บทที่ 5
เตรียมพร้อม
ณ เวลานั้น
ภายในตำหนักของหวงกุ้ยเฟย สตรีงดงามวัยสามสิบกว่าๆ ผู้หนึ่งยืนมองท้องฟ้าด้วยความเงียบสงบ แววตาว่างเปล่า ข้างกายของนางคือขันทีหลิ่วกับนางกำนัลแซ่เหอ ทั้งสองคนเป็นคนสนิทของหวงกุ้ยเฟย
มือขาวซีดของหวงกุ้ยเฟยถือลูกบอลผ้าประดับด้วยกระพรวนเล็กๆ กับตุ๊กตาผ้าเก่าๆ ที่ถูกซ่อมแซมหลายจุด สองสิ่งนี้เป็นของที่ลูกๆ ของนางเคยเล่นและติดมันมาก ตอนที่รีบเร่งเก็บของให้กับองค์หญิงเซี่ยหยู่ เอาไว้เป็นต้นทุนในการเดินทาง ครั้นพอเปิดกล่องสมบัติเล็กๆ ของเด็กทั้งสอง หวงกุ้ยเฟยกลับไม่อาจตัดใจนำของทั้งสองชิ้นนี้ใส่ลงไปในห่อผ้าได้
ก่อนที่จะมีราชโองการส่งเซี่ยหยู่กับเซี่ยอวี้ออกจากวัง หวงกุ้ยเฟยก็ถูกขังให้อยู่แค่ในตำหนักแล้ว จึงไม่รู้ถึงแผนชั่วๆ นี้เลย คิดเพียงว่าตนคงทำเรื่องไม่ถูกใจฮ่องเต้
หากทว่า...หลังจากที่ทราบข่าวราชโองการ หวงกุ้ยเฟยก็ร้อนรนหนัก พยายามออกตำหนักเพื่อขอความเมตตาจากฮ่องเต้ แต่ตำหนักนี้ถูกควบคุมอย่างแน่นหนา ไม่อาจออกไปได้จริงๆ
คิดพลางน้ำตาหยดหนึ่งก็ร่วงลงบนแก้มเนียน
องค์หญิงเซี่ยหยู่เพิ่งพ้นวัยปักปิ่น ส่วนองค์ชายน้อยอายุเพียง 5 ขวบ ยังร้องให้แม่นมจื่อฮวาคอยกล่อมทุกคืนอยู่เลย แล้วเด็กทั้งสองจะทนความทุกข์อยู่ในดินแดนที่ไร้ญาติขาดมิตรแบบนั้นได้อย่างไร
ไม่ต้องพูดถึงเลย ทางใต้ตอนนี้ประสบภัยแล้ง ขาดแคลนน้ำและอาหารอย่างหนักจนต้องกินกันเอง หากลูกๆ ของนางถูกชาวบ้านหิวโหยพวกนั้นจับไปละก็...
หวงกุ้ยเฟยไม่กล้าคิดต่อ ความวิตกกังวลต่างๆ นานาผุดขึ้นเต็มอก อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาอีกครั้ง หากแต่การร้องไห้ของนางกลับไร้เสียงสะอื้น ไร้การคร่ำครวญ มีเพียงความเจ็บปวดที่อยู่ในอก
“ฝ่าบาท...ความหวาดระแวงของพระองค์เกินทางเยียวยาแล้วหรือ?”
น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย ยิ่งนึกถึงราชโองการที่ฮ่องเต้ส่งเด็กทั้งสองไปทางใต้ที่กำลังประสบภัยแล้งความหม่นหมองในนัยน์ตากลับถูกความแข็งกร้าวเข้าแทนที่
ไม่ได้ เศร้าโศกเช่นนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไร
คาดหวังจากฮ่องเต้...ยิ่งเป็นไปไม่ได้
ในฐานะแม่ นางต้องเข้มแข็งและหาวิธีปกป้องลูกน้อยทั้งสอง
คิดจบ หวงกุ้ยเฟยหันไปหาขันทีหลิ่ว
“ส่งข่าวถึงท่านโหว จัดหาคนคุ้มกันองค์ชายกับองค์หญิงอย่างลับๆ”
“รับทราบพ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินว่าบุตรชายคนโตของตระกูลไป๋ถูกแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพคุ้มกันขบวนรถม้า แต่ในยามนี้ ไม่ว่าใครก็อาจลงมือลอบสังหารเด็กทั้งสองได้ ฉะนั้นคนที่หวงกุ้ยเฟยไว้ใจจึงมีเพียงทหารของตระกูลซินเท่านั้น
หวงกุ้ยเฟยหลับตาลง และเมื่อเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง ความเจ็บปวดบนใบหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชา คราวนี้ไม่มีน้ำตาแล้ว มีเพียงความนิ่งสงบที่น่าเกรงขาม
..
