“ช่างเถอะ แกจะรู้หรือไม่รู้มีค่าเท่ากัน”
นายวัฒนะบอกปัด ภรรยาก็ไม่เซ้าซี้ถาม ในเมื่อเธอได้ในสิ่งที่ต้องการและหมายตามานาน เรื่องอื่นก็ไม่น่าสนใจอีก…แต่ยังมีอีกอย่างที่สงสัยอยู่ “แล้วเงินล่ะคะ เงินที่เราเอาของคุณรัชภาคย์มา ป่านนี้รวมดอกเบี้ยตั้งเท่าไหร่แล้ว จะคืนเขายังไง” “ไม่ต้องคืน เราล้างหนี้ไปแล้ว” “เมื่อไหร่คะ คุณเอาเงินที่ไหนไปคืน ฉันจำได้ว่าที่หยิบยืมเขาส่งให้ยายแหววเรียนต่อตั้งแต่มัธยมจนจบปริญญาที่ต่างประเทศมันก้อนใหญ่มาก ไหนเงินที่คุณเอาไปไถ่ถอนบ้านจากธนาคารเมื่อ 2-3 ปีก่อนอีก คุณเอาเงินตั้งมากมายมาจากไหน” “ไม่ต้องสงสัยหรอก คุณรู้แค่ว่าผมหาเงินพวกนั้นมาได้ ไม่ได้คดโกงจี้ปล้นใครก็พอ เจ้าของเงินเต็มใจให้เรา แลกกับของที่ผมส่งไป จากนี้ไปบ้านหลังนี้เป็นสิทธิ์ของผมกับคุณ หนี้ที่ส่งเสียยายแหววก็เคลียร์แล้วเหมือนกัน” “ค่ะ ถ้าคุณไม่อยากให้ฉันรู้ ฉันก็ไม่ต้องการรู้ ฉันไว้ใจคุณ ส่วนบ้าน ฉันจะเริ่มเคลียร์ของออกตั้งแต่พรุ่งนี้” ดวงหน้าอูมอิ่มของหญิงวัยกลางคนดูเบิกบาน หากเป็นครู่ก็เปลี่ยนเป็นระแวงขึ้นอีก “แล้วแน่ใจนะว่าคุณรัชภาคย์ไม่ตามมาทวงหนี้คุณ พูดก็พูดเถอะ ฉันกลัวเขาจริงๆ ดูป่าเถื่อนชอบกล ฉันได้ยินมาว่าคนคนนี้มีเส้นสาย รู้จักคนใหญ่คนโตอีกด้วย” “เขาไม่ทำอะไรเราหรอก เพราะเจ้าของเงินตัวจริงที่เราเอามาไม่ใช่เขา และคนคนนั้นก็เซ็นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรล้างหนี้ให้ผมแล้ว” “ใครกันคะ” “คุณรัชตะ พี่ชายฝาแฝดนายรัชภาคย์ เจ้าพ่อธุรกิจยานยนต์ที่ไปลงทุนอยู่ทางภาคเหนือ กำลังรุ่งเรืองในธุรกิจข้ามชาติ เงินแค่นี้ไม่ทำให้ขนหน้าแข้งเขาร่วง ส่วนนายรัชภาคย์ ถ้าพี่ชายสั่งอะไร นายคนนี้ไม่กล้าหือ” “ขนาดนั้นเชียวหรือคุณ” “นายรัชภาคย์ ไม่น่ากลัวเท่าคุณรัชตะ” แค่นี้ร่างอวบท้วมก็ห่อไหล่ด้วยความรู้สึกชวนขนลุก ถ้าคนที่พูดถึงและเธอยังไม่เคยเห็นหน้าจะน่ากลัวกว่านายรัชภาคย์ที่ยกพวกมาทวงหนี้ รังควาญเธอกับสามีอยู่หลายครั้ง แล้วจะเป็นเรื่องน่ายินดีได้อย่างไร “คุณรัชตะไม่ยุ่งกับเราแน่นอน เขาเป็นคนจริง คำไหนคำนั้น ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถสร้างอาณาจักรยิ่งใหญ่ด้วยตัวเองในวัยสามสิบสองปีหรอก ที่สำคัญผมส่งของที่เขาต้องการไปให้ ไม่ได้ขอให้ล้างหนี้กันฟรีๆ ทุกอย่างลงตัว” “ถ้าอย่างนั้นฉันค่อยโล่งใจหน่อยค่ะ” เท่านี้ก็เป็นคำตอบให้คนขี้สงสัยได้คลายกังวล จนสามารถตัดทุกปัญหาออกจากใจ แล้วเร่งมือทำในสิ่งที่ตนและสามีต้องการโดยไม่เสียเวลานึกถึงใครล่วงเข้าเดือนที่สองของการย้ายมาอยู่ในที่แห่งนี้ ปิ่นลดาเดินวนไปมาในเขตชายคาด้านข้างบ้านหลังสีฟ้า สีหน้าครุ่นคิด มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ถึงตอนนี้หล่อนมั่นใจทีเดียว และยังโทษตัวเองว่าคิดช้าไป เพราะหลายอย่างส่งสัญญาณให้รู้นับจากวันแรกด้วยซ้ำ
