บทที่3
“คุณหนูเหลียงมีจดหมายจากกองทัพด่านหน้าเมืองฉีขอรับ” เสียงเช่นนี้จะดังขึ้นในทุกเช้า ตั้งแต่หลิวเหว่ยไปถึงค่ายทหารเจ้าตัวก็ใช้เบี้ยเลี้ยงที่มีจ้างนกจากหน่วยส่งข่าวที่มีนกพิราบให้กับคนที่อยากส่งข่าวกลับที่บ้านเพื่อไม่ให้คนในครอบครัวต้องเป็นห่วง แต่หลิวเหว่ยนั้นส่งจดหมายหาลู่จื้อเกือบทุกวันจนคนทั้งกองทัพรู้แล้วว่าชายคนนี้รักคู่หมั้นของตนเองมากแค่เพียงใด แต่ถ้าใครได้เห็นใบหน้าบุตรีของราชครูก็คงพอจะเข้าใจได้ ‘ข้าเล่าเรื่องที่นี่ให้เจ้ารู้ไม่ได้เพราะพวกเขาเปิดดูข้อความก่อน แค่อยากให้รู้ว่า อาหารวันนี้ไม่อร่อยเหมือนที่เจ้าทำให้เลย’ ถ้อยคำที่เขียนในจดหมายส่งให้คู่หมายราวกับคุณชายเจ้าสำราญเกี้ยวพาหญิงสาว ค่อนข้างทำให้คนในค่ายแปลกใจกับลักษณะของชายหนุ่มที่แสดงออกให้คนในค่ายได้เห็น บางวันชายหนุ่มก็บ่นดินฟ้าอากาศให้หญิงสาวได้ฟัง บ้างก็เล่าว่าคนที่หน่วยส่งข่าวนี่ล้อเลียนเขามากแค่ไหนกับถ้อยคำแต่ละคำที่เขียนส่งให้กับคู่หมั้นของตน แต่หลังจากส่งจดหมายอยู่เช่นนั้นเป็นเดือนสงครามที่แท้จริงก็เริ่มขึ้น หลิวเหว่ยไม่มีเวลาจะส่งจดหมายให้กับหญิงคนรักอีก เพราะหน่วยข่าวต้องใช้ทำภารกิจที่สำคัญกว่านั้น ข้าศึกที่ลอบกัดอย่างไม่รู้ตัวทำให้เสียกำลังพลไปบางส่วน แต่หลิวเหว่ยก็ไม่ได้รับอันตรายใด ๆ เขายังอาสาที่จะออกไปจัดการข้าศึกอีกด้วย ขณะที่ทางชายแดนวุ่นวายลู่จื้อที่พอจะได้ยินมาบ้างก็พยายามทำตัวให้เคยชินกับการเงียบจากหลิวเหว่ย แต่นางก็กลับกังวลใจเหลือเกิน กลัวไปหมดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่นางรักหรือเปล่า หากก่อนหน้านี้รู้ว่าจะเกิดสงครามใหญ่ขึ้นในช่วงของชีวิตจะไม่ยอมให้หลิวเหว่ยเป็นทหารเด็ดขาด อีกฝ่ายเก่งการรบนางเข้าใจ แต่นางไม่อาจจะปล่อยวางจิตใจของตนได้ วัน ๆ ก็เอาแต่คิดว่าตอนนี้เขาจะยังปลอดภัยไหม หรือได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า นี่มันช่างเป็นความรู้สึกที่ทรมานกันยิ่งนัก “เสี่ยวจื้อกินข้าวหน่อยไหมลูก วันนี้ทั้งวันแม่ยังไม่เห็นลูกกินอะไรเลยนะ” หญิงสาวส่ายหน้าน้อย ๆ จนคนเป็นพ่อทนไม่ได้ “หากจะรักทหารเจ้าก็ต้องทำตัวเป็นปราการหลังที่ดีให้เขาให้ได้ แม้จิตใจจะวุ่นวายมากเพียงใดก็ตาม” ได้ฟังคำของบิดาดวงตาสวยที่เคลือบไปด้วยน้ำตาก็หันมามองจนชายมีอายุต้องถอดใจ จากที่ต้องการจะสั่งสอนคงต้องปลอบนางด้วยกระมัง “เสี่ยวจื้อลูก มิใช่พ่อไม่เข้าใจความรู้สึกของเจ้ากับหลิวเหว่ย แต่ว่าตำลึงเงินตำลึงทองที่พวกเจ้าได้มา ต่างใช้ไปกับการสื่อสารโดยนกพิราบ หากเกิดเรื่องที่จะต้องส่งให้เขาจริง ๆ จะทำเช่นไรเล่าลูก” ใบหน้าสวยหงอยจนคนเป็นพ่อต้องหยุดพูด “พ่อไม่ว่าแล้ว ไม่ว่าแล้วอยากทำอะไรก็ทำตามใจเจ้าเถอะ” ถึงแม้จะเอ่ยเช่นนั้นแต่ลู่จื้อก็รู้ว่าบิดาหวังดี นางจึงเขียนบันทึกและต้ังใจจะแลกกับชายหนุ่มในเวลาที่เขากลับมา แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่กลับมาในเร็ววัน จากห้าวัน เป็นสิบวัน และเป็นหนึ่งเดือน ช่วงเวลาที่อีกฝ่ายไม่ได้ส่งข่าวกลับมาแล้วนางเองก็ส่งอะไรไปที่กองทัพชายแดนไม่ได้เลยนอกจากข้อความสุดท้ายที่ส่งมา ‘รักเจ้าและคิดถึงเจ้าทุกลมหายใจ รอข้า’ ข้อความนี้สั้นกว่าทุกครั้งแต่มันกลับสลักลงในหัวใจลู่จื้อทุกตัวอักษร “ถ้าอยากส่งข่าวก็คงจะต้องส่งไปพร้อมกับเสบียง ติดสินบนคนที่ขนของไป แต่ก็นะอาจจะถึงหรือไม่ถึงก็ได้ และหากอยากได้จดหมายตอบกลับก็คงจะยากกว่า ช่วงนี้ในกองทัพไม่ให้ใครเขียนจดหมายออกมาหรอก กลัวความลับหรือพวกยุธวิธีทางการรบรั่วไหลน่ะ แม่นางจะส่งไปหาสามีที่ออกรบหรือ ช่วงก่อนก็เห็นมาส่งบ่อย ๆ” ลู่จื้อยิ้มจาง ๆ ให้คนดูแลนกส่งข่าว “คู่หมั้นเจ้าคะ คู่หมั้นของข้า” คนมีอายุที่ได้ฟังก็ถอนหายใจ “หากเขาไม่ตอบกลับอะไรมาเลยจริง ๆ แม้กระทั่งส่งผ้าสักชิ้นก็ทำไม่ได้แล้วล่ะก็ ลองไปตรวจสอบดูว่ามีชื่อส่งกลับมาหรือไม่” คำที่ได้ยินทำเอาหญิงสาวเข่าอ่อน “หมายถึงสิ้นหรือเจ้าคะ” คนถูกถามพยักหน้า“เรื่องปกติแม่นาง และยิ่งศึกหนักเช่นนี้ไม่แปลกเลยจริง ๆ” ลู่จื้อไม่รู้จะเอ่ยคำใดได้อีก“ขอบคุณนะเจ้าคะ” หญิงสาวเดินเหมือนร่างไร้วิญญากลับไปที่จวนของตน คนเป็นแม่เห็นก็ตกใจ “เป็นอะไรหรือเสี่ยวจื้อของแม่” หญิงสาวเงยหน้ามองมารดาด้วยแววตาเศร้าเพราะว่าเกิดมาไม่เคยต้องเสียใจ และไม่เคยห่างคนที่รักเลยสักคนครอบครัวอยู่พร้อมหน้า จึงรู้สึกเศร้าโศกเสียใจมากกับการจากกันกับหลิวเหว่ยครั้งนี้ ถึงจะบรรเทาด้วยจดหมายได้บ้าง แต่มันก็ทำเอาไม่อยากทำอะไรเลย คนเป็นพ่อเห็นเช่นนั้นก็ทนไม่ได้ “เหลียงลู่จื้อเข้าไปคุยกับพ่อหน่อย” เพียงแค่ถูกเรียกชื่อเต็ม ๆ ชัดเจนถึงเพียงนี้ก็ทำให้รู้แล้วว่าบิดาคงจะตำหนิหรือสั่งสอนอะไรนางเป็นแน่ “พ่อเคยสอนให้เราอ่อนแอขนาดนี้เลยหรือ” ลู่จื้อก้มหน้า นางรู้ว่าจะต้องโดนตำหนิ รู้ว่าตัวเองอารมณ์อ่อนไหวและไม่ใช่สติตรึกตรองแต่เรื่องเช่นนี้นางคงจะตรองอยู่ไม่ไหวแล้ว “ข้าก็แค่เป็นห่วงพี่หลิวเหว่ย ท่านพ่อรู้หรือไม่คนในตลาดเขาพูดถึงศึกครั้งนี้เช่นไร แม้แต่จดหมายก็ส่งไปไม่ได้ด้วยซ้ำ” แม้จะเห็นว่าบุตรสาวเสียใจ แต่อีกเรื่องที่เขาต้องเตือนก็คือเรื่องจดหมาย “พ่อเข้าใจว่าเจ้าต้องการไต่ถามความเป็นไปของหลิวเหว่ย แต่นึกบางหรือไม่ว่ามีคนจำเป็นต้องส่งข่าวมากกว่า มันอาจจะเป็นเรื่องเป็นเรื่องตาย” ใบหน้าสวยหมองลง “ลูกขอโทษ” “มิต้องขอโทษพ่อหรอก แต่ตั้งสติหน่อยเสี่ยวจื้อ หลิวเหว่ยเองก็คงไม่อยากให้เจ้าเป็นเช่นนี้” ลู่จื้อพยักหน้ารับทั้งน้ำตาคลอหน่วย สิ่งที่บิดาเอ่ยมาทั้งหมดนางรับรู้และเข้าใจ แต่นางมิอาจหักห้ามความกังวลและเป็นห่วงอีกคนที่อยู่ไกลได้เลย สมองกับจิตใจของนางสวนทางกันอย่างร้ายกาจ รู้ว่าต้องทำสิ่งใดแต่ก็ทำตามสิ่งที่หัวใจต้องการมากกว่า แค่เพียงได้รู้ว่าเขายังอยู่ดีคงพอจะบรรเทาความกังวลของนางลงได้มิน้อย ลู่จื้อก้มหน้า น้ำตาหยดหนึ่งหยดลงกระดาษแผ่นเล็กที่นางพยายามจะส่งตอบกลับไปให้ชายคนรักแต่ก็มิอาจส่งไปได้ ‘ท่านพี่ได้โปรดรักษาตัวให้ดีแล้วรีบกลับมาเข้าพิธีกับข้า ข้าจะรอท่านกลับมา’บทที่30“อี้อัน เออร์หมิง เลิกฝึกดาบแล้วมากินขนมได้แล้ว” ลู่จื้อเดินไปหาสามีที่มีใบหน้าดูแก่กว่าอายุจริงมากนัก ผมของเขาเริ่มเปลี่ยนสีเร็วกว่าที่ควร ร่างกายก็เริ่มไม่แข็งแรง ทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่ม แต่ร่างกายกลับเหมือนชายวัยกลางคนแต่ถึงกระนั้นนางก็ยินดีที่สุดแล้วเพราะอย่างน้อย ๆ ผ่านมาเกือบจะเจ็ดปีแล้ว แต่สามีของนางก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากกว่านี้ แน่นอนว่าคงไปช่วยงานแม่ทัพหานไม่ได้อย่างแต่ก่อนแต่หลิวเหว่ยฝึกบุตรชายทั้งสองก็ไม่ถือว่าหนักหนาจนเกินไป “ท่านพี่น้ำชาเจ้าค่ะ” ลู่จื้อเอ่ยก่อนจะจับผ้าเช็ดหน้ายกขึ้นเช็ดไปตามกรอบหน้าของสามี“ท่านแม่มิเห็นเช็ดให้ข้าบ้าง” อี้อัน เด็กชายวัยเกือบหกขวบเอ่ยขึ้น “ท่านพี่ให้ข้าเช็ดให้มา ๆ ” น้องชายวันสี่ขวบหัวเราะขำพี่ชายที่ดูคล้ายจะอิจฉาบิดาของตน ต่างกับเออร์หมิงที่ติดท่านตามากกว่า ดาบฝึกได้แต่เจ้าตัวกลับชอบที่จะอ่านเขียนเรียนตำรา สมแล้วที่เป็นหลานที่ได้ใช้แซ่เหลียง หลานชายที่จะสืบสกุลเหลียงของราชครูมิเหมือนบุตรชายคนแรกอย่างอี้อันที่ชื่นชอบการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นแบบที่ใช้อาวุธหรือไม่ แม้ว่าตอนนี้เจ้าตัวจะมีอายุเพียงแค่นี้แต่ความสามารถก็เรียกได
บทที่29หลิวเหว่ยและลู่จื้อกลับเมืองหลวงมาช่วยท่านราชครูจัดการเรื่องต่าง ๆ ในจวน แต่บางครั้งแม่ทัพหานก็มาขอให้หลิวเหว่ยไปช่วยดูการฝึกเหล่านายทหารใหม่ ไม่ได้ให้ไปออกกำลังฝึกทหาร เพียงแค่ให้ไปนั่งดูการซ้อมเพื่อขวัญกำลังใจ อย่างไรหลิวเหว่ยก็เปรียบเสมือนวีรบุรุษสงครามในศึกคราก่อนงิ้วเรื่องเดิมเกี่ยวกับความรักที่น่าสงสารระหว่างหนึ่งแม่ทัพหนึ่งบุตรสาวของราชครู ถูกปรับเปลี่ยนเสียใหม่จนเป็นที่นิยมไปทั่วทั้งเมืองหลวงหรือแม้กระทั่งหัวเมืองเรื่องความรักมั่น และเชื่อใจในคนรักของตน จับใจหนุ่มสาวยิ่งนัก แม้จะเป็นเรื่องเล่าในโรงงิ้ว แต่ก็มีคนไม่น้อยที่คาดเดาได้ว่าแม่ทัพและคุณหนูผู้นั้นคือใคร จึงมักมีเสียงนินทากระทบกระเทียบอยู่เสมอยามงิ้วเรื่องนั้นเล่น หญิงสาวบางคนว่างิ้วเรื่องนั้นประโลมโลกจนเกินพอดี บุตรสาวราชครูในงิ้วช่างโง่งมเหลือเกิน เป็นถึงคุณหนูตระกูลใหญ่แต่กลับหลงใหลชายหนุ่มที่ใกล้ตาย ลู่จื้อฟังคำนินทานั้นก็เพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ใครจะว่านางโง่งม นางหาได้ใส่ใจไม่ เพราะท้ายที่สุดเป็นนางที่ได้รักแท้เอาไว้ในกำมือคนที่จับกลุ่มนินทาชีวิตรักของผู้อื่น หาความรักได้ดีเท่าครึ่งที่นางมีหรือไม่ ก็ไม่ สา
บทที่28ความเจ็บปวดในร่างกายและความร้อนแบบที่เคยเป็นตอนที่โดนพิษเข้าไปช่วงแรก ๆ เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่หลิวเหว่ยก็ไม่แสดงอาการอะไรให้ลู่จื้อเห็นมากนัก เพราะเขากลัวว่าภรรยาจะเป็นกังวลมิใช่ว่าเคยเป็นอย่างนี้ครั้งแรกเสียหน่อย และถ้าหากทนไม่ไหวจริง ๆ ยาแก้เจ็บแก้ปวดที่นางว่าก็คงไม่ต้องหรอก เพราะร่างกายจะทำให้เขาหมดสติไปเอง เหมือนเมื่อตอนที่โดนครั้งแรกลู่จื้อมองสามีก็รู้ว่าอีกคนกำลังอดทน