เข้าสู่ระบบฤดูเหมันต์หิมะโปรยปราย แม้หนาวเย็นเสียดแทงกระดูกแต่น่าแปลกกลับรู้สึกอบอุ่นอ่อนละมุนในหัวใจอย่างประหลาด
อาจเป็นเพราะภาพของบุรุษหนุ่มผู้องอาจบนหลังอาชา
เขาผู้นั้นงามสง่าอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่ตบเท้ามารอรับการกลับมาของเขาอย่างคับคั่ง
ยามอาชาเยื้องย่างพาบุรุษผ่านทางเข้ามาใกล้ระยะสายตาทำให้มองเห็นใบหน้าหล่อเหลาได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
และยิ่งเด่นชัดถึงคำว่า ‘สูงค่าเกินเอื้อม’
ใบหน้าคมคายดุดันน่ายำเกรง ทั่วเรือนกายแลดูแกร่งกร้าวและเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของเอกบุรุษ
สตรีหลายคนชี้ชวนมองเขาพลางกระซิบกระซาบด้วยสายตาชื่นชมหลงใหล เมื่อชายหนุ่มปรายตามองอย่างไม่ตั้งใจ สตรีเหล่านั้นก็เอียงอาย บิดผ้าเช็ดหน้าแทบขาด
เสียงสรรเสริญต้อนรับการกลับมาของเขาดังลั่นไม่ขาดสาย
หวงลี่ฟางเองก็ออกมาจากคฤหาสน์หนิงเทียนเพื่อมายืนรอต้อนรับเขาเช่นกัน
บุรุษหนุ่มผู้สุขุมเย็นชาแต่หล่อเหลาเป็นเอก จ้าวฉีเสวียน
ชินอ๋องซื่อจื่อผู้นี้เดินทางกลับจากสงครามกับพวกป่าเถื่อนรุกรานดินแดน ชาวบ้านเมื่อเห็นเขาต่างกู่ก้องสรรเสริญทั้งสองฝั่ง
นอกจากเสียงสรรเสริญของเหล่าชายหญิงวัยกลางคนยังมีเสียงดรุณีอายุราวสิบห้าสิบหกที่ยืนด้านข้างหวงลี่ฟางกล่าวชื่นชมอย่างหลงใหลเพ้อฝัน
“ดูท่วงท่าผึ่งผายของชินอ๋องซื่อจื่อเถิดช่างกร้าวแกร่งยิ่งนัก มิรู้ว่าหากข้าได้อยู่ใกล้จะทนความร้อนรุ่มในกายตนได้หรือไม่”
แม่นางน้อยอีกคนกล่าวเสริม “ซื่อจื่อต้องมีพลังทำลายล้างอิสตรีซ่อนอยู่เป็นแน่ ข้ามองจากตรงนี้ยังเนื้อตัวร้อนผ่าวไปหมด”
“เกินไปแล้วพวกเจ้า” สตรีอีกคนที่ยืนข้างกันพูดปราม นางสวมชุดสีแดงเจิดจ้ากว่าใคร “พูดจาเพ้อเจ้อเหลวไหลอันใดกัน ซื่อจื่อสูงส่งปานนั้น ใช่บุรุษที่พวกเจ้าสมควรเอ่ยถึงเช่นนี้หรือไร”
แต่สตรีสองนางไหนเลยจะฟัง
“พวกข้ารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ นี่นา”
“ใช่ ต่อให้มิอาจเอื้อมคว้าแต่ขอได้ระบายทางวาจาก็ยังดี”
สตรีทั้งสองพูดจบต่างยกผ้าเช็ดหน้าปิดปากกรีดร้องไร้เสียงจนดวงหน้าแดงก่ำไปหมด
หวงลี่ฟางก้มหน้าหลุบตานิ่งฟังบุตรสาวชาวบ้านที่ไม่เคยต้องเก็บอาการหรือรักษาจริตอันใดมากมายอย่างสนอกสนใจ
ขณะลอบฟังรอยยิ้มยังประดับตรงหางตานางตลอดเวลา มิใช่นึกขันแต่นางเห็นด้วยกับทุกวาจานั้น
จ้าวฉีเสวียนที่สูงส่งถือตัวและเห็นว่าเย่อหยิ่งเย็นชามีท่วงท่านิ่งขรึมสุขุมเช่นนั้นแต่กลับทำสตรีคิดเหลวไหลได้ขนาดนี้ นางไม่แปลกใจเลยสักนิด เพราะแท้จริงหลังม่านมุ้งบนเตียงนอน ตัวเขานอกจากมิใช่บุรุษผู้สุภาพและสง่างามอย่างที่เห็นยามนี้ ยังกลายเป็นบุรุษอีกคน ที่ร้อนแรงเอาแต่ใจและเรียกร้องไม่สิ้นสุด
จังหวะนั้นสตรีชุดแดงที่เอ่ยปรามแม่นางน้อยทั้งสองพลันเหยียดริมฝีปากกระซิบเสียงหยันขึ้นว่า “ข้าได้ข่าวลับมาว่าซื่อจื่อมีสตรีผู้รู้ใจแล้วนะ แต่เป็นใคร หน้าตาเป็นเช่นใด ไม่เคยมีใครเห็น รู้แค่ว่าเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่ได้อยู่ข้างกายซื่อจื่อ”
สตรีชุดฟ้าเลิกคิ้ว “สตรีข้างกาย คู่หมั้นหรือคู่หมายกันเล่า?”
