่ทิ้งท้ายไว้อย่างนั้นแล้วก็เดินจากไปท่ามกลางฝูงชน
เหล่าชาวบ้านมองหน้ากัน ลองคิดตามดูแล้วก็เห็นว่าจริง
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยพระองค์นี้บ้าอำนาจ นิสัยขี้ระแวง
เมื่อสิบปีก่อน นายอำเภอแซ่หลางได้สร้างผลงานยิ่งใหญ่ ช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบอุทกภัยทางใต้จนได้รับชื่อเสียงและความไว้ใจจากชาวเมืองไม่น้อย แต่คุณงามความดีนั้นกลับคงอยู่แค่สิบปี จู่ๆ นายอำเภอแซ่หลางก็ถูกจับขังคุก คดีโกงกินเสบียงของประชาชน ข้อเท็จของคดีนี้ไม่มีใครรู้แน่ชัด ชาวบ้านรู้เพียงแค่ตระกูลหลางถูกเนรเทศไปเกาะทางใต้และไม่ได้ข่าวอีกเลย
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ของตระกูลซินตอนนี้ไม่ต่างจากตระกูลหลางนัก
ตระกูลซินปกป้องชายแดนตะวันตกมาเนิ่นนานจนได้รับความไว้ใจจากประชาชนทั่วแคว้นต้าเซี่ย ลือกันว่าตระกูลซินเรืองอำนาจยิ่งกว่าจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยเสียอีก
ฮ่องเต้สุนัขจึงฉวยโอกาสที่ทางใต้เกิดภัยแล้ง จัดฉากแล้วส่งองค์ชายเซี่ยอวี้กับองค์หญิงเซี่ยหยู่ออกจากเมืองหลวง
เด็กทั้งสองไม่ต่างจากลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตายจะคายก็รอด ในเมื่อเด็กๆ เป็นจุดอ่อนของตระกูลซิน จักรพรรดิที่หลงใหลในอำนาจจะไม่ใช้พวกเขามาควบคุมตระกูลซินอีกหรือ!?
ผู้คนพูดคุยกันอย่างจอแจ เซี่ยหยู่ฟังคำพูดเหล่านั้นจนกระจ่างถ่องแท้
..
..
เดินทางออกจากเมืองหลวงหลายชั่วยามแล้ว ในที่สุดขบวนรถม้าก็หยุดลงระหว่างทางแยกที่กำลังจะเข้าเมืองหยุนโจว
เส้นทางแยกนั้นมีรถม้าสามคันจอดอยู่
รถม้าหนึ่งคันสำหรับโดยสาร อีกสองคันบรรทุกเสบียงและข้าวของจนเต็มคันรถ
หน้ารถม้าคือชายอายุราวๆ 40 กว่าสองคนยืนรออยู่ คนหนึ่งคือพ่อบ้าน อีกคนคือซินจางสือ ลุงใหญ่ของเด็กทั้งสอง
ซินจางสือเคยเป็นรองแม่ทัพ แต่ราวๆ หกปีก่อน ตอนสู้กับชนเผ่าทะเลทราย เขาถูกยิงเข้าที่หัวเข่า แม้รอดชีวิต ทว่าบาดแผลนั้นทำให้เขาต้องอาศัยไม้เท้าพยุงกายตลอดชีวิตและไม่อาจกลับสู่สนามรบได้อีก
ถึงจะกลายเป็นคนพิการ แต่ซินจางสือกลับยังองอาจสมเป็นบุตรชายคนโตแห่งตระกูลเทพสงคราม
เจ้าอ้วนเซี่ยอวี้เมื่อเห็นท่านลุงก็รีบวิ่งลงจากรถม้า
“ท่านลุง! ท่านลุง!”