นางไม่เอ่ยอะไรเพราะไม่ว่าคำไหนก็พูดออกไปยากทั้งนั้น หญิงสาวทำเพียงแค่เช็ดเหงื่อที่ไหลออกมา ให้กับคนเป็นสามีก็เท่านั้น“เป็นอย่างไรบ้างอาการมาครบแล้วหรือยัง” เหมือนหมอเทวดาจะรู้ว่าชายหนุ่มกำลังพยายามอดทนต่อหน้าภรรยาของตน “ขอรับท่านหมอ” มือที่เหี่ยวย่นลูบเคราตนเองก่อนจะใช้เข็มแทงเข้าไปตามจุดต่าง ๆ ของร่างกายหลิวเหว่ย พอดึงออกมาปลายเข็มเป็นสีดำขึ้นมาทันที“น่าจะได้เวลาแล้ว” คนมีอายุพูดก่อนจะเดินไปหยิบยามาให้กับหลิวเหว่ย ชายหนุ่มรีบรับไปกินในทันที เขารู้มาหลายวันแล้วว่าลิ้นของตนเองไม่รับรู้รสชาติไปแล้ว แต่เพราะอย่างอื่นในร่างกายยังคงดีจึงไม่ได้พูดอะไร จะเสียดายก็แค่จะไม่สามารถรับรู้รสชาติอาหารที่ลู่จื้อทำ แม้
บทที่27“เช่นนั้นคนผู้นี้ก็คือคนที่เจ้ารักษาไม่ได้ในรอบหลายปีสินะตาเฒ่า” หลิวเหว่ยมองชายสูงอายุสองคนคุยกันราวกับเขาและลู่จื้อมิได้อยู่ตรงนี้“ใช่ข้ารักษาไม่ได้เพราะไม่มีว่านตู๋” เสียงหัวเราะดังลั่นหลุดออกมาจากคนที่ทุกคนเรียกว่าอาจารย์ “เจ้าเองก็มีวันนี้เหมือนกันสินะ ถ้าหากข้าบอกว่าข้ามีบางสิ่งที่จะทำให้เจ้าอาจจะรักษาเขาได้ เจ้าจะยอมแลกเปลี่ยนกับข้าหรือไม่” ทั้งสองพูดคุยเหมือนเรื่องนี้เป็นเรื่องท้าทายของตนเองแต่สำหรับลู่จื้อไม่ใช่“ท่านหมอเทวดา ท่านอาจารย์ หากมีอะไรที่ช่วยสามีของข้าได้ ก็ได้โปรดช่วยด้วยเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะยอมทำทุกอย่างเอง” ยังไม่ทันจะจบประโยคของหญิงสาวผู้เป็นสามีก็เอ่ยขึ้น “ไม่นะเสี่ยวจื้อ ไม่เป็นอะไร ไม่ต้องรักษาก็ได้”ดวงตาของผู้เฒ่าทั้งสองมองไปยังคนตรงหน้า “เจ้าจะแลกเปลี่ยนอะไรก็เอามา แต่ชีวิตของเขามิใช่เรื่องที่เจ้าจะมาทำเป็นเล่น พวกเราในเมืองนี้ทุกคนล้วนเป็นหนี้เขา” หมอเทวดาเห็นท่าว่าการเย้ากันระหว่างสหายจะเลยเถิดจนทำให้ภรรยาของคนป่วยคิดมาก จึงรีบตัดบทเสียงจิ๊ปากดังจากผู้เฒ่าที่ทุกคนเรียกว่าอาจารย์ “ข้ามีโสมที่ปลูกใกล้กับว่านตู๋ คนที่ให้ข้ามาบอกว่ามันจะมีสรรพคุ