สัญญาณมือถือไม่มี...ศจีเป็นคนให้คำตอบเมื่อเธอถาม เพราะไม่สามารถติดต่อทางบ้านหรือเพื่อนคนไหนได้เลย ดังนั้นมันจึงกลายเป็นแค่เศษเหล็กที่นอนนิ่งอยู่ก้นกระเป๋าตั้งแต่มาถึงจนวันนี้ หากเพิ่งสังเกตว่าในคฤหาสน์ใหญ่ก็มีการสื่อสารเป็นปกติ ด้วยระยะทางแค่ร้อยกว่าเมตร ไม่น่าจะเป็นเฉพาะพื้นที่บ้านสีฟ้าที่กลายเป็นจุดอับสัญญาณ...แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว “หรือจะเป็นเพราะโทรศัพท์ของเรา เป็นไปได้ไหม” หล่อนพึมพำถามตัวเอง แล้วเมื่อเห็นร่างผอมบางเดินมาส่งอาหารเช้า จึงรีบเดินมาทางหน้าบ้าน เพื่อจะถาม “ฉันอยากโทร.หาพ่อกับแม่ ต้องทำยังไง” “คงต้องเข้าเมืองค่ะ” “งั้นพาฉันไปหน่อย” “ไม่ได้ค่ะ ต้องขออนุญาตคุณใหญ่ก่อน” “ใครคือคุณใหญ่” คำถามของหล่อนคงแปลกประหลาดที่สุดในโลก เพราะทำให้คนหน้าเรียบเฉยถึงกับแสดงอารมณ์ประหลาดใจสุดฤทธิ์ “คุณใหญ่คือนายของพวกเรา” “เขาเป็นนายของฉันด้วยหรือเปล่า” “เอ่อ...ฉันไม่ทราบ” “แล้วเธอรู้อะไรบ้าง” ปิ่นลดาเผลอตัวหงุดหงิด ปกติหล่อนไม่ใช่คนขึ้นเสียงกับใคร แต่ด้วยภาวะคลุมเครือที่ต้องมาอยู่ในที่ไม่น่าไว้ใจ จึงทำให้กดดัน จนยากจะควบคุมตัวเอง “อีกไม่นาน คุณจะได้พบคุณใหญ่เอง” ศจีบอกน้ำเสียงเป็นปกติ เหมือนไม่ติดใจอารมณ์เกรี้ยวกราด จะว่าเธอเข้าใจหรือไม่ถือสากับอารมณ์คนอื่น ปิ่นลดาก็ยากจะรู้...เธอไม่อยากเก็บมาคิด เพราะแค่ปัญหาที่เจอก็ทำให้ปวดหัวและหวั่นระแวงจนเจียนบ้าแล้ว “ฉันจะไปถามเขา” “คุณว่าอะไรนะคะ” “ถ้าศจีหรือใครๆ ให้คำตอบฉันไม่ได้ คงมีแต่คุณใหญ่อะไรนั่นที่ฉันควรถาม เพราะเขาเป็นเจ้าชีวิตทุกคนที่นี่ใช่ไหม” “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” “อะไรนะ” ปิ่นลดาเบิกตาโต ไม่คาดจะได้ยินน้ำเสียงเออออตามจากคู่สนทนา “ศจี เมื่อกี้ฉันประชด จะบ้าหรือไงยุคนี้จะมีใครเป็นเจ้าชีวิตใครกันอีก”ปิ่นลดาครางกับตัวเอง นอกจากหลงมาอยู่ในที่แปลกประหลาด แต่ละคนที่หล่อนเจอก็เหมือนหลุดจากโลกที่เธอไม่คุ้นเคยด้วยศจีไม่ต่อล้อต่อเถียง หิ้วปิ่นโตเดินไปในห้องครัว คงจะจัดอาหารให้เธออย่างที่เคยทำนี่เป็นหน้าที่ของศจีใช่ไหม ใครเป็นคนสั่งมา หรือจะเป็นคุณใหญ่คนนั้น“ฉันอยากพบคุณใหญ่ค่ะ” ปิ่นลดาต้องพูดซ้ำถึงสามครั้งกับคนสามคนในเช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อเดินมายังคฤหาสน์ใหญ่ คนแรกที่เจอเมื่อเข้ามาถึงเขตต้องห้ามตามที่ศจีเคยบอก เธอเห็นผู้ชายที่คงเป็นคนสวนง่วนอยู่กับการดูแลสวนดอกไม้ที่เคยเผลอเดินเข้ามาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งพอสังเกตใกล้ ปิ่นลดาก็นึกทึ่งว่าแท้จริงนอกจากไม้ดอกและไม้ประดับที่พอคุ้นตาแล้ว ยังมีพืชผักต่างๆ ปลูกเป็นแปลงยาว ดูเป็นระเบียบ สวยงามไม่ต่างกันหากว่ารายแรกนั้น เมื่อเธอถามก็ต้องอารมณ์เสียสุดฤทธิ์ นอกจากเธอจะถูกมองเหมือนเป็นสัตว์ประหลาด แล้วถูกเดินหนีอีกต่างหากมันน่าหงุดหงิดนักเชียว หญิงสาวถึงฮึดมาถึงหน้าระเบียงคฤหาสน์ คราวนี้เป็นผู้หญิงรุ่นเดียวกัน เห็นเธอแล้วทำหน้างุนงง ก่อนเดินมาถามอย่างลังเล และปิ่นลดาก็ต้องพูดประโยคนั้นเป็นครั้งที่สองผลที่ได้นั่นหรือ...เลวร้ายไม่ต่างกับรายแรก...จะด