..
รถม้าสั่นสะเทือนไปตลอดทาง โชคดีที่เซี่ยหยู่เตรียมเบาะหนานุ่มมาปูนั่ง ก้นน้อยๆ จึงไม่ระบม แต่สมองและเครื่องในเหมือนถูกเขย่าให้มากองรวมกัน
เซี่ยหยู่นั่งเท้าคางมองลี่ถิงที่หลับสนิทไปแล้ว และอดชื่นชมในความสามารถของอีกฝ่ายที่หลับในสภาพแวดล้อมแบบนี้ได้
แต่... ลี่ถิงหลับแล้วก็ดี นางจะได้เข้าไปในมิติอย่างสะดวก
คิดจบ เซี่ยหยู่กำหนดความคิด พริบตาสั้นๆ นางพลันหายวับเข้ามาในมิติ
เซี่ยหยู่วิ่งไปดูโกดังเก็บของเป็นอย่างแรก หีบเงินมากมายตั้งเรียงรายเป็นแถว ของที่กวาดมาเมื่อคืนถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ ไม่เกลื่อนกลาด นับถือการจัดระเบียบของมิติจริงๆ
เพียงเห็นก้อนเงินขาวๆ กับทองคำที่ส่องประกายแวววาว หัวใจของนางก็พลันเบิกบาน รู้สึกว่าตนเป็นคนมั่งคั่งขึ้นมาทันที!
เซี่ยหยู่อารมณ์ดีอย่างมาก กระโดดตัวลอยไปยังหอคอยสูง
ตอนนี้ชั้น 2 กับชั้น 3 ปลดล็อคแล้ว
เซี่ยหยู่ก้าวเข้ามาในชั้น 2 ทันทีที่เห็นภาพตรงหน้า นางถึงกับกลั้นยิ้มไม่อยู่
ศูนย์การค้าในมิติสวรรค์ไม่ได้มีเพียงของใช้ทั่วไป แต่กลับเต็มไปด้วยยานพาหนะและอาวุธสมัยใหม่ มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า รถยนต์ รถบรรทุก ปืนพก ปืนไรเฟิล ระเบิด มีดพก ธนูเหล็กพับได้ กระบองไฟฟ้า…ทุกอย่างจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ แถมมีราคาบอกไว้ชัดเจน
ของใช้เล็กน้อยอย่างไฟฉายหรือมีดพับราคาไม่ถึง 10 ตำลึง อาวุธสมัยใหม่อย่างปืนพกพร้อมแม็กกาซีนราคาราวๆ 1,000 ตำลึง ส่วนรถยนต์หรือรถบรรทุกนั้นถือว่าแพงลิบ ราคาหมื่นตำลึงขึ้นไป!
