บทที่4
ขณะที่ทางเมืองหลวงกังวลใจเกี่ยวกับข่าวคราวที่หายไปของหลิวเหว่ย ชายหนุ่มเองที่ชายแดนก็กลัวและกังวลว่าคนตระกูลเหลียงและหญิงสาวอย่างลู่จื้อคู่หมั้นของตนจะเข้าใจผิดเช่นเดียวกันจึงพยายามหาวิธีส่งข่าวกลับไปที่เมืองหลวง อย่างน้อยเพื่อบอกว่าเขายังมีชีวิตก็ยังดี
แต่ถึงกระนั้นของที่ส่งกลับไปได้ก็มีเพียงแค่เศษผ้าจากชุดที่หญิงสาวเคยเป็นคนเก็บให้แล้วก็ด้ายแดงที่ดึงออกมาจากด้ายแดงที่ข้อมือที่ทั้งสองเลือกซื้อเอาไว้ในเมื่อตอนที่ไปเที่ยวงานโคมไฟ
แม้จะไม่ได้อยากแกะให้มันแยกออกจากกัน แต่ก็คงมีแค่วิธีนี้เท่านั้นที่จะพอยืนยันให้กับลู่จื้อได้ว่าเขานั้นยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ และมันก็ไม่ใช่ของมีค่าพอที่จะทำให้ใครต้องขโมย
‘บนสะพานคืนนั้น ข้ายังคงคิดถึงเจ้าอยู่ทุกลมหายใจ ไม่ต้องห่วงข้ายังสบายดี ข้าจะต้องกลับไปแต่งกับเจ้าให้’
ใครจะรู้ว่าหลังจากส่งข่าวนั้นให้กับคู่หมั้นเพียงแค่ไม่กี่วันหลิวเหว่ยก็ได้รับบาดเจ็บที่ค่อนข้างบางตายเกือบถึงชีวิต นั่นก็เพราะการนำกองกำลังส่วนหนึ่งออกไปช่วยรองแม่ทัพทำให้มีชีวิตรอดกลับมาได้ ชื่อเสียงในกองทัพที่ตอนแรกมีอยู่แล้วจึงยิ่งโด่งดังเข้าไปใหญ่ แน่นอนว่ามันไม่ใช่ผลดี
“คนพวกนั้นมันจงใจจะยิงธนูใส่ท่านแท้ ๆ” พลทหารที่เป็นคนสนิทของหลิวเหว่ยบ่นเมื่อช่วยใส่ยาให้กับบาดแผลของชายหนุ่ม
“ไม่หรอก ข้าคงไปขวางระหว่างมันกับแม่ทัพน่ะ” ใจหนึ่งหลิวเหว่ยก็คิดเช่นนี้ อีกใจก็เริ่มกังวลหากพวกนั้นต้องการที่จะเล่นงานเขาจริง ๆ นี่มันเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก
เพราะหมายความว่ามีคนของศัตรูให้ค่าหัวเขา แม้จะฟังดูยิ่งใหญ่ดี แต่สำหรับทหารชั้นผู้น้อยเช่นเขาโดนเช่นนี้ก็ไม่ถือว่าดีเลยสักนิด
ทางด้านลู่จื้อที่ได้ของที่ถูกฝากมากลับคนที่ถูกส่งกลับมาพร้อมกับเหล่าคนงานที่ขนเสบียงก็กำปลายชุดของชายหนุ่มเอาไว้แน่น
ไม่ใช่เพราะมันยืนยันได้ว่าคู่หมั้นของนางยังอยู่ และก็ยังคงนึกถึงนางแบบที่คนส่งข่าวว่า แต่เป็นเพราะถ้อยคำที่เขียนมาบนผ้าผืนเล็ก ๆ นั่นมากกว่า
ไม่ต้องห่วงข้ายังสบายดีมิใช่ประโยคสุดท้าย แต่คำว่าข้าจะต้องกลับไปแต่งกับเจ้าให้ได้นั่นต่างหากที่ทำให้ลู่จื้อที่ไม่ได้รับข่าวสารอะไรเลยนั่งกอดเศษผ้านั่นร้องไห้จนตาแดง
“หากเป็นอย่างนี้ต่อไปเสี่ยวจื้อจะต้องไม่สบายลงไปเป็นแน่” คนเป็นภรรยาหันมองสามี ทั้งสองกำลังลอบมองไปยังบุตรสาวที่ถือเศษผ้าชิ้นนั้นอยู่ในมือด้วยความลำบากใจ
