บทที่ 7
ข้าเบื่อซาลาเปา อยากกินอย่างอื่น!
เซี่ยอวี้กัดเนื้อแห้งคำเล็กๆ หน้าตาเปื้อนยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
ในตอนแรก เหล่าทหารกลุ่มนั้นยังมองเซี่ยอวี้ด้วยความตื่นเต้น ครั้นเห็นแก้มกลมๆ องค์ชายตัวเล็กขยับเหมือนกระรอก ดวงตาที่จ้องเขม็งด้วยความลุ้นระทึกพลันเปลี่ยนเป็นเอ็นดู
“ระ รสชาติเป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” ทหารหนุ่มหน้าอ่อนถาม
“แห้งๆ เค็มๆ แปลกๆ แต่ก็อร่อย”
“แหะๆ”
ทุกคนที่ได้ยินต่างก็หัวเราะแห้งๆ ก่อนจะยิ้มอย่างโล่งใจ
อาจเพราะเป็นของที่เพิ่งเคยกินครั้งแรก องค์ชายน้อยจึงรู้สึกว่าอร่อย
“อ้อ!”
จู่ๆ เด็กน้อยก็ร้องเสียงใส จากนั้นก็วิ่งปุกปิกกลับไปที่รถม้า หยิบกล่องอาหารหรูหราของตนมาเปิด มือเล็กๆ หยิบซาลาเปาไส้หมูหอมกรุ่นออกมาแล้วยื่นให้ทหารหนุ่มหน้าอ่อน
“แลกกัน!”
ทหารหนุ่มคนนั้นนิ่งค้างไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“ไม่ต้องแลกหรอกพ่ะย่ะค่ะ เนื้อแห้งของกระหม่อมเทียบกับซาลาเปาชั้นดีขององค์ชายไม่ได้เลย”
คำพูดนั้นเซี่ยอวี้ฟังไม่เข้าใจ ตอนอยู่ตำหนัก อาหารกับของว่างของเขาก็แบ่งให้นางกำนัลกับขันทีออกจะบ่อย แถมคนพวกนั้นแทบจะรุมแย่งทั้งที่เขายังกินไม่อิ่มด้วยซ้ำ หากไม่ได้แม่นมช่วยปกป้องอาหาร เซี่ยอวี้ก็คงไม่ได้กินจนอิ่ม
เมื่อนึกถึงพี่ชายพี่สาวที่ตำหนัก ภาพตอนที่คนพวกนั้นเก็บของหนีไปพลันผุดขึ้นมาในความทรงจำ เด็กน้อยก้มหน้าอย่างเศร้าสร้อย ปลายจมูกกับขอบตาเริ่มแดงก่ำ
พอเห็นองค์ชายทำหน้าเศร้า เหล่าทหารต่างก็เงียบกริบ ทั้งยังหันไปถลึงตาใส่ทหารหนุ่มหน้าอ่อนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ สายตาทุกคนราวกับกำลังตะโกนว่า “องค์ชายอุตส่าห์ให้ซาลาเปาเลิศรสเชียวนะ รับไว้สิ!” “เจ้ากล้าทำองค์ชายเสียใจเรอะ ตายซะ ตายซะ!”
ทหารหนุ่มหน้าอ่อนได้แต่ยิ้มอย่างจนใจ...เขาก็แค่เจียมตัว ไม่ได้ล่วงเกินองค์ชายเสียหน่อย นี่เขาทำอะไรผิดไปหรือ?
แม่นมจื่อฮวาลูบหลังเล็กๆ ขององค์ชายพลางเอ่ยเสียงนุ่ม “รับไปเถิด องค์ชายน้อยตั้งใจแบ่งให้จริงๆ”
“เอ่อ…ขอบพระทัยองค์ชาย” ชายหนุ่มหน้าอ่อนยอมรับซาลาเปาไส้เนื้อด้วยสองมือราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า
เซี่ยอวี้ยิ้มกว้าง ใบหน้าใสซื่อเต็มไปด้วยความจริงใจ พลางยื่นซาลาเปาให้คนอื่นๆ ต่อ “พี่ชายก็ลองชิมสิ ของที่ท่านลุงให้มา ข้าแบ่งให้ทุกคนเลย”
“องค์ชายช่างมีน้ำใจ”
“เป็นเกียรติยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบพระทัยองค์ชาย!”
