เข้าสู่ระบบ“อืม...” เด็กน้อยทำหน้าครุ่นคิด เอียงคอไปด้วยขณะที่กำลังใช้ความคิดทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำถามและหาคำตอบเพื่อตอบคุณแม่ของเธอ
“ปะป๊าทำงาน งานยุ่งมาก”
เป็นเรื่องที่อันนาคุ้นชินมาตั้งแต่เธอเริ่ม ๆ จำความได้ เวลาทั้งวันเธอจะอยู่กับคุณแม่มากกว่าเพราะรู้ว่าที่ปะป๊าต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้าและกลับเข้ามาตอนค่ำ ๆ ก็เพราะออกไปทำงานและถ้าวันไหนปะป๊าของอันนากลับช้ากว่าปกติคุณแม่ก็จะบอกว่าปะป๊างานยุ่งมากทำให้กลับบ้านช้า และอันนาจะได้เจอหน้าปะป๊าในเช้าวันถัดไป ปะป๊าจะคอยที่โต๊ะทานข้าวเพื่อรอป้อนมื้อเช้าให้เธอเสมอ
“น้องอันไม่โกรธค่ะ เพราะปะป๊าทำงานหนักเพื่อดูแลน้องอันกับคุณแม่” คำตอบของอันนาทำให้อารีรัตน์ต้องอมยิ้มและรู้สึกเบาใจที่ลูกสาวเข้าใจว่าปะป๊าทำงานหนักก็เพื่อลูกคนนี้และดีใจมากที่อันนาจะไม่โกรธปะป๊า
“วันนี้ปะป๊าก็งานยุ่งเหรอคะคุณแม่” เปลี่ยนมาเอียงคออีกข้างแล้วถามคุณแม่กลับไปบ้าง สีของท้องฟ้าทำให้อันนารู้ว่าเวลานี้จะเป็นเวลาที่เธอต้องได้เจอหน้าปะป๊าแล้วแต่ก็ยังไม่เจอ ทำให้เด็กน้อยเข้าใจไปเองว่าที่ปะป๊ายังไม่กลับมาก็เพราะปะป๊างานยุ่ง
“จ้ะ” อารีรัตน์เลือกที่จะตอบเออออไปในทางที่ลูกสาวของเธอกำลังเข้าใจอยู่ แม้ในใจจะเจ็บแปลบ ๆ ที่เธอเองก็ทำใจเอาไว้แล้วว่าอินทัชจะไม่มาหาเธอกับลูกแน่ วันนี้คือวันแรกที่เขาได้รับอิสรภาพของตัวเองคืน ป่านนี้คงดีใจเป็นลิงโลดแล้วใช้ชีวิตโสดอย่างเต็มที่อยู่แน่ ๆ
“เข้าบ้านกันดีกว่าน้องอัน”
“น้องอันหิวมากเลยค่ะคุณแม่” ทำหน้าอ้อน ๆ แล้วยกมือขึ้นมาลูบพุงของตัวเองด้วย
“ยังหิวอีกเหรอคะ คุณแม่คิดว่าน้องอันจะอิ่มขนมแล้วซะอีก” อารีรัตน์โยนเรื่องที่ทำให้เธอเป็นทุกข์ไว้นอกบ้านแล้วจับมือลูกน้อยเดินกลับเข้าไปในบ้าน ถึงเวลาที่เธอจะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกสาวแค่สองคนและจะเริ่มตั้งแต่มื้อเย็นนี้เป็นต้นไป
หากเขาไม่มาเธอก็ไม่จำเป็นต้องรอ เป็นแบบนี้ก็ดีเธอจะได้รู้ว่าเขาเป็นผู้ชายที่ใจร้ายเกินคน ใจร้ายกับเธอคนเดียวอารีรัตน์ยังพอทนได้แต่เขาใจร้ายกับลูกด้วยอันนี้เธอคงทนไม่ได้จริง ๆ เบอร์โทรศัพท์เธอก็ไม่ได้เปลี่ยน แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ติดต่อมา ไม่ต้องเป็นห่วงเธอก็ได้แต่อย่างน้อยเขาต้องเป็นห่วงลูก ต้องถามถึงลูกบ้าง ไม่ใช่ทำตัวเงียบแบบนี้ ‘เอิร์นจะเปลี่ยนเบอร์’
“เอิร์นจะใจร้ายบ้าง พี่โอบอย่ามาว่ากันนะคะ”
