คลิก…
ฝากล่องเปิดออกภายในมีม้วนผ้าไหมยาวหลายผืน จดหมายที่ถูกพับอย่างบรรจง และ “เหรียญประจำตระกูล” ซึ่งหายไปนานนับสิบปี
นางค่อย ๆ หยิบจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นลายมือมารดาชัดเจน และเปื้อนรอยน้ำตาเก่า ๆ
นางอ่านเบา ๆ ในจดหมาย มารดานางเขียนถึง ภัยที่ใกล้เข้ามาในวันนั้น
กล่าวถึง “ขุนนางบางคน” ที่มีความเกี่ยวพันกับฟู่ซื่อ และการยักยอกเงินหลวงผ่านกิจการในนามร้านเล็ก ๆ มารดานางพยายามจะเปิดโปง แต่ถูกสั่งปิดปากอย่างเลือดเย็น
หลิงเซ่าเทียนเงียบอยู่นาน ก่อนพูดช้า ๆ
“นี่…คือหลักฐานที่ท่านพ่อของข้า เคยตามหา และเป็นหลักฐาน…ที่อาจโค่นทั้งฟู่ซื่อและตระกูลเนี่ยพร้อมกันได้”
แววตาของฮุ่ยเฟยในยามนั้น…ไม่ใช่สายตาของคุณหนูผู้เคยถูกทอดทิ้งอีกต่อไปแต่มันคือดวงตาของคนที่ตื่นขึ้นจากเงามืดพร้อมจะยืนอยู่กลางแสงอย่างไม่กลัวสิ่งใด
“ข้าจะไม่ถอยอีกต่อไป…ไม่ว่าใครจะต้องล้มไปกับความจริงนี้ก็ตาม”
เนี่ยฮุ่ยเฟยยังคงอ่านจดหมายของมารดาช้า ๆ ถ้อยคำทุกคำเหมือนแผลเป็นที่เพิ่งถูกเปิดออก
ข้างตัว นอกจากจดหมายเก่า ยังมี ผืนผ้าไหมผืนหนึ่ง พันม้วนแน่นอย่างผิดปกติ
หลิงเซ่าเทียนรู้สึกได้ถึงบางสิ่งผิดแผก เขาใช้มือสัมผัสอย่างระมัดระวัง ก่อนจะพบว่าชั้นในของผ้านั้น…มีการเย็บซ่อนบางอย่างไว้
“นี่ไม่ใช่แค่ผ้า…” เขาเอ่ยต่ำ จากนั้นจึงใช้มีดเล็กเฉือนตะเข็บออกอย่างบรรจง
แกร๊ก… จากภายในร่วงออกมาเป็น “แผ่นไม้บางขนาดฝ่ามือ” แต่สิ่งที่น่าตกใจคือสัญลักษณ์ที่สลักอยู่ด้านบน…
ตราประทับลับของราชสำนัก แผ่นคำสั่งเฉพาะกิจ
“…ตรานี้ ข้าเคยเห็น” เสียงของหลิงเซ่าเทียนแผ่วเบา แต่สั่นสะท้าน เขามองมันราวกับเงาอดีตพุ่งกลับมา
“เมื่อสิบปีก่อน…ก่อนที่ท่านพ่อของข้าจะถูกใส่ร้าย ท่านเคยได้รับแผ่นไม้เช่นนี้มาจากราชสำนัก ให้ไปตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลในเมืองต้าเฉิง…แต่หลังจากนั้น ท่านก็ถูกกล่าวหาว่าคบคิดล้มราชสำนัก ถูกปลดจากตำแหน่งในทันที และ…หายตัวไป ไม่มีใครพบศพ ไม่มีแม้แต่เสื้อผ้า” เสียงของเขาเงียบลง พร้อมกับกำแผ่นไม้ในมือแน่นขึ้น
เนี่ยฮุ่ยเฟยมองเขา ดวงตานิ่ง “หากแผ่นนี้ยังอยู่ที่นี่…แสดงว่าบิดาของท่านอาจเคยมาที่จวนเนี่ย หรือบางที…ถูกนำตัวมาโดยใครบางคนที่รู้เรื่องทั้งหมด”
หลิงเซ่าเทียนพยักหน้า
“และนั่นหมายความว่า…ผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด อาจเกี่ยวพันกับตระกูลเนี่ยไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”
ทั้งสองยังคงลงมือขุดค้นกันต่อไป และเมื่อขุดค้นลึกลงไปอีกในกล่อง ใต้จดหมายเรียบ ๆ มี “กล่องไม้เล็ก” ฝังอยู่ในแผ่นรอง ภายในคือ บันทึกฉบับย่อ ที่เขียนด้วยอักษรลับ
“ตัวอักษรพวกนี้…คือรหัสที่ราชสำนักชั้นในใช้ติดต่อกันช่วงสงครามชายแดนเมื่อสิบห้าปีก่อน” เขาหยิบมันขึ้นมาถอดรหัสอย่างรวดเร็วข้อความที่ได้…ทำให้สีหน้าทั้งเขาและเนี่ยฮุ่ยเฟยเปลี่ยนไป
“ผู้ควบคุมเบื้องหลังอยู่ในเงา ไม่ใช่ขุนนาง…แต่คือสตรี และนางอยู่ในเมืองนี้ มีอำนาจเหนือความคาดหมาย”
เนี่ยฮุ่ยเฟยลมหายใจสะดุด “…สตรี?”