บทที่26ลู่จื้อเช็ดเนื้อเช็ดตัวสามีของนาง ทั้ง ๆ ที่หมอเทวดาบอกว่าอาการเช่นนี้จะไม่มีอีกแล้ว แต่คงเพราะเหนื่อยจากการเดินทางสุดท้ายไข้ของชายหนุ่มก็ขึ้น ในการพักโรงเตี๊ยมที่สอง โชคยังดีที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ มีบ่อน้ำแร่ร้อนซึ่งทำให้สมุนไพรที่ใช้แช่อาบตัวนั้นได้ผลดีขึ้นกว่าเก่าอาการไข้จึงมีเพียงแค่ไม่กี่วันแล้วก็เดินทางต่อได้ ลู่จื้อไม่ได้พูดถึงความลำบากที่ต้องดูแลสามี มันไม่ได้ลำบากเลยสักนิด แต่มันหนักใจเสียมากกว่าที่เห็นเขาต้องเจ็บป่วยและทรมาน“พ้นเขาลูกนี้ไปก็จะถึงหมู่บ้านของอาเฉิงแล้ว” ลู่จื้อมองตามไปอย่างยิ้ม ๆ “สวยจังนะเจ้าคะ”“อื้อสวยพี่ก็เพิ่งรู้ว่าหมู่บ้านที่อาเฉิงอยู่งดงามถึงเพียงนี้ แต่เขาก็ต้องไปรบ” แม้ว่าจะเป็นหน้าที่แต่บางครั้ง ลู่จื้อก็อยากตัดพ้อสวรรค์บ้างเหมือนกันที่ต้องให้พี่หลิวเหว่ยของนางนั้นรับเคราะห์แต่เพียงผู้เดียวและสำหรับลู่จื้อแล้วชื่อเสียงที่หลิวเหว่ยได้มาจากการกระทำครั้งนี้นางก็ไม่สนใจเลยสักนิด ที่จริงเป็นหลิวเหว่ยคิดไปเองว่ามันสำคัญ แน่นอนมันสำคัญสำหรับคนอื่นไม่ใช่ในสายตาของนาง“ท่านพี่มาเช่นนี้ไม่ได้บอกก่อนเขาจะอยู่หรือไม่เจ้าคะ หมู่บ้านก็ดูเงียบ ๆ พิกล” หลิว
บทที่25“พี่มีเพื่อนบ้านอยู่นอกเมืองเห็นว่าเป็นเขาที่งดงามเจ้าอยากจะไปหรือไม่” ลู่จื้อไม่ปฏิเสธอีกคนอยู่แล้ว หญิงสาวมองคนรักที่แม้จะดูคล้ายกับคนปกติไม่ได้เป็นอะไรแต่เหงื่อที่ซึมอยู่น้อย ๆ ที่ขมับก็ทำให้รู้ว่าเจ้าตัวก็รู้สึกไม่สบายตัวอยู่บ้างเหมือนกันมือเรียวยกผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดเหงื่อนั่นออก “หากท่านพี่เจ็บปวดหรือเป็นอะไรก็ต้องบอกข้าทันทีนะเจ้าคะ ห้ามฝืนเด็ดขาด” แม้แต่เอ่ยคำเช่นนั้นออกไปแต่ก็ไม่แน่ใจว่าคนดื้อรั้นอย่างหลิวเหว่ยจะยอมเชื่อฟังนางไหมเพราะพี่หลิวเหว่ยที่นางรู้จักที่จริงก็ดื้ออยู่พอควร “ถ้าไม่บอกเจ้าแล้วพี่จะบอกใครกัน” ลู่จื้อหัวเราะคิกคัก “ไม่ต้องมาเย้าข้าเลย ก่อนหน้านี้ถ้าข้าไม่ดึงดันคงไม่มีทางรู้ ว่าแต่บนเขาที่ว่ามีอะไรบ้างหรือเจ้าคะ” หลิวเหว่ยส่ายหน้า “พี่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่เขามาเยือนแถวนั้นจึงอยากจะไปเยี่ยมเขาบ้าง เขาเป็นคนที่พี่ไว้ใจตอนที่ไปรบน่ะ”“จะต้องเป็นสหายที่ดีของท่านพี่แน่ ๆ แต่ว่าหนทางยังอีกยาว ท่านพี่เล่าเรื่องที่สนามรบให้ข้าฟังได้หรือไม่เจ้าคะ” หลิวเหว่ยมีสีหน้าแปลกใจ “ในบันทึกพวกนั้นเจ้ายังอ่านไม่เต็มที่อีกหรือ” ลู่จื้อทำหน้างอน “ก็นั่งรถม้าไปตั