สตรีชุดเขียวยกยิ้ม “หากมิใช่ก็คงเป็นแค่สาวงามอุ่นเตียง”
แม่นางน้อยทั้งสองหัวเราะเยาะคิกคัก ดูแคลนพร้อมกัน
สองสตรีเงียบไปชั่วครู่ เป็นคนชุดฟ้าพูดว่า “แต่ว่าเป็นแค่สาวงามอุ่นเตียงแล้วอย่างไร ข้าอยากเห็นหน้าเหลือเกิน นางผู้นั้นน่าอิจฉายิ่งนักที่ได้เคียงข้างซื่อจื่อ สมควรผูกมิตรเอาไว้อย่างยิ่ง”
คนชุดเขียวเสริมว่า “ใช่ๆ แค่คิดว่าได้ใกล้ชิดซื่อจื่อเช่นนั้น ความสูงส่งเทียบฟ้าก็ครอบงำจิตใจแล้ว ตัวข้ามิได้ใกล้ชิดซื่อจื่อ แต่ได้เป็นสหายของสาวงามอุ่นเตียงก็ยังดี ยังต้องสนหรือไรว่านางเป็นแค่สตรีไร้ฐานะของซื่อจื่อ”
“ว่าแต่เราลองสืบกันดูหรือไม่ ว่าสตรีนางนั้นเป็นผู้ใด”
“เจ้ากล้าหรือ?”
สตรีชุดฟ้าชะงัก “ข้าคิดว่าไม่นะ ใครจะกล้าเล่า เจ้ารึ”
สตรีชุดเขียวส่ายหน้าพรืด “ย่อมไม่กล้า ซื่อจื่อหวงแหนอาณาเขตส่วนตัวปานนั้น ข้าไม่อยากกลายเป็นศพหรอกนะ”
“ข้าก็ไม่อยาก”
สตรีชุดแดงที่ฟังอยู่นาน ยื่นหน้าเข้ามาแทรก “หรือว่าซื่อจื่อเกรงสตรีข้างกายได้รับอันตราย”
สตรีอีกสองคนนิ่วหน้าทำท่าคิด คนหนึ่งพูดว่า “จากใครล่ะ ในเมืองนี้ก็มีเพียงพวกเราที่ร้ายที่สุด และแน่นอนว่าพวกเราไม่คิดทำร้ายสตรีข้างกายซื่อจื่อ มีแต่จะผูกมิตรกระชับสัมพันธ์ ใครกันจะไม่อยากเป็นสหายกับคนสนิทข้างกายซื่อจื่อ”
“ถูกต้อง”
วาจานั้นมิใช่เลื่อนเปื้อนทว่าคนแอบฟังอย่างหวงลี่ฟาง เพียงปล่อยผ่านไปอย่างเลื่อนลอย
ทว่ากลับไม่อาจเลือนหายไปจากใจแต่อย่างใด
หวงลี่ฟางยืนโดดเด่นท่ามกลางฝูงชน ทว่าจ้าวฉีเสวียนที่เห็นก็เพียงมองผ่านอย่างเย็นชา สีหน้าท่าทางบ่งบอกว่าไม่รู้จักกัน
แต่ไหนแต่ไรมาจ้าวฉีเสวียนใช้ชีวิตอย่างตามใจตนเอง ไม่ยี่หระต่อความรู้สึกนึกคิดใคร จนถูกขนานนามว่าเย็นชาไร้หัวใจ
หวงลี่ฟางไม่เคยถือสาความเย็นชานั้น นางเพียงแย้มยิ้มต้อนรับการกลับมาของเขาอย่างมีความสุขกลมกลืนกับคนอื่นๆ ที่ต่างก็รอรับการกลับมาของชินอ๋องซื่อจื่อ
เสียงโต๊ะโยกคลอนดังสนั่นห้องกว่าเดิม หวงลี่ฟางครางเสียงเครือ ไม่นานร่างบางก็กระตุกอีกรอบ“อ๊า...”