อีกด้านของเมืองนั้น ภายในห้องหนังสือของหลิงเซ่าเทียน แสงจากตะเกียงส่องลงบนแผนที่และสมุดบัญชีเก่า ๆ บ่าวคนสนิทของเขารายงานด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ
“นายท่าน ร้านเก่าของฮูหยินเนี่ยถูกลอบวางเพลิง!”
หลิงเซ่าเทียนเงยหน้าขึ้นทันทีแววตาเยือกเย็นวูบผ่าน ก่อนเขาจะลุกขึ้น
“พวกมันเริ่มแล้ว….ไปเตรียมรถม้า ข้าจะไปพบกับฮุ่ยเฟยในคืนนี้”
ในยามที่ทุกสิ่งเคลื่อนไหวในเงามืดความลับของอดีต คำมั่นในปัจจุบัน และเงาแค้นของอนาคต…กำลังเริ่มปะทะกันอย่างเงียบงัน
เสียงฝีเท้าบนลานกรวดเงียบเชียบ หากมั่นคงบ่าวคนสนิทของหลิงเซ่าเทียนเดินมาหยุดที่ข้างหน้าต่าง โบกมือเบา ๆ ส่งสัญญาณ
ไม่นานนัก เงาร่างสูงสง่าก็ข้ามกำแพงเข้าสู่เรือนอย่างไร้สุ้มเสียงสายตาเขาเหลือบมองความมืดรอบข้างก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องแคบ ๆ ที่แสงตะเกียงยังคงส่องสลัว
เนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งรออยู่แล้ว ราวกับรู้ว่าเขาจะมาสีหน้าแม้เคร่งขรึม แต่ดวงตายังคงเยือกเย็นอย่างควบคุม
“ท่านมาช้า”
หลิงเซ่าเทียนคลี่ยิ้ม “แต่ก็มาทันใช่หรือไม่?”
นางไม่ตอบรับ แต่เบือนหน้าไปยังกล่องไม้เก่าใบหนึ่งตรงหน้า มือเรียวค่อย ๆ เปิดฝา เผยให้เห็นสมุดบันทึกที่มีตราประทับซีดจางติดมุมกระดาษ
“สมุดบัญชีนี้…เป็นของท่านแม่”
หลิงเซ่าเทียนทรุดตัวลงข้างนางรับสมุดมาเปิดพลิกอย่างระมัดระวัง ข้อมูลภายในละเอียด ซับซ้อน และมีบางหน้าที่ถูกขีดฆ่า
“มารดาของเจ้า…ไม่ได้เป็นเพียงแม่ค้าธรรมดา” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว
“นางมีระบบการเงินซ่อนอยู่ เบื้องหลังร้านเล็ก ๆ นั้นมีเงินหมุนเวียนมากกว่าห้าตระกูลรวมกันเสียอีก”
เนี่ยฮุ่ยเฟยนิ่งเงียบ ก่อนจะเอ่ยบอกว่า “ตอนเด็ก…ข้าเห็นท่านแม่เขียนตัวเลขทั้งวันทั้งคืน คิดว่านางแค่เบื่อ และอยากหารายได้เลี้ยงตัวเอง”
ทั้งคู่เงียบเสียงกันไปก่อนจะพลิกหน้ากระดาษในมือ เสียงพลิกกระดาษดังแผ่ว ๆ จนมาถึงหน้าสุดท้ายซึ่งถูกเขียนด้วยลายมือหวัดรีบร้อนในนั้นมีเพียงประโยคเดียว
“หากข้าหายไป จงไปยัง ‘ประตูหลังของศาลาสระหยก’ … ที่นั่น ข้าฝังทุกอย่างไว้”
เนี่ยฮุ่ยเฟยเบิกตากว้างเซ่าเทียนพลิกซ้ำอีกครั้งก่อนกล่าวช้า ๆ
“ศาลานั่น คือสถานที่ต้องห้ามของจวนเนี่ย ไม่มีใครกล้าเข้าไป แม้แต่สาวใช้ พวกนางต่างก็พูดกันว่าเป็นที่อัปมงคล”
“แต่นั่น…ก็หมายความว่าไม่มีใครคอยจับตา เช่นนั้นเราจะไปที่นั่นคืนพรุ่งนี้” หลิงเซ่าเทียนเอ่ยออกมา
ในคืนวันต่อมา เมฆหนาครึ้มปิดบังแสงจันทร์จนเกือบมองไม่เห็นแม้แต่เงา
สายลมค่ำคืนพัดโชยผ่านแนวต้นสนเก่าแก่จนเกิดเสียงครางเบา ๆ ราวเสียงคร่ำครวญจากอดีต
เสียงจักจั่นในพุ่มไม้พลันเงียบลง เมื่อเงาร่างสองร่างเคลื่อนตัวเงียบงันไปตามทางเดินลับด้านหลังเรือนเล็ก
เนี่ยฮุ่ยเฟยสวมชุดผ้าแพรเรียบง่าย สีเข้ม ไม่มีลวดลายเพื่อไม่ให้สะดุดตา สวมผ้าคลุมหนาแน่นพอจะต้านลมเย็นยะเยือกที่แทรกซึมเข้าไปถึงกระดูก
ข้างกายนางคือบุรุษที่สูงกว่า ห่มชุดคลุมดำสนิท สวมหมวกผ้าปิดครึ่งใบหน้า เขาก้าวเดินอย่างมั่นคง รู้เส้นทางในจวนเนี่ยราวกับเคยมาหลายครั้ง
“ท่านเคยมาที่นี่หรือ “นางถามเบา ๆ ขณะผ่านกำแพงหินเล็ก ๆ ด้านตะวันตก
หลิงเซ่าเทียนพยักหน้าช้า ๆ “เมื่อครั้งยังเด็ก…ข้าเคยมาครั้งหนึ่งกับบิดา แต่ไม่นึกว่าจะต้องกลับมาเช่นนี้”
เสียงฝีเท้าหยุดลงเบื้องหน้า…คือศาลาหลังหนึ่ง ปกคลุมด้วยเถาวัลย์แห้งและเงาร่มไม้รกทึบ
ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้มันตั้งแต่นางจำความได้ บางคนร่ำลือว่าเป็นที่อัปมงคล บ้างว่าเคยมีผู้อาวุโสตายอย่างเป็นปริศนา แต่เนี่ยฮุ่ยเฟยรู้ดีว่า ที่แห่งนี้เกี่ยวข้องกับมารดาของนาง…อย่างแน่นอน
บานประตูไม้ของศาลาปิดสนิท มีเถาวัลย์เกาะแน่นจนราวกับฝังกลบทางเข้า หลิงเซ่าเทียนหยิบมีดสั้นจากเอว ตัดเถาวัลย์ออกอย่างเงียบงัน กลิ่นอับและฝุ่นโบราณลอยออกมาทันทีที่ประตูค่อย ๆ ถูกผลักเปิด
กึก…
เสียงบานพับที่ไม่ได้เคลื่อนไหวมานานหลายปีครางเบา ๆ ภายในมืดสนิท มีเพียงกลิ่นไม้เก่าและกลิ่นชื้นจากพื้นดินที่เหมือนไม่เคยแห้งสนิท
เนี่ยฮุ่ยเฟยก้าวเข้าไปอย่างระมัดระวัง มือกำโคมไฟเล็ก ๆ แน่น
หลิงเซ่าเทียนเดินตามหลังอย่างระวัง ร่างของเขาขยับครอบคลุมเงาของนางไว้เกือบหมด
“ตรงนี้…” นางชี้ไปยังเสาด้านขวา ที่พื้นใต้ฐานเสามีรอยแตกและรอยฝังใหม่ ๆ ซึ่งหากไม่สังเกตจะมองไม่เห็น
เขาคุกเข่าลง ใช้มือกวาดเศษฝุ่นและหญ้าแห้ง เผยให้เห็นฝาไม้ที่ฝังกลืนกับพื้น แต่มีรอยเจาะเข็มลึกตรงขอบมุม
หลิงเซ่าเทียนหยิบเหล็กปลายแหลมจากเสื้อในเสียบลงไปร่องเล็ก ๆ แล้วดันเบา ๆ
แกร๊ก… ฝาไม้ยกขึ้น เผยโพรงใต้ดินที่กว้างพอให้คนหนึ่งคนลงไปได้ กลิ่นเก่าคร่ำของเอกสารเก่าและผ้าไหมเก่าลอยขึ้นมาทันที
