LOGINยกแรกเหมือนจะเป็นหมอปริญญ์ที่ชนะ เพราะอีกฝ่ายนั่งหลังติดเก้าอี้ไปแล้ว แต่ในความจริงมันไม่ใช่เลย เพราะยิ่งเอาตัวเข้าไปใกล้ ความรู้สึกเก่าๆ ที่เคยตกหลุมรักกันแบบไหน มันก็ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาให้ใจหวิว
หัวใจปั่นป่วนเหมือนมีมดไต่ยุบยิบ ในตอนที่แกล้งเอาตัวเข้าไปชิด แสร้งแตะนิดแตะหน่อย แต่ไม่รู้ในผลลัพธ์ที่ว่าแรงดึงดูดจากถ่านไฟเก่ามันมหาศาล จนนึกโกรธตัวเองเลยทีเดียว
ประมาทหัวใจตัวเองเกินไป แล้วยังไม่รู้ตัวอีกว่า เพราะอะไรที่ทำให้รักคนอื่นไม่ได้อีกเลย...
“หมอปริญญ์หลบ!”
แผล๊ะ!!
เต็มๆ ทั้งน้ำทั้งก้อนทั้งกลิ่น แผ่รัศมีได้กว้างไกล เมื่อช้างพังทองย้อยที่ท้องอืดมาตั้งแต่เช้า เพิ่งจะถ่ายท้องเอาอึก้อนใหญ่มาท่ามกลางความชุลมุน ที่มีทั้งเสียงหัวเราะ และสีหน้าโล่งใจของควาญช้าง
ทุกคนต่างมีความสุขกันสุดๆ ที่การรักษาประสบความสำเร็จ แต่มีอยู่คนเดียวที่ดูจะสุขน้อยกว่าทุกคน ก็เห็นจะเป็นหมอปริญญ์ที่โดนทั้งครึ่งบนครึ่งล่าง
“พี่หมอเหม่ออะไร๊!” บ๊อบบี้พูดทั้งขำเสียงดังให้กับเหตุการณ์ที่แสนปกติ ผิดแค่เพียงมีคนหนึ่งที่ยืนผิดที่เท่านั้น
“ซวย...ไมไม่มีใครบอกบ้างวะ” หมอปริญญ์ว่าทั้งยิ้มแห้ง แต่ก็โดนหนุงหนิงสวนขึ้นมาทันที
“หนูบอกแล้วระวังๆ แต่เข้าไปดึงไม่ได้ ถ้าดึงหนูโดนแน่” คนนี้ก็ทั้งพูดทั้งขำไม่หยุด
“ล้างตัวก่อนมั้ยครับคุณหมอ เอาชุดมามั้ย” อาโชคชัยมือปืนยิงยาสลบถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ได้เอามาเลยค่ะ”
“ตัวพอๆ กับหมออูน หนูว่าน่าจะใส่ด้วยกันได้นะคะ” บ๊อบบี้เสนอให้คนอื่นๆ เห็นด้วย
“เอางั้นเหรอ”
หาเรื่องให้โดนด่าอีกแล้วสิเรา สีหน้าของปริญญ์แสดงออกมาอย่างนั้น พอล้างตัวแค่เอาเศษหญ้าจากมูลช้างออก น้องใหม่ของโรงพยาบาลก็เดินตัวเล็กตัวลีบไปเคาะหน้าห้องกิดากานต์เป็นรอบที่สามของวัน
ก๊อกๆๆ
“ใครคะ?”
นั่นไง กิดากานต์ระวังตัวแจเลยทีเดียว มีการถามก่อนซะด้วยว่าใคร แต่คราวนี้ไม่เหมือนครั้งไหน เพราะปริญญ์กำลังต้องการการช่วยเหลือจริงๆ
“คีย์เองค่ะ”
“จะไปไหนก็ไปเลยนะ”
เสียงพูดติดรำคาญ มันคงทำให้ปริญญ์อับอายมาก หากว่าหน้าห้องนี้ไม่ได้มีเธอแค่คนเดียว
“พี่มานี่ก่อน ช่วยคีย์ก่อน”
“ไม่ว่างเล่นด้วย”
“มาดูนี่ก่อน” คนที่ยืนบิดชายเสื้อรีดน้ำออกอยู่นั้น พูดเสียงออดอ้อนมากขึ้นไปอีก
“งั้นก็เข้ามา”
“เข้าไม่ได้”
“อะไรดึงขาเธอไว้ ถ้าไม่เข้าก็กลับไป”
“ขี้ช้างเต็มเสื้อเลย!”