:
:
ผับชื่อดังย่านทองหล่อ
“เฮ้ยไอ้โอบ นี่มึงจะไม่กลับบ้านไปหาลูกหาเมียเหรอวะ ปกติดื่มได้แค่ไม่กี่แก้วก็ต้องรีบลุกกลับไปนอนกอดเมียแล้ว” ชัชชัยเอ่ยแซว ใบหน้าแดงก่ำตาเยิ้มเพราะดื่มไปหลายแก้วและกำลังเมาได้ที่ เมาแล้วแต่ยังเหลือสติแซวเพื่อนได้
“กูโสดโว้ย ตอนนี้โสด ไม่มีเมีย” ยกแก้วขึ้นสูง ๆ ทำเสียงดังคล้ายจะอยากประกาศให้โลกรู้ว่าตอนนี้เขาโสดแล้ว แต่ติดตรงที่มีเพียงชัชชัยเท่านั้นที่ได้ยินเพราะเสียงเพลงที่ดีเจกำลังเล่นเพื่อสร้างอรรถรสให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในผับดังจนกลบเสียงของอินทัชซะมิดเลย
“อะไรนะ! มึงพูดเล่นเปล่าวะ” ถามไปก็เรอไปด้วย
“เออ! กูโสดสนิท” ชีวิตโสดที่โคตรจะดี
“มึงหย่าตอนไหนวะโอบ” ชัชชัยชักจะสร่างเมาซะแล้วสิ นี่เขาไม่ได้นัดดื่มกับอินทัชแค่สัปดาห์เดียวถึงกับตกข่าวเรื่องการหย่าร้างของเพื่อนเลยเหรอเนี่ย
“กูไม่ได้หย่า” ตอบให้รู้แล้วยกแก้วขึ้นดื่มสักอึกก่อนจะพูดต่อ
“กูไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับเอิร์น”
“อ๋อ” ชัชชัยคิดตามแต่ก็ยังประหลาดใจเพราะเขาคิดว่าอินทัชกับอารีรัตน์จดทะเบียนสมรสกันแล้วตั้งแต่วันแต่งงาน ที่ไหนได้แค่แต่งแล้วอยู่กินกันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสนี่เอง
“แล้วมึงให้อะไรเมียเก่ามึงบ้างวะ” ถ้าเป็นการจดทะเบียนสมรสทรัพย์สินหลังแต่งงานจะถือว่าเป็นสินสมรสทั้งหมด เมื่อหย่ากันสินสมรสต้องถูกแบ่งให้ทั้งสองฝ่ายแต่คู่นี้ไม่ได้มีการหย่ากันแล้วอย่างนี้อินทัชจะให้ค่าเสียเวลากับอารีรัตน์อย่างไรบ้าง อย่างน้อยก็ควรมีให้ลูก
“ค่าเลี้ยงดูลูกไง กูจ่ายให้เอิร์นทุกเดือนและเงินปันผลของธุรกิจกู เอิร์นจะได้รับทุกปี อะไรที่เคยให้กูก็ให้เหมือนเดิมนั่นแหละ กูไม่ได้จะใจดำที่เลิกกันแล้วจะไม่ให้อะไรเลย” เขาก็แค่พูดข่มไว้เท่านั้นที่ถามว่าเธอจะหาเงินเลี้ยงอันนายังไงเพราะเขาอยากให้อารีรัตน์คิดให้มากถ้าจะเอาอันนาไปเลี้ยง ก็อยากให้เธอยืนได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องรอพึ่งเงินของเขาแค่ฝ่ายเดียว
เอาเข้าจริงอินทัชไม่ได้จะใจไม้ไส้ระกำถึงขั้นไม่ส่งเสียอะไรเลย ที่ผ่านมา 4 ปีเธอก็ทำให้เขามีความสุขดี ทำหน้าที่ภรรยาได้ดีมาก ตอนนี้เลิกกันแล้วเขาก็เห็นแก่ความสุขที่เธอเคยมอบให้ ยังไงก็จะเลี้ยงดูเธอและลูกอยู่แล้วจะเลี้ยงจนกว่าอันนาจะโตเป็นผู้ใหญ่นั่นแหละ หรือไม่ก็จนกว่าอารีรัตน์จะมีผัวใหม่ ‘เดี๋ยวนะ ผัวใหม่!’