ทหารสี่ห้าคนรับซาลาเปาด้วยดวงตาซาบซึ้งราวกับได้รับพระราชทานของวิเศษ
ทว่า...
ความจริงที่ไม่มีใครรู้ องค์ชายน้อยเบื่อซาลาเปาจะตายอยู่แล้ว อยากกินอย่างอื่น ทุกวันกินแต่ซาลาเปาจนหน้าจะเป็นซาลาเปา แต่ท่านลุงก็ให้มาซะเยอะ กินยังไงก็ไม่หมด ถ้าไม่แจกจ่ายให้หมดเกลี้ยงเร็วๆ คงกินซาลาเปาจนไปถึงชายแดนเลยกระมัง
แจกให้หมด จะได้ไม่ต้องกินเอง!
ในขณะนั้น...
“น้องชายข้าหัวใสใช่ย่อย” เซี่ยหยู่พึมพำพลางกัดสาลี่ที่หยิบมาจากมิติไปหนึ่งคำ ดวงตาส่องประกายเป็นรอยยิ้มพลางจับจ้องเจ้าตัวเล็กที่กำลังแจกจ่ายซาลาเปา
ไม่เพียงแต่ผลักภาระซาลาเปาที่น่าเบื่อให้คนอื่น ยังใช้มันซื้อใจทหารได้อีกด้วย ได้ผลประโยชน์สองเด้ง!
จริงๆ แล้ว ในมิติของเซี่ยหยู่มีอาหารเลื่องชื่ออย่างเป็ดปักกิ่ง ปูขน หมูตุ๋ย หูฉลาม และของชั้นดีเลิศรสมากมายที่กวาดมาจากห้องเครื่อง ไหนจะเสบียงจากชาติที่แล้วอย่างแฮมเบอร์เกอร์ พิชซ่า ชานมไข่มุก ขนมปังร้านดัง เค้กและขนมกรุบกรอบอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน แต่ที่เซี่ยหยู่ไม่ได้นำออกมาแบ่งให้เจ้าตัวเล็กทันทีเพราะยังหาจังหวะเอาออกมาไม่ได้ นางจึงแบ่งแค่บิสกิตซึ่งเป็นของกินที่มีในยุคนี้อยู่แล้ว
เซี่ยอวี้แจกซาลาเปากล่องแรกหมดแล้ว ก็กลับมาหยิบกล่องที่สองบนรถม้า
จังหวะที่เดินถือกล่องซาลาเปาจะไปแจกจ่ายให้กลุ่มอื่นต่อ จู่ๆ เซี่ยหยู่ก็เข้ามาจิ้มแก้มนุ่มๆ ของเขา พูดพลางหัวเราะ “เจ้าคิดว่าพี่สาวคนนี้ไม่รู้หรือ เจ้าเบื่อซาลาเปาแล้วล่ะสิ อยากยัดใส่มือคนอื่นให้หมดเร็วๆ ใช่หรือไม่”
เซี่ยอวี้ทำตาโต ใบหน้าน้อยๆ ร้อนผ่าว แต่เด็กน้อยก็หัวไว รีบสั่นหน้าบอกเสียงสูง “เปล่า!” จากนั้นก็แจกซาลาเปาต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ท่าทางเขินอายของเจ้าตัวเล็กทำเอาเซี่ยหยู่ถึงกับหลุดขำ
ฮะๆๆ
“องค์หญิง ไม่เกรงว่าองค์ชายสามจะเอาเสบียงแจกคนอื่นจนเกลี้ยงหรือเพคะ แบบนั้นจะไม่ลำบากเอาหรือ?” ลี่ถิงเข้ามาถามอย่างกังวล
“ให้เขาทำไปเถอะ”
“เอ๋?”
“ยิ่งเดินทางลงใต้ อากาศก็ยิ่งร้อน เก็บซาลาเปาไว้นานๆ มีแต่จะเน่าเสีย”
“แล้วถ้าเสบียงหมดเล่าเพคะ?”
“เดี๋ยวก็หาใหม่ได้” เซี่ยหยู่ตอบง่ายๆ ราวกับไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไร แน่ละ…ในมิติของนางยังมีเสบียงเหลือเฟือ อยากกินอะไรก็หยิบได้ตลอดเวลา ซาลาเปาหมดก็หมดไปสิ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
..
..
