บทที่
8
เจ้านายกับผัดคะน้าแสนอร่อย
หลังจากที่ได้ยินเสียงตกใจของผู้เป็นมารดา เจ้านายถูกไอดินอุ้มขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขนเขาก็รีบส่ายศีรษะไปมา แล้วพูดออกไปว่า “นายนายไม่เต็บ นายนายไม่เป็นอะไย (นายนายไม่เจ็บ นายนายไม่เป็นอะไร)”
แต่ถึงกระนั้นไอดินก็ยังไม่วางใจ แล้วพยายามดูร่องรอยบาดแผลบนร่างกายของอีกฝ่าย ว่ามีส่วนใดช้ำหรือถูกกระแทกบ้างหรือไม่ พร้อมกับถามออกไปว่า “เจ้านายครับ เจ็บที่หัวไหมลูก หัวผมกระแทกกับพวกนี้ไหม”
เจ้านายจึงส่ายศีรษะ แล้วตอบกลับไปว่า “ไม่แทกฮับ” ก่อนตัวเองจะยกฝ่ามือขึ้นมาจับหัวของตัวเองเอาไว้ พร้อมกับส่ายหน้าไปมาอีกที “หัวนายนายไม่แทกไยฮับ ไม่เต็บเยย (หัวนายนายไม่กระแทกครับ ไม่เจ็บเลย)”
ก่อนจะมีเสียงของมารดาของตัวเองดังขึ้นให้ได้ยินอีกครั้งว่า “แล้วตามตัวผมล่ะ มีอะไรกระแทกไหม ให้หม่าม๊าดูหน่อย” พร้อมกับพยายามแกะกระดุมชุดหมีของเด็กน้อยตรงหน้า เพื่อสำรวจดูร่างกายภายใต้ร่มผ้าแบบทันทีทันใด
พอเปิดออกมาได้ก็เห็นมีแต่พุงน้อยๆ ที่ตอนนี้กำลังกระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อยเพราะแรงหายใจ ก่อนนายจะยกฝ่ามือตีลงไปบนพุงขาวๆ ของตัวเองสองที แล้วพูดออกไปว่า “นายนายไม่เต็บ ตัวไม่ได้แทก แทกกับคุงโต๊ะฮับ ดินดินต้อง...ห่วง (นายนายไม่เจ็บ ตัวไม่ได้กระแทกกับคุณโต๊ะครับ ดินดินไม่ต้องห่วง)”
และเป็นเพราะเสียงร้องของไอดินที่ดังมากเกินไปในเวลานี้ จึงทำให้คนที่อยู่ในห้องรับแขกรีบวิ่งเข้ามา ก่อนจะมีเสียงของศศินดังให้ได้ยินว่า “ดินเกิดอะไรขึ้นร้องเสียงดังเชียว”
ได้ยินเช่นนั้นไอดินจึงเหลียวหน้าหันไปมองใบหน้าของเพื่อนสนิทที่กำลังวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาอย่างตื่นตกใจ เขาจึงส่ายศีรษะไปมาเล็กน้อย แล้วพูดออกไปว่า “เจ้านายตกเก้าอี้น่ะ”
“หา” ศศินที่ได้ยินเช่นนั้น จึงร้องออกมาแบบทันทีทันใด ก่อนเจ้าตัวจะสาวเท้าเข้าไปหาสองคนแม่ลูกที่อยู่ไม่ไกล แล้วรีบดูร่างกายของเด็กน้อยในอ้อมแขนเพื่อนสนิทของตัวเองอีกที
เขากวาดตามองได้เพียงครู่ ศศินก็กดโทรศัพท์โทรหาใครบางคนแทบจะทันที ก่อนเจ้าตัวจะกรอกเสียงพูดลงไปว่า “พี่เตวันนี้ว่างหรือเปล่าครับ”
เพราะศศินรู้ดีว่าพี่ชายของเขาอย่างเตมินทร์เป็นแพทย์ที่มาประจำการอยู่ในโรงพยาบาลที่ไม่ไกลจากนี่สักเท่าไร อีกทั้งที่พักของอีกฝ่ายก็อยู่แถวๆ นี้ด้วยเช่นกัน
พูดได้เพียงแค่นั้นไอดินจึงรีบร้องออกไปว่า “ศินอย่าไปรบกวนพี่เตเขาเลย เดี๋ยวเราพาลูกไปหาหมอเองก็ได้”
ศศินจึงส่ายศีรษะไปมา แล้วพูดออกไปว่า “ไม่เป็นไรหรอก พี่เตว่างพอดี อีกอย่างพี่เตเองก็อยากมาเจอเจ้านายกับใต้หล้าด้วยก็เลยตอบตกลงทันทีเลยน่ะ....”