พร้อมกับร่างสูงที่เกร็งไปทั้งตัว แก่นกายกระตุกรุนแรงอยู่ในร่างนางหลังซุกซบซอกคอหอมจนลมหายใจหอบหนักกลับมาปกติ จ้าวฉีเสวียนก็พรมจูบทั่วขมับขาวปลอบประโลมจนตัวเองพอใจ จากนั้นพลันจับนางลอกคราบที่เหลือ จากเนินเนื้อที่เปิดเปลือยแค่สาบเสื้อแบะอ้า บัดนี้เสื้อผ้าทุกชั้นพลันกระจัดกระจายอยู่แทบเท้าชายหนุ่มจับร่างเปลือยเปล่านุ่มนิ่มขึ้นอุ้มแนบอกอุ่น ก้าวยาวๆ ไม่กี่ครั้งก็ถึงเตียงนอนขนาดใหญ่ด้านใน อาภรณ์สูงค่าบนร่างหนาก็ถูกถอดโยนทิ้งไร้ทิศทางเช่นกันคนตัวขาวผ่องมีน้ำมีนวลอมชมพูระเรื่อถูกจับนอนหงายในท่วงท่าทอดกายเชิญชวน จากนั้นคนตัวสูงก็ขึ้นคร่อมทับอีกครั้ง ฝ่ามือร้อนผ่าวจับข้อเท้าเล็กยกเรียวขาขึ้นมอบท่วงท่าน่าอายให้นาง กลางกายที่มีตัวตนกร้าวแกร่งผงาดกล้าก็ไม่น้อยหน้า ตรงเข้าจัดการมอบจังหวะอันแสนสุขสมอีกคราหวงลี่ฟางครางหวิวปรือตาฉ่ำน้ำมองภาพบุรุษผู้ดิบเถื่อน เขาดูน่าหลงใหล เร้าใจ เป็นภาพที่นางแน่ใจว่าไม่เคยมีหญิงใดได้เห็นจ้าวฉีเสวียนทำการแนบชิดสนิทเนื้อซ้ำรอบแล้วรอบเล่า ทั้งเขาทั้งนางเรื
จ้าวฉีเสวียนแทรกกายเข้ากลางหว่างขาเรียวขาวที่อ้ารับ ขยับเอวสอบเล็กน้อย จดจ่อปากทางร่องสาว ถูไถเปิดทางเบาๆ ค่อยๆ สอดใส่เนิบช้า“อา...” หวงลี่ฟางเผยอปากหลุดเสียงครางหวิวแม้ร่างกายคุ้นเคยแต่เส้นทางคับแคบนี้กลับไม่ค่อยคุ้นชิน ขนาดความเป็นชายของจ้าวฉีเสวียนใหญ่เกินไป นางที่ตัวเล็กเท่านี้ มีหรือจะขยายได้ดังใจ“ซื่อจื่อ เจ็บ...” หญิงสาวจิกเล็บกับบ่ากว้างชายหนุ่มพลันชะงัก ตัวตนที่สอดใส่ได้เพียงครึ่งหยุดลง มือหนึ่งเอื้อมมาใกล้บุปผาฉ่ำ ไล้นิ้วเรียวเวียนวนละเล่นเกสรงามหวงลี่ฟางเริ่มบิดกายสะโพกโยกย้าย อาการเจ็บจุกถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกดีและผ่อนคลาย“เจ็บแค่เริ่มต้นรอบแรกรอบเดียว รอบต่อไปย่อมเสียว...”เสียงทุ้มแหบพร่าเอ่ยวาจาน่าอายออกมาอย่างไม่เก็บข่ม มีเพียงอยู่กับหวงลี่ฟางเท่านั้นที่จ้าวฉีเสวียนจะเผยตัวตนด้านนี้“เจ้าอ้าขาออกอีก ข้าอยากรักเจ้าลึกๆ”ชายหนุ่มขยับท่อนกายแข็งขึงกับช่องทางแคบนุ่มเนิบช้า โยกเอวสอบไปมา เริ่มแปรเปลี่ยนความแสบสันให้กลายเป็นความรู้สึกหฤหรรษ์อย่างบรรจง ค่อยๆ ขยับเข้าออกเบาๆ“รู้สึกดีขึ้นหรือไม่?”“อ่ะ...อืม”เมื่อสอดลึกดังใจปรารถนาจึงขยับเป็นจังหวะเร็วขึ้น
ทุกคราที่เดินทางกลับมาจากภารกิจรักษาดินแดน แทนที่จ้าวฉีเสวียนจะรีบกลับจวนชินอ๋อง เขากลับส่งขบวนยิ่งใหญ่พร้อมลูกน้องคนสนิทล่วงหน้าไปส่งรายงานก่อน ส่วนตัวเองก็แยกตัวออกมาคนเดียวไร้ใครสังเกตเข้ามาที่คฤหาสน์หนิงเทียนคฤหาสน์แห่งนี้ตั้งตระหง่านฝั่งทิศใต้ของเมืองใหญ่ผิงโจว เป็นสถานที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ อยู่ใกล้สำนักยวี้จู๋เพียงเชิงเขาร้อยหลี่กั้นในเรือนลับหลังใหญ่เร้นหญิงงามผู้หนึ่งเอาไว้นางกำลังนั่งสางผมรอจ้าวฉีเสวียนอยู่ที่หน้าคันฉ่องหวงลี่ฟาง...