บทที่ 6
เซี่ยอวี้หาพรรคพวก
วันแรกของการเดินทางค่อนข้างราบรื่น
ขบวนรถม้าเคลื่อนตัวไปอย่างเงียบๆ ไม่มีเหตุร้ายหรือเรื่องไม่คาดฝัน อาหารการกินยิ่งไม่ได้ลำบาก อาจเพราะเมืองหยุนโจวอยู่ใกล้กับเมืองหลวง ไม่ได้ประสบภัยแล้ง เป็นเมืองค่อนข้างเจริญ ระหว่างขบวนเคลื่อนผ่าน เซี่ยหยู่เห็นชาวบ้านประปราย และทุ่งนาสีเขียวขจีเรียงรายตามสองข้างทาง เป็นทิวทัศน์ที่งดงามไม่เลว
เหล่าทหารที่คุ้มกันขบวนก็เดินแถวอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีใครเอ่ยวาจาล่วงเกินเซี่ยหยู่หรือเซี่ยอวี้ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบเรียบ
ช่วงพักแรมในคืนนั้น เซี่ยหยู่หยิบกระบองไฟฟ้าแบบพกพาให้กับแม่นมจื่อฮวาและลี่ถิง พร้อมสอนวิธีใช้งานแบบง่ายๆ
กระบองไฟฟ้าดูเหมือนท่อนไม้สีดำธรรมดาจึงไม่มีใครสงสัย
และแน่นอน คนยุคโบราณไม่รู้จักคำว่า ‘ไฟฟ้า’ แต่ก็เข้าใจหลักการใช้งานง่ายๆ ต้องกดสวิตซ์ตรงไหนแล้วฟาดออกไปอย่างไร สอนครั้งเดียวพวกเขาก็ทำเป็นทันที
หลังจากได้รับกระบองไฟฟ้าไป ทั้งสองคนก็ฝึกใช้งานจนคล่องแคล่ว ก่อนจะเก็บใส่แขนเสื้อด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ขอบพระทัยเพคะองค์หญิง”
“ขอบพระทัยเพคะ”
ลี่ถิงกับแม่นมจื่อฮวากล่าวขอบคุณด้วยสีหน้าครึ้มใจ ยกเว้นก็แต่คนหนึ่งที่มองเซี่ยหยู่ด้วยสายตาไม่สบอารมณ์
“ไม่พอใจอะไร?” เซี่ยหยู่ถามเจ้าตัวเล็กที่มองค้อนใส่นางขวับๆ
“ส่วนของข้าไม่มีหรือ?” เซี่ยอวี้ถามอย่างไม่พอใจ
นางดีดหน้าผากเจ้าตัวเล็กไปทีหนึ่งแล้วบอก “นั่นไม่ใช่ของเล่น มันอันตราย ให้แม่นมจื่อฮวาใช้ปกป้องเจ้าก็พอแล้ว”
เซี่ยอวี้กุมหน้าผากตรงที่ถูกดีด แยกเขี้ยวเล็กๆ ใส่เซี่ยหยู่
“โง่หรือเปล่า ข้าเป็นผู้ชาย ผู้ชายต้องเป็นฝ่ายปกป้องผู้หญิงสิ”
“...”
เซี่ยหยู่ แม่นมจื่อฮวา และลี่ถิงได้แต่อมยิ้มด้วยความเอ็นดู
เด็กคนนี้รู้จักปกป้องสตรีด้วยนะ ไม่เลวเลยนี่!
