เนี่ยเหวินชิงส่ายหน้าเบา ๆ มือของนางที่เคยถือถ้วยชาร่วงหล่นลงพื้นโดยไม่รู้ตัว
“แต่…ท่านก็เห็นกับตาไม่ใช่หรือ? ว่าแม้กระทั่ง ‘ราชเลขาหวัง’ ก็รับรองเอกสารเหล่านั้น และคนที่มา ‘ควบคุมตัว’ ท่านแม่…ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือเจ้าหน้าที่จากวังหลวงโดยตรง หากไม่ใช่เรื่องจริง…เหตุใดท่านแม่จึงไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียวตอนถูกพาตัวไป?”เนี่ยเหวินเจี๋ยนิ่งเงียบภาพในหัวเริ่มย้อนกลับทีละฉาก… ตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก ที่เขาเห็นเนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งกินข้าวแยกคนเดียว มารดาของเขาเคยพูดว่า “นางไม่ใช่คนของเรา” …
เคยบอกให้เขา “อย่าไปวุ่นวายกับบุตรของสตรีต่ำต้อย แม้กระทั่งวันที่เนี่ยฮุ่ยเฟยตกน้ำ …
…เขาเคยเชื่อเขาเคยคิดว่านั่นคือเรื่องถูกต้อง แต่วันนี้…เมื่อความจริงเปิดออกต่อหน้า เขาเริ่มไม่แน่ใจว่า “ใครกันแน่” ที่ต่ำต้อยในความเป็นมนุษย์
ในพระท้องพระโรงของวังหลวง ขุนนางฝ่ายซ้ายขวาทยอยเข้ายืนเรียงแถวเบื้องหน้าบัลลังก์
อากาศเย็น เงียบงัน และเปี่ยมด้วยแรงกดดันจนแม้แต่ลมหายใจก็แผ่วเบา
ฟู่ซื่อ และตระกูลฟู่ รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ถูกนำตัวเข้าท้องพระโรงภายใต้การคุมของกองทหารพิทักษ์ราชสำนัก ดวงตาของนางไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย
“ฟู่ซื่อ จากตระกูลฟู่ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่า มีความผิดใด ข้อแรก ฟู่ซื่อวางแผนลอบสังหาร หลี่อุ่ยถัง ฮูหยินเอกตระกูลเนี่ย เมื่อสิบกว่าปีก่อน สอง ซ่องสุมการเงิน เพื่อสนับสนุนกลุ่มขบถ”
เสียงของราชเลขาหวังจิ่งข่ายดังก้องขณะเดียวกันก็มีขันทีนำนามบัญชีหลักฐานพร้อมตราราชลับถวาย พระเนตรของฮ่องเต้กวาดอ่านเงียบ ๆ แล้วทรงตรัสว่า
“เจ้ามีสิ่งใดจะแก้ตัวหรือไม่ ฟู่ซื่อ?”
“หม่อมฉัน…ไม่ขอแก้ตัวสิ่งใด แต่ทุกอย่างล้วนเป็นหม่อมฉันที่กระทำทั่งสิ้น ครอบครัวของหม่อมฉันไม่ได้รู้เห็นเพคะ หากจะลงโทษได้โปรดลงโทษเพียงหม่อมฉัน บิดามารดา บุตรชายหญิง พวกเขาไม่เกี่ยว “
“เจ้าจะบอกว่า ตนเองลงมือทำทุกอย่างเองเพียงลำพังเช่นนั้นหรือ หึ แล้วหลักฐานในมือนี่เล่า เจ้าคิดว่า ราชเขลาหวังใส่ร้ายครอบครัวของเจ้าเช่นนั้นหรือฟู่ซื่อ “น้ำเสียงแผดอำนาจตวาดดังลั่น
ในท้ายที่สุดฟู่ซื่อ และตระกูลฟู่ที่ถุกตัดสินประหารชีวิต ส่วนขุนนางบางส่วนที่เกี่ยวข้อง บ้างก็ถูกลงโทษประหาร และบางส่วน ถูกเนรเทศออกจากเมืทองหลวง ต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การควบคุมของราชสำนักในแดนกันดารตลอดชีวิต
ขุนนางทั้งหลายมิได้คัดค้าน เพราะหลักฐานแน่นหนา ฮ่องเต้เองยังทรงมีรับสั่งอย่างเงียบขรึมว่า:
“ผู้ใดกระทำย่อมต้องรับผลของการกระทำทั้งสิ้น เลิกประชุมได้ “
ฟ้าครึ้มเมฆหนาหนักในยามสายของวันลมแรงพัดยอดสนด้านหน้าจวนจนเกิดเสียงครืนครั่นไม่ขาดสายเสียงฝีเท้าเหล่าข้ารับใช้ที่รีบร้อนเดินข้ามลาน การจัดข้าวของเร่งรีบ ราวกับไล่ส่งผู้ใดบางคนให้พ้นประตูไปโดยเร็วที่สุด
ตรงกลางลานนั้น เนี่ยเหวินชิง ยืนอยู่ในชุดสีอ่อน สีหน้าสงบนิ่ง แต่ดวงตาแดงเรื่อ
ข้างกายคือ เนี่ยเหวินเจี๋ย พี่ชายของนางที่กัดฟันแน่น ใบหน้าเคร่งเครียด ที่กำลังจะต้องเผชิญชะตากรรมอันไม่คาดคิด
เบื้องหน้า…คือบิดาของพวกเขา ที่ยืนอยู่ใต้เฉลียงชั้นบนของหอใหญ่ สีหน้าของเขาเย็นชาไม่ต่างจากหินเยือกน้ำแข็ง
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป…เจ้าทั้งสองไม่มีสิทธิ์อยู่ในจวนเนี่ยอีก” เสียงนั้นไม่ดังกึกก้อง ทว่าเยือกเย็นราวคมมีด
“รู้หรือไม่ว่า มารดาของพวกเจ้า ทำเรื่องต่ำช้าไม่ละอาย รู้หรือไม่ ว่าชื่อเสียงของตระกูลเนี่ยถูกหยามเพียงใดเพราะสิ่งที่นางทำ?”
ฝนปรอยเม็ดแรกลงมาช้า ๆ ขณะเนี่ยเหวินเจี๋ยประคองน้องสาวที่ยังไม่อาจหยุดน้ำตา ทั้งสองเดินผ่านบานประตูไม้สลักอักษรคำว่า “ตระกูลเนี่ย” ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจ เสียงฝีเท้าค่อยๆ เดินห่างออกไปเรื่อยๆ ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง
หลายวันต่อมา
แสงแดดยามสายลอดผ่านม่านไหมหลากสีธงราชวงศ์โบกพลิ้วเหนือหัวเหล่าขุนนางผู้ยืนเรียงแถวเงียบสงบใต้ท้องพระโรง เสียงประกาศราชโองการของขันทีดังกังวาน
“ด้วยพระราชอาญาสิทธิ์แห่งใต้หล้า “
สายตานับร้อยจ้องไปยังเบื้องล่างตรงกลางท้องพระโรง ที่นั่น…คือชายหนุ่มผู้ยืนด้วยแผ่นหลังเหยียดตรง ใบหน้าเยือกเย็นและแน่วแน่ เขาสวมอาภรณ์ขุนนางสีดำปักลายเมฆา มีตราประจำราชสำนักฝ่ายพิเศษที่ปักเอาไว้ที่อกเสื้อ
หลิงเซ่าเทียน อดีตบุตรชาย ของหลิงซื่อเหวิน เป็นขุนนางฝ่ายตรวจสอบ ผู้ถูกประหารด้วยข้อกล่าวหาทรยศเมื่อสิบกว่าปีก่อน บัดนี้กลับมายืนต่อหน้าฝ่าบาทพร้อมหลักฐานที่เปลี่ยนทุกสิ่ง
ราชเลขาหวังจิ่นข่ายยื่นคุกเข่าต่อหน้าพระที่นั่ง และกราบทูล
“หลักฐานที่หลิงเซ่าเทียนถวายพระองค์ ล้วนพิสูจน์ได้ว่า…ใต้เท้าหลิง ถูกใส่ร้ายโดยตระกูลฟู่ ร่วมกับพวกเป่ยหลง คำกล่าวหาเรื่องกบฏเมื่อสิบกว่าปีก่อน ล้วนเป็นแผนลอบสังหารเพื่อขจัดผู้จงรักภักดี”
เสียงฮือฮาเบา ๆ ดังทั่วท้องพระโรง
พระพักตร์ของฮ่องเต้เงียบขรึม ก่อนจะเอ่ยอย่างหนักแน่น
“ราชสำนัก…เป็นของผู้ซื่อสัตย์ ตระกูลหลิงจงรักภักดีมาตลอดสามชั่วอายุคน ไม่ควรถูกลบชื่อโดยคนไร้คุณธรรม” พระองค์ทรงลุกขึ้น และทรงตรัสประกาศด้วยพระสุรเสียงแน่นหนัก
“บัดนี้ เราขอประกาศ…คืนชื่อให้ตระกูลหลิง และแต่งตั้ง หลิงเซ่าเทียน เป็นขุนนางฝ่ายซ้ายแห่งกรมทหารพิเศษรับผิดชอบการจัดระเบียบราชสำนักชั้นนอก!”