ได้ยินเช่นนั้นไอดินจึงอ้อมแอ้มตอบกลับไปว่า “แต่ว่า”
แต่กลับถูกศศินขัดขึ้นมาเสียก่อนว่า “เอาน่า ให้หมอเขามาตรวจดูร่างกายเจ้านายคร่าวๆ ก่อนไม่งั้นเราไม่วางใจว่ะ”
เมื่อได้เห็นสีหน้าจริงจังของอีกฝ่ายที่ส่งมาให้ ไอดินจึงอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจออกมาอย่างอ่อนใจ แล้วพูดออกไปว่า “ขอบใจแกมากนะศิน”
ศศินจึงยกมือขึ้นมาตบหัวไหล่ของไอดินอยู่สองสามที แล้วพูดออกไปว่า “เอาน่าก็เราสองคนเป็นเพื่อนกันนี่หว่า มีอะไรที่เราช่วยได้เราก็จะช่วย”
ก่อนเจ้าตัวจะเหลียวหน้าหันไปพูดกับเจ้านายที่ถูกสหายอุ้มเอาไว้ “แล้วเราล่ะจอมซนตกเก้าอี้ได้ยังไง ขึ้นมาทำอะไรบนเก้าอี้”
เจ้านายจึงใช้นิ้วชี้ของตัวเองชี้ไปที่จานกับข้าว พร้อมกับตอบกลับไปทันทีว่า “ผัดน้าเป็ดมาก นายนายเยยทำให้ใหม่ ตอนนี้ปัดน้าไม่เป็ดแย้ว (ผัดคะน้าเผ็ดมาก นายนายเลยทำให้ใหม่ ตอนนี้ผัดคะน้าไม่เผ็ดแล้ว)”
ส่งผลให้เรียวคิ้วเข้มบนใบหน้าของคนทั้งสองที่เป็นผู้ใหญ่ถึงกับกระตุกยิกอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ก่อนจะพากันเหลียวมองไปยังจานกับข้าวที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ที่เจ้านายชี้ทางไป และพอหันไปมองสิ่งที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้ศศินถึงกับยิ้มแหยออกมาทันใด
เพราะเขาเห็นผัดคะน้าที่มีเม็ดน้ำตาลกองอยู่ในจานอย่างมากมายมหาศาล เหลือบสายตาไปอีกเล็กน้อยก็เห็นขวดน้ำปลาที่วางอยู่ข้างกัน
จึงทำให้ศศินหันไปถามเจ้านายอีกทีว่า “นะ...นี่”
แต่ยังไม่ทันที่ศศินจะพูดจบประโยคดี เจ้านายก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นกอดอกด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ ก่อนเจ้าตัวจะพูดออกไปว่า “ใจ้แย้วนายนายตำเองฮับ นายนายไม่อยากให้…ให้กุงน้าฉินจินปัดน้าเป็ดๆ (ใช่แล้วนายนาทำเองครับ นายนายไม่อยากให้คุณน้าศินกินผัดคะน้าเผ็ดๆ)” ก่อนจะยื่นมือไปหมายจะยกจานผัดคะน้าตรงหน้ามาให้กับอีกฝ่าย
แต่เอาเข้าจริงขนาดของจานก็ใหญ่เกินตัวของเจ้านายไปมาก หากจะเป็นคนถือให้ศศินได้ลองชิม มีหวังผัดคะน้าคงเทราดตัวเขาเสียก่อนที่จะทันได้เหลียวหน้าหันไปเสียด้วยซ้ำไป
เขาจึงชักสายตาคืนกลับ แล้วยื่นมือไปชี้จานผัดคะน้าตรงหน้า แล้วพูดออกไปว่า “กุงน้าฉินยองจิมจิฮับ (คุณน้าศินลองชิมสิครับ)” พร้อมกับส่งยิ้มแฉ่งไปให้
จึงทำให้คนที่ได้ยินคำพูดของเด็กน้อยตรงหน้า ก็อดไม่ได้ที่จะคิ้วกระตุกอยู่หลายครั้งหลายครา แต่พอเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของอีกฝ่ายจ้องมองมา หัวจิตหัวใจก็พลันอ่อนยวบลง
เขาจึงยื่นมือสั่นๆ ของตัวเอง ไปหยิบช้อนกาแฟที่อยู่ไม่ไกล แล้วไปตักน้ำแกงน้ำสีน้ำตาลเข้มข้นที่เต็มไปด้วยน้ำตาลอยู่ในจานของผัดคะน้าขึ้นมาชิมอย่างยากลำบาก โดยที่มีสายตาของเจ้านายจ้องมองดูอย่างคาดหวังเต็มที่