กิดากานต์ถึงกับเอนหลังติดพนักเก้าอี้ไปอย่างอ่อนใจ หญิงสาวแหงนหน้ามองเพดานทั้งแววตาเลื่อนลอย มันช่างเป็นการกลับมาพบกันที่เธอจะไม่มีวันลืม และในไม่กี่วินาทีถัดมา ไลน์กลุ่มก็ดังรัว
บ๊อบบี้ส่งมาทั้งภาพฉีดน้ำล้างเสื้อ และหน้าหงอยๆ ของหมอดื้อที่ทำให้เธอต้องตัดสินใจเปิดประตูผ่างออกมาด้วยความอดทนที่สิ้นสุดลง
“ยังไง จะให้ทำยังไง”
“คีย์ไม่ได้เตรียมชุดมาเปลี่ยน”
“พี่เคยเตือนแล้วไงว่าให้เตรียมให้พร้อม”
“ก็แต่ก่อนมีพี่เตรียมให้อ่ะ”
นั่นไง...เล่นเป่าถ่านตลอดเวลาอย่างนี้ แต่กิดากานต์ไม่หลงกลหรอกนะ
“งั้นก็รอที่นี่ เดี๋ยวเอามาให้” กิดากานต์บอกแล้วก็เดินจากไป เพื่อจะกลับไปเอาชุดทำงานที่เคยใส่ด้วยกันได้จากบ้านพักมาให้
แต่ในขณะที่กำลังเดินไวๆ อยู่นั้น กว่าจะรู้ตัวว่าไม่ได้เดินกลับมาเพียงลำพัง เธอก็อยากจะกรี๊ดดังๆ ออกมาให้สุดเสียง
“บอกว่าให้รอหน้าห้องไง จะตามมาทำไม...” กิดากานต์กัดฟันถาม หลังจากเห็นเงาสะท้อนจากหน้าต่างกระจกบ้านพัก ว่าเจ้าของตัวเปียกปอน เดินลิ่วๆ ตามมาอย่างคนที่ไม่คิดจะรับคำสั่งใครทั้งนั้น
“แล้วจะอาบไหนอ่ะ อยากอาบน้ำ”
“ที่สำนักงานมีห้องน้ำ”
“รังเกียจคีย์ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“แค่พูดแล้วฟังกันน่ะได้มั้ย”
“ยังไงคีย์ก็ต้องย้ายมาอยู่กับพี่อยู่แล้ว”
อีกหนึ่งเรื่องที่กิดากานต์เตรียมใจไว้อยู่แล้ว เพราะเป็นนโยบายของที่นี่เลยว่า หมอจะต้องประจำการอยู่ที่นี่ทั้งกลางวันและกลางคืน สำหรับคนที่พักข้างนอกโรงพยาบาลได้ ก็ต้องมีบ้านอยู่ในละแวกนี้เท่านั้น ต้องพร้อมที่จะโดนเรียกตัวได้เสมอ
ดังนั้นปริญญ์จึงเข้าเกณฑ์เดียวกันกับเธอ และเพื่อกันความสงสัย หากไม่รับปริญญ์ไว้ ก็ต้องโดนข้อหาว่าเลือกปฏิบัติ เพราะน้องหมอผู้หญิงคนที่เพิ่งจะย้ายไปลำปาง ก็เคยพักบ้านหลังนี้มาก่อน
“พี่อยู่ชั้นบน คีย์อยู่ชั้นล่าง” กิดากานต์บอกด้วยใบหน้าเรียบเฉย ขณะเปิดประตูบ้านปูนสองชั้นเข้าไป
“นี่หมายความว่า เราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันจริงๆ เหรอคะ” คนที่ยืนอยู่ด้านหลังถามด้วยท่าทีลิงโลดดีใจ หากแต่อีกคนก็ไม่ได้ตอบออกมาตรงๆ เพราะที่พูดออกมาก่อนหน้าก็ชัดเจนอยู่แล้ว กิดากานต์เลยพูดออกมาเพียงแค่ว่า