“มันก็แค่สงครามท่านพี่ หากท่านไปสงครามข้าเองก็คงเป็นเช่นนี้เหมือนกันนั่นแหละเจ้าค่ะอย่าใจร้ายกับเด็กทั้งสองนักเลย” เหลียงฮูหยินออกความเห็นในมุมมองของตนมิได้จะเข้าข้างหลิวเหว่ยจนเกินไป แต่ถ้ากลับกันเป็นนางที่สามีจากไปไกลและยังต้องอยู่ท่ามกลางคมดาบนางคงมีสภาพมิต่างจากลู่จื้อหนัก
ราชครูเหลียนมองภรรยาตนด้วยสายตาหนักใจ เขาไม่ใช่คนจะเถียงอะไรใครอยู่แล้ว แต่ก็อยากจะบอกกับภรรยา หากใจร้ายจริง ๆ ก็คงไม่มีทางยอมให้มีสัญญาหมั้นหมายเกิดขึ้นหรอกไม่ว่าบุตรของสหายสนิทกับบุตรสาวจะรักกันมากเพียงใดก็ตาม
วันแรก ๆ หลังจากได้ข่าวลู่จื้อดูเหม่อลอย แต่หลังจากนั้นสองสามวันนางก็กลับมาใช้ชีวิตดั่งเช่นก่อนหน้าที่หลิวเหว่ยจะเดินทางไปยังชายแดน
“ทำใจได้แล้วหรือลูก” คนเป็นแม่เอ่ยถาม
“เปล่าหรอกเจ้าค่ะ ยังคงเป็นห่วงพี่หลิวเหว่ยเขาเพียงแต่เอาเวลามาทำอย่างอื่นดีกว่า หากพี่หลิวเหว่ยกลับมาแล้วรู้ว่าลูกไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันทั้ง ๆ ที่เขากำลังพยายามเพื่อบ้านเมืองและ…เพื่อลูกคงจะไม่ดีแน่ ๆ” แม้น้ำเสียงจะติดสั่นเครือแต่นางก็ยังแสร้งยิ้ม ลู่จื้อรู้ดีว่านอกจากจะทำให้ตนเองเป็นทุกข์แล้วบิดาและมารดาของตนก็เป็นห่วงนางมาก
คนฟังได้ฟังแล้วก็รู้สึกดีขึ้น เพราะทั้งนางและสามีเป็นห่วงบุตรสาวเอามาก ๆ
หลังจากวันนั้นลู่จื้อไม่ได้พยายามจะส่งจดหมายอีก แต่ก็ไม่ลืมบอกกับคนที่รับส่งจดหมายว่าหากการศึกเริ่มจางแล้วส่งจดหมายได้อีกครั้งก็ให้คนไปแจ้งกับนางหน่อย นางจะจ่ายค่าเสียเวลาให้ แต่ก็ไม่นึกจริง ๆ ว่าข่าวที่ว่านั่นไม่ได้มาเพียงแค่บอกว่าสามารถส่งจดหมายได้อีกครั้งแล้ว แต่มีจดหมายของคนที่นางเฝ้ารอมาด้วย
“แม่นางลู่จื้อ มีจดหมายมาจากชายแดนขอรับ” ลู่จื้อออกไปรับจดหมายด้วยความดีใจ แต่คนส่งกลับมองทำหน้าราวกับว่ามีบางอย่างผิดพลาด
“ขออภัยเถอะแม่นาง นี่เป็นจดหมายที่ตกหล่นมิได้ส่งทางพิราบแต่มาทางม้าตอนที่ไปรับจากค่ายทหารเมื่อหลายเดือนก่อนที่ศึกหนักจะเริ่ม”
ใบหน้าของลู่จื้อซีดลงทันที
“หมายความว่าตอนนี้คนที่ส่งเป็นเช่นไรก็ไม่รู้ใช่หรือไม่” คนมาส่งข่าวพยักหน้า
“แม่นางคงต้องยึดเอาจากของที่ได้มาในครั้งก่อนหน้าเมื่อสองสามเดือนก่อนเสียแล้ว” เพราะลู่จื้อส่งจดหมายบ่อยจึงไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะจำนางได้