“แน่ใจหรือไม่ว่าจะลงไปเอง?” นางเอ่ยถามคนตัวโต
เขาหันมามองนาง “ข้าจะไม่ให้เจ้าลงไปในที่อันตราย เพียงลำพัง”
แล้วจึงค่อย ๆ ปีนลงไปในโพรง ก่อนจะยื่นมือขึ้นให้นางตามลงมา แม้นางจะลังเลเพียงครู่…แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจจับมือนั้น
ภายในใต้ศาลา มีห้องเล็ก ๆ ที่ฝังตัวอยู่ในดิน ผนังเสริมด้วยไม้ไผ่เก่า พื้นเรียบ
และที่มุมหนึ่ง…มี กล่องเหล็ก สีดำสนิท ฝังตราประทับ “ตระกูลเนี่ย” ไว้อย่างแนบเนียน
หลิงเซ่าเทียนคุกเข่าลง พลิกกล่องขึ้นมา พบว่ามีรหัสลับซ่อนอยู่
เนี่ยฮุ่ยเฟยนิ่งคิดก่อนจะหยิบสร้อยคอเส้นเล็กจากคอของตนเองซึ่งเป็นของมารดาแล้วใส่ลงไปในช่องเว้าของกล่อง
เมื่อฟ้าเช้าเริ่มปรากฏแสงแดดแรกของวัน หลิงเซ่าเทียนเดินออกจากวังหลวงโดยไม่มีใครรู้ว่าเขาคือใคร มีเพียงร่องรอยรองเท้าบนฝุ่นบาง ๆ ที่ลานหิน และเงาของเขาที่ทอดยาวไกล เขาหยิบตราลับเล็กอีกดวงจากอกเสื้อ เป็นตราที่ราชเลขามอบให้เขาโดยเฉพาะตราที่ให้สิทธิ์ “ปิดเมือง สอบสวน และควบคุมผู้ต้องสงสัย” ได้โดยตรงในอำนาจของราชเลขาหวังจิ่นข่าย “ถึงเวลาตอบแทนความยุติธรรม…ของท่านพ่อแล้ว” เรือนเล็กของเนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งอยู่กลางสวนหลังเรือน นางกำลังวาดภาพเหมือนของมารดาตามความทรงจำ ในใจเต็มไปด้วยความกังวล หลังข่าวลือเรื่องขบถเงาเริ่มแทรกซึมสังคมสาวใช้คนสนิทวิ่งเข้ามา สีหน้าเคร่งเครียด “คุณหนูเจ้าคะ! มีคนแปลกหน้าป้วนเปี้ยนแถวเรือนตั้งแต่เช้า! ข้าคิดว่า…พวกเขาไม่ใช่คนของจวน!” เนี่ยฮุ่ยเฟยหยุดมือที่กำลังแตะปลายพู่กันสายตาแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “นั่นแสดงว่า…ฟู่ซื่อเริ่มลงมือแล้ว
คลิก… ฝากล่องเปิดออกภายในมีม้วนผ้าไหมยาวหลายผืน จดหมายที่ถูกพับอย่างบรรจง และ “เหรียญประจำตระกูล” ซึ่งหายไปนานนับสิบปี นางค่อย ๆ หยิบจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นลายมือมารดาชัดเจน และเปื้อนรอยน้ำตาเก่า ๆ นางอ่านเบา ๆ ในจดหมาย มารดานางเขียนถึง ภัยที่ใกล้เข้ามาในวันนั้นกล่าวถึง “ขุนนางบางคน” ที่มีความเกี่ยวพันกับฟู่ซื่อ และการยักยอกเงินหลวงผ่านกิจการในนามร้านเล็ก ๆ มารดานางพยายามจะเปิดโปง แต่ถูกสั่งปิดปากอย่างเลือดเย็นหลิงเซ่าเทียนเงียบอยู่นาน ก่อนพูดช้า ๆ “นี่…คือหลักฐานที่ท่านพ่อของข้า เคยตามหา และเป็นหลักฐาน…ที่อาจโค่นทั้งฟู่ซื่อและตระกูลเนี่ยพร้อมกันได้” แววตาของฮุ่ยเฟยในยามนั้น…ไม่ใช่สายตาของคุณหนูผู้เคยถูกทอดทิ้งอีกต่อไปแต่มันคือดวงตาของคนที่ตื่นขึ้นจากเงามืดพร้อมจะยืนอยู่กลางแสงอย่างไม่กลัวสิ่งใด “ข้าจะไม่ถอยอีกต่อไป…ไม่ว่าใครจะต้องล้มไปกับความจริงนี้ก็ตาม”