จึงทำให้ศศินไม่อาจแอบวางอาหารที่อยู่ในช้อนลงได้อย่างใจ เขาจึงจำต้องอ้าปากกินเข้าไปทั้งอย่างนั้น
และทันทีที่ลิ้นสัมผัสกับรสชาติหวานเจี๊ยบผสมกับความเค็มเข้าขั้นวิกฤต ใบหน้าที่ขาวอยู่แล้วก็ถึงกับขาวซีดยิ่งกว่า
ก่อนจะมีเสียงของเจ้านายดังให้ได้ยินอย่างกระตือรือร้นว่า “กุงน้าฉินอาหย่อยไหมฮับ นายนายตำกับข้าวอาหย่อยไหม...(คุณน้าศินอร่อยไหมครับ นายยนายทำกับข้าวอร่อยไหม)”
สิ้นเสียงดังกล่าว ศศินก็เหลียวหน้าที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ หันไปมองเจ้านายด้วยรอยยิ้มแหย ก่อนเจ้าตัวจะยื่นมือไปจับศีรษะของเด็กน้อยตรงหน้า แล้วกัดฟันพูดออกไปว่า “อร่อยมากเลยครับ”
ส่งผลให้คนฟังอย่างเจ้านายที่ได้เห็นท่าทางของอีกฝ่าย ก็อดไม่ได้ที่จะเหลียวหน้าหันไปมองจานผัดคะน้าทันที
สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือน้ำตาลเป็นเม็ดๆ ที่ยังละลายไม่หมดกองเป็นหย่อมๆ อยู่ในนั้นอย่างเลือนราง แม้เขาจะพยายามเพ่งมองอยู่นานแต่การมองเห็นของเด็กตัวเล็กๆ ก็ไม่ได้ดีเท่าผู้ใหญ่ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะสบถอยู่ในใจว่า ‘หวานเกินไปแน่ๆ เลย’
แต่ถึงกระนั้นพอได้เห็นอีกฝ่ายชมออกมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มกว้างจนหน้าบานไม่ต่างจากกระด้งสักเท่าไร
และเป็นเพราะเขาไม่อยากให้ศศินกินหวานมากเกินไป ถึงอาหารในจานจะอร่อย แต่ก็ไม่อยากให้คนที่เขารักกินอยู่ดี
คิดมาถึงตรงนี้เจ้านายจึงเหลียวหน้าหันไปมองดีแลนที่กำลังสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ แล้วพูดออกไปว่า “กุงยุงแดนก็จินล้วยกันจิฮับ นายนายตำจ้าวอาหย่อย (คุณลุงแดนก็กินด้วยกันสิครับ นายนายทำกับข้าวอร่อย)”
ได้ยินเช่นนั้นเรียวคิ้วเข้มบนใบหน้าหล่อเหลาของดีแลนก็ถึงกับกระตุกยิกแบบทันทีทันใด เขาเหลียวหน้าหันไปมองใบหน้าของศศินภรรยาตัวน้อยของตัวเองด้วยสายตาวอนขอความเห็นใจ
แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาดันเป็นนัยน์ตาสีเข้มของอีกฝ่ายที่จ้องมองมาอย่างกดดัน ราวกับว่าต้องการจะบอกกับเขาว่า ‘ห้ามทำให้หลานเสียใจ’ ซะอย่างงั้น
จึงทำให้ชายหนุ่มจำต้องเหลียวหน้าหันไปมองใบหน้าของไอดินเพื่อนสนิทของตัวเองอีกคนที่อยู่ไม่ห่าง เพื่อขอความเห็นใจจากอีกฝ่ายด้วยสายตาอ้อนวอน
แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงรอยยิ้มแห้งๆ ของไอดินอย่างหมดหวังส่งมาให้ ก่อนเจ้าตัวจะหันไปมองอริหัวใจอย่างเจ้านายด้วยสายตาไม่ชอบใจ พร้อมกับสบถอยู่ในใจว่า ‘ให้มันได้อย่างนี้สิ’
ทว่าในขณะที่ตัวเองกำลังคิดหนัก ว่าจะหลบเลี่ยงสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ยังไงดี ก็มีเสียงเล็กๆ ของเจ้านายดังขึ้นมาให้ได้ยินว่า “ยุงแดนจินสิฮับ นายนายตำอาหย่อยนะ (ลุงแดนกินสิครับ นายนายทำอร่อยนะ)”
