เนี่ยฮุ่ยเฟยสบตาเขานางเห็นแววจริงใจในดวงตานั้นแต่ก็ยังไม่ละความระแวดระวัง
“ข้าไม่เข้าใจ…เหตุใดท่านจึงต้องช่วยเหลือข้า”
หลิงเซ่าเทียนวางถ้วยชาลงเงียบไปนาน ก่อนตอบช้า ๆ
“ในสายตาคนนอก เจ้าอาจเป็นเพียงคุณหนูตกอับของจวนตระกูลเนี่ย แต่ข้า…เห็นเจ้ายืนหยัดด้วยตัวเองมาตลอด ไม่แม้แต่จะยอมจำนนต่อโชคชะตา” เสียงเขาชะงักเล็กน้อยก่อนพูดคำที่ทำให้นางแทบลืมหายใจ
“และที่สำคัญ…ข้าเป็นหนี้คนผู้หนึ่ง ซึ่งเกี่ยวพันกับท่าน”
ดวงตาของฮุ่ยเฟยเบิกขึ้น “หนี้? ท่านหมายถึงใครกัน…”
หลิงเซ่าเทียนสบตานางใบหน้าเขาเคร่งขรึมแต่เปี่ยมด้วยความอ่อนโยน
“ฮูหยินเอกแห่งตระกูลเนี่ย มารดาของเจ้า”
มือที่ถือถ้วยชากระชับแน่นขึ้นเล็กน้อยหัวใจเต้นถี่…คล้ายกลัวความจริงที่รออยู่เบื้องหน้า
นางเงยหน้าขึ้นช้า ๆ เสียงที่เปล่งออกมาแม้เบา แต่ชัดเจนและมั่นคง
“ท่านแม่ของข้า นางเกี่ยวข้องอะไรกับท่าน?”
หลิงเซ่าเทียนสบตานางความเคร่งขรึมในแววตาเขาลึกขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เมื่อสิบกว่าปีก่อน…บิดาของข้าหลิงซื่อเหวิน เป็นขุนนางฝ่ายธรรมาธิกรณ์ในราชสำนัก…เขาถูกกล่าวหาว่ากบฏ”
ฮุ่ยเฟยเบิกตากว้าง แต่เซ่าเทียนเพียงพยักหน้าเบา ๆ ก่อนกล่าวต่อ
“ข้าและมารดาหนีหัวซุกหัวซุน อยู่ไม่ต่างจากสัตว์ป่า อีกทั้งท่านแม่ของข้า นางยังป่วยหนักและใกล้คลอด…พวกเราไม่มีที่พึ่งพิง”
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก “แต่ในคืนนั้น มารดาของเจ้า กลับเปิดประตูรับเราไว้…ช่วยให้ข้าและท่านแม่ได้หลบพักในเรือนของนาง นางไม่กลัวว่าเราจะเป็นกบฏ ไม่หวั่นต่ออำนาจที่อาจจะสร้างความเดือนร้อนมาสู่ตน “
เนี่ยฮุ่ยเฟยขยับริมฝีปากแม้นางยังเด็กนักในวันนั้น แต่นางก็จดจำได้…ว่ามารดาตนเคยหายออกจากบ้านไปสองวัน กลับมาพร้อมใบหน้าซีดเซียว แต่แววตาอบอุ่นแปลกประหลาด และนางมักพูดว่า…
“แม่เคยช่วยชีวิตเด็กชายผู้หนึ่งไว้…เขาคือแสงเล็ก ๆ ในคืนที่แม่รู้สึกสิ้นหวัง”
หลิงเซ่าเทียนคลี่ยิ้มบางเบา สายตาเขาอ่อนลงเมื่อมองนาง
“ข้าไม่เคยลืม…ตอนที่นางสอนข้าผูกเสื้อให้ท่านแม่ และนางไม่ได้ให้เพียงที่หลบภัย แต่ให้ ‘ความหวัง’ แก่ข้าในยามที่ทุกสิ่งพังทลาย” เขานิ่งไปครู่ ก่อนกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น
“ข้าสาบาน…วันหนึ่งจะตอบแทนบุญคุณนั้นให้ถึงที่สุด”
เนี่ยฮุ่ยเฟยนิ่งไปนานในอกเหมือนถูกเข็มแทงแผ่ว ๆ ทั้งจากความตื้นตันและความเจ็บปวดระคนกัน
“ข้าได้ข่าวของนาง เมื่อสามปีก่อน…จึงเริ่มส่งคนสืบหาบุตรสาวของนางในเมือง แล้วข้าก็พบเด็กหญิงที่เติบโตขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยว ถูกทอดทิ้ง แม้ในจวนของตัวเอง แต่ที่ข้าจดจำได้เป็นอย่างดี ก็คือ แววตาที่ไม่ยอมจำนน…เหมือนมารดาของนาง ที่เคยช่วยชีวิตข้า”