“คงไม่รีบร้อนจะหาผัวใหม่หรอกมั้ง” แก้วเหล้าในมือถูกวางลงบนโต๊ะ หัวคิ้วขมวดมุ่นเมื่อคิดได้ว่าตอนนี้ไม่ได้มีแค่เขาที่โสด เพราะอารีรัตน์ก็โสดเหมือนกัน
“ก็ไม่แน่นะมึง เมียเก่ามึงยังสาวและโคตรสวย ผู้ชายสมัยนี้เขาไม่สนใจหรอกว่าจะมีลูกติดหรือเปล่า ถ้าคนมันชอบก็คือชอบ จีบแม่แถมลูกโดยไม่ต้องเสียเวลามาปั๊มใหม่ไงมึง มีแต่จะเอาเพิ่ม” ชัชชัยพูดไปตามที่เขาเห็นในสังคมสมัยใหม่
“เหอะ พูดอย่างกับมึงก็สนใจผู้หญิงที่มีลูกติดอย่างนั้นแหละไอ้ชัช” เป็นโสดอะดีที่สุดแล้ว เขาผ่านการมีครอบครัวมาละเลยรู้ดีไง ว่าไม่มีอะไรจะดีเท่ากับอิสระในการใช้ชีวิต
“ก็เคยคิดเหมือนกันมึง ทุกวันนี้ผู้หญิงเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวกันเยอะขึ้น และคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวก็มักจะดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอเพื่อตอกหน้าผู้ชายให้รู้ว่า ต่อให้ต้องเลี้ยงลูกเพียงลำพังก็สวยได้ ทำให้ผู้ชายที่มองไม่เห็นค่าในความดีของเธอต้องรู้สึกเสียดาย ขนาดกูที่เป็นผู้ชายคนหนึ่งแล้วได้เจอคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวเก่ง ๆ สวย ๆ กูยังรู้สึกเสียดายแทนผู้ชายคนนั้นที่ทิ้งของดีเลยมึง”
“เหรอ ผู้ชายคนนั้นอาจจะไม่ได้เสียดายเหมือนที่มึงคิดก็ได้นะชัช” ในเมื่อไม่ต้องการแล้วจะมารู้สึกเสียดายทำไมวะ อินทัชคิดค้านคำพูดของชัชชัย เลิกก็คือการตัดสินใจอย่างดีแล้วไงไม่จำเป็นต้องมานั่งเสียดายทีหลังอีก ถ้ายังเสียดายแล้วจะเลิกทำไม
“พูดงี้แปลว่ามึงไม่เสียดายน้องเอิร์นเลยใช่ปะ ถ้ามีหนุ่มหล่อรวยกรวยใหญ่มาจีบน้องเอิร์นมึงก็จะไม่รู้สึกอะไรแน่นะ”
“กูไม่เสียดายอะไรทั้งนั้นโว้ย ขอแค่ไอ้ผู้ชายคนนั้นมีดีพอที่จะเลี้ยงเอิร์นและเข้ากับอันนาได้ กูก็โอเคหมด” อินทัชพูดเหมือนไม่ได้คิดอะไร ไม่คิดเลยจริง ๆ แต่มือกำแก้วเหล้าแน่นมาก
“แล้วดีพอในความหมายของมึงคือแบบไหนวะ แบบไหนที่เรียกว่าดี” ชัชชัยลุ้นกับคำตอบของอินทัช เขาเองก็ไม่ใช่คนที่ดีอะไรและทุกคนล้วนมีดีและไม่ดีปะปนกัน
“เออเอิร์น เรื่องโรงเรียนมินถามผอ.ของโรงเรียนแล้วนะ เขาบอกว่ายังเปิดรับนักเรียนอยู่ พรุ่งนี้ไม่ก็มะรืนนี้เอิร์นพาอันนาไปสมัครเรียนได้เลยนะจ๊ะ” มินตราพูดด้วยความตื่นเต้นพร้อมส่งเบอร์โทรศัพท์ของโรงเรียนอนุบาลให้อารีรัตน์ ‘โรงเรียนอนุบาลเติมฝัน...ผอ.