แท้ที่จริงแล้วตำแหน่งภรรยาลับนี้มิใช่ความต้องการของจ้าวฉีเสวียนแต่เป็นความปรารถนาของหวงลี่ฟางเองแน่นอนว่าบุรุษหนุ่มผู้ร้อนรุ่มคนหนึ่งย่อมไม่คิดขัดศรัทธา เขาไม่เสียประโยชน์อันใดกับความลับนี้จึงไม่จำเป็นต้องทัดทาน“รอนานแล้วกระมัง?”ร่างสูงสง่าถามขณะยืนกอดอกอิงขอบประตูด้วยท่วงทีที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับยามอยู่หลังบนอาชาเหนือขบวนกลางเมือง ยามนั้นเขาสุขุมนุ่มลึกและเย่อหยิ่งเย็นชา หากแต่ยามนี้ แม้ยังคงสูงส่งเกินเอื้อมคว้า ทว่าสีหน้าแววตากลับกรุ้มกริ่มยียวนหวงลี่ฟางลุกขึ้นคำนับเขา “ข้ารอซื่อจื่อมาตลอด...”คำกล่าวนี้มิได้เกินจริง หลายปีที่หวงลี
ฤดูเหมันต์หิมะโปรยปราย แม้หนาวเย็นเสียดแทงกระดูกแต่น่าแปลกกลับรู้สึกอบอุ่นอ่อนละมุนในหัวใจอย่างประหลาดอาจเป็นเพราะภาพของบุรุษหนุ่มผู้องอาจบนหลังอาชาเขาผู้นั้นงามสง่าอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่ตบเท้ามารอรับการกลับมาของเขาอย่างคับคั่งยามอาชาเยื้องย่างพาบุรุษผ่านทางเข้ามาใกล้ระยะสายตาทำให้มองเห็นใบหน้าหล่อเหลาได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆและยิ่งเด่นชัดถึงคำว่า ‘สูงค่าเกินเอื้อม’ใบหน้าคมคายดุดันน่ายำเกรง ทั่วเรือนกายแลดูแกร่งกร้าวและเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของเอกบุรุษสตรีหลายคนชี้ชวนมองเขาพลางกระซิบกระซาบด้วยสายตาชื่นชมหลงใหล เมื่อชายหนุ่มปรายตามองอย่างไม่ตั้งใจ สตรีเหล่านั้นก็เอียงอาย บิดผ้าเช็ดหน้าแทบขาดเสียงสรรเสริญต้อนรับการกลับมาของเขาดังลั่นไม่ขาดสายหวงลี่ฟางเองก็ออกมาจากคฤหาสน์หนิงเทียนเพื่อมายืนรอต้อนรับเขาเช่นกันบุรุษหนุ่มผู้สุขุมเย็นชาแต่หล่อเหลาเป็นเอก จ้าวฉีเสวียนชินอ๋องซื่อจื่อผู้นี้เดินทางกลับจากสงครามกับพวกป่าเถื่อนรุกรานดินแดน ชาวบ้านเมื่อเห็นเขาต่างกู่ก้องสรรเสริญทั้งสองฝั่งนอกจากเสียงสรรเสริญของเหล่าชายหญิงวัยกลางคนยังมีเสียงดรุณีอายุราวสิบห้าสิบหกที่ยืนด้านข้างหวงลี่ฟางกล
