หลิงเซ่าเทียนสั่งให้อวิ๋นจิ้งส่งจดหมายนัดให้เนี่ยฮุ่ยเฟยมาพบกันที่โรงน้ำชาเดิมในวันรุ่งขึ้น
ต้นยามซื่อ เนี่ยฮุ่ยเฟยมาถึงก่อนเวลานัด วันนี้นางสวมชุดผ้าแพรบางเบาสีงาช้าง ปักลวดลายดอกเหมยจาง ๆ ที่ชายแขน
หญิงสาวเลือกที่นั่งริมหน้าต่างโต๊ะไม้กลมเตี้ยวางชาดอกเหมยที่เพิ่งรินลงถ้วย กลิ่นหอมอ่อนแผ่ซ่านไปทั่ว แสงแดดที่ลอดผ่านช่องระแนงไม้ทาบลงบนขอบแก้วชา ราวภาพวาดงามสงบในฤดูหนาว เสียงฝีเท้าเงียบ ๆ ดังขึ้นจากบันไดไม้ด้านใน
หลิงเซ่าเทียนปรากฏตัวในชุดสีหมอกเข้ม เขาเดินอย่างเงียบเชียบแต่ไม่ลังเล เมื่อมองเห็นนางนั่งอยู่ตรงนั้น เขาเพียงชะงักไปเล็กน้อย…ราวกับไม่คุ้นเคยกับความรู้สึก ‘อบอุ่น’ ที่รอเขาอยู่
“เจ้ามาเร็วกว่าเวลานัดเสียอีก” เขากล่าว ขณะนั่งลงตรงข้าม
เนี่ยฮุ่ยเฟยเพียงยิ้มบาง “ข้าเพียงไม่อยากให้ท่านต้องรอ”
หลิงเซ่าเทียนมองถ้วยชาที่นางรินไว้แล้ว ไอน้ำลอยขึ้นเป็นหมอกจาง ๆ เขารับถ้วยขึ้นมาช้า ๆ
“ดื่มชาก่อน” เขากล่าว
หญิงสาวสบตาเขา รอยยิ้มที่มุมปากยังคงบางเบา แต่แววตานั้นเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ใช่ดวงตาของสตรีที่ยอมรับชะตากรรม หากแต่เป็นสตรีที่เรียนรู้จะเลือกทางของตนเอง
“ข้ารู้ข่าวว่า ท่านได้รับการแต่งตั้งคืนฐานะ และได้รับตำแหน่งด้วย”
หลิงเซ่าเทียนพยักหน้า
“เป็นความตั้งใจของราชเลขาหวัง เขาเห็นว่าข้ายังมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่เจ้ารู้หรือไม่…ข้าอยากเป็นเพียงเจ้าของโรงเตี๊ยมเล็กๆ ไม่ต้องล้วงความลับใคร”
เนี่ยฮุ่ยเฟยมองออกไปนอกหน้าต่าง เสียงลมเบา ๆ พัดผ้าม่านไหว เรียกคำตอบจากปากนางอย่างเงียบงัน
“บางที…ความสงบที่เราปรารถนา อาจไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่งหรือชื่อเสียง แต่อยู่ที่คนข้างกาย…ว่าใช่หรือไม่”
คำพูดนั้นทำให้เขานิ่งไป
หลิงเซ่าเทียนค่อย ๆ วางถ้วยชาลงบนโต๊ะไม้ มือของเขาเอื้อมไปเบื้องหน้า วางเบา ๆ ลงบนมือของนาง
“ฮุ่ยเฟย…หากวันหนึ่งข้าถอดตำแหน่ง ถอดชื่อ ถอดหน้ากากทุกอย่าง เจ้าจะยังอยู่ข้างกายข้าหรือไม่?”