ความเงียบทอดยาวในห้องนั้น ก่อนที่เนี่ยฮุ่ยเฟยจะวางถ้วยชาลง…อย่างสงบ
“ขอบคุณ…ที่ท่านไม่ลืมนาง” เสียงนางสั่นเล็กน้อยแต่น้ำเสียงมั่นคง
หลิงเซ่าเทียนโน้มตัวเล็กน้อย “ฮุ่ยเฟย…ข้าไม่ต้องการเพียงตอบแทนบุญคุณอีกต่อไปแล้ว ข้าต้องการ…ร่วมยืนอยู่ข้างเจ้า”
นางเงยหน้าขึ้น สบตาเขาแสงแดดยามโพล้เพล้ส่องผ่านบานหน้าต่างลงบนเรือนผมนาง
ความอบอุ่นไหลย้อนเข้าใจกลางอก นี่คือครั้งแรกในชีวิตของเนี่ยฮุ่ยเฟย…ที่นางรู้สึกว่าตนเองไม่ได้อยู่เพียงลำพังอีกต่อไป
ภายในห้องของฟู่ซื่อเงียบสงบแสงจากโคมน้ำมันสลัวไหวอยู่หน้าพัดลายเมฆบนโต๊ะ
เสียงกระซิบกระซาบของสาวใช้ดังแผ่วเบา ก่อนที่นางจะค้อมตัวลงข้างหูของฟู่ซื่อ
“คุณหนูใหญ่ นางไปพบกับบุรุษผู้นั้นอีกครั้งเจ้าค่ะ ครานี้พบกันในโรงน้ำชาเหยียนอวิ๋น”
ฟู่ซื่อวางถ้วยน้ำชาลงด้วยท่าทางสงบ ทว่ามือข้างที่วางอยู่บนตักกลับกำแน่นจนเห็นข้อกระดูกขาวซีด สายตาของฟู่ซื่อวาววับราวกับหมาป่าที่พบรอยเลือด นางยกพัดขึ้นปิดริมฝีปากบาง ทอดสายตามองผ่านหน้าต่างสู่ความมืดนอกห้อง
“หากนางคิดจะสืบเรื่องเก่า ๆ ของหลี่ฮุ่ยถังละก็…ข้าจะเผาทิ้งเสียเองก่อนที่มันจะถูกเปิดเผยไปแจ้งคนของเราที่ตลาด…ให้เริ่มเคลื่อนไหวได้แล้ว”
สาวใช้ขานรับด้วยความเคารพก่อนก้มตัวถอยออกไปภายในห้องเหลือเพียงกลิ่นชาจาง ๆ และรอยยิ้มเย็นยะเยือกของฟู่ซื่อ…ที่ไม่ได้ปรากฏบ่อยนัก
ในขณะที่เนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งอยู่หน้าต่าง เงยหน้ามองดวงจันทร์ในมือลูบพัดไม้ไผ่ลายเก่าของที่มารดานางเคยใช้ประจำ หลังกลับมาจากโรงน้ำชา นางก็เปิดกล่องผ้าเก่าในห้องเก็บของ พบข้าวของของมารดาที่ถูกซ่อนทิ้งไว้อย่างแผ่วเบา
ภายในมี “บัญชีร้านค้า” ที่นางไม่เคยรู้ว่ามีอยู่และ “จดหมายส่วนตัว” ซึ่งยังไม่ได้เปิดอ่าน
หัวใจนางยังว้าวุ่นอยู่ นางนึกถึงถ้อยคำของหลิงเซ่าเทียน
“…ข้าไม่ต้องการเพียงตอบแทนบุญคุณ ข้าอยากอยู่ข้างเจ้า”
นางไม่ได้หลงเชื่อเขาง่าย ๆ แต่นาง…ก็ไม่อาจปฏิเสธว่าคำพูดเหล่านั้น ทำให้หัวใจนางอ่อนโยนลง เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่าตนมีใครสักคนอยู่ข้างหลัง ไม่ว่าจะในฐานะใดก็ตาม
เสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้น นางลุกขึ้นอย่างตกใจเล็กน้อย ก่อนเปิดออก สาวใช้คนสนิทก้าวเข้ามาอย่างรีบร้อนใบหน้าเคร่งเครียดราวจะมีเรื่องร้ายแรง
“คุณหนู! มีคนแอบไปที่ร้านเก่าของฮูหยินเจ้าค่ะ พวกมันจุดไฟเผาทางหลังร้าน!”