พักกลางวันเรียบร้อย ขบวนรถม้าก็ออกเดินทางอีกครั้ง
เสียงกีบม้ากระทบพื้นดังก้องเป็นจังหวะ รถม้าเคลื่อนไปตามเส้นทางคดเคี้ยว เหล่าทหารเดินตามขบวนอย่างองอาจ หลังได้กินซาลาเปาที่องค์ชายน้อยแบ่งปันให้ แต่ละคนก็ดูมีกำลังใจ ทั้งฮึกเหิม ทั้งระมัดระวังมากกว่าเดิม
เดินทางอยู่หลายชั่วยาม ในที่สุดดวงตะวันก็ใกล้จะลับขอบฟ้า แม่ทัพไป๋มู่อวิ๋นจึงสั่งให้ขบวนรถม้าหยุดพักริมลำธารใกล้ๆ กับป่า
ทหารเกือบสามสิบนายรีบจัดกระโจมและเตรียมอาหารค่ำ
ตรงกลางลานพักคือกระโจมขององค์หญิงกับองค์ชายน้อย กระโจมนี้สร้างขึ้นมาแบบง่ายๆ เพราะรีบใช้รีบเก็บ บนพื้นจึงปูด้วยเสื่อหยาบๆ หนึ่งชั้น แล้วปูทับด้วยผ้าหนาอีกหนึ่งชั้นเท่านั้น
ภายในกระโจมของเซี่ยอวี้
เด็กชายตัวน้อยถือซาลาเปาที่กินค้างไว้ครึ่งลูกด้วยใบหน้าเบื่อหน่าย โดยมีแม่นมจื่อฮวาที่นั่งข้างๆ ฉีกเนื้อไก่ย่างเป็นคำๆ ป้อนให้
เซี่ยอวี้เบื่อซาลาเปาเต็มที โชคดีที่วันนี้พี่ชายทหารล่าไก่ป่าได้หลายตัว ย่างแล้วแบ่งให้เซี่ยอวี้ ถึงจะมีแค่เกลือทาบางๆ บนเนื้อไก่ แต่มื้อนี้ก็ไม่น่าเบื่อ
หลังเซี่ยอวี้กินอิ่มท้องแล้ว เซี่ยหยู่ก็เปิดกระโจมแล้วเดินเข้ามาหน้าตาเฉย
“อร่อยไหม?”
คำถามนั้นดังมาจากพี่สาว เซี่ยอวี้เงยใบหน้าเล็กๆ ขึ้นมอง ก่อนจะตอบเย็นชา “ใช้ได้นะ”
สำหรับเซี่ยอวี้ อะไรที่ไม่เคยกินก็ว่าอร่อยทั้งนั้น ยิ่งอยู่ในป่า กินของป่าที่ล่ามาใหม่ๆ ยิ่งให้รู้สึกเหมือนออกผจญภัย!
“แล้วมาทำไม” เด็กชายถาม
เซี่ยหยู่ไม่ได้ตอบทันที แต่หยิบกระดาษเคลือบน้ำมันออกมา ก่อนจะยื่นให้เจ้าตัวเล็ก “ข้าให้”
“อะไรน่ะ ทำไมมีแต่ก้อนดำๆ” เซี่ยอวี้จ้องเขม็งอย่างหวาดระแวง คิดในใจว่า พี่สาวโง่คงไม่เบื่อถึงขั้นเอาดินเหนียวมาปั้นแล้วหลอกให้เขากินหรอกกระมัง
“เห็นแบบนี้อร่อยนะ หวานๆ กรอบๆ”
ไม่พูดเปล่า เซี่ยหยู่ยังหยิบก้อนดำๆ ใส่ปาก เคี้ยวโชว์ดังกรุบๆ
แน่นอนว่า ก้อนสีดำกรุบกรอบนี้เป็นของที่เซี่ยหยู่หยิบมาจากมิติ มันคืออัลมอนด์เคลือบช็อกโกแลต
ระหว่างเดินทางไกล ร่างกายอ่อนล้า ไหนจะต้องระแวดระวังว่าจะถูกลอบโจมตีเมื่อไร ความเครียดสะสม การได้กินของหวานย่อมช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย
คิดจบ เซี่ยหยู่ส่งเข้าปากอีกหนึ่งเม็ด
กรุบๆ กรอบๆ หวานอร่อย
เสียงเคี้ยวที่ฟังดูน่าอร่อยยั่วน้ำลายจนเจ้าตัวเล็กจ้องมองอย่างสนใจ
“อร่อยมากหรือ” เด็กชายถาม
“อร่อย” เซี่ยหยู่ตอบตรงๆ
“งั้นข้า...จะลองกินก็ได้!”