หลิงเซ่าเทียนยืนอยู่ลำพังเบื้องศาลาน้ำของราชวัง สายลมเย็นพัดปลายผ้าแพรของชุดใหม่บนร่างกายเขา
มือของเขาล้วงเข้าไปหยิบ ป้ายหยกที่บิดาทิ้งไว้ให้ ซึ่งเขาเก็บรักษามาตลอด
“ท่านพ่อ…ข้าไม่ได้ช่วยท่านได้ทันเวลา แต่ชื่อของท่าน…ตระกูลหลิงของเรา จะไม่ถูกลืมเลือนอีกต่อไป” น้ำเสียงแผ่วเบาสายตาที่ทอดยาวไกลไปบนผืนน้ำ สะท้อนความรู้สึกทั้งปวงที่ยากจะกล่าว
หลิงเซ่าเทียนสั่งให้อวิ๋นจิ้งส่งจดหมายนัดให้เนี่ยฮุ่ยเฟยมาพบกันที่โรงน้ำชาเดิมในวันรุ่งขึ้น ต้นยามซื่อ เนี่ยฮุ่ยเฟยมาถึงก่อนเวลานัด วันนี้นางสวมชุดผ้าแพรบางเบาสีงาช้าง ปักลวดลายดอกเหมยจาง ๆ ที่ชายแขน หญิงสาวเลือกที่นั่งริมหน้าต่างโต๊ะไม้กลมเตี้ยวางชาดอกเหมยที่เพิ่งรินลงถ้วย กลิ่นหอมอ่อนแผ่ซ่านไปทั่ว แสงแดดที่ลอดผ่านช่องระแนงไม้ทาบลงบนขอบแก้วชา ราวภาพวาดงามสงบในฤดูหนาว เสียงฝีเท้าเงียบ ๆ ดังขึ้นจากบันไดไม้ด้านใน หลิงเซ่าเทียนปรากฏตัวในชุดสีหมอกเข้ม เขาเดินอย่างเงียบเชียบแต่ไม่ลังเล เมื่อมองเห็นนางนั่งอยู่ตรงนั้น เขาเพียงชะงักไปเล็กน้อย…ราวกับไม่คุ้นเคยกับความรู้สึก ‘อบอุ่น’ ที่รอเขาอยู่ “เจ้ามาเร็วกว่าเวลานัดเสียอีก” เขากล่าว ขณะนั่งลงตรงข้าม เนี่ยฮุ่ยเฟยเพียงยิ้มบาง “ข้าเพียงไม่อยากให้ท่านต้องรอ” หลิงเซ่าเทียนมองถ้วยชาที่นางรินไว้แล้ว ไอน้ำลอยขึ้นเป็นหมอกจาง ๆ เขารับถ้วยขึ้นมาช้า ๆ “ดื่มชาก่อน” เข
เนี่ยเหวินชิงส่ายหน้าเบา ๆ มือของนางที่เคยถือถ้วยชาร่วงหล่นลงพื้นโดยไม่รู้ตัว “แต่…ท่านก็เห็นกับตาไม่ใช่หรือ? ว่าแม้กระทั่ง ‘ราชเลขาหวัง’ ก็รับรองเอกสารเหล่านั้น และคนที่มา ‘ควบคุมตัว’ ท่านแม่…ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือเจ้าหน้าที่จากวังหลวงโดยตรง หากไม่ใช่เรื่องจริง…เหตุใดท่านแม่จึงไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียวตอนถูกพาตัวไป?”เนี่ยเหวินเจี๋ยนิ่งเงียบภาพในหัวเริ่มย้อนกลับทีละฉาก… ตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก ที่เขาเห็นเนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งกินข้าวแยกคนเดียว มารดาของเขาเคยพูดว่า “นางไม่ใช่คนของเรา” …เคยบอกให้เขา “อย่าไปวุ่นวายกับบุตรของสตรีต่ำต้อย แม้กระทั่งวันที่เนี่ยฮุ่ยเฟยตกน้ำ … …เขาเคยเชื่อเขาเคยคิดว่านั่นคือเรื่องถูกต้อง แต่วันนี้…เมื่อความจริงเปิดออกต่อหน้า เขาเริ่มไม่แน่ใจว่า “ใครกันแน่” ที่ต่ำต้อยในความเป็นมนุษย์ ในพระท้องพระโรงของวังหลวง ขุนนางฝ่ายซ้ายขวาทยอยเข้ายืนเรียงแถวเบื้องหน้าบัลลังก์อากาศเย็น เงียบงัน และเปี่ยมด้วยแรงกดดันจนแม้แต่ลมหายใจก็แผ่วเบา