แม้คิดอย่างนั้น แต่เซี่ยอวี้ก็เด็กเกินไป ถ้าให้เขาพกกระบองไฟฟ้า เจ้าตัวกระเปี้ยกคงเผลอฟาดใส่ตัวเองแทนที่จะเป็นศัตรูน่ะสิ ด้วยความกังวลแบบผู้ใหญ่ห่วงเด็ก เซี่ยหยู่ให้เขาพกสิ่งนี้ไม่ได้
นางเกาแก้ม ทำทีเป็นแก้ตัวด้วยสีหน้าเสียดายนิดๆ “ข้าทำมาแค่สองอัน ตอนนี้ไม่มีแล้ว”
ได้ยินแบบนั้น แก้มกลมยุ้ยของเซี่ยอวี้ก็พองลมเหมือนปลาปักเป้า ดูเหมือนจะงอนตุ๊บป่องแล้ว
เซี่ยหยู่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะทำทีค้นหาบางอย่างในแขนเสื้อ ปากก็พร่ำบ่นว่า “ก็ได้ ก็ได้ ข้าจะให้สิ่งนี้กับเจ้า” จากนั้นก็หยิบขวดสเปรย์พริกไทยที่ปลอมแปลงแล้วออกมาจากมิติ ยื่นให้เจ้าตัวเล็ก
“เปิดฝาแล้วฉีดใส่หน้าศัตรู จะทำให้ศัตรูปวดแสบร้อน ใช้ง่ายเหมาะกับเจ้าเลย”
เซี่ยอวี้รับขวดสเปรย์พริกไทยมาถือด้วยความตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่ และลืมไปว่าตัวเขากับพี่สาวไม่ได้สนิทกัน
ผ่านไปสักพัก เด็กชายหุบยิ้ม ขึงตาใส่เซี่ยหยู่พร้อมกับถามด้วยความสงสัย
“ทำไมมีของแบบนี้ล่ะ”
“ข้าว่าง ก็เลยคิดค้นขึ้นมาเอง ลองผสมนั่นนี่ ก็ออกมาเป็นแบบนี้แล้ว...ถ้าถามมากกว่านี้ข้าไม่ให้แล้ว เอาคืนมา” นางแกล้งทำทีเป็นหงุดหงิด ทั้งยังแบมือจะเอาของคืน
เซี่ยอวี้รีบเอาขวดสเปรย์พริกไทยซ่อนไว้ข้างหลัง เบ้ปากเล็กๆ แล้วว่า “พี่หญิงที่วันๆ คิดแต่เรื่องผู้ชาย ฉลาดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร”
หา!?
เซี่ยหยู่กรอกตามองบน เจ้าเด็กน้อยนี่ พออารมณ์ดีแล้วก็ปากคอเราะร้ายขึ้นมาเลยนะ
แต่ช่างเถอะ การเดินทางครั้งนี้นางรู้ว่าไม่ง่าย อาจเจอชาวบ้านก่อจลาจล หรือถูกลอบโจมตีระหว่างทาง อย่างน้อย พวกเขาควรมีของไว้ป้องกันตัว
ก่อนเซี่ยหยู่จะกลับที่พัก นางยังให้บิสกิตห่อหนึ่งกับเซี่ยอวี้
“ให้เจ้า เอาไว้กินเล่น”
“อืม!”
..
..
การเดินทางล่วงเข้าสู่วันที่ 5 ในที่สุดขบวนรถม้าก็ออกจากเขตของเมืองหยุนโจวมาไกลแล้ว
ช่วงแรกของการเดินทาง เซี่ยอวี้ยังง่อยซึมเพราะคิดถึงบ้าน แต่เมื่อเริ่มชินกับการเดินทาง ได้ของเล่นแปลกๆ จากพี่สาว และที่สำคัญ เขาไม่ต้องถูกสายตาจ้องจับผิดเหมือนอยู่วังหลวง หรือถูกสั่งให้เรียน เรียนและเรียน
เมื่อไม่ต้องทนรับแรงกดดันเหล่านั้น เจ้าตัวเล็กก็ค่อยๆ ร่าเริงสดใสตามประสาเด็กวัยอยากรู้อยากเห็น อยากสำรวจโลกกว้าง
เขากุมขวดสเปรย์พริกไทยที่ซ่อนในอกเสื้อ ใจก็อดสงสัยไม่ได้ว่าจะได้ใช้มันเมื่อไรนะ อยากลองใช้แล้วสิ!