เซี่ยอวี้พูดเหมือนฝืนใจ แต่ดวงตากลมโตจ้องมองเม็ดสีดำอย่างไม่วางตา
เซี่ยหยู่ยิ้มบางๆ จากนั้นยื่นช็อกโกแลตให้น้องชายหนึ่งเม็ด องค์ชายน้อยรีบรับมายัดเข้าปากทันที ตอนนั้นเองดวงตาที่กลมโตอยู่แล้วพลันเบิกกว้างยิ่งกว่าเดิม
“อร่อย! เอาอีก! ข้าจะเอาอีก!”
“ได้”
ภายในห่อกระดาษเคลือบน้ำมันตอนนี้เหลืออัลมอนด์เคลือบช็อกโกแลตห้าเม็ด เซี่ยหยู่ไม่ได้เอาออกมาจากมิติเยอะ เพราะรู้ว่าเด็กๆ นั้นมักจะกินเกินความพอดี
“กินแล้วต้องแปรงฟันด้วย ถ้าฟันผุ ข้าจะไม่ให้เจ้ากินอีก”
“อืมๆ” เซี่ยอวี้พยักหน้าอย่างว่าง่าย
ก่อนจะกลับกระโจมของตน เซี่ยหยู่ยังยื่นยาทากันยุงกับผงไล่แมลงให้กับแม่นมจื่อฮวาพร้อมอธิบายวิธีใช้
แม่นมจื่อฮวาที่รับใช้องค์ชายน้อย เห็นพี่น้องสนิทกันขึ้นเรื่อยๆ นางก็ยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู
เซี่ยหยู่เพิ่งก้าวออกจากกระโจมได้หนึ่งก้าว จู่ๆ เสียงทหารก็ตะโกนขึ้นอย่างฉับพลัน
“โจรบุก! โจรบุก!”
บทที่ 28เยว่หลิวเซิงเจอทางตัน!? ย้อนกลับมาบนเส้นทางอพยพ ชาวบ้านกลุ่มใหญ่หลายร้อยชีวิตทยอยเดินลงจากเขา สภาพแต่ละคนล้วนอิดโรย เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดินและเหงื่อไคล ทว่าพวกเขากลับเดินเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ ไม่สับสนวุ่นวาย ถึงเสื้อผ้าของพวกเขาจะมีการปะชุนซ้ำๆ แต่ก็ดูดีกว่ากลุ่มผู้ลี้ภัยกลุ่มอื่นๆ เด็กเล็ก สตรี และคนชราต่างได้รับการคุ้มครองจากชายฉกรรจ์ในกลุ่ม ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แม้ตำแหน่งผู้นำหมู่บ้านจะเป็นชายสูงวัยแซ่ลู่ที่อายุเกือบห้าสิบปี ทว่าผู้นำการเดินทางกลับเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบ เห็นอายุน้อยเช่นนี้ แต่ประสบการณ์การเอาตัวรอดกลับสูงลิ่ว บนหลังของชายหนุ่มคนนี้ยังแบกทารกแฝดชายหญิงไว้ในตะกร้า ส่วนด้านหน้าอุ้มเป้เก่าๆ ใบหนึ่ง ในมือของเขาถืออุปกรณ์ทรงกระบอกยาว เรียกว่า “กล้องส่องทางไกล” ทันทีที่เดินลงจากเขา ชายหนุ่มยกกล้องส่องทางไกลขึ้นส่องดูทิศทาง และสิ่งที่เห็นเบื้องหน้า ทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น หน้าประตูเมืองซีหนานเต็มไปด้วยร่างไร้วิญญ