พวงทิพย์เดินกลับเข้าโถงคฤหาสน์ด้วยอาการคอแข็งจัด เธอไม่สบอารมณ์กับเหตุการณ์เมื่อครู่ แม่คนที่คุณใหญ่เลือกมาดูจะหัวแข็งไม่น้อย เธอหวั่นว่าสิ่งที่คิดว่าจะควบคุมได้ง่าย มันอาจไม่ใช่เสียแล้ว“เป็นอะไรคุณทิพย์ ฉันเรียกไม่ได้ยินหรือ” เสียงห้าวทุ้มดังจากคนร่างสูงตรงในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงสแล็กสีดำทำให้เจ้าตัวยิ่งดูแข็งแกร่งเคร่งขรึมขึ้นไปอีก พี่เลี้ยงเก่าแก่ที่พ่วงตำแหน่งแม่บ้านใหญ่ถึงกับสะดุ้ง ดูน่าตลกในสายตาคนมอง หากใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มด้วยการผสมอย่างลงตัวของเลือดตะวันตกและตะวันออกนั้นแค่แย้มขบขันนิดเดียว ก่อนเลือนหาย กลายเป็นสีหน้าแห่งความเรียบเฉยเหมือนเดิม“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร คุณใหญ่บอกเรียกดิฉัน ต้องการอะไรหรือคะ”“ไม่มีหรอก แต่คุณทิพย์เดินหน้าเครียดเข้าบ้าน คิดว่าจะมีปัญหาแก้ไม่ตก ฉันจะได้ช่วย” เจ้าของคำพูดหยอกเล่นอย่างที่น้อยครั้งจะได้เห็นเดินนำไปทางระเบียงด้านข้างของคฤหาสน์ซึ่งดูเป็นสัดส่วนพอควร ทรุดกายนั่งบนเก้าอี้ตรงโต๊ะที่จัดไว้สำหรับรับประทานอาหาร“อุ๊ย! คุณใหญ่ไม่ต้องช่วยหรอกค่ะ ดิฉันจะไม่มีปัญหาอะไร ที่คิดๆ อยู่ก็เป็นเรื่องคุณใหญ่ทั้งนั้น”“คิดเรื่องของฉัน...บอก
“ไม่...ไม่มี ฉันกลับละ”“งั้นเชิญ กลับไปเลย ไม่ต้องมาอีกยิ่งดี ฉันเบื่อหน้าคนขี้ขลาด ไม่มีหัวใจอย่างศจีเต็มทีแล้ว” คนไล่สะบัดหน้าพรืดเข้าบ้าน ท้ายเสียงเครืออย่างระงับไม่อยู่สองเท้าพาร่างบางเข้าห้องนอน แทนที่จะตรงไปยังห้องครัว เพราะความหิวมันหายไปหมดแล้ว กระแทกกายนั่งบนเตียง แล้วพ่นถ้อยคำระบายอารมณ์“เหมือนกันทั้งเจ้านายลูกน้อง ลึกลับ ทึมทื่อ เป็นผีดิบกันทั้งบ้าน ถามอะไรไม่รู้เรื่องสักคน”ใกล้ค่ำ รัชตะกลับมาถึงคฤหาสน์ราชเกียรติกูร บ้านที่สร้างไว้เพื่อระลึกถึงมารดาชาวแคนาดาที่จากโลกนี้ไปเมื่อห้าปีก่อน เขามีความทรงจำดีๆ กับมารดา แถมด้วยญาติสนิททางนั้น และยิ่งมากขึ้นเป็นทวีเมื่อเทียบกับญาติทางฝั่งบิดา บิดาถือกำเนิดในราชสกุลชั้นสูงของเมืองไทย แต่ถูกขับไล่ทั้งครอบครัวเพราะเลือกแต่งงานกับมารดาที่เป็นชาวต่างชาติ แทนที่จะเป็นคนสายสกุลใกล้ชิดกันที่ถูกวางตัวไว้เพื่อจะหนุนงานด้านการทูต มันคือความผิดที่รัชตะไม่ต้องการรับรู้ ไม่อยากเข้าไปยุ่ง อีกทั้งยิ่งหาข้อมูลหลายด้านก็ทำให้มั่นใจว่าอยู่ห่างกันไว้เป็นดีที่สุด เพราะไม่มีทางเลยที่เขาหรือคนอื่นจะรับรู้ถึงความจริงจากเหตุการณ์ซับซ้อนพวกนั้น แม้ ‘พ่
คนร่างอรชรนอนคว่ำหน้า สายตาไล่ตามตัวหนังสือที่เธออ่านซ้ำ เป็นรอบที่สาม จนเกินชั่วโมงจึงพลิกกายหงาย แล้วทอดถอนใจอย่างเบื่อหน่าย“เบื่อจนเครียด ใกล้จะบ้าแล้วนะ รับรองเถอะ ฉันบ้าเมื่อไหร่ ลุงได้สังเวยความบ้าของฉันเป็นคนแรกแน่ ลุงคุณใหญ่แห่งบ้านผีดิบ!”ท้ายเสียงกระแทกขุ่นมัว นึกภาพชายชราผมขาวโพลนทั้งหัว หากเรือนกายยังกำยำล่ำสัน มีรัศมีสีเทาแผ่ออกมา...และเมื่อภาพนั้นชัดขึ้นปิ่นลดากลับนึกขันปนสมเพช“คงมีเมียเด็กซุกไว้ในคฤหาสน์ พอมีลูก เลยต้องซุกต่อ จะจ้างพี่เลี้ยงยังต้องทำลับๆ ล่อๆ แก่แล้วไม่เจียมตัว ทำเราเดือดร้อนไปด้วย” หล่อนว่าใส่อารมณ์ พยายามสูดลมหายใจลึก บรรเทาอารมณ์เดือดพล่าน แต่เมื่อไม่เป็นผลจึงต่อว่าฝากฟ้าลม “ถ้าลุงอยู่ส่วนลุง ฉันก็ไม่สนใจหรอก ชีวิตใครชีวิตมัน แต่ตอนนี้ฉันอยากฉีกอกลุง ตัณหาหน้ามืดของลุงทำฉันเดือดร้อน ลุงกำลังคุกคามชีวิตอันสงบสุขของฉันอยู่ เข้าใจไหม”เจ้าหล่อนทุบกำปั้นลงกับที่นอน พ่นลมหายใจฟืดฟาดอย่างเคืองแค้น การถูกกักขังให้อยู่ในบ้านหลังเล็ก โดยมีคนคุมคอยส่งอาหารเช้าเที่ยงเย็น จะติดต่อใครก็ไม่ได้ การจะออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอก เป็นอันไม่ต้องคิดฝันถึงขนาดนี้ ใครจะ
