เมื่อฟ้าเช้าเริ่มปรากฏแสงแดดแรกของวัน หลิงเซ่าเทียนเดินออกจากวังหลวงโดยไม่มีใครรู้ว่าเขาคือใคร มีเพียงร่องรอยรองเท้าบนฝุ่นบาง ๆ ที่ลานหิน และเงาของเขาที่ทอดยาวไกล
เขาหยิบตราลับเล็กอีกดวงจากอกเสื้อ เป็นตราที่ราชเลขามอบให้เขาโดยเฉพาะ
ตราที่ให้สิทธิ์ “ปิดเมือง สอบสวน และควบคุมผู้ต้องสงสัย” ได้โดยตรงในอำนาจของราชเลขาหวังจิ่นข่าย
“ถึงเวลาตอบแทนความยุติธรรม…ของท่านพ่อแล้ว”
เรือนเล็กของเนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งอยู่กลางสวนหลังเรือน นางกำลังวาดภาพเหมือนของมารดาตามความทรงจำ ในใจเต็มไปด้วยความกังวล หลังข่าวลือเรื่องขบถเงาเริ่มแทรกซึมสังคม
สาวใช้คนสนิทวิ่งเข้ามา สีหน้าเคร่งเครียด
“คุณหนูเจ้าคะ! มีคนแปลกหน้าป้วนเปี้ยนแถวเรือนตั้งแต่เช้า! ข้าคิดว่า…พวกเขาไม่ใช่คนของจวน!”
เนี่ยฮุ่ยเฟยหยุดมือที่กำลังแตะปลายพู่กันสายตาแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น
“นั่นแสดงว่า…ฟู่ซื่อเริ่มลงมือแล้ว
ขณะที่ฟู่ซื่อกำลังลอบส่งคนออกไปติดตามเนี่ยฮุ่ยเฟย และเตรียมเอกสารปลอมเพื่อโยนความผิดเรื่อง “ก่อกบฏ” ให้กับเนี่ยฮุ่ยเฟยและหลิงเซ่าเทียน
แต่ที่ลานด้านหลังโรงน้ำชาเล็ก ๆ นอกเมือง คนของราชเลขาหวังจิ่นข่ายได้มาตั้งโต๊ะพิจารณาเอกสารบัญชีสายเงิน
ชายชราใบหน้าเข้มคร่ำเอ่ยขึ้น
“เงินของตระกูลฟู่จำนวนมากถูกจ่ายผ่านร้านค้าบังหน้า ทั้งในเมืองหลวงและชายแดน บันทึกบางส่วนถูกปลอมแปลง”
เขาส่งบันทึกนั้นให้หลิงเซ่าเทียน
“ข้าจะใช้มัน เปิดโปงว่านางซ่องสุมเงินเพื่อสนับสนุน ‘พวกเป่ยหลง’ ที่เคยล้มเหลวในการก่อกบฏเมื่อสิบกว่าปีก่อน และข้าจะให้เนี่ยฮุ่ยเฟย…เป็นผู้เปิดโปงมันต่อหน้าผู้คนในเมืองนี้”
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา งานเทศกาลย่อยในเมืองกำลังจะเริ่มผู้คนทยอยเดินทางเข้ามา ทั้งชาวบ้าน พ่อค้า นักแสดงเร่ แต่ในมุมเงาของตลาด…หลิงเซ่าเทียนปรากฏตัวอีกครั้ง คราวนี้…พร้อมเนี่ยฮุ่ยเฟยในชุดผ้าสีฟ้าอ่อน สง่างามและสงบ
เขากระซิบเบา ๆ
“เจ้าจำร้านเก่าแก่ของมารดาได้ใช่หรือไม่? วันนี้…มันจะเป็นที่เปิดเผยความจริง”