ในยามนี้ ขบวนรถม้าแวะพักที่ชายป่า เด็กชายกินอาหารเที่ยงอิ่มแล้ว กำลังนั่งแกว่งขาไปมาบนท้ายรถม้า ดวงตากลมไร้เดียงสาสอดส่ายมองพี่ชายทหารที่นั่งจับกลุ่มกินอาหารแบบเดิมซ้ำๆ ทุกวัน
เซี่ยอวี้เริ่มสงสัย เขากินซาลาเปาไส้เนื้อครบ 4 วันก็เริ่มเบื่อ แต่พี่ชายทหารพวกนี้กินเนื้อแห้งๆ กับแผ่นแป้งกรอบทุกวัน วันละ 3 มื้อเหมือนกัน แต่สีหน้าพวกพี่ชายกลับดูเฉยๆ
เนื้อแห้งกับแผ่นแป้งกรอบอร่อยมากหรือ?
คิดพลาง กลิ่นเนื้อแห้งก็ลอยเข้าจมูกยิ่งกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น
เซี่ยอวี้กระโดดดึ๋งลงจากท้ายรถม้า ก้าวขาเล็กๆ เข้าไปหาทหารกลุ่มที่อยู่ใกล้ๆ เด็กชายหยุดยืนข้างทหารหนุ่มหน้าตาอ่อนเยาว์คนหนึ่ง โดยมีแม่นมจื่อฮวาเดินตามมาติดๆ ด้วย
“นั่นอะไรหรือ รสชาติเป็นอย่างไร อร่อยหรือเปล่า?”
เซี่ยอวี้เอียงคอถาม ดวงตากลมโตใสแจ๋วจ้องมองเนื้อแห้งในมือพี่ชาย
ทหารหนุ่มคนนี้อายุน่าจะ 16-17 เขานิ่งอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อถูกองค์ชายชวนคุย แต่พอตั้งสติได้เขาก็รีบตอบว่า “เอ่อ… อร่อยมั้งพ่ะย่ะค่ะ!”
สำหรับทหารที่รอนแรมกลางป่า การได้กินเนื้อแห้งกับแป้งแผ่นที่ยังไม่ขึ้นรานับว่าฟุ่มเฟือยแล้ว แต่สำหรับองค์ชายตัวน้อยที่คุ้นชินกับอาหารหรูหรา เนื้อแห้งนี้ย่อมเทียบไม่ติด
ว่าแต่ องค์ชายถามทำไมนะ!
ทหารหนุ่มเอียงหัวคิดด้วยความฉงวน
“อร่อยหรือ”
เซี่ยอวี้ถามอีกครั้ง ดวงตาก็จับจ้องมองเนื้อแห้งพร้อมกับน้ำลายที่ไหลตรงมุมปาก
ทหารหนุ่มหน้าอ่อนมองเนื้อแห้งในมือสลับกับมององค์ชายน้อย จากนั้นก็ถามอย่างลังเล “องค์ชายอยากลองกินหรือ”
เซี่ยอวี้พยักหน้าแรงๆ เหมือนลูกเจี๊ยบจิกข้าวสาร ตาก็จ้องเขม็งที่เนื้อแห้ง
ทหารหนุ่มเงยหน้ามองแม่นมที่ตามหลังมาด้วยเพื่อขอความเห็น
แม่นมจื่อฮวาเห็นว่าเนื้อแห้งที่พวกเขากินไม่มียาพิษ ก่อนนำมากินก็ย่างจนสุกแล้ว ไม่นับว่าอันตราย นางจึงพยักหน้าให้ทหารคนนั้นเล็กน้อย
“เอ่อ…งั้นก็…นี่พ่ะย่ะค่ะ”
ทหารหนุ่มหน้าอ่อนหยิบเนื้อแห้งชิ้นใหม่ยื่นให้กับองค์ชายน้อย ใจก็เต้นแรงอย่างลุ้นระทึก เหมือนว่าที่ตนกำลังยื่นให้องค์ชายน้อยเป็นเนื้อที่เน่าแล้ว
ของต่ำต้อยแบบนี้…องค์ชายน้อยจะกล้ากินหรือ?