ปณิธาน’“ดีจัง เอิร์นขอบใจมินมากเลยนะที่เป็นธุระเรื่องนี้ให้ อันนาต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่จะได้เรียนโรงเรียนเดียวกันกับตังเม”คนเป็นแม่ที่มีลูกเกิดใกล้ ๆ กันก็พากันตื่นเต้นที่จะต้องหาโรงเรียนให้ลูกสาว ทางด้านอารีรัตน์จะตื่นเต้นและค่อนข้างเครียดเรื่องโรงเรียนมากหน่อยเพราะเดิมทีวางแผนไว้จะให้อันนาเรียนโรงเรียนนานาชาติใกล้บ้านนั่นคือความคิดก่อนหน้าที่อินทัชจะขอเลิกกับเธอ ตอนนี้แผนทุกอย่างต้องถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดและยอมรับเลยว่าเรื่องหาที่เรียนให้ลูกทำเอาอารีรัตน์นอนหลับไม่สนิทมาหลายคืน และเธอยังมีความโชคดีอยู่บ้างที่มีเพื่อนดีหากไม่ได้มินตราเป็นธุระเรื่องโรงเรียนให้อารีรัตน์ก็ยังคิดไม่ตกว่าจะไปหาโรงเรียนที่เชื่อถือได้จากที่ไหน“โรงเรียนอนุบาลเติมฝันเป็นโรงเรียนสำหรับเด็กเล็กที่มินคิดว่าที่ดีสุดในย่านนี้แล้ว เรื่องความปลอดภัยและคุณภาพของบุคลากรในโรง
“แล้วดีพอในความหมายของมึงคือแบบไหนวะ แบบไหนที่เรียกว่าดี”“แบบกูไง” ตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดแล้วก็ยกแก้วเหล้าที่บีบเกือบร้าวขึ้นมาดื่มต่อ“เหรอ ฮ่า ๆ โทษทีนะที่กูขำ” ชัชชัยอดขำพรวดออกมาไม่ได้ จะพูดว่าไงดีละ เขาคิดว่าเพื่อนของเขากำลังเยินยอตัวเองมากเกินไปหน่อย“ขำอะไรของมึงวะ นี่กูพูดจริง ๆ นะ ไม่มีใครดีสำหรับเอิร์นได้เท่ากูอีกแล้ว” ตั้งแต่เด็กก็ไม่เห็นจะมีผู้ชายคนไหนที่ดูจะเป็นคนดีในสายตาของอินทัช เพราะเหตุนี้ไงเขาถึงยอมเสียสละตัวเองมาแต่งงานกับอารีรัตน์“ถ้ามึงดีนักแล้วขอเลิกกับเขาทำไมวะ”“เอ้า ก็กูไม่ได้รักเอิร์นไงมึง คนขอเลิกมันก็จะมีกี่เหตุผลกันวะ แล้วกูก็บอกเอิร์นดี ๆ กูไม่ได้นอกใจหรือทำเรื่องเลว ๆ แล้วถึงมาขอเลิกเว้ย”“เออครับ มึงมันคนดี ประเสริฐจนยากจะหาชายใดมาเทียบได้ แล้วมึงได้ถามเขาไหม”“ถามอะไรวะ”“มึงเคลมว่าตัวเองเป็นคนที่ดีที่สุดสำหรับน้องเอิร์น แล้วมึงได้ถามเขาไหมว่าในสายตาของเอิร์นมึงดีขนาดนั้นหรือเปล่า กูว่านะตอนนี้น้องเอิร์นคงมองว่ามึงเหี้ย...”“เฮ้ย ไอ้ชัช มึงหลอกด่ากูเหรอ”ไอ้เพื่อนเวร คนกำลังเคลิ้มและหลงใหลไปกับความดีในความคิดของตัวเองอยู่ แต่ไอ้นี่มันมาพูดซะความดี