คนร่างสูงใหญ่ที่ยืนนิ่งบนระเบียงขบกรามแน่น สายตาคมกริบจ้องไปยังหญิงสาวอย่างประเมินและครุ่นคิด ขณะที่นายปั้นกับนายแสงถึงกับตัวสั่น กล้าๆ กลัวๆ ที่จะห้ามเธอ “กลับไปได้แล้ว แล้วคืนนี้ไม่ต้องมาอีก” เสียงดุกร้าวดังแทรกความเงียบ ปิ่นลดาทำท่าจะค้าน แต่พอเห็นว่าสองคนข้างหลังขยับตัว พากันเดินออกไปอย่างรวดเร็ว เธอเลยถึงบางอ้อคิดว่าจะถูกไล่ซ้ำไล่ซ้อนซะอีก เฮ้อ!เมื่อสองคนนั้นหายไปแล้ว ปิ่นลดาจึงหันมายังชายคนที่หมายตาว่าจะทำให้เธอพบกับตาเฒ่าตัณหากลับที่ทำให้เธออยู่ในสภาพนี้ให้ได้ แต่พอเห็นว่าร่างนั้นกำลังก้าวลงจากบันไดที่ทอดเลื้อย เธอก็ขยับตัว บอกตัวเองไม่ได้ว่าควรดีใจหรือวิ่งหนีกันแน่ร่างใหญ่ทะมึนหากเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว ดูประเปรียว ทำให้เธอรู้สึกไม่ต่างกับการเผชิญกับเสือดำ!“ฉัน...ฉันไม่อยากคุยกับคุณ แต่อยากให้เรียกคุณใหญ่มาคุยกับฉัน” ปิ่นลดายอมเสียฟอร์ม เมื่อสัมผัสถึงรังสีอันตรายจากผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่ไม่อาจมองเห็นใบหน้า แต่คะเนจากขนาดร่างกายและความคล่องตัวของเขา หล่อนฉลาดพอที่จะไม่ต่อกร“มีอะไรบอกกับฉันได้”“ไม่ได้หรอก ฉันมีเรื่องสำคัญ คนนอกไม่เกี่ยว”“อ๋อ เรื่องระหว่างเธอกับเขา เรื่องลั
โรงแรมใหญ่ที่สุดในเชียงราชซึ่งเป็นพื้นที่ประตูการค้าเปิดใหม่ สามารถเชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้านและเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าที่สำคัญ ส่งผลให้กลายเป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ที่นักธุรกิจทั้งในและต่างประเทศต่างจับตามอง เข้ามาแสวงหาโอกาส จนสร้างความร่ำรวยและยิ่งใหญ่ให้กับหลายราย ไม่ต่างกับเจ้าของโรงแรมหนุ่มเลือดผสมที่เดินเข้ามาในโถงล็อบบีอย่างสง่าและมั่นคง รัชตะ ราชเกียรติกูรกลับมาเมืองไทยเมื่อเจ็ดปีก่อน ในตอนนั้นเขาเป็นคนหนุ่มเลือดร้อนวัยเบญจเพส ความใจถึง กล้าได้กล้าเสีย รวมถึงเงินทุนมหาศาลที่ได้จากแม่ชาวแคนาดาที่เสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุเรือสำราญล่มพร้อมกับพ่อชาวไทย จึงส่งผลให้แค่ไม่กี่ปี ชื่อของเขาก็ผงาดขึ้นเป็นนักธุรกิจชั้นแนวหน้าที่ใครๆ ก็อยากเข้าถึงแต่ดูว่าสิ่งที่หลายคนต้องการไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ รัชตะเก็บเนื้อเก็บตัวยามอยู่เมืองไทย แต่ถ้ามีเวลาว่างพอ สิ่งแรกที่มักทำคือเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นการพักผ่อนในตัวด้วยเครื่องบินส่วนตัว โดยจุดหมายปลายทางอยู่ที่ประเทศแคนาดา บ้านเกิดและสถานที่ที่เขาเติบโตมา แม้ว่าตอนนี้จะไม่เหลือทั้งพ่อและแม่อยู่แล้วก็ตาม แต่ที่แห่งนั้นก็ยังเป็นบ้านที่อบอุ่นสำหรั