เงาร่างหนึ่งปรากฏในใจของนางชัดเจนขึ้นมาโดยไม่ต้องนึกนาน… ฟู่ซื่อ
หลิงเซ่าเทียนกล่าวเสียงหนัก
“บางที ‘ฟู่ซื่อ’ อาจไม่ใช่แค่ฮูหยินรองธรรมดาอย่างที่ทุกคนเข้าใจ…แต่อาจเป็นหัวใจของใยแมงมุมที่ปกคลุมเมืองนี้”
เช้ามืดของวันนี้ ที่ลานด้านหน้าสำนักราชเลขาเงียบงัน ผู้คนยังไม่ตื่นจากนิทรา
แต่ในเงามืดของแนวต้นหลิวริมทางนั้น มีเงาผู้หนึ่งปรากฏ
หลิงเซ่าเทียนสวมชุดนักบวชชาวเมือง ธรรมดาเสียจนน่ามองข้าม แต่ในอกเสื้อของเขา กลับซ่อนสิ่งที่ไม่ธรรมดาอยู่…
กล่องเหล็กบรรจุตราราชสำนัก และบันทึกลับที่ถอดรหัสแล้ว
เขาเดินผ่านประตูไม้บานใหญ่ที่แง้มไว้ เจ้าหน้าที่ด้านในโค้งรับเขาอย่างรู้หน้าที่ ประหนึ่งชายหนุ่มผู้นี้เคยมาที่นี่หลายครั้ง และพวกเขารู้ดีว่า “เขาเป็นใคร”
หลิงเซ่าเทียนเดินตรงเข้าห้องรับรองชั้นใน ที่นั่น มีบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่ใต้ภาพเขียนภูผาเมฆาหมอก
เขาคือ “ราชเลขาหวังจิ่นข่าย” ขุนนางอาวุโสผู้มีอำนาจควบคุมเอกสารลับทั้งหมดของวังหลวง
และในยามราชสำนักเกิดคลื่นใต้น้ำ เขาคือมือเงาที่จัดความสมดุล
“เจ้าไม่เคยทำให้ข้าผิดหวัง ครั้งนี้…เจ้าพบอะไรมาบ้าง?”