ส่วนเซี่ยหยู่ก้าวตามลงจากรถม้าอย่างสุขุม ดวงตาเยาว์วัยเต็มไปด้วยความระแวดระวังขณะเหลือบมองแม่ทัพนำขบวน
“องค์ชายสาม…ไม่สิ ที่นี่ไม่ใช่วังหลวง ไม่มีใครจับตามองพวกเรา งั้นลุงจะเรียกเจ้าว่าเสี่ยวอวี้เหมือนเดิม” เสียงของซินจางสือค่อนข้างนุ่มนวลและใจดีเมื่อคุยกับหลานๆ
เซี่ยอวี้เงยหน้าขึ้น ผงกหัวเหมือนลูกเจี๊ยบที่กำลังจิกข้าวสาร แต่ไม่นาน ปากเล็กๆ ก็เบะทำท่าจะร้องไห้
“ข้าไม่อยากไปเมืองหนานหลิง อยากอยู่กับเสด็จแม่ อยากเจอท่านลุงบ่อยๆ แล้วก็อยากเล่นกับพี่ชายน้องสาวที่จวนเยอะๆ ด้วย” เซี่ยอวี้พูดอย่างไร้เดียงสา ไม่รู้เลยว่าการเดินทางออกเมืองหลวงครั้งนี้จะไม่ได้หวนคืนกลับมาอีก
ซินจางสือได้ยินคำพูดนั้นพลันรู้สึกปวดใจ
ทางด้านพ่อบ้าน ต้องก้มหน้าลงซุกซ่อนดวงตาที่แดงก่ำ
เมื่อเซี่ยอวี้เริ่มสะอื้น ซินจางสือก็รีบปลอบ “อย่าร้อง อย่าร้อง...”
เซี่ยอวี้สูดจมูกแรงๆ ก่อนจะพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “อืม”
“เสี่ยวหยู่ก็ด้วย ไม่ต้องเสียใจหรือกังวลอะไรทั้งนั้น พวกเราตระกูลซินจะหาวิธีช่วยเหลือพวกเจ้าเอง อยู่ทางใต้ พวกเจ้าสองพี่น้องต้องดูแลกันให้ดี” ซินจางสือหันมากำชับหลานสาวด้วยความเป็นห่วง
เซี่ยหยู่หยักหน้าตอบ “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
หือ?
วูบหนึ่ง ดวงตาของซินจางสือฉายแววประหลาดใจ
องค์หญิงน้อยที่เคยเอาแต่ใจและก้าวร้าว เหตุใดวันนี้จึงยอมรับปากง่ายๆ ซ้ำในแววตาของนางยังคล้ายมีความคิดมากมาย
เซี่ยหยู่ไม่อยากให้ท่านลุงสงสัยบุคลิกที่เปลี่ยนไป นางจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
เด็กสาวมองซ้ายขวาท่าทางเหมือนมีความลับ ก่อนจะขยับเข้ามาถามท่านลุงใกล้ๆ
“ท่านลุงเจ้าคะ…ท่านพอจะรู้จักแม่ทัพผู้นำขบวนคนนั้นหรือไม่”
ซินจางสือเหลือบตามองชายหนุ่มในชุดแม่ทัพ ก่อนตอบเสียงขรึม
“เขาชื่อไป๋มู่อวิ๋น บุตรชายคนโตของตระกูลไป๋ บิดาเขาคือแม่ทัพไป๋เจี้ยฝู รักษาการณ์ที่เมืองหลวง ไม่นานมานี้ไป๋เจี้ยฝูเกือบถูกถอดออกจากตำแหน่งเพราะพูดบางอย่างที่ทำให้อัครเสนบดีเผิงไม่พอใจ แต่ไม่รู้เป็นมายังไง อัครเสนบดีเผิง กลับเปลี่ยนใจ เสนอให้ไป๋มู่อวิ๋นมารับตำแหน่งแม่ทัพชายแดนใต้ เมืองที่พวกเจ้ากำลังจะไปนั่นแหละ เพราะอย่างนั้น เขาจึงรับหน้าที่คุ้มกันขบวนครั้งนี้”
อัครเสนาบดีเผิงเป็นบิดาของฮองเฮา เส้นใหญ่ถึงขนาดสามารถปลดคนผู้หนึ่งออกจากตำแหน่งได้ ช่างน่ากลัวเสียจริง!
“อ้อ…” ซินจางสือส่งเสียงราวกับนึกบางอย่างออก “ไป๋เจี้ยฝูยังมีบุตรชายอีกคน บุตรคนเล็กอายุ 14 แต่สติปัญญาไม่ดีเท่าพี่ชาย ไป๋เจี้ยฝูไม่มีภรรยารอง ทั้งบ้านเลยมีกันแค่สองพี่น้อง หากไป๋มู่อวิ๋นเป็นอะไรไป ตระกูลไป๋ก็จบสิ้นแล้ว”
เซี่ยหยู่ “…”
ตระกูลไป๋ช่างน่าสงสาร ยังไม่ทันได้เกิดก็ถูกอัครเสนาบดีเผิงคุมกำเนิดซะแล้ว
แม้ไม่รู้ว่าไป๋เจี้ยฝูพูดอะไรถึงได้ไปสะกิดต่อมประสาทของอัครเสนาบดีเผิง แต่เรื่องเหล่านั้นก็ไม่ได้เกี่ยวกับเซี่ยหยู่ ในเมื่อต้าเซี่ยมีฮ่องเต้กับขุนนางขยะ ไม่เกิน 10 ปี ราชวงศ์นี้คงล่มสลายแน่ๆ!