รัชตะหงุดหงิดทั้งวันเมื่อต้องทำงานอยู่ในโรงแรม ช่วงบ่ายเขามีนัดกับนักธุรกิจจีนที่จะมาคุยรายละเอียดในกิจการประกอบรถยนต์ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างเขาและผู้ร่วมหุ้นอีกสองคนถ้าจะเลื่อนนัด รัชตะสามารถทำได้ เพราะความที่ค่อนข้างสนิทสนมและยังรู้ว่านักธุรกิจคนนี้จะพักอยู่ในโรงแรมอีกสามวันกับครอบครัว แต่เขาไม่ต้องการทำ ไม่อยากทำในสิ่งที่ตอกย้ำว่าปิ่นลดามาอยู่เหนือความคิดเขาไปแล้ว“คุณดูใจลอย” คำพูดดังแว่วของมิสเตอร์จางทำให้รัชตะรู้สึกตัว เขายังสามารถควบคุมตัวเองไม่ให้สะดุ้งจนขายหน้า ชายหนุ่มมองชายร่างใหญ่หากจะเทียบกับเชื้อชาติพันธุ์ของเขา แล้วตีหน้าจริงจัง หลังจากเรียกสติคืน“คุณพร้อมดูโรงงานเมื่อไหร่ บอกผมล่วงหน้าสักวัน แล้วจะจัดการให้”“ผมต้องดูแน่ แต่เพื่อศึกษานะ ไม่ใช่ตรวจสอบเพราะไม่วางใจ ผมรู้รายละเอียดคนที่คุณดึงมาร่วมงานในฝ่ายการผลิตแล้ว ยังทึ่งว่าคุณทำได้อย่างไร รู้ทั้งรู้ว่าพวกมีฝีมือ องค์กรเดิมดึงตัวไว้เหนียวหนึบ แกะไม่หลุดเชียว”“แค่เรารู้ว่าเขาต้องการอะไร ก็ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้แล้วครับ”รัชตะตอบอย่างมีเชิง มิสเตอร์จางหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ เขาพอใจที่ได้ร่วมธุรกิจกับสิงห์หนุ่
แต่ที่ไหนได้...สิ่งที่เธอวาดหวังไว้ ไม่ได้เกิดขึ้นเลย“เราถูกหลอก” เธอให้คำตอบกับตัวเอง แต่ถ้าถามต่อว่าคนทำมีเหตุจูงใจอะไร เธอก็มืดแปดด้าน“เราตัวคนเดียว ทรัพย์สินก็ไม่มี จะว่าเก็บเราไว้ต่อรองกับพ่อแม่ก็ไม่ใช่” พูดถึงตอนนี้ขอบตาเธอร้อนผ่าว แม้ได้รับการดูแลอย่างดี แต่ปิ่นลดาก็รู้ว่าไม่อาจเทียบลูกสาวในไส้อย่างคุณแหวว แต่ความน้อยใจก็คลายลงเมื่อรับรู้ถึงความไม่พร้อมของครอบครัว ปิ่นลดารู้ความจริงในบ้าน มากกว่าที่คุณแหววจะรู้พ่อแม่มีหนี้สินตั้งมากมาย หนี้ที่เกิดจากความผิดพลาดในการลงทุนและส่งคุณแหววเรียนเมืองนอก แถมยังต้องส่งเธอเรียนจนจบมหาวิทยาลัยอีกแล้วจะมีเหตุอะไรให้เจ้าของบ้านหลอกเธอมากักตัวด้วยล่ะ!หญิงสาวส่ายหน้า เมื่อทุกอย่างวนกลับมาที่เดิม สิ่งที่เกิดกับเธอเหมือนมีคนคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง ปิ่นลดารู้สึกว่าตนถูกปั่นหัวจากใครสักคน และมั่นใจว่าหนึ่งในนั้นต้องมีคนร่างสูงใหญ่ในสูทสีดำเมื่อครู่รวมอยู่ด้วยเธอไม่ได้ใส่ร้ายใคร หากความมั่นใจเกิดขึ้นหลังจากทบทวนเหตุการณ์เมื่อคืน รวมถึงสีหน้าและแววตาของเขา อีกทั้งท่าทางของหญิงสาวสวยสะดุดตาที่เกาะติดเขา“ผู้ชายคนนั้นเกี่ยวข้องยังไงกับคุณใหญ่”
หล่อนหอบกระเส่า เปล่งเสียงเรียก ทิ้งศีรษะกับที่นอนอย่างหมดทางเมื่อเรียวลิ้นสากระคายกดคลึงยอดเกสรสวย ช่องทางรักอุ่นชื้นถูกรุกรานด้วยนิ้วแกร่งที่ทำงานประสานกัน เร่งจังหวะรัวเร็ว จนหล่อนดีดตัวสูง บิดกายเมื่อความเสียวซ่านกำซาบทั่วทุกรูขุมขน หากเขาไม่ปรานี กลับเร่งอารมณ์โถมใส่ กายอิ่มสั่นระริก ส่งเสียงครางกระเส่าเคล้าเสียงสะอื้นไห้อย่างยอมจำนนดวงหน้านวลแดงก่ำด้วยฤทธิ์อารมณ์สะบัดไปมา ดวงตาหวานเปิดปรือเย้ายวนอย่างไม่รู้ตัว มือนุ่มที่ถูกมัดไว้กำแน่นเข้ามากัน ระลอกคลื่นอารมณ์ใหญ่ยักษ์ซัดสาดเข้ามาต่อเนื่อง กระทั่งสิ่งที่อัดแน่นในกายระเบิดโพลง พล่านพร่าเกินจะควบคุม“คุณใหญ่ขา ลดาไม่ไหวแล้ว”ปิ่นลดาครวญอย่างน่าสงสาร ก่อนกรีดร้องอย่างไม่อาจทนไหว ทิ้งกายเปลือยลงระทวยทอดอย่างหมดทาง ปรับลมหายใจและอารมณ์ข้างในที่ปลดปล่อยออกมาร่างหนาใหญ่ขยับนั่งคุกเข่า เขาถอดเสื้อคลุมออก เหลือเพียงกายแกร่งเปลือย โน้มคร่อมเจ้าร่างบาง ปลดเชือกที่พันธนาการข้อมือเธอไว้ แล้วไล้เลื่อนต่ำมาผลักท่อนขาอวบให้เปิดกว้างปิ่นลดาผวาเฮือก แอ่นกายไขว่คว้าสามีหนุ่ม เมื่อเขาดันกายเข้า