ไม่สิ องค์ชายร้องขอจะกินเอง ไม่เกี่ยวกับเขานี่น่า
แต่...จะดีจริงๆ หรือ? หากองค์ชายกินเนื้อแห้งนี้แล้วเป็นอะไรขึ้นมาเล่า เขาจะได้รับโทษประหารแปดชั่วโคตรหรือเปล่า!
ทหารหนุ่มหน้าอ่อนคิดอย่างกลุ้มใจ
ฉับพลันนั้น องค์ชายน้อยคว้าเนื้อแห้งจากมือทหารหนุ่มหน้าอ่อนโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว
เฮือก!
จู่ๆ ทหารทั้งกลุ่มก็เงียบทันที ดวงตาทุกคู่จ้องมององค์ชายตัวน้อยอย่างลุ้นระทึก
บทที่ 28เยว่หลิวเซิงเจอทางตัน!? ย้อนกลับมาบนเส้นทางอพยพ ชาวบ้านกลุ่มใหญ่หลายร้อยชีวิตทยอยเดินลงจากเขา สภาพแต่ละคนล้วนอิดโรย เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดินและเหงื่อไคล ทว่าพวกเขากลับเดินเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ ไม่สับสนวุ่นวาย ถึงเสื้อผ้าของพวกเขาจะมีการปะชุนซ้ำๆ แต่ก็ดูดีกว่ากลุ่มผู้ลี้ภัยกลุ่มอื่นๆ เด็กเล็ก สตรี และคนชราต่างได้รับการคุ้มครองจากชายฉกรรจ์ในกลุ่ม ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แม้ตำแหน่งผู้นำหมู่บ้านจะเป็นชายสูงวัยแซ่ลู่ที่อายุเกือบห้าสิบปี ทว่าผู้นำการเดินทางกลับเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบ เห็นอายุน้อยเช่นนี้ แต่ประสบการณ์การเอาตัวรอดกลับสูงลิ่ว บนหลังของชายหนุ่มคนนี้ยังแบกทารกแฝดชายหญิงไว้ในตะกร้า ส่วนด้านหน้าอุ้มเป้เก่าๆ ใบหนึ่ง ในมือของเขาถืออุปกรณ์ทรงกระบอกยาว เรียกว่า “กล้องส่องทางไกล” ทันทีที่เดินลงจากเขา ชายหนุ่มยกกล้องส่องทางไกลขึ้นส่องดูทิศทาง และสิ่งที่เห็นเบื้องหน้า ทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น หน้าประตูเมืองซีหนานเต็มไปด้วยร่างไร้วิญญ
บทที่ 27แผนการอันชั่วร้าย (สอง) ยิ่งครุ่นคิดถึงเรื่องซวยสารพัดที่ประสบพบเจอในช่วงนี้ ความโกรธแค้นของเสนาบดีเผิงก็ยิ่งทวีคูณ ถ้าไม่ใช่เพื่อทำลายเสบียงของขบวนองค์ชายสาม ก็คงไม่ส่งเผิงอู๋ไปร่วมมือกับพวกโจรป่า และลูกชายคนรองของเขาก็คงไม่ต้องตาย เคราะห์กรรมครั้งนี้ พูดไปแล้วเป็นความผิดของเผิงซวนทั้งนั้น แต่คนชั่วเห็นแก่ตัวไหนเลยจะยอมรับผิด เขาโยนความผิดทั้งหมดไปที่ไป๋มู่อวิ๋น พอสรุปออกมาแบบนั้น เผิงซวนก็รีบวิ่งโร่มาทูลฟ้องต่อฮ่องเต้ “ฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงโปรดทวงความเป็นธรรมให้ลูกชายของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” ฮ่องเต้ทรงเลิกพระขนงเล็กน้อย “ทวงความเป็นธรรม? หมายความว่าอย่างไร” “ไป๋มู่อวิ๋น…เขาฆ่าลูกชายของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ!” ถ้อยคำนั้นทำให้ฮ่องเต้ถึงกับขมวดพระขนงแน่น ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ทราบเพียงว่าบุตรชายคนรองของอัครเสนาบดีเผิงถูกพบเป็นศพกลางป่า ร่องรอยบ่งชี้ว่าถูกหมาป่ากัดแทะจนตาย แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับไป๋มู่อวิ๋น? เผิงซวนเห็นคว
บทที่ 26แผนการอันชั่วร้าย (หนึ่ง) เวลานี้ ประตูเมืองซีหนานปิดเงียบ จากข่าวลือที่แพร่สะพัดออกไป ทำให้ไม่มีขบวนผู้อพยพสักกลุ่มกล้าเข้าใกล้ประตูเมืองอีกเลย ณ จวนแม่ทัพซีหนาน นายทหารคนหนึ่งรีบเร่งเข้ามารายงาน “ท่านแม่ทัพ! หน่วยสอดแนมแจ้งมาว่ามีขบวนรถม้ากลุ่มใหญ่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาในเขตเมืองซีหนานขอรับ!” ชายสวมเกราะเหล็ก อายุราวสามสิบปลายๆ ยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มเย็นเยียบ “ขบวนรถม้ากลุ่มใหญ่อย่างนั้นรึ...ก็คงเป็นขบวนรถม้าขององค์ชายสาม?” นายทหารผู้รายงานรีบพยักหน้ารับ “แม้ผู้ติดตามจะไม่ได้สวมเกราะทหาร แต่จากท่วงท่าและอาวุธที่พก มองแวบเดียวก็รู้เลยขอรับว่าพวกเขาเป็นทหารแน่นอน” ได้ยินเช่นนั้น แม่ทัพแซ่เสวี่ยหัวเราะในลำคอเบาๆ “น่าชื่นชม ทั้งที่ข่าวลือหน้าประตูซีหนานแพร่สะพัดไปทั่วกลุ่มผู้อพยพ แต่ขบวนม้าขององค์ชายยังกล้าเลือกผ่านเส้นทางนี้...” “คงเพราะแม่ทัพไป๋ ผู้คุ้มกันขบวนรถม้า มั่นใจในฝีมือตนเองนักกระมัง ว่าสามารถปกป้ององค์ชายสามแ
บทที่ 25กวาดล้างผู้อพยพ “จะตามไปเก็บหรือไม่เจ้าคะ” ลี่ถิงถามอย่างไม่เข้าใจ จิ้งอี๋เพียงส่ายหน้า “เสียเวลา พวกเราไปกันเถอะ” เป้าหมายของการเดินทางคือมุ่งหน้าไปยังเมืองหลิงหนาน ระหว่างการเดินทางบนเส้นทางอพยพ ความแร้นแค้นได้เปลี่ยนชาวบ้านให้กลายเป็นโจรเร่ร่อน หลายครั้งพวกเขาเห็นคนที่เคยเป็นชาวนาต้องหันมาปล้นและแย่งชิงอาหารกันเอง องค์หญิงเซี่ยหยู่ทำได้เพียงแค่เข้าไปสั่งสอนเท่านั้น ครั้นจะให้ตามจับส่งทางการทุกคนย่อมเป็นไปไม่ได้ พวกเขาไม่มีเวลามากพอสำหรับเรื่องนั้น เมื่อมาถึงที่พัก ทั้งสองนำซากหมาป่ามอบแก่กลุ่มผู้อพยพให้แบ่งกันทำอาหาร พร้อมบอกว่าในป่ายังเหลืออีกสี่ตัว ทุกคนต่างแสดงความยินดี ได้ทั้งเนื้อได้ทั้งหนังไว้ใช้ ชายชราคนหนึ่งที่เหมือนจะเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน กล่าวขอบคุณแทนชาวบ้านทุกคน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยสีหน้ากังวล “แม่นาง ข้าเห็นขบวนรถม้าของพวกเจ้ากำลังเดินทางสวนกับผู้อพยพ...พวกเจ้าจะเดินทางไปเมืองซีหนานกันหรือ?” “พวกเราไม่ได้จะไปเมืองซีหน