หญิงสูงศักดิ์อีกผู้หนึ่งหัวเราะเบา ๆ “หากทุกคนในเมืองหลวงถ่อมตนได้เท่าฮูหยินหลิง เมืองนี้คงไม่มีข่าวลือให้ฟังอีก” คำพูดประโยคนั้นแม้ฟังดูเบา ทว่าแฝงด้วยคมมีด เนี่ยฮุ่ยเฟยรับรู้ทันทีว่า การทดสอบเพิ่งเริ่มต้น…บุตรีของขุนนางผู้หนึ่งเริ่มทักขึ้นด้วยเสียงใส“ได้ยินว่าฮูหยินหลิงมีสายสัมพันธ์กับการค้าในเมืองชายแดน… มิทราบว่าพอรู้ราคาผ้าไหมทางเขตเหิงหนานหรือไม่เจ้าคะ?” นางถามราวกับไม่ตั้งใจ แต่แท้จริงต้องการวัดปฏิภาณและฐานข้อมูลของเนี่ยฮุ่ยเฟยเนี่ยฮุ่ยเฟยวางถ้วยชาอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ราคาผ้าดิบที่เมืองเหิงหนานลดลงในช่วงเดือนก่อนเนื่องจากพายุใหญ่ แต่ขณะนี้เริ่มกลับสู่ภาวะปกติ หากท่านใดสนใจ จะให้ข้ารวบรวมข้อมูลส่งไปถึงเรือนก็ได้เจ้าค่ะ” เสียงฮือเบา ๆ ดังขึ้นในหมู่สตรีไม่เพียงแสดงให้เห็นว่านางติดตามข่าวสารตลาดยังวางท่าราบเรียบมิใช่ผู้โอหังในยามมีความรู้เหนือคนอื่น หลังงานเลี้ยงจบสิ้น นางกลับจวนตระกูลหลิงทันที เนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งเรียงดอกเหมยแห้งลงในกล่องชาแสงจันทร์ส่องลอดบานหน้าต่างลงบนชุดคลุมบางของนาง หลิงเซ่าเทียนเดินเข้ามาเงียบ ๆ วางจดหมายเชิญอีกฉบับบนโต๊ะ “อ๋องหนานอันแห่งตะวันออกส่งคนมาขอซ
เมื่อฟ้าเช้าเริ่มปรากฏแสงแดดแรกของวัน หลิงเซ่าเทียนเดินออกจากวังหลวงโดยไม่มีใครรู้ว่าเขาคือใคร มีเพียงร่องรอยรองเท้าบนฝุ่นบาง ๆ ที่ลานหิน และเงาของเขาที่ทอดยาวไกล เขาหยิบตราลับเล็กอีกดวงจากอกเสื้อ เป็นตราที่ราชเลขามอบให้เขาโดยเฉพาะตราที่ให้สิทธิ์ “ปิดเมือง สอบสวน และควบคุมผู้ต้องสงสัย” ได้โดยตรงในอำนาจของราชเลขาหวังจิ่นข่าย “ถึงเวลาตอบแทนความยุติธรรม…ของท่านพ่อแล้ว” เรือนเล็กของเนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งอยู่กลางสวนหลังเรือน นางกำลังวาดภาพเหมือนของมารดาตามความทรงจำ ในใจเต็มไปด้วยความกังวล หลังข่าวลือเรื่องขบถเงาเริ่มแทรกซึมสังคมสาวใช้คนสนิทวิ่งเข้ามา สีหน้าเคร่งเครียด “คุณหนูเจ้าคะ! มีคนแปลกหน้าป้วนเปี้ยนแถวเรือนตั้งแต่เช้า! ข้าคิดว่า…พวกเขาไม่ใช่คนของจวน!” เนี่ยฮุ่ยเฟยหยุดมือที่กำลังแตะปลายพู่กันสายตาแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “นั่นแสดงว่า…ฟู่ซื่อเริ่มลงมือแล้ว