ส่งผลให้ดีแลนอดไม่ได้ที่จะคิ้วกระตุกอยู่หลายที ก่อนเจ้าตัวจะสาวเท้าเข้าไปหาเด็กน้อยตรงหน้าพร้อมทั้งยื่นฝ่ามือไปกุมศีรษะของอีกฝ่ายเอาไว้ แล้วยอบกายลงนั่งเพื่อให้ร่างกายของเขาเสมอกันกับเจ้านาย พร้อมกับพูดกัดฟันออกไปว่า “ได้...เดี๋ยวลุงจะกิน”
สิ้นเสียงดังกล่าวเจ้านายจึงพูดออกไปด้วยรอยยิ้มกว้างว่า “ดี ดี จินเลยฮับ เดี๋ยว นายนาย ตะป้อน (ดี ดี กินเลยครับเดี๋ยวนายนายจะป้อน)” เพราะพร้อมทั้งกุลีกุจอ หยิบช้อนกินข้าวอันใหม่ขึ้นมาหนึ่งอัน แล้วกำลังจะยื่นไปตักผัดคะน้า เพื่อให้อีกฝ่ายได้ชิมรสแบบเต็มปากเต็มคำ
แต่แล้วในขณะนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงของไอดินกระแอมไอดังขึ้นมาก่อนจะตามมาด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มว่า “เจ้านายครับ เดี๋ยวให้คุณลุงแดนกินเองดีกว่านะ คุณลุงเขาโตแล้ว เจ้านายไม่ต้องทำให้หรอก เดี๋ยวมันจะเลอะเทอะเอา”
ได้ยินเช่นนั้นเจ้านายก็เหลียวหน้าหันไปมองใบหน้าของผู้เป็นมารดาที่อยู่ไม่ไกล ก็เห็นสายตาของอีกฝ่ายจ้องมองมาเล็กน้อยอย่างตั้งอกตั้งใจ
เจ้านายจึงพยักหน้าลงอย่างเข้าใจ แล้วยื่นช้อนไปให้ดีแลนที่ยืนทำหน้าละห้อยอยู่ตรงหน้า พร้อมกับพูดออกไปว่า “นี่จ้อนฮับกุนยุง (นี่ช้อนครับคุณลุง)”
ดีแลนที่เห็นช้อนตรงหน้าประหนึ่งเป็นมีดประหารหัวสุนัข เขาก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอย่างลำบาก
แล้วค่อยๆ ยื่นมือสั่นๆ ของตัวเอง ไปหยิบช้อนจากมือของอีกฝ่าย พร้อมกับร่ำร้องอยู่ในใจว่า ‘ในเมื่อห้ามเจ้าหนูคนนี้ไม่ให้ป้อนได้ ทำไมถึงไม่ห้ามให้เราชิมของพวกนี้ล่ะดิน’ จากนั้นจึงตักผัดคะน้าตรงหน้าขึ้นมาชิมอย่างจำใจ
ทันทีที่ผัดคะน้าเข้าปาก ดีแลนก็ถึงกับหน้ามืดตาลาย ลมหายใจติดขัดขึ้นมาราวกับว่าหัวใจกำลังขาดเลือดแบบกะทันหันซะอย่างนั้น เขาจึงรีบกวาดตามองหาขวดน้ำที่น่าจะวางอยู่ใกล้ๆ กัน แต่เอาเข้าจริงมองหายังไงก็หาไม่เจอสักที
แม้จะรู้สึกระคายคออย่างเต็มที่ แต่ก็ยังไม่อยากเสียฟอร์มให้อริหัวใจอย่างเจ้านายได้เห็นท่าทางอ่อนแอแบบนี้ เขาจึงทำเป็นนิ่งขรึม แล้วไปกระซิบข้างๆ หูของไอดินด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ว่า “ดินแดนขอน้ำหน่อยด่วน”
ได้ยินเช่นนั้นไอดินจึงพยักหน้าลง แล้วรีบสาวเท้าไปหยิบขวดน้ำผลไม้ที่อยู่ในตู้เย็นมาให้อีกฝ่ายแทบจะทันที
และยังไม่ทันที่ดีแลนจะได้กลืนของที่อยู่ในปากลง ก็มีเสียงของเจ้านายดังขึ้นมาอีกทีว่า “อาหย่อยไหมฮับ กุงยุง ปีมือนายนายเป็น...ไงบ้าง (อร่อยไหมครับคุณลุง ฝีมือนายนายเป็นไงบ้าง)”
ดีแลนจึงรีบพูดออกไปอย่างทุกข์ระทมว่า “เป็นรสชาติที่หะ…” แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดจบประโยคดี ปลายนิ้วของศศินก็ยื่นมาหยิกต้นขาของเขาอย่างแรงเต็มที่