ในมุมหนึ่งใกล้โรงน้ำชาเล็กริมถนน มีเวทีไม้เล็กตั้งไว้ชั่วคราวสำหรับแสดงงิ้ว ก่อนที่การแสดงจะเริ่มขึ้น กลับมีบุคคลผู้หนึ่งก้าวขึ้นไปแทน หญิงสาวในชุดผ้าไหมสีฟ้าสะอาด เงาร่างบอบบาง ทว่าสง่างาม
เนี่ยฮุ่ยเฟย นางยืนเงียบเพียงครู่ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานแต่หนักแน่น
“วันนี้ ข้ามิได้ขึ้นมาร้องเพลงหรือร่ายรำ…หากแต่จะเล่าเรื่องของครอบครัวหนึ่งที่ถูกทำลายด้วยเล่ห์กลและความโลภ”
ฝูงชนเริ่มหยุดฟัง หลายคนจำได้ว่าเธอคือคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเนี่ย นางคือบุตรสาวของอดีตฮูหยินเอกที่ตายไป และถูกลืมเลือนในเรือนหลัง
เนี่ยฮุ่ยเฟยหยิบม้วนหนังแกะขึ้นจากอกเสื้อ
“สิบกว่าปีก่อน ตระกูลฟู่จากชายแดนได้ลอบส่งเงินสนับสนุน พวกเป่ยหลงที่คิดล้มราชสำนัก
และหนึ่งในผู้เกี่ยวข้องกับเส้นทางเงินนั้น…คือฮูหยินเอกแห่งจวนเนี่ยคนปัจจุบัน ฟู่ซื่อ”
เสียงฮือฮาเริ่มดังขึ้น
“ในเวลานั้นท่านแม่ของข้า…ซึ่งเป็นฮูหยินเอกในขณะนั้น ได้พบเบาะแสบางอย่าง และไม่นาน…นางก็ตายอย่างไร้ร่องรอยในสระน้ำหลังจวน เช่นเดียวกับข้า… ‘ตกสระ’ อย่างปริศนาเมื่อไม่นานมานี้”
นางคลี่ม้วนหนังให้ทุกคนเห็น ในนั้นมีตราราชเลขาลับของวัง พร้อมลายมือของราชเลขาหวังประทับแน่น
“ข้าได้รับอำนาจให้ประกาศการตรวจสอบและจับกุม ผู้เกี่ยวข้องกับการทุจริตในเมือง ในนามของราชเลขาโดยตรง!”
“พวกเขาอยู่เบื้องหลังการสังหารขุนนางผู้ซื่อสัตย์ และการทำลายครอบครัวของผู้บริสุทธิ์”
เสียงฝูงชนเริ่มสั่นไหวแต่ก่อนที่ความจริงจะได้รับการยอมรับโดยสิ้นเชิง…
เสียงหวีดร้องดังขึ้นจากด้านข้างเวทีมีบุรุษชุดดำผู้หนึ่ง พุ่งเข้ามาพร้อมใบมีดคมกริบ! แต่ก่อนที่ปลายมีดจะถึงร่างเนี่ยฮุ่ยเฟย…เสียงกระทบของดาบดัง ฉึก! เงาวูบหนึ่งโผล่จากฝูงชน
หลิงเซ่าเทียนเข้ามาขวางไว้ทัน ดาบของเขาฟาดเฉียง จนชายชุดดำกระเด็นลงจากเวที
หลิงเซ่าเทียนจับมือเนี่ยฮุ่ยเฟยไว้แน่น ไม่ปล่อย เขาหันไปตะโกนเสียงดังก้อง
“ข้าคือผู้แทนของราชเลขาหวัง แห่งวังหลวง!”