“อืม...” เด็กน้อยทำหน้าครุ่นคิด เอียงคอไปด้วยขณะที่กำลังใช้ความคิดทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำถามและหาคำตอบเพื่อตอบคุณแม่ของเธอ“ปะป๊าทำงาน งานยุ่งมาก”เป็นเรื่องที่อันนาคุ้นชินมาตั้งแต่เธอเริ่ม ๆ จำความได้ เวลาทั้งวันเธอจะอยู่กับคุณแม่มากกว่าเพราะรู้ว่าที่ปะป๊าต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้าและกลับเข้ามาตอนค่ำ ๆ ก็เพราะออกไปทำงานและถ้าวันไหนปะป๊าของอันนากลับช้ากว่าปกติคุณแม่ก็จะบอกว่าปะป๊างานยุ่งมากทำให้กลับบ้านช้า และอันนาจะได้เจอหน้าปะป๊าในเช้าวันถัดไป ปะป๊าจะคอยที่โต๊ะทานข้าวเพื่อรอป้อนมื้อเช้าให้เธอเสมอ“น้องอันไม่โกรธค่ะ เพราะปะป๊าทำงานหนักเพื่อดูแลน้องอันกับคุณแม่” คำตอบของอันนาทำให้อารีรัตน์ต้องอมยิ้มและรู้สึกเบาใจที่ลูกสาวเข้าใจว่าปะป๊าทำงานหนักก็เพื่อลูกคนนี้และดีใจมากที่อันนาจะไม่โกรธปะป๊า“วันนี้ปะป๊าก็งานยุ่งเหรอคะคุณแม่” เปลี่ยนมาเอียงคออีกข้างแล้วถามคุณแม่กลับไปบ้าง สีของท้องฟ้าทำให้อันนารู้ว่าเวลานี้จะเป็นเวลาที่เธอต้องได้เจอหน้าปะป๊าแล้วแต่ก็ยังไม่เจอ ทำให้เด็กน้อยเข้าใจไปเองว่าที่ปะป๊ายังไม่กลับมาก็เพราะปะป๊างานยุ่ง“จ้ะ” อารีรัตน์เลือกที่จะตอบเออออไปในทางที่ลูกสาวของเธอกำลังเข
“พรุ่งนี้เอิร์นเข้าไปเริ่มงานได้เลยนะ มินบอกพนักงานในคาเฟ่ไว้แล้วว่าเอิร์นจะเข้าไปเป็นผู้จัดการร้าน มีอะไรสงสัยหรือติดปัญหาอะไรก็ถามทุกคนในร้านได้เลย น้อง ๆ นิสัยดีทุกคนเพราะมินคัดมาเองกับมือ”มินตราพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่อารีรัตน์จะเข้ามาเป็นผู้จัดการคาเฟ่ให้เธอ คาเฟ่ของมินตราเป็นร้านกาแฟขนาดกลาง ไม่เล็กมากแต่ก็ไม่ใหญ่โตจนเกินไป เธอพึ่งเริ่มเปิดมาได้หกเดือนเท่านั้นยังจัดว่าเป็นมือใหม่ แม้จะยังมือใหม่ก็ถือว่าเป็นร้านคาเฟ่ที่พึ่งเปิดแต่มีลูกค้าประจำหนาแน่น“ขอบคุณมาก ๆ เลยนะมิน ถ้าเอิร์นไม่มีมินก็ไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงต่อดี”อารีรัตน์พูดจากใจจริงและรู้สึกขอบคุณเพื่อนรักคนนี้มาก ๆ มินตราจะเป็นเพื่อนคนแรกที่เข้ามาช่วยเหลือเธอในเวลาที่ทุกข์ใจเสมอ อิงค์น้องของอินทัชก็ด้วยแต่ว่าตอนนี้อิงค์ทำงานอยู่ที่อเมริกาไทม์โซนต่างกันทำให้ไม่ค่อยได้คุยกันสักเท่าไหร่ แต่มินตราจะอยู่ใกล้เธอมากกว่าและอาจจะเพราะว่าเราเป็นคุณแม่เหมือนกัน เวลามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็มักจะเข้าใจกันได้ในทันทีโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา“ตอนนี้เอิร์นทำใจให้สบายนะไม่ต้องคิดอะไรมาก หรือถ้ามีเรื่องอะไร