บทที่ 24หนีหมาป่า ปะทะ โจรเร่ร่อน กลางดึกสงัดคืนหนึ่ง ภายในกระโจมของเหล่าหญิงสาว ลี่ถิงสะลึมสะลือลุกขึ้นนั่ง หลังจากกะพริบตาถี่ๆ เพื่อเรียกสติอยู่ครู่หนึ่ง นางก็หันไปสะกิดจิ้งอี๋เบาๆ “อะไรหรือ” “ข้าอยากเข้าห้องน้ำ…” ยิ่งใกล้จะถึงเมืองหลิงหนานเท่าไร อากาศก็ยิ่งร้อน ลี่ถิงจึงดื่มน้ำเยอะ ตอนนี้ก็เหมือนจะกลั้นไม่อยู่แล้ว แน่นอน บนเส้นทางอพยพเช่นนี้ ‘ห้องน้ำ’ ที่ว่าก็คือป่าข้างทาง “พี่สาวจิ้งอี๋ พาข้าไปห้องน้ำทีนะ” ลี่ถิงบอกพลางยิ้มเขิน จิ้งอี๋เห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ จึงขานรับสั้นๆ “ได้สิ” จากนั้นหญิงสาวทั้งสองก็ลุกออกจากกระโจม เมื่อเดินออกมาไกลพอสมควร ลี่ถิงก็เดินลับเข้าไปในป่าเพื่อทำธุระส่วนตัวอย่างไม่รอช้า พอจัดเสื้อผ้าเรียบร้อย ลี่ถิงก็ก้าวออกจากป่าด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ท่ามกลางความมืดของราตรี จู่ๆ ลี่ถิงพลันรู้สึกเย็นที่สันหลังวาบ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก ครั้นหันไปมองต้นตอขอ
บทที่ 23 เซี่ยอวี้จัดการเอง! “เดี๋ยวก่อน!” เสียงเซี่ยอวี้ดังขึ้น ก่อนที่เขาจะประคองกระบอกน้ำด้วยสองมือแล้วส่งให้กับพี่สาว เซี่ยหยู่เห็นความโอบอ้อมอารีของน้องชาย อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปขยี้หัวเล็กๆ ของเจ้าตัวจิ๋วแรงๆ ด้วยความเอ็นดู เมื่อรับกระบอกน้ำมา เซี่ยหยู่ก็แอบใส่น้ำพุวิญญาณลงไปเล็กน้อยระหว่างที่ก้าวตรงไปหาเด็กที่นอนหมดสติ หวังต้าเจิงที่เฝ้าดูอาการของเด็กชาย ครั้นเห็นองค์หญิงตรงมาทางนี้ก็รีบโค้งคำนับแล้วบอกว่า “กระหม่อมให้ยาลดไข้เด็กคนนี้แล้ว เหลือแค่รอดูอาการพ่ะย่ะค่ะ” “อืม” เซี่ยหยู่ตอบหวังต้าเจิงสั้นๆ จากนั้นก็ยื่นกระบอกน้ำให้หญิงหม้ายที่นั่งกอดลูกชายพร้อมกับร่ำไห้ “ให้ลูกของเจ้าดื่มน้ำนี้เถอะ จะช่วยให้สดชื่นขึ้น” “ขะ…ขอบคุณเจ้าค่ะ คุณหนู” หญิงหม้ายรับกระบอกน้ำมา จากนั้นก็ก้มกราบจนหน้าผากติดพื้น ก่อนประคองลูกชายให้ขึ้นมาจิบน้ำอย่างช้าๆ แม้ยังหมดสติ แต่สัญชาตญาณเอาตัวรอดทำให้เด็กน้อยค่อยๆ ขยับริมฝีปาก ดื่มน้ำเข้าไปทีละน้อย ไม่นานจา