“ไม่เป็นไรได้มาแค่นี้ก็ยังดี” ลู่จื้อเอื้อมมือออกไปรับบรรดาจดหมายเหล่านั้นด้วยมืออันสั่นเทาเท่ากับว่านางไม่ได้ข่าวคราวจากพี่หลิวเหว่ยนนานหลายเดือนแล้ว เพราะผ้านั้นก็เป็นเพียงแค่การบอกว่าเขายังมีชีวิตอยู่ก็เท่านั้น แม้จะเอ่ยว่าปลอดภัย แต่จริงเท็จอย่างไรก็ไม่รู้ ทันทีที่ได้ซองจดหมายหลายซองหญิงสาวก็กลับไปที่เรือนของตนแต่วันในทันที
มือเรียวค่อย ๆ เปิดจดหมายที่ดูเก่าแล้วออกอ่านด้วยใจที่เต้นระรัวและก็ได้แต่หวังว่ามันจะมีอันไหนบอกกับนางได้ว่าตอนนี้หลิวเหว่ยเป็นเช่นไรแล้ว ยังอยู่ดีหรือไม่
บทที่30“อี้อัน เออร์หมิง เลิกฝึกดาบแล้วมากินขนมได้แล้ว” ลู่จื้อเดินไปหาสามีที่มีใบหน้าดูแก่กว่าอายุจริงมากนัก ผมของเขาเริ่มเปลี่ยนสีเร็วกว่าที่ควร ร่างกายก็เริ่มไม่แข็งแรง ทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่ม แต่ร่างกายกลับเหมือนชายวัยกลางคนแต่ถึงกระนั้นนางก็ยินดีที่สุดแล้วเพราะอย่างน้อย ๆ ผ่านมาเกือบจะเจ็ดปีแล้ว แต่สามีของนางก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากกว่านี้ แน่นอนว่าคงไปช่วยงานแม่ทัพหานไม่ได้อย่างแต่ก่อนแต่หลิวเหว่ยฝึกบุตรชายทั้งสองก็ไม่ถือว่าหนักหนาจนเกินไป “ท่านพี่น้ำชาเจ้าค่ะ” ลู่จื้อเอ่ยก่อนจะจับผ้าเช็ดหน้ายกขึ้นเช็ดไปตามกรอบหน้าของสามี“ท่านแม่มิเห็นเช็ดให้ข้าบ้าง” อี้อัน เด็กชายวัยเกือบหกขวบเอ่ยขึ้น “ท่านพี่ให้ข้าเช็ดให้มา ๆ ” น้องชายวันสี่ขวบหัวเราะขำพี่ชายที่ดูคล้ายจะอิจฉาบิดาของตน ต่างกับเออร์หมิงที่ติดท่านตามากกว่า ดาบฝึกได้แต่เจ้าตัวกลับชอบที่จะอ่านเขียนเรียนตำรา สมแล้วที่เป็นหลานที่ได้ใช้แซ่เหลียง หลานชายที่จะสืบสกุลเหลียงของราชครูมิเหมือนบุตรชายคนแรกอย่างอี้อันที่ชื่นชอบการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นแบบที่ใช้อาวุธหรือไม่ แม้ว่าตอนนี้เจ้าตัวจะมีอายุเพียงแค่นี้แต่ความสามารถก็เรียกได
บทที่29หลิวเหว่ยและลู่จื้อกลับเมืองหลวงมาช่วยท่านราชครูจัดการเรื่องต่าง ๆ ในจวน แต่บางครั้งแม่ทัพหานก็มาขอให้หลิวเหว่ยไปช่วยดูการฝึกเหล่านายทหารใหม่ ไม่ได้ให้ไปออกกำลังฝึกทหาร เพียงแค่ให้ไปนั่งดูการซ้อมเพื่อขวัญกำลังใจ อย่างไรหลิวเหว่ยก็เปรียบเสมือนวีรบุรุษสงครามในศึกคราก่อนงิ้วเรื่องเดิมเกี่ยวกับความรักที่น่าสงสารระหว่างหนึ่งแม่ทัพหนึ่งบุตรสาวของราชครู ถูกปรับเปลี่ยนเสียใหม่จนเป็นที่นิยมไปทั่วทั้งเมืองหลวงหรือแม้กระทั่งหัวเมืองเรื่องความรักมั่น