ผู้คนพากันคุกเข่า กลุ่มเจ้าหน้าที่ของวังซึ่งซุ่มอยู่โดยรอบปรากฏตัวล้อมวงเข้าจับผู้เกี่ยวข้องกับตระกูลฟู่ทันที
ส่วนฟู่ซื่อซึ่งได้ข่าวความเคลื่อนไหวจากสาวใช้มือเธอสั่น น้ำชาในถ้วยร่วงตกแตกดังเพล้ง นางเริ่มรู้ว่าทุกอย่าง ‘ผิดแผน’ ไม่ใช่แค่ข่าวลือที่ไม่ทำลายนางได้ แต่คนที่นางเคยพยายามสังหาร…กลับกลายเป็นหมากตัวสำคัญของวังหลวง
“ข้า…จะยอมให้พังเช่นนี้ไม่ได้!” แต่นั่นเอง เสียงฝีเท้าก็ปรากฏหน้าประตู กลุ่มเจ้าหน้าที่ในชุดดำของวังเข้ามารายล้อมอย่างรวดเร็ว
ราชโองการถูกอ่านออกต่อหน้าเธอ
“ฟู่ซื่อ แห่งตระกูลฟู่…ถูกตั้งข้อหาเกี่ยวข้องกับการล้มล้างราชสำนัก และการสังหารขุนนางผู้บริสุทธิ์ในอดีต ให้ควบคุมตัวทันที รอคำตัดสินจากวังหลวง”
ฟู่ซื่อนางหมดแรงทรุดลงกับพื้น…ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเรื่องราวจะมาถึงขั้นนี้ แม้บุตรชายหญิงที่นั่งจิบชาอยู่ด้วยกันต่างก็พากันจ้องมองนางอย่างไม่เชื่อสายตา
เนี่ยเหวินชิง ยืนพิงเสาในศาลาหลังเรือน ดวงตาเรียบนิ่ง ทว่าสั่นไหวในส่วนลึก ข้างกายของนางคือ เนี่ยเหวินเจี๋ย พี่ชายร่วมอุทรวัยสิบเจ็ดปี ที่ยังไม่ยอมพูดจาสักคำ
“พี่ชายท่านจะไม่พูดอะไรเลยหรือ? ตอนนี้ทั้งเมืองต่างพูดถึงท่านแม่ ว่าท่านเป็นกบฏ…ว่าเป็นคนฆ่าฮูหยินเอก…ว่า”
“พอแล้ว!” เสียงของเนี่ยเหวินเจี๋ยดังขึ้นอย่างหงุดหงิด เขากำมือแน่น ดวงตาแดงก่ำ
“เจ้าจะเชื่อไปกับพวกชาวบ้านที่เอาแต่ลือหรือ? ใครจะรู้ว่าฮุ่ยเฟย วางแผนใส่ร้ายท่านแม่ของเรา!”
เมื่อฟ้าเช้าเริ่มปรากฏแสงแดดแรกของวัน หลิงเซ่าเทียนเดินออกจากวังหลวงโดยไม่มีใครรู้ว่าเขาคือใคร มีเพียงร่องรอยรองเท้าบนฝุ่นบาง ๆ ที่ลานหิน และเงาของเขาที่ทอดยาวไกล เขาหยิบตราลับเล็กอีกดวงจากอกเสื้อ เป็นตราที่ราชเลขามอบให้เขาโดยเฉพาะตราที่ให้สิทธิ์ “ปิดเมือง สอบสวน และควบคุมผู้ต้องสงสัย” ได้โดยตรงในอำนาจของราชเลขาหวังจิ่นข่าย “ถึงเวลาตอบแทนความยุติธรรม…ของท่านพ่อแล้ว” เรือนเล็กของเนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งอยู่กลางสวนหลังเรือน นางกำลังวาดภาพเหมือนของมารดาตามความทรงจำ ในใจเต็มไปด้วยความกังวล หลังข่าวลือเรื่องขบถเงาเริ่มแทรกซึมสังคมสาวใช้คนสนิทวิ่งเข้ามา สีหน้าเคร่งเครียด “คุณหนูเจ้าคะ! มีคนแปลกหน้าป้วนเปี้ยนแถวเรือนตั้งแต่เช้า! ข้าคิดว่า…พวกเขาไม่ใช่คนของจวน!” เนี่ยฮุ่ยเฟยหยุดมือที่กำลังแตะปลายพู่กันสายตาแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “นั่นแสดงว่า…ฟู่ซื่อเริ่มลงมือแล้ว