“ห้องน้ำข้างล่างไม่ค่อยสะดวก ไม่มีเครื่องอาบน้ำ เพราะน้องเค้าเพิ่งย้ายออกไป คีย์ขึ้นไปอาบห้องพี่แล้วกัน”
แต่ละคำไม่ได้เย็นชา ไม่จิกกัด แต่พี่สาวกำลังจะทำให้เป็นธรรมชาติของการไม่ได้อยู่ใต้อิทธิพลการกระทำของผู้ใดได้อย่างลึกซึ้ง
“เสื้อยังมีกลิ่นอยู่เลย เกรงใจอ่ะ”
“พวกเราไม่เคยรังเกียจอึช้างอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่สบายใจ งั้นรอข้างล่างก่อน เดี๋ยวพี่เอาของลงมาให้”
เจ้าของบ้านเดินจากไป โดยที่อีกคนไม่กล้าแม้แต่จะถอดรองเท้าเดินเข้าบ้านพักที่อยู่กันอย่างสมถะ การยืนนิ่งๆ ทื่อๆ มันกำลังเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
กิดากานต์ยังเหมือนคนเดิม คนที่ไม่ค่อยพูดอะไรมาก หากแต่ถ้ามีใครเดือดร้อน เธอก็พร้อมยื่นมือช่วย และในตอนที่พี่สาวเดินลงมาพร้อมผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าตัวใหม่ ในตะกร้าพลาสติกมียาสระผม ครีมนวด สบู่ โฟมล้างหน้า และโรลออนที่ปริญญ์จะต้องใช้ทุกครั้งหลังอาบน้ำ
“โรลออนยังไม่ได้ใช้นะ เอาไว้ในห้องน้ำล่างนั่นแหละ แต่อันอื่นใช้แล้วคืน พี่ไม่ได้ซื้อเผื่อไว้”
ความใส่ใจแบบนี้ แฟนทุกคนของปริญญ์ที่ผ่านมาทำได้เหมือนๆ กันหมด แต่ทำไมไม่มีใครทำให้ใจเต้นแรงได้แบบนี้ ถึงขนาดจะขอของคืน มันก็ยังทำให้หุบยิ้มแทบไม่ไหว
“เสื้อผ้าถอดแล้วใส่ตะกร้าวางไว้นอกห้องน้ำนะ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
จากนั้น ปริญญ์ก็ไม่ได้เป็นตัวของตัวเองอีกเลย เธอกลับไปเป็นสาววัยยี่สิบสี่คนนั้นอีกครั้ง คนที่แค่กิดากานต์ถามว่า กินข้าวรึยัง? มันก็ทำให้เหมือนมีมดเป็นกองทัพไต่เล่นอยู่ในหัวใจเธอ
ส่วนคนที่มานั่งรออยู่ที่เก้าอี้ไม้หน้าบ้าน ก็ได้แต่ทอดถอนใจ อะไรจะเกิดก็ช่างมันเถอะ ในเมื่อมันหนีกันไม่ได้ก็จะอยู่มันไปอย่างนี้ล่ะ
เธอช่างมีแรงดึงดูดอยู่แต่กับเรื่องอะไรแบบนี้ หญิงสาวหันไปมองทางด้านประตูห้องน้ำ ที่เพิ่งได้ยินเสียงน้ำไหลจะฝักบัว
ถ่านไฟเก่ามันเป็นของแสลง เจ็บเจียนตายมาแล้ว ก็แค่จะจัดการไปในวิธีการของเธอเท่านั้น...