อีกด้านของเมืองนั้น ภายในห้องหนังสือของหลิงเซ่าเทียน แสงจากตะเกียงส่องลงบนแผนที่และสมุดบัญชีเก่า ๆ บ่าวคนสนิทของเขารายงานด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ “นายท่าน ร้านเก่าของฮูหยินเนี่ยถูกลอบวางเพลิง!” หลิงเซ่าเทียนเงยหน้าขึ้นทันทีแววตาเยือกเย็นวูบผ่าน ก่อนเขาจะลุกขึ้น “พวกมันเริ่มแล้ว….ไปเตรียมรถม้า ข้าจะไปพบกับฮุ่ยเฟยในคืนนี้” ในยามที่ทุกสิ่งเคลื่อนไหวในเงามืดความลับของอดีต คำมั่นในปัจจุบัน และเงาแค้นของอนาคต…กำลังเริ่มปะทะกันอย่างเงียบงัน เสียงฝีเท้าบนลานกรวดเงียบเชียบ หากมั่นคงบ่าวคนสนิทของหลิงเซ่าเทียนเดินมาหยุดที่ข้างหน้าต่าง โบกมือเบา ๆ ส่งสัญญาณ ไม่นานนัก เงาร่างสูงสง่าก็ข้ามกำแพงเข้าสู่เรือนอย่างไร้สุ้มเสียงสายตาเขาเหลือบมองความมืดรอบข้างก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องแคบ ๆ ที่แสงตะเกียงยังคงส่องสลัว เนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งรออยู่แล้ว ราวกับรู้ว่าเขาจะมาสีหน้าแม้เคร่งขรึม แต่ดวงตายังคงเยือกเย็นอย่างควบคุม
เนี่ยฮุ่ยเฟยสบตาเขานางเห็นแววจริงใจในดวงตานั้นแต่ก็ยังไม่ละความระแวดระวัง “ข้าไม่เข้าใจ…เหตุใดท่านจึงต้องช่วยเหลือข้า” หลิงเซ่าเทียนวางถ้วยชาลงเงียบไปนาน ก่อนตอบช้า ๆ “ในสายตาคนนอก เจ้าอาจเป็นเพียงคุณหนูตกอับของจวนตระกูลเนี่ย แต่ข้า…เห็นเจ้ายืนหยัดด้วยตัวเองมาตลอด ไม่แม้แต่จะยอมจำนนต่อโชคชะตา” เสียงเขาชะงักเล็กน้อยก่อนพูดคำที่ทำให้นางแทบลืมหายใจ “และที่สำคัญ…ข้าเป็นหนี้คนผู้หนึ่ง ซึ่งเกี่ยวพันกับท่าน” ดวงตาของฮุ่ยเฟยเบิกขึ้น “หนี้? ท่านหมายถึงใครกัน…” หลิงเซ่าเทียนสบตานางใบหน้าเขาเคร่งขรึมแต่เปี่ยมด้วยความอ่อนโยน “ฮูหยินเอกแห่งตระกูลเนี่ย มารดาของเจ้า” มือที่ถือถ้วยชากระชับแน่นขึ้นเล็กน้อยหัวใจเต้นถี่…คล้ายกลัวความจริงที่รออยู่เบื้องหน้านางเงยหน้าขึ้นช้า ๆ เสียงที่เปล่งออกมาแม้เบา แต่ชัดเจนและมั่นคง “ท่านแม่ของข้า นางเกี่ยวข้องอะไรกับท่