หลิงเซ่าเทียนวางกล่องลงบนโต๊ะอย่างเงียบงันแล้วเปิดฝาออก เผยให้เห็น “ตราราชสำนักพิเศษ” กับบันทึกลับจำนวนหนึ่ง
ราชเลขาหวังเอื้อมมือมาหยิบตรานั้นขึ้นพลิกไปมา สีหน้าเคร่งขรึมและนิ่งสนิทราวกับหินผา
“นี่คือ…ตราพิเศษของพระราชโองการลับจากอดีตฮ่องเต้พระองค์ก่อน ที่สั่งให้ตรวจสอบการทุจริตในแคว้นชายแดน…ก่อนที่พระองค์จะสวรรคตเพียงไม่นาน”
หลิงเซ่าเทียนพยักหน้า
“ท่านพ่อได้รับโองการนี้เมื่อสิบปีก่อนขอรับ แต่หลังจากเริ่มสืบราชการลับ กลับถูกใส่ความ และหายตัวไปโดยไร้ร่องรอย”
“บัดนี้…ข้ามีหลักฐานว่าต้นตอของเรื่องทั้งหมด เชื่อมโยงกับ ‘ตระกูลฟู่’ ในเมืองต้าเฉียน และผู้ที่ข้าสงสัย…คือ ฟู่ซื่อ ฮูหยินของตระกูลเนี่ย”
ราชเลขาหวังนิ่งไปนาน ก่อนจะเปรยออกมาช้า ๆ
“ฟู่ซื่อ…มาจากตระกูลฟู่แห่งชายแดนตะวันตกใช่หรือไม่? ข้าเคยได้รับรายงานว่า…ฟู่ซื่อมีสายสัมพันธ์ลับกับขุนนางตระกูลเป่ยที่เคยคิดล้มราชบัลลังก์เมื่อสิบปีก่อน แต่หลักฐานไม่เพียงพอ จึงไม่อาจสั่งการได้ แต่หากเจ้านำของพวกนี้มาให้ในตอนนี้…บางที…เวลาของพวกเราก็มาถึงแล้ว”
ราชเลขาหวังหยิบม้วนบันทึกขึ้นพลิกอ่าน ก่อนจะหันไปเขียนคำสั่งสั้น ๆ บนกระดาษสีน้ำเงินเข้ม
“ข้าจะส่งคนของวังออกไปตรวจสอบตระกูลฟู่ และบัญชีลับที่เชื่อมโยงกับเส้นทางเงินจากต่างแคว้น ขณะเดียวกัน…เจ้าจะต้องกลับไปที่ต้าเฉียน เพื่อเก็บ ‘สิ่งสุดท้าย’ ที่พิสูจน์ได้ชัดว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของบิดาเจ้า”
เมื่อฟ้าเช้าเริ่มปรากฏแสงแดดแรกของวัน หลิงเซ่าเทียนเดินออกจากวังหลวงโดยไม่มีใครรู้ว่าเขาคือใคร มีเพียงร่องรอยรองเท้าบนฝุ่นบาง ๆ ที่ลานหิน และเงาของเขาที่ทอดยาวไกล เขาหยิบตราลับเล็กอีกดวงจากอกเสื้อ เป็นตราที่ราชเลขามอบให้เขาโดยเฉพาะตราที่ให้สิทธิ์ “ปิดเมือง สอบสวน และควบคุมผู้ต้องสงสัย” ได้โดยตรงในอำนาจของราชเลขาหวังจิ่นข่าย “ถึงเวลาตอบแทนความยุติธรรม…ของท่านพ่อแล้ว” เรือนเล็กของเนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งอยู่กลางสวนหลังเรือน นางกำลังวาดภาพเหมือนของมารดาตามความทรงจำ ในใจเต็มไปด้วยความกังวล หลังข่าวลือเรื่องขบถเงาเริ่มแทรกซึมสังคมสาวใช้คนสนิทวิ่งเข้ามา สีหน้าเคร่งเครียด “คุณหนูเจ้าคะ! มีคนแปลกหน้าป้วนเปี้ยนแถวเรือนตั้งแต่เช้า! ข้าคิดว่า…พวกเขาไม่ใช่คนของจวน!” เนี่ยฮุ่ยเฟยหยุดมือที่กำลังแตะปลายพู่กันสายตาแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “นั่นแสดงว่า…ฟู่ซื่อเริ่มลงมือแล้ว