เคยทำมาได้ ก็ต้องทำต่อไป
“ฮัลโหลค่ะพี่แทค” หญิงสาวพูดกับมือถือที่เพิ่งยกขึ้นแนบแก้ม
ไม่ใช่แค่ปริญญ์หรอกที่เอาตัวเข้ามาติดในวังวนนี้ กิดากานต์ก้มหน้ามองเท้าตัวเองอย่างหดหู่ ชีวิตนี้จะไม่มีอะไรใหม่ๆ โผล่เข้ามาบ้างเลยหรือ?
เขี้ยวลากดินกันทั้งคู่...
ใครก็ได้ ช่วยมาอัญเชิญพวกเขาออกไปจากชีวิตที!
“ไม่ไปได้ยังไงคะป๊า ตั๋วเค้าก็จองให้หมดแล้ว แล้วอูนก็แค่ไปช่วยงาน ยังไม่ได้ย้ายสักหน่อย”“หนูไม่ต้องมาใช้คำว่าสักหน่อยกับป๊า แค่หนูป่วยแค่นิดเดียว หัวใจป๊าก็เจ็บปวด...”พูดยังไม่ทันจะจบ ลูกสาวขี้วีนก็สวนกลับทันที“อย่ามาลิเกค่ะป๊า”“ป๊าไม่ได้ลิเก แต่คราวนี้ป๊ายอมไม่ได้”“ก็บอกแล้วว่าแค่ไปช่วยงาน”“อูนเอาคำว่าแค่ช่วยงานมาอ้างให้ป๊าตายใจ ไปลาออกเลย ลูกสาวคนเดียวป๊าเลี้ยงได้ ไม่ต้องทำงานเป็นหมอแล้ว ป๊านอนไม่หลับสักวันเพราะเรื่องหนูนี่แหละ”“ป๊าลองเป็นช้างสิ ถ้าป่วยมาแล้วไม่มีหมออย่างอูน ป๊าจะรู้สึก”“หนูอย่ามาแช่งป๊านะ”“ไม่ได้แช่ง แต่ป๊าเองไม่ใช่เหรอที่เลี้ยงหนูมาให้รักสัตว์ ป๊าเองไม่ใช่เหรอที่ชอบช้างมากที่สุด หนูก็เดินตามทางที่ป๊าเคยขีดไว้ให้แล้วไง หนูจะสี่สิบแล้ว หนูถึงขอให้เลิกยุ่งกับชีวิตหนูสักที”“ก็หนูทำตัวน่าเป็นห่วง ให้ตายยังไงป๊าก็ไม่ยอมให้หนูไปลำปาง”“งั้นป๊าก็ต้องช่วยหนูแล้ว
“กวนประสาท...ฮือ ทำไงดี เด็กต้องตกใจแน่ๆ ตาพี่แดงไปหมดเลย”ว่าแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิด มันก็ดันมาเกิดกลางทาง และหากจะพากันไปทั้งสภาพนี้ มันคงแย่พอๆ กับการไม่ไปร่วมขบวน ดังนั้นคนทั้งคู่เลยพากันกลับไปล้างหน้าที่บ้านอีกรอบ“แว่นคีย์ที่พี่เคยซื้อให้อยู่ไหนอ่ะ ใส่อันนั้นพรางตาได้ดีนะ” ปริญญ์บอกคนที่ยืนล้างหน้าอยู่ในครัว“อยู่บนห้องอ่ะ หยิบให้หน่อย”และเมื่อปริญญ์เดินกลับลงมาอีกครั้ง เธอก็เดินเข้าไปสวมกอดผ่านแผ่นหลังกันไปอย่างอ่อนโยน“เลิกเกลียดคีย์เรื่องเพลงน้า”“คนพูดน่ะพูดง่าย”“คีย์ขอโทษ ตอนนี้คีย์อยากเห็นคุณมีความสุข เพลงพวกนั้นมันแค่ข้ออ้างของคนปากเสีย ไม่ได้ขอให้คุณให้อภัยนะคะ แต่อยากให้เข้าใจว่า มันไม่ใช่สิ่งที่คีย์คิดจริงๆ เพราะเพลงที่คีย์ไม่ชอบจริงๆ อ่ะคือเพลงเพื่อชีวิต พี่ก็น่าจะรู้ตั้งแต่เราคบกันแรกๆ”“ไม่ใช่แค่นี้ใช่มั้ยที่โกหกพี่”“มันนานมากแล้วอ่ะ จำไม่ค่อยได้...”“แล้วที่ทำน่ะ เพราะเข้าใจว่าพี่ยังรั