เนี่ยฮุ่ยเฟยหยุดอยู่หน้าร้านหนึ่งมองแผ่นป้ายไม้ที่จางไปตามกาลเวลาร้านนั้นคือ “ร้านผ้าเมฆา” ร้านผ้าที่เคยเป็นของมารดาตนเนี่ยฮุ่ยเฟยมองป้ายร้านอยู่นาน ดวงตาที่ปกติแน่วแน่นั้นสั่นระริกเพียงครู่ จากนั้นจึงหันหลังเดินต่อ โดยมุ่งหน้าไปยังตรอกด้านหลังตลาด จากนั้นซูอวี้ก้เดินตามนางไปซูอี้มองซ้ายขวาอย่างระมัดระวังตรอกนี้เป็นทางเชื่อมระหว่างตลาดกับโรงเตี๊ยมเมิ่งหลิ่วชุนจังหวะที่นางแทรกตัวเข้าไป ทันใดนั้น…เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นด้านหลัง เร็ว และมั่นคงจนผิดสังเกตซูอี้ขมวดคิ้ว รีบหมุนตัวกลับกลับพบเพียงบุรุษในชุดดำ สวมหมวกบังหน้า เดินสวนผ่านเธอไปเงียบ ๆ แต่สัมผัสบางอย่างไม่ถูกต้องกลิ่นยาสมุนไพรจาง ๆ กับแรงกดดันจากแววตาผู้ผ่านไปนั้นทำให้หลังของซูอี้เย็นวาบหลิงเซ่าเทียนยืนมองออกไปจากหน้าต่างเขาสวมเสื้อคลุมสีเข้ม ผ้าคาดเอวหรูหราแต่ไม่อวดอ้างในมือนั้นถือพัดไม้ไผ่ปักชื่อ ‘เมิ่งหลิ่วชุน’ อย่างอ่อนช้อย ข้างหลังเขา คือชายวัยกลางคนในชุดทหารปลอมตัว “จินซาน” อดีตองครักษ์ประจำตระกูลหลิง“สาวใช้นั่นใช่คนของฟู่ซื่อหรือไม่?” หลิงเซ่าเทียนถามโดยไม่หันกลับมา“ใช่ขอรับ ข้าสืบพบว่าเรียกชื่อว่าซูอี้ สนิทกับฮู
ยามสาย แสงแดดอ่อนลอดผ่านม่านโปร่งที่ไหวตามลม ภายในเรือนของ “ฟู่ซื่อ” กลิ่นธูปหอมอบอวล ปะปนกับกลิ่นชาดอกเหมยหญิงผู้ครองตำแหน่ง “ฮูหยินเอกคนปัจจุบัน” นั่งประณีตอยู่บนอาสนะไม้ลายกลีบบัวงดงามดุจสตรีผู้สูงศักดิ์ หากแต่ในแววตากลับมีเงาของความไม่พอใจแฝงอยู่สาวใช้ที่ไว้ใจได้ “ชุนผิง” เดินเข้ามาคุกเข่าแล้วก้มหน้ารายงานเบา ๆ“อูหยินเจ้าคะ…บ่าวกลับจากตลาดแล้ว แต่…เรื่องที่สั่งเกี่ยวกับคุณหนูใหญ่…”ฟู่ซื่อเอียงศีรษะเล็กน้อย “ว่าอย่างไร? คนในตลาดว่าอะไรบ้าง”“…ขออภัยเจ้าค่ะ ไม่มีใครกล่าวถึงอีกเลย”มือที่กำลังถือถ้วยชาชะงักเล็กน้อย ก่อนจะวางลงช้า ๆ“ไม่มีเลย? หมายความว่าอย่างไร…”“เมื่อคืนตลาดปิดเร็วกว่าปกติหลายร้าน แม่ค้าบางคนที่เคยพูดถึงข่าวลือเรื่องคุณหนูใหญ่ ก็เงียบ ไม่กล้ากล่าวแม้คำเดียว แม้บ่าวจะลองจงใจถามนำเรื่อง ก็ถูกปฏิเสธ หรือไม่ก็ถูกเมินค่ะ”ฟู่ซื่อขมวดคิ้ว เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงต่ำ“แปลก…ข้าคิดว่าอย่างน้อยพวกชาวบ้านคงไม่หยุดพูดกันเร็วถึงเพียงนี้ หรือว่าผู้ใด…เข้าแทรกแซง?”“ชุนผิง เจ้าเคยได้ยินชื่อของผู้ใดที่มีผู้คนกล่าวถึงในตลาดเร็ว ๆ นี้บ้างหรือไม่?”ชุนผิงเงยหน้าช้า ๆ คล้ายล