คลิก… ฝากล่องเปิดออกภายในมีม้วนผ้าไหมยาวหลายผืน จดหมายที่ถูกพับอย่างบรรจง และ “เหรียญประจำตระกูล” ซึ่งหายไปนานนับสิบปี นางค่อย ๆ หยิบจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นลายมือมารดาชัดเจน และเปื้อนรอยน้ำตาเก่า ๆ นางอ่านเบา ๆ ในจดหมาย มารดานางเขียนถึง ภัยที่ใกล้เข้ามาในวันนั้นกล่าวถึง “ขุนนางบางคน” ที่มีความเกี่ยวพันกับฟู่ซื่อ และการยักยอกเงินหลวงผ่านกิจการในนามร้านเล็ก ๆ มารดานางพยายามจะเปิดโปง แต่ถูกสั่งปิดปากอย่างเลือดเย็นหลิงเซ่าเทียนเงียบอยู่นาน ก่อนพูดช้า ๆ “นี่…คือหลักฐานที่ท่านพ่อของข้า เคยตามหา และเป็นหลักฐาน…ที่อาจโค่นทั้งฟู่ซื่อและตระกูลเนี่ยพร้อมกันได้” แววตาของฮุ่ยเฟยในยามนั้น…ไม่ใช่สายตาของคุณหนูผู้เคยถูกทอดทิ้งอีกต่อไปแต่มันคือดวงตาของคนที่ตื่นขึ้นจากเงามืดพร้อมจะยืนอยู่กลางแสงอย่างไม่กลัวสิ่งใด “ข้าจะไม่ถอยอีกต่อไป…ไม่ว่าใครจะต้องล้มไปกับความจริงนี้ก็ตาม”
อีกด้านของเมืองนั้น ภายในห้องหนังสือของหลิงเซ่าเทียน แสงจากตะเกียงส่องลงบนแผนที่และสมุดบัญชีเก่า ๆ บ่าวคนสนิทของเขารายงานด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ “นายท่าน ร้านเก่าของฮูหยินเนี่ยถูกลอบวางเพลิง!” หลิงเซ่าเทียนเงยหน้าขึ้นทันทีแววตาเยือกเย็นวูบผ่าน ก่อนเขาจะลุกขึ้น “พวกมันเริ่มแล้ว….ไปเตรียมรถม้า ข้าจะไปพบกับฮุ่ยเฟยในคืนนี้” ในยามที่ทุกสิ่งเคลื่อนไหวในเงามืดความลับของอดีต คำมั่นในปัจจุบัน และเงาแค้นของอนาคต…กำลังเริ่มปะทะกันอย่างเงียบงัน เสียงฝีเท้าบนลานกรวดเงียบเชียบ หากมั่นคงบ่าวคนสนิทของหลิงเซ่าเทียนเดินมาหยุดที่ข้างหน้าต่าง โบกมือเบา ๆ ส่งสัญญาณ ไม่นานนัก เงาร่างสูงสง่าก็ข้ามกำแพงเข้าสู่เรือนอย่างไร้สุ้มเสียงสายตาเขาเหลือบมองความมืดรอบข้างก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องแคบ ๆ ที่แสงตะเกียงยังคงส่องสลัว เนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งรออยู่แล้ว ราวกับรู้ว่าเขาจะมาสีหน้าแม้เคร่งขรึม แต่ดวงตายังคงเยือกเย็นอย่างควบคุม
เนี่ยฮุ่ยเฟยสบตาเขานางเห็นแววจริงใจในดวงตานั้นแต่ก็ยังไม่ละความระแวดระวัง “ข้าไม่เข้าใจ…เหตุใดท่านจึงต้องช่วยเหลือข้า” หลิงเซ่าเทียนวางถ้วยชาลงเงียบไปนาน ก่อนตอบช้า ๆ “ในสายตาคนนอก เจ้าอาจเป็นเพียงคุณหนูตกอับของจวนตระกูลเนี่ย แต่ข้า…เห็นเจ้ายืนหยัดด้วยตัวเองมาตลอด ไม่แม้แต่จะยอมจำนนต่อโชคชะตา” เสียงเขาชะงักเล็กน้อยก่อนพูดคำที่ทำให้นางแทบลืมหายใจ “และที่สำคัญ…ข้าเป็นหนี้คนผู้หนึ่ง ซึ่งเกี่ยวพันกับท่าน” ดวงตาของฮุ่ยเฟยเบิกขึ้น “หนี้? ท่านหมายถึงใครกัน…” หลิงเซ่าเทียนสบตานางใบหน้าเขาเคร่งขรึมแต่เปี่ยมด้วยความอ่อนโยน “ฮูหยินเอกแห่งตระกูลเนี่ย มารดาของเจ้า” มือที่ถือถ้วยชากระชับแน่นขึ้นเล็กน้อยหัวใจเต้นถี่…คล้ายกลัวความจริงที่รออยู่เบื้องหน้านางเงยหน้าขึ้นช้า ๆ เสียงที่เปล่งออกมาแม้เบา แต่ชัดเจนและมั่นคง “ท่านแม่ของข้า นางเกี่ยวข้องอะไรกับท่