หญิงสาวสบตาเขาอย่างแน่วแน่ “ข้าไม่เคยมองท่านในฐานะตำแหน่ง…ข้ามองท่านในฐานะ คนที่ยื่นมือให้ข้าท่ามกลางเงามืด และข้าจะยังอยู่เคียงข้างเขาเสมอ “
ในขณะที่โรงน้ำชาเงียบสงบ ผู้คนรอบข้างก็เริ่มทยอยกันออกเหลือเพียงเงาสะท้อนของชายหญิงคู่หนึ่งถ้วยชาเงียบงันที่อุ่นขึ้นทุกคราเมื่อมือของพวกเขาสัมผัสกัน
เมื่อทั้งคู่ออกมายืนใต้เงาต้นหลิวหน้าโรงน้ำชาหลิงเซ่าเทียนหยุดฝีเท้า หันมาทางนางอีกครั้ง
“ข้ายังไม่ได้เอ่ยคำใดอย่างเป็นทางการ แต่หากวันใดที่เจ้าพร้อมจะใช้ชีวิตร่วมกับข้า
ข้าจะมาสู่ขอเจ้าทันที”
เนี่ยฮุ่ยเฟยไม่ตอบนางเพียงยิ้ม และก้มศีรษะเบา ๆ ราวกับยินยอมรับคำกล่าวของเขา
ท้องฟ้าโปร่งใส แสงอาทิตย์อ่อนโยนแม้ไร้เสียงระฆังจากวังหลวงหรือขบวนมังกรหงส์ใหญ่โต
แต่จวนของราชเลขาเฒ่าหวังกลับคึกคักด้วยกลิ่นธูปหอม และเสียงแว่วของเครื่องสายที่บรรเลงแผ่วเบา
เพราะวันนี้…คือวันที่ “หลิงเซ่าเทียน” จะไปสู่ขอ “เนี่ยฮุ่ยเฟย” อย่างเป็นทางการด้วยตนเอง
ขบวนของฝ่ายชายไม่ได้ใหญ่โต หากแต่เป็นระเบียบ สงบ และเปี่ยมด้วยเกียรติ
หลิงเซ่าเทียนอยู่ในชุดพิธีเต็มยศ สีม่วงเข้มปักลายเมฆา เขายืนอยู่หน้าเกี้ยวไม้ที่ประดับผ้าแพรสีแดงเข้มอย่างเรียบหรูข้างกายคือราชเลขาหวัง ผู้อุปถัมภ์และเป็นผู้ใหญ่ของเขาในพิธี
ด้านหลังคือขบวนบ่าวผู้ถือหีบของหมั้นสิบสองหีบบรรจุทั้งผ้าไหม เครื่องประดับหยก น้ำชาชั้นดี และตำราหายาก แต่หีบที่สำคัญที่สุด คือหีบเล็กที่บรรจุ “ป้ายหยกตระกูลหลิง” ป้ายที่ครั้งหนึ่งเคยถูกริบไปจากครอบครัวเขา และบัดนี้ถูกนำมาคืนให้คู่ครองที่เขาเลือกด้วยมือของตนเอง
เนี่ยฮุ่ยเฟยที่กำลังนั่งอยู่ในห้องบรรพชนภายในเรือนหลวงของจวนเนี่ย นางสวมเสื้อคลุมแพรโปร่งบางสีขาวมุก ลวดลายดอกเหมยปักด้ายทองละเอียด เรือนผมถักมวยขึ้นสูง ติดเครื่องประดับหยกสีอ่อน รูปดอกเหมยที่เคยเป็นของมารดา
แม้จะเป็นบุตรของภรรยาเอกผู้ล่วงลับ แต่วันนี้นางกลับไม่ต้องให้ “ฟู่ซื่อ” อนุญาต ไม่ต้องให้ “เนี่ยเหวินชิง” หรือ “เหวินเจี๋ย” มานั่งอยู่ใกล้ นางมีสิทธิ์ตัดสินใจด้วยตัวเอง และบิดาของนางก็ได้ให้การยินยอม
เพราะหลังความจริงถูกเปิดเผยฟู่ซื่อและบุตรทั้งสองถูกขับออกจากตระกูล
ขณะที่เนี่ยฮุ่ยเฟยได้รับการยอมรับอย่างสมเกียรติ
เสียงฆ้องใบเล็กดังขึ้นสามครั้ง ประตูใหญ่ของจวนเนี่ยเปิดออกต้อนรับขบวนของหลิงเซ่าเทียน
ราชเลขาหวังเป็นผู้กล่าวคำขอด้วยถ้อยคำที่เรียบง่าย