คลิก… ฝากล่องเปิดออกภายในมีม้วนผ้าไหมยาวหลายผืน จดหมายที่ถูกพับอย่างบรรจง และ “เหรียญประจำตระกูล” ซึ่งหายไปนานนับสิบปี นางค่อย ๆ หยิบจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นลายมือมารดาชัดเจน และเปื้อนรอยน้ำตาเก่า ๆ นางอ่านเบา ๆ ในจดหมาย มารดานางเขียนถึง ภัยที่ใกล้เข้ามาในวันนั้นกล่าวถึง “ขุนนางบางคน” ที่มีความเกี่ยวพันกับฟู่ซื่อ และการยักยอกเงินหลวงผ่านกิจการในนามร้านเล็ก ๆ มารดานางพยายามจะเปิดโปง แต่ถูกสั่งปิดปากอย่างเลือดเย็นหลิงเซ่าเทียนเงียบอยู่นาน ก่อนพูดช้า ๆ “นี่…คือหลักฐานที่ท่านพ่อของข้า เคยตามหา และเป็นหลักฐาน…ที่อาจโค่นทั้งฟู่ซื่อและตระกูลเนี่ยพร้อมกันได้” แววตาของฮุ่ยเฟยในยามนั้น…ไม่ใช่สายตาของคุณหนูผู้เคยถูกทอดทิ้งอีกต่อไปแต่มันคือดวงตาของคนที่ตื่นขึ้นจากเงามืดพร้อมจะยืนอยู่กลางแสงอย่างไม่กลัวสิ่งใด “ข้าจะไม่ถอยอีกต่อไป…ไม่ว่าใครจะต้องล้มไปกับความจริงนี้ก็ตาม”
อีกด้านของเมืองนั้น ภายในห้องหนังสือของหลิงเซ่าเทียน แสงจากตะเกียงส่องลงบนแผนที่และสมุดบัญชีเก่า ๆ บ่าวคนสนิทของเขารายงานด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ “นายท่าน ร้านเก่าของฮูหยินเนี่ยถูกลอบวางเพลิง!” หลิงเซ่าเทียนเงยหน้าขึ้นทันทีแววตาเยือกเย็นวูบผ่าน ก่อนเขาจะลุกขึ้น “พวกมันเริ่มแล้ว….ไปเตรียมรถม้า ข้าจะไปพบกับฮุ่ยเฟยในคืนนี้” ในยามที่ทุกสิ่งเคลื่อนไหวในเงามืดความลับของอดีต คำมั่นในปัจจุบัน และเงาแค้นของอนาคต…กำลังเริ่มปะทะกันอย่างเงียบงัน เสียงฝีเท้าบนลานกรวดเงียบเชียบ หากมั่นคงบ่าวคนสนิทของหลิงเซ่าเทียนเดินมาหยุดที่ข้างหน้าต่าง โบกมือเบา ๆ ส่งสัญญาณ ไม่นานนัก เงาร่างสูงสง่าก็ข้ามกำแพงเข้าสู่เรือนอย่างไร้สุ้มเสียงสายตาเขาเหลือบมองความมืดรอบข้างก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องแคบ ๆ ที่แสงตะเกียงยังคงส่องสลัว เนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งรออยู่แล้ว ราวกับรู้ว่าเขาจะมาสีหน้าแม้เคร่งขรึม แต่ดวงตายังคงเยือกเย็นอย่างควบคุม