บทส่งท้ายปิ่นลดา...ยอดรักยอดปรารถนาหลังจากแต่งงาน ไม่กี่เดือนต่อมาปิ่นลดาก็คลอดลูกชายคนแรกให้กับรัชตะ และว่างเว้นไม่ถึงปีหญิงสาวก็ตั้งท้องลูกสาวคนที่สอง ตอนนี้ทารกน้อยออกมาลืมตาดูโลกได้กว่าแปดเดือนแล้วในแต่ละวันหญิงสาวต้องหัวหมุนกับลูกชายหญิง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในความวุ่นวายนั้นช่างเปี่ยมด้วยความสุขอย่างที่เธอนึกไม่ออกว่าชีวิตนี้จะต้องการอะไรอีก...นอกเหนือจากสามีหนุ่มและลูกสองคนอันเป็นแก้วตาดวงใจในวันนี้รัชตะออกจากบ้านตั้งแต่เช้าเพื่อเข้าร่วมประชุมหุ้นส่วนใหญ่ซึ่งเป็นนักธุรกิจต่างชาติในกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่มีโรงงานตั้งอยู่ในประเทศพม่า โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่กลางเมืองเชียงราชของฝั่งไทยเขากลับเข้าบ้านในเวลาสองทุ่ม ทันทีที่ภรรยาสาวซึ่งเพิ่งจัดการกับลูกน้อยสองคนเสร็จเห็นเขาก็ยิ้มกว้างแล้วเดินไปหา“งานเป็นยังไงบ้างคะ เสร็จเรียบร้อยดีไหม”ปิ่นลดากอดท่อนแขนล่ำสันของสามีไว้ แนบแก้มนวลด้วยท่าทางประจบอย่างแสนน่ารัก ทุกท่าทางเป็นไปโดยธรรมชาติ“เรียบร้อยครับ”“คุณใหญ่มาเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำอุ่นให
“พราวพิชชาค่ะ พี่สาวของลดา”“ชื่อยังกะลิเก”เสียงเปรยเข้าหูในระยะประชิด พราวพิชชาต้องกลั้นอารมณ์อีกรอบ แต่เธอไม่ต้องทนนานเมื่อเสียงคุ้นหูดังเข้ามา อย่างที่ต้องรีบหันมอง“คุณแหวว คุณแหววจริงๆ ด้วย ลดาดีใจจังเลย ในที่สุดคุณแหววก็มา”ร่างงามอิ่มในชุดไทยประยุกต์สีครีมที่เห็นชัดว่ากำลังตั้งครรภ์เดินแกมวิ่งมาหา จนต้องปราดไปรับ กลัวว่าเจ้าสาวจะล้มคว่ำเสียก่อน“ลดาคิดว่าคุณแหววจะไม่มาซะอีกค่ะ”“มาสิ พี่ต้องมา ลดาแต่งงานทั้งที”พราวพิชชายิ้ม ยกสองมือประคองแก้มนวลที่ตกแต่งไว้อย่างดี เธอมองทั่วดวงหน้าน้องสาวแล้วดันออกห่าง สังเกตถ้วนทั่วแล้วยิ้มพอใจ“ลดาสวยมากเลยจ้ะ ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น พี่ดีใจจริงๆ ที่เห็นลดาในภาพนี้”เธอหลุดความคิดออกมา พราวพิชชาพอรู้ว่าน้องสาวบุญธรรมต้องเจอกับอะไรก็ต่อเมื่อเรื่องมันเลยมาจนถึงวันนี้แล้ว ถามพ่อกับแม่กลับได้คำตอบว่าปิ่นลดาสบายดี เจ้าตัวเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วเลือกทำงานที่เมืองไทยต่อ โดยปฏิเสธจะไปอยู่ออสเตรเลียด้วยกันหากค