บทที่ 27แผนการอันชั่วร้าย (สอง) ยิ่งครุ่นคิดถึงเรื่องซวยสารพัดที่ประสบพบเจอในช่วงนี้ ความโกรธแค้นของเสนาบดีเผิงก็ยิ่งทวีคูณ ถ้าไม่ใช่เพื่อทำลายเสบียงของขบวนองค์ชายสาม ก็คงไม่ส่งเผิงอู๋ไปร่วมมือกับพวกโจรป่า และลูกชายคนรองของเขาก็คงไม่ต้องตาย เคราะห์กรรมครั้งนี้ พูดไปแล้วเป็นความผิดของเผิงซวนทั้งนั้น แต่คนชั่วเห็นแก่ตัวไหนเลยจะยอมรับผิด เขาโยนความผิดทั้งหมดไปที่ไป๋มู่อวิ๋น พอสรุปออกมาแบบนั้น เผิงซวนก็รีบวิ่งโร่มาทูลฟ้องต่อฮ่องเต้ “ฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงโปรดทวงความเป็นธรรมให้ลูกชายของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” ฮ่องเต้ทรงเลิกพระขนงเล็กน้อย “ทวงความเป็นธรรม? หมายความว่าอย่างไร” “ไป๋มู่อวิ๋น…เขาฆ่าลูกชายของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ!” ถ้อยคำนั้นทำให้ฮ่องเต้ถึงกับขมวดพระขนงแน่น ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ทราบเพียงว่าบุตรชายคนรองของอัครเสนาบดีเผิงถูกพบเป็นศพกลางป่า ร่องรอยบ่งชี้ว่าถูกหมาป่ากัดแทะจนตาย แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับไป๋มู่อวิ๋น? เผิงซวนเห็นคว
บทที่ 26แผนการอันชั่วร้าย (หนึ่ง) เวลานี้ ประตูเมืองซีหนานปิดเงียบ จากข่าวลือที่แพร่สะพัดออกไป ทำให้ไม่มีขบวนผู้อพยพสักกลุ่มกล้าเข้าใกล้ประตูเมืองอีกเลย ณ จวนแม่ทัพซีหนาน นายทหารคนหนึ่งรีบเร่งเข้ามารายงาน “ท่านแม่ทัพ! หน่วยสอดแนมแจ้งมาว่ามีขบวนรถม้ากลุ่มใหญ่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาในเขตเมืองซีหนานขอรับ!” ชายสวมเกราะเหล็ก อายุราวสามสิบปลายๆ ยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มเย็นเยียบ “ขบวนรถม้ากลุ่มใหญ่อย่างนั้นรึ...ก็คงเป็นขบวนรถม้าขององค์ชายสาม?” นายทหารผู้รายงานรีบพยักหน้ารับ “แม้ผู้ติดตามจะไม่ได้สวมเกราะทหาร แต่จากท่วงท่าและอาวุธที่พก มองแวบเดียวก็รู้เลยขอรับว่าพวกเขาเป็นทหารแน่นอน” ได้ยินเช่นนั้น แม่ทัพแซ่เสวี่ยหัวเราะในลำคอเบาๆ “น่าชื่นชม ทั้งที่ข่าวลือหน้าประตูซีหนานแพร่สะพัดไปทั่วกลุ่มผู้อพยพ แต่ขบวนม้าขององค์ชายยังกล้าเลือกผ่านเส้นทางนี้...” “คงเพราะแม่ทัพไป๋ ผู้คุ้มกันขบวนรถม้า มั่นใจในฝีมือตนเองนักกระมัง ว่าสามารถปกป้ององค์ชายสามแ
บทที่ 25กวาดล้างผู้อพยพ “จะตามไปเก็บหรือไม่เจ้าคะ” ลี่ถิงถามอย่างไม่เข้าใจ จิ้งอี๋เพียงส่ายหน้า “เสียเวลา พวกเราไปกันเถอะ” เป้าหมายของการเดินทางคือมุ่งหน้าไปยังเมืองหลิงหนาน ระหว่างการเดินทางบนเส้นทางอพยพ ความแร้นแค้นได้เปลี่ยนชาวบ้านให้กลายเป็นโจรเร่ร่อน หลายครั้งพวกเขาเห็นคนที่เคยเป็นชาวนาต้องหันมาปล้นและแย่งชิงอาหารกันเอง องค์หญิงเซี่ยหยู่ทำได้เพียงแค่เข้าไปสั่งสอนเท่านั้น ครั้นจะให้ตามจับส่งทางการทุกคนย่อมเป็นไปไม่ได้ พวกเขาไม่มีเวลามากพอสำหรับเรื่องนั้น เมื่อมาถึงที่พัก ทั้งสองนำซากหมาป่ามอบแก่กลุ่มผู้อพยพให้แบ่งกันทำอาหาร พร้อมบอกว่าในป่ายังเหลืออีกสี่ตัว ทุกคนต่างแสดงความยินดี ได้ทั้งเนื้อได้ทั้งหนังไว้ใช้ ชายชราคนหนึ่งที่เหมือนจะเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน กล่าวขอบคุณแทนชาวบ้านทุกคน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยสีหน้ากังวล “แม่นาง ข้าเห็นขบวนรถม้าของพวกเจ้ากำลังเดินทางสวนกับผู้อพยพ...