คลิก… ฝากล่องเปิดออกภายในมีม้วนผ้าไหมยาวหลายผืน จดหมายที่ถูกพับอย่างบรรจง และ “เหรียญประจำตระกูล” ซึ่งหายไปนานนับสิบปี นางค่อย ๆ หยิบจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นลายมือมารดาชัดเจน และเปื้อนรอยน้ำตาเก่า ๆ นางอ่านเบา ๆ ในจดหมาย มารดานางเขียนถึง ภัยที่ใกล้เข้ามาในวันนั้นกล่าวถึง “ขุนนางบางคน” ที่มีความเกี่ยวพันกับฟู่ซื่อ และการยักยอกเงินหลวงผ่านกิจการในนามร้านเล็ก ๆ มารดานางพยายามจะเปิดโปง แต่ถูกสั่งปิดปากอย่างเลือดเย็นหลิงเซ่าเทียนเงียบอยู่นาน ก่อนพูดช้า ๆ “นี่…คือหลักฐานที่ท่านพ่อของข้า เคยตามหา และเป็นหลักฐาน…ที่อาจโค่นทั้งฟู่ซื่อและตระกูลเนี่ยพร้อมกันได้” แววตาของฮุ่ยเฟยในยามนั้น…ไม่ใช่สายตาของคุณหนูผู้เคยถูกทอดทิ้งอีกต่อไปแต่มันคือดวงตาของคนที่ตื่นขึ้นจากเงามืดพร้อมจะยืนอยู่กลางแสงอย่างไม่กลัวสิ่งใด “ข้าจะไม่ถอยอีกต่อไป…ไม่ว่าใครจะต้องล้มไปกับความจริงนี้ก็ตาม”
อีกด้านของเมืองนั้น ภายในห้องหนังสือของหลิงเซ่าเทียน แสงจากตะเกียงส่องลงบนแผนที่และสมุดบัญชีเก่า ๆ บ่าวคนสนิทของเขารายงานด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ “นายท่าน ร้านเก่าของฮูหยินเนี่ยถูกลอบวางเพลิง!” หลิงเซ่าเทียนเงยหน้าขึ้นทันทีแววตาเยือกเย็นวูบผ่าน ก่อนเขาจะลุกขึ้น “พวกมันเริ่มแล้ว….ไปเตรียมรถม้า ข้าจะไปพบกับฮุ่ยเฟยในคืนนี้” ในยามที่ทุกสิ่งเคลื่อนไหวในเงามืดความลับของอดีต คำมั่นในปัจจุบัน และเงาแค้นของอนาคต…กำลังเริ่มปะทะกันอย่างเงียบงัน เสียงฝีเท้าบนลานกรวดเงียบเชียบ หากมั่นคงบ่าวคนสนิทของหลิงเซ่าเทียนเดินมาหยุดที่ข้างหน้าต่าง โบกมือเบา ๆ ส่งสัญญาณ ไม่นานนัก เงาร่างสูงสง่าก็ข้ามกำแพงเข้าสู่เรือนอย่างไร้สุ้มเสียงสายตาเขาเหลือบมองความมืดรอบข้างก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องแคบ ๆ ที่แสงตะเกียงยังคงส่องสลัว เนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งรออยู่แล้ว ราวกับรู้ว่าเขาจะมาสีหน้าแม้เคร่งขรึม แต่ดวงตายังคงเยือกเย็นอย่างควบคุม
เนี่ยฮุ่ยเฟยสบตาเขานางเห็นแววจริงใจในดวงตานั้นแต่ก็ยังไม่ละความระแวดระวัง “ข้าไม่เข้าใจ…เหตุใดท่านจึงต้องช่วยเหลือข้า” หลิงเซ่าเทียนวางถ้วยชาลงเงียบไปนาน ก่อนตอบช้า ๆ “ในสายตาคนนอก เจ้าอาจเป็นเพียงคุณหนูตกอับของจวนตระกูลเนี่ย แต่ข้า…เห็นเจ้ายืนหยัดด้วยตัวเองมาตลอด ไม่แม้แต่จะยอมจำนนต่อโชคชะตา” เสียงเขาชะงักเล็กน้อยก่อนพูดคำที่ทำให้นางแทบลืมหายใจ “และที่สำคัญ…ข้าเป็นหนี้คนผู้หนึ่ง ซึ่งเกี่ยวพันกับท่าน” ดวงตาของฮุ่ยเฟยเบิกขึ้น “หนี้? ท่านหมายถึงใครกัน…” หลิงเซ่าเทียนสบตานางใบหน้าเขาเคร่งขรึมแต่เปี่ยมด้วยความอ่อนโยน “ฮูหยินเอกแห่งตระกูลเนี่ย มารดาของเจ้า” มือที่ถือถ้วยชากระชับแน่นขึ้นเล็กน้อยหัวใจเต้นถี่…คล้ายกลัวความจริงที่รออยู่เบื้องหน้านางเงยหน้าขึ้นช้า ๆ เสียงที่เปล่งออกมาแม้เบา แต่ชัดเจนและมั่นคง “ท่านแม่ของข้า นางเกี่ยวข้องอะไรกับท่