เนี่ยฮุ่ยเฟยเบิกตากว้าง “อะไรนะ?!”
“ข้าให้คนไปดูทันที! โชคดีที่ดับไฟได้เร็ว แค่พังเสียหายส่วนหนึ่ง แต่ดูเหมือนพวกมันไม่ได้ต้องการเผาทิ้งเฉย ๆ …พวกมันกำลังหา ‘บางอย่าง’ เจ้าค่ะ!”
หัวใจของเนี่ยฮุ่ยเฟยพลันเต้นแรงมือของนางเย็นเฉียบ “พวกมันคงรู้ว่าแล้วว่า ข้าเริ่มสืบเรื่องของท่านแม่…ในเมื่อพวกมันเริ่มลงมือก่อน ข้าก็จะไม่อ่อนข้อให้อีกต่อไป!”
เมื่อฟ้าเช้าเริ่มปรากฏแสงแดดแรกของวัน หลิงเซ่าเทียนเดินออกจากวังหลวงโดยไม่มีใครรู้ว่าเขาคือใคร มีเพียงร่องรอยรองเท้าบนฝุ่นบาง ๆ ที่ลานหิน และเงาของเขาที่ทอดยาวไกล เขาหยิบตราลับเล็กอีกดวงจากอกเสื้อ เป็นตราที่ราชเลขามอบให้เขาโดยเฉพาะตราที่ให้สิทธิ์ “ปิดเมือง สอบสวน และควบคุมผู้ต้องสงสัย” ได้โดยตรงในอำนาจของราชเลขาหวังจิ่นข่าย “ถึงเวลาตอบแทนความยุติธรรม…ของท่านพ่อแล้ว” เรือนเล็กของเนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งอยู่กลางสวนหลังเรือน นางกำลังวาดภาพเหมือนของมารดาตามความทรงจำ ในใจเต็มไปด้วยความกังวล หลังข่าวลือเรื่องขบถเงาเริ่มแทรกซึมสังคมสาวใช้คนสนิทวิ่งเข้ามา สีหน้าเคร่งเครียด “คุณหนูเจ้าคะ! มีคนแปลกหน้าป้วนเปี้ยนแถวเรือนตั้งแต่เช้า! ข้าคิดว่า…พวกเขาไม่ใช่คนของจวน!” เนี่ยฮุ่ยเฟยหยุดมือที่กำลังแตะปลายพู่กันสายตาแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “นั่นแสดงว่า…ฟู่ซื่อเริ่มลงมือแล้ว
คลิก… ฝากล่องเปิดออกภายในมีม้วนผ้าไหมยาวหลายผืน จดหมายที่ถูกพับอย่างบรรจง และ “เหรียญประจำตระกูล” ซึ่งหายไปนานนับสิบปี นางค่อย ๆ หยิบจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นลายมือมารดาชัดเจน และเปื้อนรอยน้ำตาเก่า ๆ นางอ่านเบา ๆ ในจดหมาย มารดานางเขียนถึง ภัยที่ใกล้เข้ามาในวันนั้นกล่าวถึง “ขุนนางบางคน” ที่มีความเกี่ยวพันกับฟู่ซื่อ และการยักยอกเงินหลวงผ่านกิจการในนามร้านเล็ก ๆ มารดานางพยายามจะเปิดโปง แต่ถูกสั่งปิดปากอย่างเลือดเย็นหลิงเซ่าเทียนเงียบอยู่นาน ก่อนพูดช้า ๆ “นี่…คือหลักฐานที่ท่านพ่อของข้า เคยตามหา และเป็นหลักฐาน…ที่อาจโค่นทั้งฟู่ซื่อและตระกูลเนี่ยพร้อมกันได้” แววตาของฮุ่ยเฟยในยามนั้น…ไม่ใช่สายตาของคุณหนูผู้เคยถูกทอดทิ้งอีกต่อไปแต่มันคือดวงตาของคนที่ตื่นขึ้นจากเงามืดพร้อมจะยืนอยู่กลางแสงอย่างไม่กลัวสิ่งใด “ข้าจะไม่ถอยอีกต่อไป…ไม่ว่าใครจะต้องล้มไปกับความจริงนี้ก็ตาม”