หลังสนทนากันจบ ซินจางสือก็ร่ำลาหลานทั้งสองด้วยความอาวรณ์
เมื่อรู้ว่าต้องจากลากันจริงๆ แล้ว เซี่ยอวี้ก็กลับมาสะอื้นฮักๆ อีกครั้ง น้ำตาเม็ดโตไหลรินเต็มสองแก้มยุ้ยๆ
“ท่านลุง…ข้า…ข้าไม่อยากไปเลย” เซี่ยอวี้กอดซินจางสือด้วยท่าทางงอแง
ความไร้เดียงสาของเด็กชายเสมือนคมมีดกรีดกลางใจของซินจางสือ เขานิ่งค้างหลายอึดใจ ก่อนจะช่วยเช็ดน้ำตาบนแก้มหลานชาย
“เจ้าตัวเล็ก ลุงบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ตระกูลซินไม่มีทางทอดทิ้งพวกเจ้า พวกเราจะต้องหาวิธีพาพวกเจ้ากลับมาให้ได้”
“จริงนะ”
“ลุงจะโกหกเจ้าทำไม”
เจ้าตัวน้อยโบกมือลาท่านลุง ก่อนจะก้าวสั้นๆ พร้อมกับทำท่าคอตกกลับไปยังรถม้า
ทางด้านเซี่ยหยู่ พอกลับมาที่รถม้าของตัวเอง นางแกล้งค้นหาบางอย่างในห่อผ้า จริงๆ แอบหยิบเจลประคบตาออกมาจากมิติ ก่อนจะให้ลี่ถิงนำไปส่งให้กับองค์ชายน้อย
“บอกเขาว่าข้าทนเห็นตาหมีแพนด้าของเขาไม่ได้ สิ่งนี้ใช้ประคบตา…ทำแบบนี้นะ” นางบอกพร้อมทำท่าให้ดูเป็นตัวอย่าง
ลี่ถิงพยักหน้าตอบ “เพคะ”
บทที่ 28เยว่หลิวเซิงเจอทางตัน!? ย้อนกลับมาบนเส้นทางอพยพ ชาวบ้านกลุ่มใหญ่หลายร้อยชีวิตทยอยเดินลงจากเขา สภาพแต่ละคนล้วนอิดโรย เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดินและเหงื่อไคล ทว่าพวกเขากลับเดินเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ ไม่สับสนวุ่นวาย ถึงเสื้อผ้าของพวกเขาจะมีการปะชุนซ้ำๆ แต่ก็ดูดีกว่ากลุ่มผู้ลี้ภัยกลุ่มอื่นๆ เด็กเล็ก สตรี และคนชราต่างได้รับการคุ้มครองจากชายฉกรรจ์ในกลุ่ม ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แม้ตำแหน่งผู้นำหมู่บ้านจะเป็นชายสูงวัยแซ่ลู่ที่อายุเกือบห้าสิบปี ทว่าผู้นำการเดินทางกลับเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบ เห็นอายุน้อยเช่นนี้ แต่ประสบการณ์การเอาตัวรอดกลับสูงลิ่ว บนหลังของชายหนุ่มคนนี้ยังแบกทารกแฝดชายหญิงไว้ในตะกร้า ส่วนด้านหน้าอุ้มเป้เก่าๆ ใบหนึ่ง ในมือของเขาถืออุปกรณ์ทรงกระบอกยาว เรียกว่า “กล้องส่องทางไกล” ทันทีที่เดินลงจากเขา ชายหนุ่มยกกล้องส่องทางไกลขึ้นส่องดูทิศทาง และสิ่งที่เห็นเบื้องหน้า ทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น หน้าประตูเมืองซีหนานเต็มไปด้วยร่างไร้วิญญ