เนี่ยฮุ่ยเฟยหยุดอยู่หน้าร้านหนึ่งมองแผ่นป้ายไม้ที่จางไปตามกาลเวลาร้านนั้นคือ “ร้านผ้าเมฆา” ร้านผ้าที่เคยเป็นของมารดาตนเนี่ยฮุ่ยเฟยมองป้ายร้านอยู่นาน ดวงตาที่ปกติแน่วแน่นั้นสั่นระริกเพียงครู่ จากนั้นจึงหันหลังเดินต่อ โดยมุ่งหน้าไปยังตรอกด้านหลังตลาด จากนั้นซูอวี้ก้เดินตามนางไปซูอี้มองซ้ายขวาอย่างระมัดระวังตรอกนี้เป็นทางเชื่อมระหว่างตลาดกับโรงเตี๊ยมเมิ่งหลิ่วชุนจังหวะที่นางแทรกตัวเข้าไป ทันใดนั้น…เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นด้านหลัง เร็ว และมั่นคงจนผิดสังเกตซูอี้ขมวดคิ้ว รีบหมุนตัวกลับกลับพบเพียงบุรุษในชุดดำ สวมหมวกบังหน้า เดินสวนผ่านเธอไปเงียบ ๆ แต่สัมผัสบางอย่างไม่ถูกต้องกลิ่นยาสมุนไพรจาง ๆ กับแรงกดดันจากแววตาผู้ผ่านไปนั้นทำให้หลังของซูอี้เย็นวาบหลิงเซ่าเทียนยืนมองออกไปจากหน้าต่างเขาสวมเสื้อคลุมสีเข้ม ผ้าคาดเอวหรูหราแต่ไม่อวดอ้างในมือนั้นถือพัดไม้ไผ่ปักชื่อ ‘เมิ่งหลิ่วชุน’ อย่างอ่อนช้อย ข้างหลังเขา คือชายวัยกลางคนในชุดทหารปลอมตัว “จินซาน” อดีตองครักษ์ประจำตระกูลหลิง“สาวใช้นั่นใช่คนของฟู่ซื่อหรือไม่?” หลิงเซ่าเทียนถามโดยไม่หันกลับมา“ใช่ขอรับ ข้าสืบพบว่าเรียกชื่อว่าซูอี้ สนิทกับฮู
ยามสาย แสงแดดอ่อนลอดผ่านม่านโปร่งที่ไหวตามลม ภายในเรือนของ “ฟู่ซื่อ” กลิ่นธูปหอมอบอวล ปะปนกับกลิ่นชาดอกเหมยหญิงผู้ครองตำแหน่ง “ฮูหยินเอกคนปัจจุบัน” นั่งประณีตอยู่บนอาสนะไม้ลายกลีบบัวงดงามดุจสตรีผู้สูงศักดิ์ หากแต่ในแววตากลับมีเงาของความไม่พอใจแฝงอยู่สาวใช้ที่ไว้ใจได้ “ชุนผิง” เดินเข้ามาคุกเข่าแล้วก้มหน้ารายงานเบา ๆ“อูหยินเจ้าคะ…บ่าวกลับจากตลาดแล้ว แต่…เรื่องที่สั่งเกี่ยวกับคุณหนูใหญ่…”ฟู่ซื่อเอียงศีรษะเล็กน้อย “ว่าอย่างไร? คนในตลาดว่าอะไรบ้าง”“…ขออภัยเจ้าค่ะ ไม่มีใครกล่าวถึงอีกเลย”มือที่กำลังถือถ้วยชาชะงักเล็กน้อย ก่อนจะวางลงช้า ๆ“ไม่มีเลย? หมายความว่าอย่างไร…”“เมื่อคืนตลาดปิดเร็วกว่าปกติหลายร้าน แม่ค้าบางคนที่เคยพูดถึงข่าวลือเรื่องคุณหนูใหญ่ ก็เงียบ ไม่กล้ากล่าวแม้คำเดียว แม้บ่าวจะลองจงใจถามนำเรื่อง ก็ถูกปฏิเสธ หรือไม่ก็ถูกเมินค่ะ”ฟู่ซื่อขมวดคิ้ว เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงต่ำ“แปลก…ข้าคิดว่าอย่างน้อยพวกชาวบ้านคงไม่หยุดพูดกันเร็วถึงเพียงนี้ หรือว่าผู้ใด…เข้าแทรกแซง?”“ชุนผิง เจ้าเคยได้ยินชื่อของผู้ใดที่มีผู้คนกล่าวถึงในตลาดเร็ว ๆ นี้บ้างหรือไม่?”ชุนผิงเงยหน้าช้า ๆ คล้ายล