อีกด้านของเมืองนั้น ภายในห้องหนังสือของหลิงเซ่าเทียน แสงจากตะเกียงส่องลงบนแผนที่และสมุดบัญชีเก่า ๆ บ่าวคนสนิทของเขารายงานด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ “นายท่าน ร้านเก่าของฮูหยินเนี่ยถูกลอบวางเพลิง!” หลิงเซ่าเทียนเงยหน้าขึ้นทันทีแววตาเยือกเย็นวูบผ่าน ก่อนเขาจะลุกขึ้น “พวกมันเริ่มแล้ว….ไปเตรียมรถม้า ข้าจะไปพบกับฮุ่ยเฟยในคืนนี้” ในยามที่ทุกสิ่งเคลื่อนไหวในเงามืดความลับของอดีต คำมั่นในปัจจุบัน และเงาแค้นของอนาคต…กำลังเริ่มปะทะกันอย่างเงียบงัน เสียงฝีเท้าบนลานกรวดเงียบเชียบ หากมั่นคงบ่าวคนสนิทของหลิงเซ่าเทียนเดินมาหยุดที่ข้างหน้าต่าง โบกมือเบา ๆ ส่งสัญญาณ ไม่นานนัก เงาร่างสูงสง่าก็ข้ามกำแพงเข้าสู่เรือนอย่างไร้สุ้มเสียงสายตาเขาเหลือบมองความมืดรอบข้างก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องแคบ ๆ ที่แสงตะเกียงยังคงส่องสลัว เนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งรออยู่แล้ว ราวกับรู้ว่าเขาจะมาสีหน้าแม้เคร่งขรึม แต่ดวงตายังคงเยือกเย็นอย่างควบคุม
เนี่ยฮุ่ยเฟยสบตาเขานางเห็นแววจริงใจในดวงตานั้นแต่ก็ยังไม่ละความระแวดระวัง “ข้าไม่เข้าใจ…เหตุใดท่านจึงต้องช่วยเหลือข้า” หลิงเซ่าเทียนวางถ้วยชาลงเงียบไปนาน ก่อนตอบช้า ๆ “ในสายตาคนนอก เจ้าอาจเป็นเพียงคุณหนูตกอับของจวนตระกูลเนี่ย แต่ข้า…เห็นเจ้ายืนหยัดด้วยตัวเองมาตลอด ไม่แม้แต่จะยอมจำนนต่อโชคชะตา” เสียงเขาชะงักเล็กน้อยก่อนพูดคำที่ทำให้นางแทบลืมหายใจ “และที่สำคัญ…ข้าเป็นหนี้คนผู้หนึ่ง ซึ่งเกี่ยวพันกับท่าน” ดวงตาของฮุ่ยเฟยเบิกขึ้น “หนี้? ท่านหมายถึงใครกัน…” หลิงเซ่าเทียนสบตานางใบหน้าเขาเคร่งขรึมแต่เปี่ยมด้วยความอ่อนโยน “ฮูหยินเอกแห่งตระกูลเนี่ย มารดาของเจ้า” มือที่ถือถ้วยชากระชับแน่นขึ้นเล็กน้อยหัวใจเต้นถี่…คล้ายกลัวความจริงที่รออยู่เบื้องหน้านางเงยหน้าขึ้นช้า ๆ เสียงที่เปล่งออกมาแม้เบา แต่ชัดเจนและมั่นคง “ท่านแม่ของข้า นางเกี่ยวข้องอะไรกับท่