บทที่ 27แผนการอันชั่วร้าย (สอง) ยิ่งครุ่นคิดถึงเรื่องซวยสารพัดที่ประสบพบเจอในช่วงนี้ ความโกรธแค้นของเสนาบดีเผิงก็ยิ่งทวีคูณ ถ้าไม่ใช่เพื่อทำลายเสบียงของขบวนองค์ชายสาม ก็คงไม่ส่งเผิงอู๋ไปร่วมมือกับพวกโจรป่า และลูกชายคนรองของเขาก็คงไม่ต้องตาย เคราะห์กรรมครั้งนี้ พูดไปแล้วเป็นความผิดของเผิงซวนทั้งนั้น แต่คนชั่วเห็นแก่ตัวไหนเลยจะยอมรับผิด เขาโยนความผิดทั้งหมดไปที่ไป๋มู่อวิ๋น พอสรุปออกมาแบบนั้น เผิงซวนก็รีบวิ่งโร่มาทูลฟ้องต่อฮ่องเต้ “ฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงโปรดทวงความเป็นธรรมให้ลูกชายของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” ฮ่องเต้ทรงเลิกพระขนงเล็กน้อย “ทวงความเป็นธรรม? หมายความว่าอย่างไร” “ไป๋มู่อวิ๋น…เขาฆ่าลูกชายของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ!” ถ้อยคำนั้นทำให้ฮ่องเต้ถึงกับขมวดพระขนงแน่น ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ทราบเพียงว่าบุตรชายคนรองของอัครเสนาบดีเผิงถูกพบเป็นศพกลางป่า ร่องรอยบ่งชี้ว่าถูกหมาป่ากัดแทะจนตาย แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับไป๋มู่อวิ๋น? เผิงซวนเห็นคว
บทที่ 26แผนการอันชั่วร้าย (หนึ่ง) เวลานี้ ประตูเมืองซีหนานปิดเงียบ จากข่าวลือที่แพร่สะพัดออกไป ทำให้ไม่มีขบวนผู้อพยพสักกลุ่มกล้าเข้าใกล้ประตูเมืองอีกเลย ณ จวนแม่ทัพซีหนาน นายทหารคนหนึ่งรีบเร่งเข้ามารายงาน “ท่านแม่ทัพ! หน่วยสอดแนมแจ้งมาว่ามีขบวนรถม้ากลุ่มใหญ่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาในเขตเมืองซีหนานขอรับ!” ชายสวมเกราะเหล็ก อายุราวสามสิบปลายๆ ยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มเย็นเยียบ “ขบวนรถม้ากลุ่มใหญ่อย่างนั้นรึ...ก็คงเป็นขบวนรถม้าขององค์ชายสาม?” นายทหารผู้รายงานรีบพยักหน้ารับ “แม้ผู้ติดตามจะไม่ได้สวมเกราะทหาร แต่จากท่วงท่าและอาวุธที่พก มองแวบเดียวก็รู้เลยขอรับว่าพวกเขาเป็นทหารแน่นอน” ได้ยินเช่นนั้น แม่ทัพแซ่เสวี่ยหัวเราะในลำคอเบาๆ “น่าชื่นชม ทั้งที่ข่าวลือหน้าประตูซีหนานแพร่สะพัดไปทั่วกลุ่มผู้อพยพ แต่ขบวนม้าขององค์ชายยังกล้าเลือกผ่านเส้นทางนี้...” “คงเพราะแม่ทัพไป๋ ผู้คุ้มกันขบวนรถม้า มั่นใจในฝีมือตนเองนักกระมัง ว่าสามารถปกป้ององค์ชายสามแ
บทที่ 25กวาดล้างผู้อพยพ “จะตามไปเก็บหรือไม่เจ้าคะ” ลี่ถิงถามอย่างไม่เข้าใจ จิ้งอี๋เพียงส่ายหน้า “เสียเวลา พวกเราไปกันเถอะ” เป้าหมายของการเดินทางคือมุ่งหน้าไปยังเมืองหลิงหนาน ระหว่างการเดินทางบนเส้นทางอพยพ ความแร้นแค้นได้เปลี่ยนชาวบ้านให้กลายเป็นโจรเร่ร่อน หลายครั้งพวกเขาเห็นคนที่เคยเป็นชาวนาต้องหันมาปล้นและแย่งชิงอาหารกันเอง องค์หญิงเซี่ยหยู่ทำได้เพียงแค่เข้าไปสั่งสอนเท่านั้น ครั้นจะให้ตามจับส่งทางการทุกคนย่อมเป็นไปไม่ได้ พวกเขาไม่มีเวลามากพอสำหรับเรื่องนั้น เมื่อมาถึงที่พัก ทั้งสองนำซากหมาป่ามอบแก่กลุ่มผู้อพยพให้แบ่งกันทำอาหาร