เซี่ยหยู่ใช้เงินตำลึงที่กวาดมาจากคลังหลวงซื้อกล้องส่องทางไกล ไฟฉายกับแบตเตอรี่สำรอง สเปร์ยพริกไทย กระบองไฟฟ้าพับได้ มีดพับน้ำหนักเบา หน้าไม้พับได้ขนาดพกพาและชุดปฐมพยาบาล
ใจจริงอยากซื้อปืนพกด้วย แต่เดี๋ยวคนยุคนี้จะตกใจ
เสร็จสิ้นภารกิจที่ชั้น 2 เซี่ยหยู่ก็กดลิฟต์ขึ้นสู่ชั้น 3
เพียงก้าวเข้ามาในห้อง ตำรานับไม่ถ้วนก็ลอยมาอยู่ตรงหน้า ความรู้สมุนไพร การรักษา การแพทย์โบราณและสมัยใหม่ก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวเพียงพริบตา
ในชาติก่อน เซี่ยหยู่เป็นเพียงพนักงานบริษัทตัวเล็กๆ ใช้ชีวิตธรรมดา พอถึงวันหยุดยาวก็จะกลับบ้านนอกมาเยี่ยมคุณตาและช่วยท่านทำไร่ทำนา
เพราะเติบโตมากับคุณตาเพียงลำพัง ในบ้านไม่มีผู้ชายให้พึ่งพา คุณตาที่ให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองส่งเซี่ยหยู่ไปเรียนศิลปะการป้องกันตัว เซี่ยหยู่ยังเข้าเรียนหลักสูตรปฐมพยาบาลขั้นสูงและการช่วยชีวิต เธอใช้ความรู้เหล่านั้นดูแลคุณตาอยู่ประมาณ 2 ปี ก่อนที่ท่านจะจากไปอย่างสงบ
หลังจากเตรียมของไว้เผื่อเจอเหตุการณ์ฉุกเฉินเรียบร้อย ก่อนออกจากมิติ เซี่ยหยู่แวะมาที่ห้องส่วนตัว ห้องนี้กว้างราว 50 ตารางเมตร ในห้องมีเครื่องใช้ไฟฟ้าครบครัน และมีห้องน้ำในตัว
อยู่ในยุคโบราณ เดินทางด้วยรถม้า จะแวะอาบน้ำข้างทางย่อมไม่สะดวก ดังนั้นเธอจึงอาบน้ำสระผม เป่าผมจนแห้งแล้ว เซี่ยหยู่กลับมาสวมชุดเดิม แต่รองเท้า เธอเปลี่ยนจากรองเท้าผ้าปักมาสวมรองเท้าผ้าใบเพื่อจะได้เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งยังหยิบช็อกโกแลตแท่งหนึ่งใส่ปาก ความหวานจากช็อกโกแลตทำให้แรงกายแรงใจฟื้นฟูเต็มที่
เมื่อออกมาจากมิติกลับสู่ความเป็นจริง รถม้ายังคงสั่นสะเทือนบนทางขรุขระต่อไป เซี่ยหยู่รู้สึกเหมือนลำไส้กำลังถูกเขย่าและเกือบจะขย้อยของเหลวในท้องออกมาอยู่แล้ว!
บทที่ 28เยว่หลิวเซิงเจอทางตัน!? ย้อนกลับมาบนเส้นทางอพยพ ชาวบ้านกลุ่มใหญ่หลายร้อยชีวิตทยอยเดินลงจากเขา สภาพแต่ละคนล้วนอิดโรย เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดินและเหงื่อไคล ทว่าพวกเขากลับเดินเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ ไม่สับสนวุ่นวาย ถึงเสื้อผ้าของพวกเขาจะมีการปะชุนซ้ำๆ แต่ก็ดูดีกว่ากลุ่มผู้ลี้ภัยกลุ่มอื่นๆ เด็กเล็ก สตรี และคนชราต่างได้รับการคุ้มครองจากชายฉกรรจ์ในกลุ่ม ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แม้ตำแหน่งผู้นำหมู่บ้านจะเป็นชายสูงวัยแซ่ลู่ที่อายุเกือบห้าสิบปี ทว่าผู้นำการเดินทางกลับเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบ เห็นอายุน้อยเช่นนี้ แต่ประสบการณ์การเอาตัวรอดกลับสูงลิ่ว บนหลังของชายหนุ่มคนนี้ยังแบกทารกแฝดชายหญิงไว้ในตะกร้า ส่วนด้านหน้าอุ้มเป้เก่าๆ ใบหนึ่ง ในมือของเขาถืออุปกรณ์ทรงกระบอกยาว เรียกว่า “กล้องส่องทางไกล” ทันทีที่เดินลงจากเขา ชายหนุ่มยกกล้องส่องทางไกลขึ้นส่องดูทิศทาง และสิ่งที่เห็นเบื้องหน้า ทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น หน้าประตูเมืองซีหนานเต็มไปด้วยร่างไร้วิญญ