“เอิร์นมาช้ามากเลยใช่ไหม ขอโทษนะมิน” ทำหน้ารู้สึกผิดและก็ยอมรับผิดจริง ๆ เพราะเธอมาช้ามาก พอมาเห็นเพื่อนสาวอุ้มลูกน้อยวัยเดียวกันกับอันนารอเธออยู่ก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก“คิดมากน่า ไม่ได้ช้าขนาดนั้น”“ตังเม สวัสดีน้าเอิร์นค่ะคนเก่ง” มินตรายกมือขึ้นจัดผมหน้าม้าให้ลูกสาววัย 3 ขวบของเธอขณะบอกให้สวัสดีคุณน้าเอิร์นไปด้วยตังเมเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของมินตราที่เกิดจากเธอและไตร สามีที่ลืมเลือนเธอไปแล้ว มีเพียงทะเบียนสมรสเท่านั้นที่เป็นสิ่งยืนยันว่าเธอมีสามีอยู่ ส่วนเจ้าตัวนั้นจะรู้หรือเปล่าว่าลูกและเมียอยู่ที่นี่“สวัสดีค่ะน้าเอิร์น” สองมือป้อม ๆ ยกขึ้นมาพนมแล้วก้มศีรษะไหว้เพื่อนของแม่มิน ตังเมมีเก้อเขินอยู่บ้างเพราะไม่ค่อยได้เจอน้าเอิร์นบ่อยเท่าไหร่ ถึงจะเขินจนม้วนแต่ก็ยังไหว้สวยสมกับที่มินตราเคร่งเรื่องมารยาทกับลูกสาวของตัวเองเธอฝึกและอบรมตังเมเป็นอย่างดี“น่ารักจังเลยลูก ตังเม” ขอจิ้มแก้มหลานสาวสักทีให้หายหมั่นเขี้ยวแล้วจึงแนะนำเด็กอีกคนให้รู้จักกัน“อันนาไหว้น้ามินด้วยนะลูก”“เมื่อวานก็ไหว้แล้วค่ะคุณแม่ วันนี้ต้องไหว้อีกเหรอคะ” ถ้าไม่ขี้สงสัยคงไม่ใช่อันนา และคำถามซื่อ ๆ ของเธอก็ทำเอา
“ทำไมปะป๊าถึงไปกับเราไม่ได้เหรอคะคุณแม่” เสียงของเด็กน้อยเอ่ยถามด้วยความสงสัยขณะที่เธอนั่งอยู่ในคาร์ซีทของตัวเองและมองกระเป๋าเสื้อผ้ากับข้าวของเครื่องใช้ที่เต็มรถไปหมด“ปะป๊าต้องทำงานใหญ่ค่ะน้องอัน ก็เลยมาอยู่กับเราไม่ได้” อารีรัตน์ตอบคำถามของลูกสาวในขณะที่เธอกำลังขับรถมุ่งหน้าไปยังบ้านหลังใหม่ที่เธอจะใช้บ้านหลังนั้นเป็นบ้านที่จะเลี้ยงดูอันนา บ้านชานเมืองที่ใกล้จากบ้านหลังเดิมที่เคยเป็นเรือนหอของเธอ“แล้วปะป๊าจะมานอนกับเราไหมคะคุณแม่” เด็กน้อยช่างสงสัย คิดอะไรออกมาก็ถามหมดแม้จะยังไม่รู้ว่าตอนนี้พ่อและแม่ของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว“แน่นอนค่ะ ถ้าปะป๊างานไม่ยุ่งปะป๊าจะมานอนกับเราค่ะ” น้ำเสียงของคนเป็นแม่ยังคงปกติเหมือนทุกครั้งที่อันนาได้ยิน แต่หนูน้อยอันนาจะไม่รู้เลยว่าภายใต้น้ำเสียงที่ยังสดใสของคุณแม่นั้นได้ซ่อนความเจ็บปวดที่บีบรัดก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายจนมันแตกซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่แม่ก็คือแม่แม้จะเจ็บเจียนตายขนาดไหนก็ต้องเข้มแข็งเพื่อลูกเสมอ“น้องอันคิดถึงปะป๊า” ไม่มีวันไหนที่อันนาจะไม่ได้หอมแก้มปะป๊าก่อนนอน และวันนี้เธอก็ยังคิดว่าปะป๊าจะต้องตามไปหาเธอที่บ้านหลังใหม่และเล่านิทานให้เธอฟั