พวกเจ้าจะเดินทางไปเมืองซีหนานกันหรือ?” “พวกเราไม่ได้จะไปเมืองซีหน
บทที่ 24หนีหมาป่า ปะทะ โจรเร่ร่อน กลางดึกสงัดคืนหนึ่ง ภายในกระโจมของเหล่าหญิงสาว ลี่ถิงสะลึมสะลือลุกขึ้นนั่ง หลังจากกะพริบตาถี่ๆ เพื่อเรียกสติอยู่ครู่หนึ่ง นางก็หันไปสะกิดจิ้งอี๋เบาๆ “อะไรหรือ” “ข้าอยากเข้าห้องน้ำ…” ยิ่งใกล้จะถึงเมืองหลิงหนานเท่าไร อากาศก็ยิ่งร้อน ลี่ถิงจึงดื่มน้ำเยอะ ตอนนี้ก็เหมือนจะกลั้นไม่อยู่แล้ว แน่นอน บนเส้นทางอพยพเช่นนี้ ‘ห้องน้ำ’ ที่ว่าก็คือป่าข้างทาง “พี่สาวจิ้งอี๋ พาข้าไปห้องน้ำทีนะ” ลี่ถิงบอกพลางยิ้มเขิน จิ้งอี๋เห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ จึงขานรับสั้นๆ “ได้สิ” จากนั้นหญิงสาวทั้งสองก็ลุกออกจากกระโจม เมื่อเดินออกมาไกลพอสมควร ลี่ถิงก็เดินลับเข้าไปในป่าเพื่อทำธุระส่วนตัวอย่างไม่รอช้า พอจัดเสื้อผ้าเรียบร้อย ลี่ถิงก็ก้าวออกจากป่าด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ท่ามกลางความมืดของราตรี จู่ๆ ลี่ถิงพลันรู้สึกเย็นที่สันหลังวาบ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก ครั้นหันไปมองต้นตอขอ
บทที่ 23 เซี่ยอวี้จัดการเอง! “เดี๋ยวก่อน!” เสียงเซี่ยอวี้ดังขึ้น ก่อนที่เขาจะประคองกระบอกน้ำด้วยสองมือแล้วส่งให้กับพี่สาว เซี่ยหยู่เห็นความโอบอ้อมอารีของน้องชาย อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปขยี้หัวเล็กๆ ของเจ้าตัวจิ๋วแรงๆ ด้วยความเอ็นดู เมื่อรับกระบอกน้ำมา เซี่ยหยู่ก็แอบใส่น้ำพุวิญญาณลงไปเล็กน้อยระหว่างที่ก้าวตรงไปหาเด็กที่นอนหมดสติ หวังต้าเจิงที่เฝ้าดูอาการของเด็กชาย ครั้นเห็นองค์หญิงตรงมาทางนี้ก็รีบโค้งคำนับแล้วบอกว่า “กระหม่อมให้ยาลดไข้เด็กคนนี้แล้ว เหลือแค่รอดูอาการพ่ะย่ะค่ะ” “อืม” เซี่ยหยู่ตอบหวังต้าเจิงสั้นๆ จากนั้นก็ยื่นกระบอกน้ำให้หญิงหม้ายที่นั่งกอดลูกชายพร้อมกับร่ำไห้ “ให้ลูกของเจ้าดื่มน้ำนี้เถอะ จะช่วยให้สดชื่นขึ้น” “ขะ…ขอบคุณเจ้าค่ะ คุณหนู” หญิงหม้ายรับกระบอกน้ำมา จากนั้นก็ก้มกราบจนหน้าผากติดพื้น ก่อนประคองลูกชายให้ขึ้นมาจิบน้ำอย่างช้าๆ แม้ยังหมดสติ แต่สัญชาตญาณเอาตัวรอดทำให้เด็กน้อยค่อยๆ ขยับริมฝีปาก ดื่มน้ำเข้าไปทีละน้อย ไม่นานจา