“ไม่เชื่อค่ะ ลดาไม่เชื่อหรอกว่าตลอดชีวิตของคุณจะไม่มีใครอีก นอกจากเด็กมอมแมมอย่างลดาในตอนนั้น”“มันก็ใช่ ความจริงมีคนเต็มใจเยอะเชียวละ แต่ฉันไม่ตกลง” เขาว่าหน้าตาเฉย แต่คนฟังเบ้หน้า “ฉันอยากได้แม่เก่งๆ ให้ลูก แล้วถูกใจฉันด้วย”“คนเต็มใจของคุณใหญ่มีคุณชัญญาด้วยไหมคะ”“ฉันบอกแล้ว คุณชัญญาเป็นผู้หญิงที่ฉันให้ความสนิทสนม เธอเป็นเพื่อนคนหนึ่ง ฉันไม่เคยคิดเป็นอื่น”“แต่คุณชัญญาคิด” หล่อนว่าเสียงเข้ม ชายหนุ่มต้องอธิบายด้วยท่าที งอนง้อ“ต่อจากนี้ไม่คิดแล้วละ เชื่อฉัน เรื่องที่คุณชัญญาช่วยเธอหนีกลับกรุงเทพฯ วันนี้ ฉันก็รู้ แต่ไม่อยากพูดถึงอีก ขอให้มันจบได้ไหม เรื่องนี้ฉันขอ เพราะเราต้องอยู่ร่วมกันในเชียงราช อาจจะตลอดชีวิตของเรา แล้วฉันเชื่อว่าคุณชัญญาเป็นผู้หญิงที่รักศักดิ์ศรี เธอจะจบเรื่องของเราลงแค่นี้แน่นอน”“โอเคค่ะ ลดาเชื่อและคิดเหมือนคุณ...แต่ขอบอกไว้นะคะถ้าเมื่อกี้คุณใหญ่ไม่บอกว่ารักลดาก่อน ลดาจะไม่ยอมรับฟังอะไรง่ายๆ ลดาจะทำให้คุณเจ็บตัวด้วย ผู้ชายอะไร พิษสงรอบตัวจริ
หญิงสาวหันมอง อมยิ้มแก้มตุ่ย ไม่บอกเขาหรอกว่าตนกำลังมีความสุขเหลือเกิน ก็ผู้ชายที่รักเต็มหัวใจแถมยังเป็นพ่อของลูกในท้องบอกรักพร้อมกับขอแต่งงาน ต่อให้เหนื่อยอ่อนแค่ไหนก็เรียกพลังคืนได้ในพริบตา“ทานข้าวกันเลยไหมคะ ค่ำแล้ว คุณลดากำลังท้องกำลังไส้ ท้องว่างนานไม่ดี เดี๋ยวคุณหนูจะหิว”พวงทิพย์เดินออกมาบอกเสียงจริงจัง จนปิ่นลดาหน้าเหวอกับท่าทางที่เปลี่ยนไป กระนั้นก็รีบปรับสีหน้ายิ้มรับอย่างจริงใจพร้อมบอกขอบคุณ จนแม่บ้านใหญ่ยิ้มเก้อ รีบกลับเข้าห้องครัวสั่งเด็กตั้งโต๊ะเสียงหัวเราะในลำคอหนาทำให้ปิ่นลดาหันมอง“คุณใหญ่หัวเราะทำไม มีอะไรน่าขำหรือคะ”“ขำเธอกับคุณทิพย์ไง”“คุณใหญ่นี่ นิสัยไม่ดีอีกแล้ว”ปิ่นลดารู้ทันหรอกน่า หยิกท่อนแขนกำยำก่อนฝ่ายนั้นจะโอบพาเข้าห้องทานอาหาร เพราะไม่อยากให้เธอกินข้าวมื้อค่ำผิดเวลานานสองคนใช้เวลาส่วนตัวในห้องทานอาหาร ช่างน่าแปลกว่าวันนี้แม้จะเป็นอาหารรสเลิศ ไม่ต่างจากวันก่อนที่ปิ่นลดาเห็นแล้วอาเจียนจนหมดไส้หมดพุง จนรัชตะต้องลงมือทำเมนูสารพัดไข่ให้หล่อนแทน
การกลับมาถึงคฤหาสน์ราชเกียรติกูรในช่วงเย็นความรู้สึกต่างจากการออกไปในตอนเช้าโดยสิ้นเชิงปิ่นลดาก้าวลงจากรถ มองรอบตัว สูดลมหายใจเต็มปอด เหมือนกับว่าได้จากไปนานแล้วเพิ่งหวนคืนมา สำนึกอีกส่วนบอกว่าที่นี่คือ ‘บ้าน’ ที่หล่อนจะอยู่ด้วยหัวใจอบอุ่นและมั่นคงรัชตะแตะเอวพาหญิงสาวเข้าไปในบ้าน ศจีที่วิ่งออกมาทำหน้าดีใจก้ำกึ่งจะร้องไห้ ปิ่นลดาจับมือไว้ ถามพลางยิ้มเต็มสีหน้า“เป็นอะไรศจี คิดถึงฉันมากหรือ ไม่เจอกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง”“ฉันคิดว่าคุณจะไม่กลับมา ฉันใจหายหมดเลยคุณรู้ไหม”หญิงร่างผอมบางบอก น้ำตาจะไหลอยู่รอมร่อ จนปิ่นลดาต้องหัวเราะเสียงใสหวังจะสร้างบรรยากาศใหม่“ทำไมจะไม่กลับ ฉันไม่ได้ไปไหนสักหน่อย ศจีอย่าตื่นตูมไปหน่อยเลยน่า”เจ้าหล่อนว่าพลางเดินผ่านจะขึ้นไปชั้นบน ก่อนหยุดฝีเท้าตรงบันไดขั้นแรก แล้วหันมาถามอีกหน“ศจีเก็บลูกหม่อนไว้ให้ฉันไหม”“เก็บค่ะ ฉันเก็บมาเต็มตะกร้าเลย แล้วลงมานะคะ”“จ้ะ”แล้วร่างอิ่มในเดรสสวยเหมาะสำ