บทที่ 27แผนการอันชั่วร้าย (สอง) ยิ่งครุ่นคิดถึงเรื่องซวยสารพัดที่ประสบพบเจอในช่วงนี้ ความโกรธแค้นของเสนาบดีเผิงก็ยิ่งทวีคูณ ถ้าไม่ใช่เพื่อทำลายเสบียงของขบวนองค์ชายสาม ก็คงไม่ส่งเผิงอู๋ไปร่วมมือกับพวกโจรป่า และลูกชายคนรองของเขาก็คงไม่ต้องตาย เคราะห์กรรมครั้งนี้ พูดไปแล้วเป็นความผิดของเผิงซวนทั้งนั้น แต่คนชั่วเห็นแก่ตัวไหนเลยจะยอมรับผิด เขาโยนความผิดทั้งหมดไปที่ไป๋มู่อวิ๋น พอสรุปออกมาแบบนั้น เผิงซวนก็รีบวิ่งโร่มาทูลฟ้องต่อฮ่องเต้ “ฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงโปรดทวงความเป็นธรรมให้ลูกชายของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” ฮ่องเต้ทรงเลิกพระขนงเล็กน้อย “ทวงความเป็นธรรม? หมายความว่าอย่างไร” “ไป๋มู่อวิ๋น…เขาฆ่าลูกชายของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ!” ถ้อยคำนั้นทำให้ฮ่องเต้ถึงกับขมวดพระขนงแน่น ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ทราบเพียงว่าบุตรชายคนรองของอัครเสนาบดีเผิงถูกพบเป็นศพกลางป่า ร่องรอยบ่งชี้ว่าถูกหมาป่ากัดแทะจนตาย แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับไป๋มู่อวิ๋น? เผิงซวนเห็นคว
บทที่ 26แผนการอันชั่วร้าย (หนึ่ง) เวลานี้ ประตูเมืองซีหนานปิดเงียบ จากข่าวลือที่แพร่สะพัดออกไป ทำให้ไม่มีขบวนผู้อพยพสักกลุ่มกล้าเข้าใกล้ประตูเมืองอีกเลย ณ จวนแม่ทัพซีหนาน นายทหารคนหนึ่งรีบเร่งเข้ามารายงาน “ท่านแม่ทัพ! หน่วยสอดแนมแจ้งมาว่ามีขบวนรถม้ากลุ่มใหญ่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาในเขตเมืองซีหนานขอรับ!” ชายสวมเกราะเหล็ก อายุราวสามสิบปลายๆ ยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มเย็นเยียบ “ขบวนรถม้ากลุ่มใหญ่อย่างนั้นรึ...ก็คงเป็นขบวนรถม้าขององค์ชายสาม?” นายทหารผู้รายงานรีบพยักหน้ารับ “แม้ผู้ติดตามจะไม่ได้สวมเกราะทหาร แต่จากท่วงท่าและอาวุธที่พก มองแวบเดียวก็รู้เลยขอรับว่าพวกเขาเป็นทหารแน่นอน” ได้ยินเช่นนั้น แม่ทัพแซ่เสวี่ยหัวเราะในลำคอเบาๆ “น่าชื่นชม ทั้งที่ข่าวลือหน้าประตูซีหนานแพร่สะพัดไปทั่วกลุ่มผู้อพยพ แต่ขบวนม้าขององค์ชายยังกล้าเลือกผ่านเส้นทางนี้...” “คงเพราะแม่ทัพไป๋ ผู้คุ้มกันขบวนรถม้า มั่นใจในฝีมือตนเองนักกระมัง ว่าสามารถปกป้ององค์ชายสามแ