“วันนี้หลานข้า หลิงเซ่าเทียน ขอเข้าสู่ประตูตระกูลเนี่ย ด้วยความเคารพและสัตย์จริง เพื่อขอรับคุณหนูฮุ่ยเฟยเป็นคู่ชีวิต หมั้นหมายตามจารีต สมเกียรติทั้งสองฝ่าย”
เนี่ยหย่งซานพยักหน้าเงียบ ๆ ตอบรับด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง หากแววตาภูมิใจ
“ฮุ่ยเฟยเป็นบุตรที่ข้าเคยเมินเฉย บัดนี้นางได้เลือกหนทางชีวิตเองแล้ว ข้ายินยอมและอวยพรด้วยใจ”
เสียงขานรับจากบ่าวในจวนก้องเบา ๆ บรรยากาศสงบ เย็น และเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
เมื่อของหมั้นทั้งหมดถูกวางเรียงอยู่เบื้องหน้า เนี่ยฮุ่ยเฟยก้าวออกมาจากม่านกั้นห้องด้วยท่าทีสง่างาม มือของนางรับกล่องหยกเล็ก ๆ จากหลิงเซ่าเทียนไว้
“ป้ายหยกตระกูลหลิง…ข้าอยากให้มันอยู่ในมือของสตรีผู้มีศักดิ์ศรี ผู้ที่เคยเผชิญความอัปยศไม่ต่างจากข้า และยืนหยัดขึ้นมาด้วยตนเอง”
หญิงสาวมองเขาในแววตาอ่อนโยน
“ข้ารับไว้…ไม่ใช่เพียงเพราะความรัก แต่เพราะข้าเชื่อว่าภายใต้ฟ้ากว้าง เราสองคนยังมีสิ่งที่ต้องเดินร่วมกันต่อไป”
หลิงเซ่าเทียนสั่งให้อวิ๋นจิ้งส่งจดหมายนัดให้เนี่ยฮุ่ยเฟยมาพบกันที่โรงน้ำชาเดิมในวันรุ่งขึ้น ต้นยามซื่อ เนี่ยฮุ่ยเฟยมาถึงก่อนเวลานัด วันนี้นางสวมชุดผ้าแพรบางเบาสีงาช้าง ปักลวดลายดอกเหมยจาง ๆ ที่ชายแขน หญิงสาวเลือกที่นั่งริมหน้าต่างโต๊ะไม้กลมเตี้ยวางชาดอกเหมยที่เพิ่งรินลงถ้วย กลิ่นหอมอ่อนแผ่ซ่านไปทั่ว แสงแดดที่ลอดผ่านช่องระแนงไม้ทาบลงบนขอบแก้วชา ราวภาพวาดงามสงบในฤดูหนาว เสียงฝีเท้าเงียบ ๆ ดังขึ้นจากบันไดไม้ด้านใน หลิงเซ่าเทียนปรากฏตัวในชุดสีหมอกเข้ม เขาเดินอย่างเงียบเชียบแต่ไม่ลังเล เมื่อมองเห็นนางนั่งอยู่ตรงนั้น เขาเพียงชะงักไปเล็กน้อย…ราวกับไม่คุ้นเคยกับความรู้สึก ‘อบอุ่น’ ที่รอเขาอยู่ “เจ้ามาเร็วกว่าเวลานัดเสียอีก” เขากล่าว ขณะนั่งลงตรงข้าม เนี่ยฮุ่ยเฟยเพียงยิ้มบาง “ข้าเพียงไม่อยากให้ท่านต้องรอ” หลิงเซ่าเทียนมองถ้วยชาที่นางรินไว้แล้ว ไอน้ำลอยขึ้นเป็นหมอกจาง ๆ เขารับถ้วยขึ้นมาช้า ๆ “ดื่มชาก่อน” เข
เนี่ยเหวินชิงส่ายหน้าเบา ๆ มือของนางที่เคยถือถ้วยชาร่วงหล่นลงพื้นโดยไม่รู้ตัว “แต่…ท่านก็เห็นกับตาไม่ใช่หรือ? ว่าแม้กระทั่ง ‘ราชเลขาหวัง’ ก็รับรองเอกสารเหล่านั้น และคนที่มา ‘ควบคุมตัว’ ท่านแม่…ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือเจ้าหน้าที่จากวังหลวงโดยตรง หากไม่ใช่เรื่องจริง…เหตุใดท่านแม่จึงไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียวตอนถูกพาตัวไป?”เนี่ยเหวินเจี๋ยนิ่งเงียบภาพในหัวเริ่มย้อนกลับทีละฉาก… ตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก ที่เขาเห็นเนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งกินข้าวแยกคนเดียว มารดาของเขาเคยพูดว่า “นางไม่ใช่คนของเรา” …เคยบอกให้เขา “อย่าไปวุ่นวายกับบุตรของสตรีต่ำต้อย แม้กระทั่งวันที่เนี่ยฮุ่ยเฟยตกน้ำ … …เขาเคยเชื่อเขาเคยคิดว่านั่นคือเรื่องถูกต้อง แต่วันนี้…เมื่อความจริงเปิดออกต่อหน้า เขาเริ่มไม่แน่ใจว่า “ใครกันแน่” ที่ต่ำต้อยในความเป็นมนุษย์ ในพระท้องพระโรงของวังหลวง ขุนนางฝ่ายซ้ายขวาทยอยเข้ายืนเรียงแถวเบื้องหน้าบัลลังก์อากาศเย็น เงียบงัน และเปี่ยมด้วยแรงกดดันจนแม้แต่ลมหายใจก็แผ่วเบา
หญิงสูงศักดิ์อีกผู้หนึ่งหัวเราะเบา ๆ “หากทุกคนในเมืองหลวงถ่อมตนได้เท่าฮูหยินหลิง เมืองนี้คงไม่มีข่าวลือให้ฟังอีก” คำพูดประโยคนั้นแม้ฟังดูเบา ทว่าแฝงด้วยคมมีด เนี่ยฮุ่ยเฟยรับรู้ทันทีว่า การทดสอบเพิ่งเริ่มต้น…บุตรีของขุนนางผู้หนึ่งเริ่มทักขึ้นด้วยเสียงใส“ได้ยินว่าฮูหยินหลิงมีสายสัมพันธ์กับการค้าในเมืองชายแดน… มิทราบว่าพอรู้ราคาผ้าไหมทางเขตเหิงหนานหรือไม่เจ้าคะ?” นางถามราวกับไม่ตั้งใจ แต่แท้จริงต้องการวัดปฏิภาณและฐานข้อมูลของเนี่ยฮุ่ยเฟยเนี่ยฮุ่ยเฟยวางถ้วยชาอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ราคาผ้าดิบที่เมืองเหิงหนานลดลงในช่วงเดือนก่อนเนื่องจากพายุใหญ่ แต่ขณะนี้เริ่มกลับสู่ภาวะปกติ หากท่านใดสนใจ จะให้ข้ารวบรวมข้อมูลส่งไปถึงเรือนก็ได้เจ้าค่ะ” เสียงฮือเบา ๆ ดังขึ้นในหมู่สตรีไม่เพียงแสดงให้เห็นว่านางติดตามข่าวสารตลาดยังวางท่าราบเรียบมิใช่ผู้โอหังในยามมีความรู้เหนือคนอื่น หลังงานเลี้ยงจบสิ้น นางกลับจวนตระกูลหลิงทันที เนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งเรียงดอกเหมยแห้งลงในกล่องชาแสงจันทร์ส่องลอดบานหน้าต่างลงบนชุดคลุมบางของนาง หลิงเซ่าเทียนเดินเข้ามาเงียบ ๆ วางจดหมายเชิญอีกฉบับบนโต๊ะ “อ๋องหนานอันแห่งตะวันออกส่งคนมาขอซ
เมื่อฟ้าเช้าเริ่มปรากฏแสงแดดแรกของวัน หลิงเซ่าเทียนเดินออกจากวังหลวงโดยไม่มีใครรู้ว่าเขาคือใคร มีเพียงร่องรอยรองเท้าบนฝุ่นบาง ๆ ที่ลานหิน และเงาของเขาที่ทอดยาวไกล เขาหยิบตราลับเล็กอีกดวงจากอกเสื้อ เป็นตราที่ราชเลขามอบให้เขาโดยเฉพาะตราที่ให้สิทธิ์ “ปิดเมือง สอบสวน และควบคุมผู้ต้องสงสัย” ได้โดยตรงในอำนาจของราชเลขาหวังจิ่นข่าย “ถึงเวลาตอบแทนความยุติธรรม…ของท่านพ่อแล้ว” เรือนเล็กของเนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งอยู่กลางสวนหลังเรือน