จริงดั่งที่เข้าใจมาตลอด ยิ่งปริญญ์พยายามทำให้อีกคนเจ็บมากเท่าใด แต่หัวใจของเธอกลับเจ็บยิ่งกว่า เธอมองเห็นความอ่อนล้าเหล่านั้นก็อยากจะโผเข้าไปกอด แต่หากจะทะเล่อทะล่าแสดงออกไปเช่นนั้น คนที่มีปมแน่นในใจ คงไม่ยอมเปิดใจให้กันง่ายๆเธอเลยทำได้แค่แสร้งทำเป็นว่าไม่เข้าใจ หญิงสาวไม่พูดอะไร นอกจากการเดินเข้าไปหา แล้วค่อยๆ เอนตัวลงนอนหนุนตักคนที่รักสุดหัวใจนั้นไปเงียบๆ“อืมม์...คีย์คะ คือจริงๆ ไม่ต้องพาไปก็ได้นะ เดี๋ยวพี่ไปเองก็ได้”นั่นไงล่ะ ปริญญ์คิดเอาไว้ไม่มีผิด ว่าจะต้องได้ยินอะไรแบบนี้ ดังนั้นจากที่เคยนอนหงาย ก็ค่อยๆ พลิกตัวเข้าไปกอดกันเอาไว้เพียงหลวมๆ ศีรษะได้รูปทำท่าส่ายหน้า ไม่ยอมรับข้อเสนอนั้น ก่อนจะงึมงำบอกออกมาว่า“ของีบสักห้านาทีนะ แค่ห้านาที หมดเวลาแล้วปลุกเลย”“เหนื่อยเหรอคะ”“ค่ะ ปีนขึ้นปีนลง มาหลายตัวด้วย”“ขอโทษนะที่ไม่ได้ไปช่วย”“ถึงพี่อยู่คีย์ก็ไม่ยอมให้พี่ทำหรอก”“งั้นนอนพักดีกว่ามั้ย ไม่ต้องไปหรอกเนาะ”“ไม่เอา ขอแค
และยิ่งกิดากานต์ปฏิเสธกันเท่าใด อีกคนก็ยิ่งอยากฟาดกันให้ราบคาบเสียแต่ตอนนี้ หญิงสาวเอาแต่ยืนหายใจฟืดฟาด จ้องหน้าไม่พอใจอยู่อย่างนั้น“ก็บอกว่าจะเข้าไปส่งไง”“ก็แล้วจะเข้าเมืองไปทำไม”“จะไปส่งเมียตัวเองมันผิดตรงไหน”“เมียไหนกันแน่ ที่แน่ๆ พี่ยังไม่ใช่เมียเธอ ยัยเด็กคนไหนล่ะที่อยากไปหา มันไม่ใช่แค่อยากไปส่งพี่หรอก”และนี่ก็กลายเป็นการยืนยันว่า พวกเธอยังคงไม่เชื่อใจกันอย่างชัดเจน“ไม่อยากเป็นแล้วเหรอ ไหนเมื่อคืน...”พูดยังไม่ทันจบ อีกคนก็ทุบกำปั้นลงไหล่กันไม่เบานัก“เลิกพล่ามถึงตอนนั้นได้ป่ะ”“ความจริงคนเรามันออกมาตอนนั้นไม่ใช่เหรอ”“แล้วมันจะเป็นไปได้ไง ในเมื่อเธอไม่ได้ต้องการฉันจริงๆ”“.........................”เมื่อไม่อยากจะเถียง ปริญญ์ก็ทำเพียงยิ้มเยาะใส่หน้า เป็นท่ากวนประสาทที่อีกฝ่ายอยากจะตะโกนใส่หน้าให้สุดเสียง“ไม่ต้องด้อยค่ากันถึงขนาดนั้นก็ได้”“เปล่
“มันคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้จริงๆ นะอูน”“นี่คีย์เค้าคิดว่าอูนกลับไปมีอะไรกันกับพี่แทคงั้นเหรอคะ ป้าขา...เราไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ นะคะ” กิดากานต์พูดเสียงแหบแห้งออกมาจากใจที่อ่อนล้า“ป้าจะไม่ลงรายละเอียดนะ ให้คุยกันเอง”“ไม่ได้มีจริงๆ นะคะ”“ไปคุยกันเอาเอง เพราะเจ้าปริญญ์มันก็ไม่ฟังใคร มันเชื่อที่ตามันเห็น”“ก็หนูอธิบายเค้าตั้งหลายครั้งแล้วว่าไม่ได้ทำๆ ถึงว่าสิ พอพูดถึงพี่แทคเมื่อไหร่แล้วคีย์จะกลายเป็นคนบ้าไปเลย”หลังจากวางสาย กิดากานต์ก็เพิ่งจะมานั่งคิดทบทวนว่า ปริญญ์เริ่มเปลี่ยนแปลงแหนงหน่ายกันตั้งแต่เมื่อไร และก็ถึงกับน้ำตาซึมว่ามันเกิดหลังจากสาเหตุนั้นจริงๆ เหตุการณ์ในครั้งนั้นเธอมั่นใจว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นถึงแม้กฤษกรจะทรงแบดดูกินไม่เลือกในเวอร์ชั่นผู้ชาย แต่เขาจะให้เกียรติเธอเสมอ จนกระทั่งตอนนี้ที่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอและเขายังดีอยู่ ก็เพราะเขาไม่เคยหาจังหวะรังแกกันเลยสักครั้งแต่แล้วในขณะที่นั่งไล่เรียงไทม์ไลน์อย่างรวดเร็ว พลันอีกหนึ่งความสงสัยก็ผุดขึ
“โอเค คีย์อาจจะขอผิดเวลา แต่ขอให้มั่นใจกับอะไรกว่านี้อีกสักหน่อย คีย์จะกลับมาขอคบอีกครั้ง”“มั่นใจเรื่องอะไรคะ”“ไว้ถึงเวลาแล้วจะบอกค่ะ”“เรื่องที่พี่เคยถามน่ะเหรอ”ทันทีปริญญ์ก็แสยะยิ้มเครียดออกมา ทำเอาอีกคนยิ่งสงสัยหนักเข้าไปอีก“นอนเถอะ...จะได้หายเร็วๆ ไว้หายแล้วค่อยคุยกัน”“ค่ะ”แล้วตอนนี้เราเป็นอะไรกัน เป็นเรื่องน่าปวดหัวที่ไม่มีใครกล้าตั้งมันขึ้นมาเป็นคำถาม...ตั้งแต่ที่ปริญญ์เดินเข้ามาจุ๊บหน้าผากก่อนออกไปทำงาน กิดากานต์ก็กลับไปเป็นคนคลั่งรักได้อย่างเงียบๆ สมองมันแล่นแปลบปลาบ ฉายแต่ภาพซ้ำๆ ที่ทำเอานอนหน้าร้อนเป็นสีระเรื่อปริญญ์เป็นเพียงคนเดียวในชีวิต ที่รู้จักร่างกายเธอดียิ่งกว่าผู้ใด การเคลื่อนไหวอย่างรู้ใจและแสนจะช่ำชอง มันพร้อมจะหลอมละลายกายที่เกร็งสั่น ให้ปวดมวนไปทั่วร่างด้วยความกำซาบฝ่ามือเจ้าเล่ห์ปาดฉวัดเฉวียนเฉียดผ่าน แต่ไม่แตะต้องเพชรเม็ดงามที่ฉ่ำลื่นจนเจ้าตัวต้องถอนหายใจซ้ำซากด้วยความอึดอัด เพราะ