บทที่ 25กวาดล้างผู้อพยพ “จะตามไปเก็บหรือไม่เจ้าคะ” ลี่ถิงถามอย่างไม่เข้าใจ จิ้งอี๋เพียงส่ายหน้า “เสียเวลา พวกเราไปกันเถอะ” เป้าหมายของการเดินทางคือมุ่งหน้าไปยังเมืองหลิงหนาน ระหว่างการเดินทางบนเส้นทางอพยพ ความแร้นแค้นได้เปลี่ยนชาวบ้านให้กลายเป็นโจรเร่ร่อน หลายครั้งพวกเขาเห็นคนที่เคยเป็นชาวนาต้องหันมาปล้นและแย่งชิงอาหารกันเอง องค์หญิงเซี่ยหยู่ทำได้เพียงแค่เข้าไปสั่งสอนเท่านั้น ครั้นจะให้ตามจับส่งทางการทุกคนย่อมเป็นไปไม่ได้ พวกเขาไม่มีเวลามากพอสำหรับเรื่องนั้น เมื่อมาถึงที่พัก ทั้งสองนำซากหมาป่ามอบแก่กลุ่มผู้อพยพให้แบ่งกันทำอาหาร พร้อมบอกว่าในป่ายังเหลืออีกสี่ตัว ทุกคนต่างแสดงความยินดี ได้ทั้งเนื้อได้ทั้งหนังไว้ใช้ ชายชราคนหนึ่งที่เหมือนจะเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน กล่าวขอบคุณแทนชาวบ้านทุกคน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยสีหน้ากังวล “แม่นาง ข้าเห็นขบวนรถม้าของพวกเจ้ากำลังเดินทางสวนกับผู้อพยพ...พวกเจ้าจะเดินทางไปเมืองซีหนานกันหรือ?” “พวกเราไม่ได้จะไปเมืองซีหน
บทที่ 24หนีหมาป่า ปะทะ โจรเร่ร่อน กลางดึกสงัดคืนหนึ่ง ภายในกระโจมของเหล่าหญิงสาว ลี่ถิงสะลึมสะลือลุกขึ้นนั่ง หลังจากกะพริบตาถี่ๆ เพื่อเรียกสติอยู่ครู่หนึ่ง นางก็หันไปสะกิดจิ้งอี๋เบาๆ “อะไรหรือ” “ข้าอยากเข้าห้องน้ำ…” ยิ่งใกล้จะถึงเมืองหลิงหนานเท่าไร อากาศก็ยิ่งร้อน ลี่ถิงจึงดื่มน้ำเยอะ ตอนนี้ก็เหมือนจะกลั้นไม่อยู่แล้ว แน่นอน บนเส้นทางอพยพเช่นนี้ ‘ห้องน้ำ’ ที่ว่าก็คือป่าข้างทาง “พี่สาวจิ้งอี๋ พาข้าไปห้องน้ำทีนะ” ลี่ถิงบอกพลางยิ้มเขิน จิ้งอี๋เห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ จึงขานรับสั้นๆ “ได้สิ” จากนั้นหญิงสาวทั้งสองก็ลุกออกจากกระโจม เมื่อเดินออกมาไกลพอสมควร ลี่ถิงก็เดินลับเข้าไปในป่าเพื่อทำธุระส่วนตัวอย่างไม่รอช้า พอจัดเสื้อผ้าเรียบร้อย ลี่ถิงก็ก้าวออกจากป่าด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ท่ามกลางความมืดของราตรี จู่ๆ ลี่ถิงพลันรู้สึกเย็นที่สันหลังวาบ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก ครั้นหันไปมองต้นตอขอ
บทที่ 23 เซี่ยอวี้จัดการเอง! “เดี๋ยวก่อน!” เสียงเซี่ยอวี้ดังขึ้น ก่อนที่เขาจะประคองกระบอกน้ำด้วยสองมือแล้วส่งให้กับพี่สาว เซี่ยหยู่เห็นความโอบอ้อมอารีของน้องชาย อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปขยี้หัวเล็กๆ ของเจ้าตัวจิ๋วแรงๆ ด้วยความเอ็นดู เมื่อรับกระบอกน้ำมา เซี่ยหยู่ก็แอบใส่น้ำพุวิญญาณลงไปเล็กน้อยระหว่างที่ก้าวตรงไปหาเด็กที่นอนหมดสติ หวังต้าเจิงที่เฝ้าดูอาการของเด็กชาย ครั้นเห็นองค์หญิงตรงมาทางนี้ก็รีบโค้งคำนับแล้วบอกว่า “กระหม่อมให้ยาลดไข้เด็กคนนี้แล้ว เหลือแค่รอดูอาการพ่ะย่ะค่ะ” “อืม” เซี่ยหยู่ตอบหวังต้าเจิงสั้นๆ จากนั้นก็ยื่นกระบอกน้ำให้หญิงหม้ายที่นั่งกอดลูกชายพร้อมกับร่ำไห้ “ให้ลูกของเจ้าดื่มน้ำนี้เถอะ จะช่วยให้สดชื่นขึ้น” “ขะ…ขอบคุณเจ้าค่ะ คุณหนู” หญิงหม้ายรับกระบอกน้ำมา จากนั้นก็ก้มกราบจนหน้าผากติดพื้น ก่อนประคองลูกชายให้ขึ้นมาจิบน้ำอย่างช้าๆ แม้ยังหมดสติ แต่สัญชาตญาณเอาตัวรอดทำให้เด็กน้อยค่อยๆ ขยับริมฝีปาก ดื่มน้ำเข้าไปทีละน้อย ไม่นานจา