จ้าวฉีเสวียนชินอ๋องซื่อจื่อ เป็นที่หมายปองของเหล่าสตรี เป็นบุรุษที่เอาแต่ใจ ไม่ค่อยใส่ใจใครเท่าที่ควรหวงลี่ฟางคุณหนูตระกูลใหญ่ที่โชคชะตาพลิกผัน กลายเป็นสาวงามอุ่นเตียงของชินอ๋องซื่อจื่อ นิสัยเรียบง่าย สงบสุภาพ นุ่มนวลอ่อนหวาน ยอมรับทุกชะตากรรมนำพาจ้าวเฟิงฉีท่านประมุขสำนักยวี้จู๋อันยิ่งใหญ่รุ่ยเหยียนนายหญิงใหญ่แห่งหูเตี๋ย อดีตคือหญิงแพศยา ทิ้งลูกทิ้งสามี หนีตามชายชู้จ้าวเล่อเสียน้องสาวของจ้าวฉีเสวียน นิสัยใจร้อนวู่วาม ยึดมั่นคุณธรรม********************************ปฐมบท พรหมจรรย์ข้า? ผู้ใดกัน? สำนักยวี้จู๋เพราะต้องการฝึกสุดยอดวิชา ซื่อจื่อน้อย จ้าวฉีเสวียน จึงเร่งเดินทางจากจวนชินอ๋องตั้งแต่เมื่อวานขึ้นมายังหุบเขาผนึกมาร การกักตนฝึกฝนเริ่มต้นขึ้นทันทีที่ฝ่าเท้าเหยียบพื้นดินที่นี่ทว่ามิคาด เกิดเหตุผิดพลาดประการใดก็สุดรู้ หรืออาจเพราะคลั่งไคล้วิชายุทธ์แบบสุดกู่ก็เป็นได้จึงทำให้จ้าวฉีเสวียนที่คร่ำเคร่งเคี่ยวกรำตนจนเกือบจะฝึกฝนถึงขั้นสุดท้ายกลับกลายเป็นร้อนรุ่มไปทั้งกาย คล้ายถูกไฟแผดเผาจนร่างแทบมอดไหม้เขาพาเรือนกายกำยำของตนที่รู้สึกเสมือนกำลังจะปริแตกเพราะถูก
บุรุษหากยังไม่แต่งงานจะใช้ชีวิตสำราญปานใดล้วนทำได้ บุปผางามตระการล้วนมากมี พึงเชยชมได้เต็มที่ เสพสมให้ทั่วถึง แต่เมื่อใดที่มีภรรยาเป็นตัวเป็นตน คนต้องรักเดียวใจเดียว มิอาจข้องเกี่ยวหญิงใดอีก ดังนั้นบุรุษสำราญเช่นเราอย่าเผลอใจไปกับสตรีที่เพียงร่วมสำราญแต่มิได้แต่งงานด้วยเด็ดขาดอี้หาน[1]ปรมาจารย์ศาสตร์บนเตียงของจ้าวฉีเสวียน***สตรีหากเป็นแค่เครื่องมือปรนเปรอความสำราญแก่บุรุษแล้วอย่างไร ขอเพียงเขายังไม่แต่งงาน เราจะเรียกร้องสัมผัสรักใคร่จากเขาเท่าใดก็ได้ ใช่ว่าเขาสุขสมฝ่ายเดียว ดังนั้น สตรีผู้ช่ำชองต้องกอบโกยพลังหยางเอาไว้ แต่ห้ามเผลอใจรักเด็ดขาด เสี่ยวเหยา[2]ปรมาจารย์ศาสตร์บนเตียงของหวงลี่ฟาง******************อารัมภบทงานชุมนุมชาวยุทธ์ประจำปีนี้พิเศษกว่าทุกปี เหตุเพราะท่านอ๋องน้อยให้เกียรติมาร่วมการประชันเขานั่งโดดเด่นอยู่เหนือสุดบนแท่นประธานการชุมนุม เด็กหนุ่มผู้นี้อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีด้วยซ้ำ เพียงเขานั่งนิ่งๆ อยู่ตรงนั้นกลับชวนให้คนลุ่มหลงมัวเมาอย่างที่สุด เพียงได้เห็นแค่ไกลๆ ก็ยังปิดความกร้าวแกร่งทรงพลังแห่งบุรุษเพศไว้ไม่มิดทั้งหล่อเหลาคมคาย เรือนกายสง่างาม ผิวขาวราวแท่งหยก เ