เนี่ยฮุ่ยเฟยหยุดอยู่หน้าร้านหนึ่งมองแผ่นป้ายไม้ที่จางไปตามกาลเวลาร้านนั้นคือ “ร้านผ้าเมฆา” ร้านผ้าที่เคยเป็นของมารดาตนเนี่ยฮุ่ยเฟยมองป้ายร้านอยู่นาน ดวงตาที่ปกติแน่วแน่นั้นสั่นระริกเพียงครู่ จากนั้นจึงหันหลังเดินต่อ โดยมุ่งหน้าไปยังตรอกด้านหลังตลาด จากนั้นซูอวี้ก้เดินตามนางไปซูอี้มองซ้ายขวาอย่างระมัดระวังตรอกนี้เป็นทางเชื่อมระหว่างตลาดกับโรงเตี๊ยมเมิ่งหลิ่วชุนจังหวะที่นางแทรกตัวเข้าไป ทันใดนั้น…เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นด้านหลัง เร็ว และมั่นคงจนผิดสังเกตซูอี้ขมวดคิ้ว รีบหมุนตัวกลับกลับพบเพียงบุรุษในชุดดำ สวมหมวกบังหน้า เดินสวนผ่านเธอไปเงียบ ๆ แต่สัมผัสบางอย่างไม่ถูกต้องกลิ่นยาสมุนไพรจาง ๆ กับแรงกดดันจากแววตาผู้ผ่านไปนั้นทำให้หลังของซูอี้เย็นวาบหลิงเซ่าเทียนยืนมองออกไปจากหน้าต่างเขาสวมเสื้อคลุมสีเข้ม ผ้าคาดเอวหรูหราแต่ไม่อวดอ้างในมือนั้นถือพัดไม้ไผ่ปักชื่อ ‘เมิ่งหลิ่วชุน’ อย่างอ่อนช้อย ข้างหลังเขา คือชายวัยกลางคนในชุดทหารปลอมตัว “จินซาน” อดีตองครักษ์ประจำตระกูลหลิง“สาวใช้นั่นใช่คนของฟู่ซื่อหรือไม่?” หลิงเซ่าเทียนถามโดยไม่หันกลับมา“ใช่ขอรับ ข้าสืบพบว่าเรียกชื่อว่าซูอี้ สนิทกับฮู
ยามสาย แสงแดดอ่อนลอดผ่านม่านโปร่งที่ไหวตามลม ภายในเรือนของ “ฟู่ซื่อ” กลิ่นธูปหอมอบอวล ปะปนกับกลิ่นชาดอกเหมยหญิงผู้ครองตำแหน่ง “ฮูหยินเอกคนปัจจุบัน” นั่งประณีตอยู่บนอาสนะไม้ลายกลีบบัวงดงามดุจสตรีผู้สูงศักดิ์ หากแต่ในแววตากลับมีเงาของความไม่พอใจแฝงอยู่สาวใช้ที่ไว้ใจได้ “ชุนผิง” เดินเข้ามาคุกเข่าแล้วก้มหน้ารายงานเบา ๆ“อูหยินเจ้าคะ…บ่าวกลับจากตลาดแล้ว แต่…เรื่องที่สั่งเกี่ยวกับคุณหนูใหญ่…”ฟู่ซื่อเอียงศีรษะเล็กน้อย “ว่าอย่างไร? คนในตลาดว่าอะไรบ้าง”“…ขออภัยเจ้าค่ะ ไม่มีใครกล่าวถึงอีกเลย”มือที่กำลังถือถ้วยชาชะงักเล็กน้อย ก่อนจะวางลงช้า ๆ“ไม่มีเลย? หมายความว่าอย่างไร…”“เมื่อคืนตลาดปิดเร็วกว่าปกติหลายร้าน แม่ค้าบางคนที่เคยพูดถึงข่าวลือเรื่องคุณหนูใหญ่ ก็เงียบ ไม่กล้ากล่าวแม้คำเดียว แม้บ่าวจะลองจงใจถามนำเรื่อง ก็ถูกปฏิเสธ หรือไม่ก็ถูกเมินค่ะ”ฟู่ซื่อขมวดคิ้ว เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงต่ำ“แปลก…ข้าคิดว่าอย่างน้อยพวกชาวบ้านคงไม่หยุดพูดกันเร็วถึงเพียงนี้ หรือว่าผู้ใด…เข้าแทรกแซง?”“ชุนผิง เจ้าเคยได้ยินชื่อของผู้ใดที่มีผู้คนกล่าวถึงในตลาดเร็ว ๆ นี้บ้างหรือไม่?”ชุนผิงเงยหน้าช้า ๆ คล้ายล