นางกำลังวาดภาพเหมือนของมารดาตามความทรงจำ ในใจเต็มไปด้วยความกังวล หลังข่าวลือเรื่องขบถเงาเริ่มแทรกซึมสังคมสาวใช้คนสนิทวิ่งเข้ามา สีหน้าเคร่งเครียด “คุณหนูเจ้าคะ! มีคนแปลกหน้าป้วนเปี้ยนแถวเรือนตั้งแต่เช้า! ข้าคิดว่า…พวกเขาไม่ใช่คนของจวน!” เนี่ยฮุ่ยเฟยหยุดมือที่กำลังแตะปลายพู่กันสายตาแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “นั่นแสดงว่า…ฟู่ซื่อเริ่มลงมือแล้ว
คลิก… ฝากล่องเปิดออกภายในมีม้วนผ้าไหมยาวหลายผืน จดหมายที่ถูกพับอย่างบรรจง และ “เหรียญประจำตระกูล” ซึ่งหายไปนานนับสิบปี นางค่อย ๆ หยิบจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นลายมือมารดาชัดเจน และเปื้อนรอยน้ำตาเก่า ๆ นางอ่านเบา ๆ ในจดหมาย มารดานางเขียนถึง ภัยที่ใกล้เข้ามาในวันนั้นกล่าวถึง “ขุนนางบางคน” ที่มีความเกี่ยวพันกับฟู่ซื่อ และการยักยอกเงินหลวงผ่านกิจการในนามร้านเล็ก ๆ มารดานางพยายามจะเปิดโปง แต่ถูกสั่งปิดปากอย่างเลือดเย็นหลิงเซ่าเทียนเงียบอยู่นาน ก่อนพูดช้า ๆ “นี่…คือหลักฐานที่ท่านพ่อของข้า เคยตามหา และเป็นหลักฐาน…ที่อาจโค่นทั้งฟู่ซื่อและตระกูลเนี่ยพร้อมกันได้” แววตาของฮุ่ยเฟยในยามนั้น…ไม่ใช่สายตาของคุณหนูผู้เคยถูกทอดทิ้งอีกต่อไปแต่มันคือดวงตาของคนที่ตื่นขึ้นจากเงามืดพร้อมจะยืนอยู่กลางแสงอย่างไม่กลัวสิ่งใด “ข้าจะไม่ถอยอีกต่อไป…ไม่ว่าใครจะต้องล้มไปกับความจริงนี้ก็ตาม”
อีกด้านของเมืองนั้น ภายในห้องหนังสือของหลิงเซ่าเทียน แสงจากตะเกียงส่องลงบนแผนที่และสมุดบัญชีเก่า ๆ บ่าวคนสนิทของเขารายงานด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ “นายท่าน ร้านเก่าของฮูหยินเนี่ยถูกลอบวางเพลิง!” หลิงเซ่าเทียนเงยหน้าขึ้นทันทีแววตาเยือกเย็นวูบผ่าน ก่อนเขาจะลุกขึ้น “พวกมันเริ่มแล้ว….ไปเตรียมรถม้า ข้าจะไปพบกับฮุ่ยเฟยในคืนนี้” ในยามที่ทุกสิ่งเคลื่อนไหวในเงามืดความลับของอดีต คำมั่นในปัจจุบัน และเงาแค้นของอนาคต…กำลังเริ่มปะทะกันอย่างเงียบงัน เสียงฝีเท้าบนลานกรวดเงียบเชียบ หากมั่นคงบ่าวคนสนิทของหลิงเซ่าเทียนเดินมาหยุดที่ข้างหน้าต่าง โบกมือเบา ๆ ส่งสัญญาณ ไม่นานนัก เงาร่างสูงสง่าก็ข้ามกำแพงเข้าสู่เรือนอย่างไร้สุ้มเสียงสายตาเขาเหลือบมองความมืดรอบข้างก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องแคบ ๆ ที่แสงตะเกียงยังคงส่องสลัว เนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งรออยู่แล้ว ราวกับรู้ว่าเขาจะมาสีหน้าแม้เคร่งขรึม แต่ดวงตายังคงเยือกเย็นอย่างควบคุม