พร้อมบอกว่าในป่ายังเหลืออีกสี่ตัว ทุกคนต่างแสดงความยินดี ได้ทั้งเนื้อได้ทั้งหนังไว้ใช้ ชายชราคนหนึ่งที่เหมือนจะเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน กล่าวขอบคุณแทนชาวบ้านทุกคน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยสีหน้ากังวล “แม่นาง ข้าเห็นขบวนรถม้าของพวกเจ้ากำลังเดินทางสวนกับผู้อพยพ...พวกเจ้าจะเดินทางไปเมืองซีหนานกันหรือ?” “พวกเราไม่ได้จะไปเมืองซีหน
บทที่ 24หนีหมาป่า ปะทะ โจรเร่ร่อน กลางดึกสงัดคืนหนึ่ง ภายในกระโจมของเหล่าหญิงสาว ลี่ถิงสะลึมสะลือลุกขึ้นนั่ง หลังจากกะพริบตาถี่ๆ เพื่อเรียกสติอยู่ครู่หนึ่ง นางก็หันไปสะกิดจิ้งอี๋เบาๆ “อะไรหรือ” “ข้าอยากเข้าห้องน้ำ…” ยิ่งใกล้จะถึงเมืองหลิงหนานเท่าไร อากาศก็ยิ่งร้อน ลี่ถิงจึงดื่มน้ำเยอะ ตอนนี้ก็เหมือนจะกลั้นไม่อยู่แล้ว แน่นอน บนเส้นทางอพยพเช่นนี้ ‘ห้องน้ำ’ ที่ว่าก็คือป่าข้างทาง “พี่สาวจิ้งอี๋ พาข้าไปห้องน้ำทีนะ” ลี่ถิงบอกพลางยิ้มเขิน จิ้งอี๋เห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ จึงขานรับสั้นๆ “ได้สิ” จากนั้นหญิงสาวทั้งสองก็ลุกออกจากกระโจม เมื่อเดินออกมาไกลพอสมควร ลี่ถิงก็เดินลับเข้าไปในป่าเพื่อทำธุระส่วนตัวอย่างไม่รอช้า พอจัดเสื้อผ้าเรียบร้อย ลี่ถิงก็ก้าวออกจากป่าด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ท่ามกลางความมืดของราตรี จู่ๆ ลี่ถิงพลันรู้สึกเย็นที่สันหลังวาบ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก ครั้นหันไปมองต้นตอขอ
บทที่ 23 เซี่ยอวี้จัดการเอง! “เดี๋ยวก่อน!” เสียงเซี่ยอวี้ดังขึ้น ก่อนที่เขาจะประคองกระบอกน้ำด้วยสองมือแล้วส่งให้กับพี่สาว เซี่ยหยู่เห็นความโอบอ้อมอารีของน้องชาย อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปขยี้หัวเล็กๆ ของเจ้าตัวจิ๋วแรงๆ ด้วยความเอ็นดู เมื่อรับกระบอกน้ำมา เซี่ยหยู่ก็แอบใส่น้ำพุวิญญาณลงไปเล็กน้อยระหว่างที่ก้าวตรงไปหาเด็กที่นอนหมดสติ หวังต้าเจิงที่เฝ้าดูอาการของเด็กชาย ครั้นเห็นองค์หญิงตรงมาทางนี้ก็รีบโค้งคำนับแล้วบอกว่า “กระหม่อมให้ยาลดไข้เด็กคนนี้แล้ว เหลือแค่รอดูอาการพ่ะย่ะค่ะ” “อืม” เซี่ยหยู่ตอบหวังต้าเจิงสั้นๆ จากนั้นก็ยื่นกระบอกน้ำให้หญิงหม้ายที่นั่งกอดลูกชายพร้อมกับร่ำไห้ “ให้ลูกของเจ้าดื่มน้ำนี้เถอะ จะช่วยให้สดชื่นขึ้น” “ขะ…ขอบคุณเจ้าค่ะ คุณหนู” หญิงหม้ายรับกระบอกน้ำมา จากนั้นก็ก้มกราบจนหน้าผากติดพื้น ก่อนประคองลูกชายให้ขึ้นมาจิบน้ำอย่างช้าๆ แม้ยังหมดสติ แต่สัญชาตญาณเอาตัวรอดทำให้เด็กน้อยค่อยๆ ขยับริมฝีปาก ดื่มน้ำเข้าไปทีละน้อย ไม่นานจา