เนี่ยฮุ่ยเฟยหยุดอยู่หน้าร้านหนึ่งมองแผ่นป้ายไม้ที่จางไปตามกาลเวลาร้านนั้นคือ “ร้านผ้าเมฆา” ร้านผ้าที่เคยเป็นของมารดาตนเนี่ยฮุ่ยเฟยมองป้ายร้านอยู่นาน ดวงตาที่ปกติแน่วแน่นั้นสั่นระริกเพียงครู่ จากนั้นจึงหันหลังเดินต่อ โดยมุ่งหน้าไปยังตรอกด้านหลังตลาด จากนั้นซูอวี้ก้เดินตามนางไปซูอี้มองซ้ายขวาอย่างระมัดระวังตรอกนี้เป็นทางเชื่อมระหว่างตลาดกับโรงเตี๊ยมเมิ่งหลิ่วชุนจังหวะที่นางแทรกตัวเข้าไป ทันใดนั้น…เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นด้านหลัง เร็ว และมั่นคงจนผิดสังเกตซูอี้ขมวดคิ้ว รีบหมุนตัวกลับกลับพบเพียงบุรุษในชุดดำ สวมหมวกบังหน้า เดินสวนผ่านเธอไปเงียบ ๆ แต่สัมผัสบางอย่างไม่ถูกต้องกลิ่นยาสมุนไพรจาง ๆ กับแรงกดดันจากแววตาผู้ผ่านไปนั้นทำให้หลังของซูอี้เย็นวาบหลิงเซ่าเทียนยืนมองออกไปจากหน้าต่างเขาสวมเสื้อคลุมสีเข้ม ผ้าคาดเอวหรูหราแต่ไม่อวดอ้างในมือนั้นถือพัดไม้ไผ่ปักชื่อ ‘เมิ่งหลิ่วชุน’ อย่างอ่อนช้อย ข้างหลังเขา คือชายวัยกลางคนในชุดทหารปลอมตัว “จินซาน” อดีตองครักษ์ประจำตระกูลหลิง“สาวใช้นั่นใช่คนของฟู่ซื่อหรือไม่?” หลิงเซ่าเทียนถามโดยไม่หันกลับมา“ใช่ขอรับ ข้าสืบพบว่าเรียกชื่อว่าซูอี้ สนิทกับฮู
ยามสาย แสงแดดอ่อนลอดผ่านม่านโปร่งที่ไหวตามลม ภายในเรือนของ “ฟู่ซื่อ” กลิ่นธูปหอมอบอวล ปะปนกับกลิ่นชาดอกเหมยหญิงผู้ครองตำแหน่ง “ฮูหยินเอกคนปัจจุบัน” นั่งประณีตอยู่บนอาสนะไม้ลายกลีบบัวงดงามดุจสตรีผู้สูงศักดิ์ หากแต่ในแววตากลับมีเงาของความไม่พอใจแฝงอยู่สาวใช้ที่ไว้ใจได้ “ชุนผิง” เดินเข้ามาคุกเข่าแล้วก้มหน้ารายงานเบา ๆ“อูหยินเจ้าคะ…บ่าวกลับจากตลาดแล้ว แต่…เรื่องที่สั่งเกี่ยวกับคุณหนูใหญ่…”ฟู่ซื่อเอียงศีรษะเล็กน้อย “ว่าอย่างไร? คนในตลาดว่าอะไรบ้าง”“…ขออภัยเจ้าค่ะ ไม่มีใครกล่าวถึงอีกเลย”มือที่กำลังถือถ้วยชาชะงักเล็กน้อย ก่อนจะวางลงช้า ๆ“ไม่มีเลย? หมายความว่าอย่างไร…”“เมื่อคืนตลาดปิดเร็วกว่าปกติหลายร้าน แม่ค้าบางคนที่เคยพูดถึงข่าวลือเรื่องคุณหนูใหญ่ ก็เงียบ ไม่กล้ากล่าวแม้คำเดียว แม้บ่าวจะลองจงใจถามนำเรื่อง ก็ถูกปฏิเสธ หรือไม่ก็ถูกเมินค่ะ”ฟู่ซื่อขมวดคิ้ว เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงต่ำ“แปลก…ข้าคิดว่าอย่างน้อยพวกชาวบ้านคงไม่หยุดพูดกันเร็วถึงเพียงนี้ หรือว่าผู้ใด…เข้าแทรกแซง?”“ชุนผิง เจ้าเคยได้ยินชื่อของผู้ใดที่มีผู้คนกล่าวถึงในตลาดเร็ว ๆ นี้บ้างหรือไม่?”ชุนผิงเงยหน้าช้า ๆ คล้ายล