ส่งผลให้ดีแลนด์ถึงกับสะดุ้งโหยงอย่างตกใจ ก่อนจะเหลียวหน้าหันไปมองอีกฝ่ายด้วยสายตาตัดพ้อ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคืนนัยน์ตาสีเข้มของผู้เป็นภรรยาสุดที่รักจ้องมองมาอย่างกดดัน
ดีแลนจึงฝืนรอยยิ้ม แล้วหันไปกัดฟันกัดฟันพูดกับเด็กน้อยตรงหน้าว่า “อร่อยมากเลย เจ้านายทำกับข้าวอร่อยที่สุดเลย” พร้อมกับหมายมาดอยู่ในใจว่า ‘ฝากไว้ก่อนเถอะเจ้าหนู คราวหน้าฉันจะแย่งลูกอมนาย’
เจ้านายที่เห็นแววตาของอีกฝ่าย ก็พอจะเดาได้ว่ากำลังถูกคนๆ นี้คาดโทษเอาไว้ เขาจึงทำเป็นมองไม่เห็น แล้วพูดออกไปด้วยรอยยิ้มกว้างว่า “ถ้า...อาหย่อย กุงยุงก็กินให้หมดนะฮับ (ถ้าอร่อยคุณลุงก็กินให้หมดนะครับ)”
ส่งผลให้คนที่ได้ยินคำพูดดังกล่าวอย่างดีแลนถึงกับคิ้วกระตุกยิกไปอีกหลายที แล้วจ้องมองใบหน้าอ้วนๆ กลมๆ ของคนตรงหน้า ก็เห็นนัยน์ตาสีเข้มพาวระยับทอประกายจ้องมองมาอย่างท้าทาย
จึงทำให้ดีแลนที่เห็นเช่นนั้น อดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะไปมาอย่างนึกขำให้กับการกระทำของอีกฝ่าย พร้อมกับสบถอยู่ในใจว่า ‘ไอ้หนูนี่มันจงใจเอาคืนฉัน อายุแค่นี้ร้ายนักนะเราน่ะ’
แล้วเหลียวหน้าหันไปมองไอดินที่ยืนอยู่ไม่ไกล ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ อย่างโล่งใจ ที่เห็นว่าเด็กน้อยตรงหน้าของเขาคนนี้เป็นเด็กฉลาด และมีความเจ้าเล่ห์ตั้งแต่เล็กๆ อีกทั้งยังเป็นคนที่ไม่ยอมใคร แม้จะไม่มีกำลังมากมาย แต่ก็พร้อมที่จะปกป้องสิทธิและอภิสิทธิ์ของตัวเองอย่างเต็มที่เช่นกัน
เขาจึงอดไม่ได้ที่พึมพำอยู่ในใจว่า ‘ดินลูกนายเข้มแข็งมากนะ ดีใจด้วยว่าเขาน่ะจะไม่โดนใครมารังแกง่ายๆ ’
ก่อนจะเหลียวหน้าหันไปมองบุตรชายตัวเองที่ยืนเงียบๆ จ้องมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเย็นชา แล้วอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจออกมาอย่างอ่อนใจ ที่ได้เห็นท่าทางเย็นยะเยือกไม่ต่างจากน้ำแข็งของลูกชายตัวเองที่แสดงออกมา
เพราะถึงแม้จะใต้หล้าจะเป็นเด็กฉลาด มีไหวพริบมากกว่าเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ก็เป็นคนที่เย็นชามากเกินไป จนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ แล้วอดไม่ได้ที่จะสบถอยู่ในใจว่า ‘ถ้าเจ้าใต้ได้เล่นกับลูกของดินบ้าง บางทีเขาอาจจะซึมซับความเจ้าเล่ห์ของเด็กคนนี้ไป แล้วอ่อนโยนขึ้นมาบ้างก็ได้’
คิดได้เพียงแค่นั้นดีแลนก็ส่ายศีรษะไปมาเบาๆ อยู่หลายครั้ง ‘ช่างเถอะช่างเถอะ คิดอะไรบ้าบอ อย่างเด็กสองคนนี้น่ะนะจะเป็นเพื่อนกันได้’ ก่อนจะเหลียวหน้าหันไปมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเจ้านาย แล้วหันกลับมามองใบหน้านิ่งๆ ไม่ต่างจากรูปปั้นหินของบุตรชายตน ‘แค่เจ้านายเข้าใกล้เจ้าใต้โดยที่ไม่ถูกสายตาข่มเย็นๆ นั่นข่มจนร้องไห้ ก็ถือว่าสวรรค์ทรงโปรดแล้ว’