“ถ้า...เอ่อ คุณจะทำตามเงื่อนไข ฉันก็เข้าใจค่ะ ไม่เป็นไร”“เพื่อนายเล็ก เธอยอมขนาดนี้เลยหรือ ปิ่นลดา”น้ำเสียงคนตัวใหญ่บอกชัดว่าไม่พอใจและไม่ได้แสร้งทำด้วย ปิ่นลดามองอย่างงุนงง เขาแปรเจตนาเธอถึงไหนกัน“คุณโกรธฉันหรือคะ”“ฉันไม่ชอบให้เธอพูดถึงนายเล็กอย่างนี้”“ไม่ให้ฉันสงสารเขาหรือคะ คุณใหญ่บ้าหรือเปล่า ฉันจะทำได้ยังไง ก็เขาน่าสงสารและน่าเห็นใจจริงๆ แทนที่จะได้อยู่สุขสบาย กลับต้องทนลำบากในป่าเขา ตามศักดิ์เขาเป็นหม่อมราชวงศ์ เป็นคุณชายด้วยนะ เอ่อ...ความจริงก็คุณใหญ่ด้วยแหละ” ท้ายประโยคเสียงเบาลง เห็นชัดว่าเจ้าตัวเริ่มงุนงงและสับสนกับตัวเอง“พอเลย ไม่ต้องดรามา” รัชตะเห็นท่าไม่ดี รีบดักคอ “นายเล็กไม่ใช่ยาจก แต่มันชอบทำตัวซอมซ่อ และมันไม่ได้ตกระกำลำบากในป่า แต่มันเข้าป่าเพราะทำเหมืองทองคำที่ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลของประเทศพม่า เหมืองอยู่ใกล้เขตแดนที่ตอนนี้เปิดเสรีแล้ว มันรวยพอที่อยู่ได้สบายทั้งชาติ”“อ้าว จริงหรือคะ”คนเพิ่งถึงบางอ้อครางอย่างหม
บ้านเดิมของพ่อที่รัชตะบอกไว้ทำให้ปิ่นลดาถึงกับตะลึง ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นวังเก่าที่ปัจจุบันตกอยู่ในมือหลานห่างๆ ครอบครองอยู่ โดยรู้มาว่าทายาทสายตรงนั้นย้ายไปอยู่ต่างประเทศอย่างถาวร หลังจากแต่งงานกับภรรยาฝรั่งและถูกถอดจากความเป็นราชนิกูลด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครรู้และเป็นไปโดยการสมัครใจของทุกฝ่ายแต่ดูเหมือนพวกเขายังมีเงื่อนไขที่ยังติดพันอยู่ สิ่งนี้ทำให้เธอถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างเลี่ยงไม่ได้...และมันก็ใช่สิ่งที่ปิ่นลดารู้คร่าวๆ มาก่อนแล้ว“ฉันต้องมั่นใจด้วยว่าเด็กในท้องยายหนูคนนี้เป็นลูกของเธอ เป็นสายเลือดแท้จริงของราชเกียรติกูรถึงจะเซ็นมอบสมบัติส่วนของพ่อเธอให้”“ถ้าจะให้ตรวจ DNA ตอนนี้ ผมไม่อนุญาต ผมไม่ต้องการให้ลูกเมียมาเสี่ยงกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง” รัชตะสวนด้วยท่าทีแข็งกร้าว ทำให้ชายร่างผอมสูงผงะอย่างคิดไม่ถึง จนแม้แต่ปิ่นลดายังต้องสะดุ้ง “ผมไม่ได้มาเพื่อขอให้ท่านลุงเชื่อหรือไม่เชื่อว่าลูกในท้องปิ่นลดาเป็นลูกของผม แต่มาเพื่อบอกกล่าวท่านลุง ผมจะแต่งงานกับปิ่นลดา ผมกำลังจะมีลูก เลยอยากทำทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง ผมเ
“ใช่พี่ แม่บอกว่าเขาย้ายไปอยู่ออสเตรเลียแล้ว พี่ลดาไม่รู้หรือ ตอนแรกนัทยังอิจฉาพี่เลยว่าได้ไปอยู่เมืองนอกกัน”“ไม่ พี่ไม่รู้”“งั้นกลับเถอะพี่ อย่าเข้าไปเลย มันไม่ใช่บ้านของพี่ลดาแล้ว”เมื่อเห็นว่าเธอยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม และรถบรรทุกข้างในกำลังแล่นออกมา เด็กหนุ่มจึงคว้าข้อมือหญิงสาวจูงให้พ้นรัศมี ก่อนจะปล่อยเธอ“พี่...เอ่อ พี่พักที่ไหน แล้วจะกลับยังไง”หล่อนส่ายหน้า สมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก เด็กหนุ่มมอง แล้วพอปะติดปะต่อหลายอย่างได้ก็รู้สึกสงสารจับใจ นั่นคือการแสดงน้ำใจได้เท่าที่ตนสามารถ“ตรงนี้อากาศร้อน ไปที่ร้านก่อนดีกว่า พี่หน้าซีด เดี๋ยวจะเป็นลม”ปิ่นลดารู้สึกตัว กำมือแน่นอย่างเรียกกำลังใจ ถึงอย่างไรเธอต้องเดินต่อ จะหยุดชีวิตไว้ตรงนี้ได้อย่างไรกันพอจะย่างเท้ากลับไปทางต้นซอย รถหรูคันสีดำติดฟิล์มมืดสนิทก็แล่นมาจอดใกล้ ปิ่นลดาหลบทางให้ ตั้งท่าจะเดินต่อ หากต้องชะงัก เท้าหยุดนิ่งทั้งสองข้าง มองคนที่เปิดประตูก้าวออกมาด้วยความรู้สึกช็อก“พี่ลดา เราไปกันเถอะ”