และเชื่อใจในคนรักของตน จับใจหนุ่มสาวยิ่งนัก แม้จะเป็นเรื่องเล่าในโรงงิ้ว แต่ก็มีคนไม่น้อยที่คาดเดาได้ว่าแม่ทัพและคุณหนูผู้นั้นคือใคร จึงมักมีเสียงนินทากระทบกระเทียบอยู่เสมอยามงิ้วเรื่องนั้นเล่น หญิงสาวบางคนว่างิ้วเรื่องนั้นประโลมโลกจนเกินพอดี บุตรสาวราชครูในงิ้วช่างโง่งมเหลือเกิน เป็นถึงคุณหนูตระกูลใหญ่แต่กลับหลงใหลชายหนุ่มที่ใกล้ตาย ลู่จื้อฟังคำนินทานั้นก็เพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ใครจะว่านางโง่งม นางหาได้ใส่ใจไม่ เพราะท้ายที่สุดเป็นนางที่ได้รักแท้เอาไว้ในกำมือคนที่จับกลุ่มนินทาชีวิตรักของผู้อื่น หาความรักได้ดีเท่าครึ่งที่นางมีหรือไม่ ก็ไม่ สา
บทที่28ความเจ็บปวดในร่างกายและความร้อนแบบที่เคยเป็นตอนที่โดนพิษเข้าไปช่วงแรก ๆ เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่หลิวเหว่ยก็ไม่แสดงอาการอะไรให้ลู่จื้อเห็นมากนัก เพราะเขากลัวว่าภรรยาจะเป็นกังวลมิใช่ว่าเคยเป็นอย่างนี้ครั้งแรกเสียหน่อย และถ้าหากทนไม่ไหวจริง ๆ ยาแก้เจ็บแก้ปวดที่นางว่าก็คงไม่ต้องหรอก เพราะร่างกายจะทำให้เขาหมดสติไปเอง เหมือนเมื่อตอนที่โดนครั้งแรกลู่จื้อมองสามีก็รู้ว่าอีกคนกำลังอดทน นางไม่เอ่ยอะไรเพราะไม่ว่าคำไหนก็พูดออกไปยากทั้งนั้น หญิงสาวทำเพียงแค่เช็ดเหงื่อที่ไหลออกมา ให้กับคนเป็นสามีก็เท่านั้น“เป็นอย่างไรบ้างอาการมาครบแล้วหรือยัง” เหมือนหมอเทวดาจะรู้ว่าชายหนุ่มกำลังพยายามอดทนต่อหน้าภรรยาของตน “ขอรับท่านหมอ” มือที่เหี่ยวย่นลูบเคราตนเองก่อนจะใช้เข็มแทงเข้าไปตามจุดต่าง ๆ ของร่างกายหลิวเหว่ย พอดึงออกมาปลายเข็มเป็นสีดำขึ้นมาทันที“น่าจะได้เวลาแล้ว” คนมีอายุพูดก่อนจะเดินไปหยิบยามาให้กับหลิวเหว่ย ชายหนุ่มรีบรับไปกินในทันที เขารู้มาหลายวันแล้วว่าลิ้นของตนเองไม่รับรู้รสชาติไปแล้ว แต่เพราะอย่างอื่นในร่างกายยังคงดีจึงไม่ได้พูดอะไร จะเสียดายก็แค่จะไม่สามารถรับรู้รสชาติอาหารที่ลู่จื้อทำ แม้
บทที่27“เช่นนั้นคนผู้นี้ก็คือคนที่เจ้ารักษาไม่ได้ในรอบหลายปีสินะตาเฒ่า” หลิวเหว่ยมองชายสูงอายุสองคนคุยกันราวกับเขาและลู่จื้อมิได้อยู่ตรงนี้“ใช่ข้ารักษาไม่ได้เพราะไม่มีว่านตู๋” เสียงหัวเราะดังลั่นหลุดออกมาจากคนที่ทุกคนเรียกว่าอาจารย์ “เจ้าเองก็มีวันนี้เหมือนกันสินะ ถ้าหากข้าบอกว่าข้ามีบางสิ่งที่จะทำให้เจ้าอาจจะรักษาเขาได้ เจ้าจะยอมแลกเปลี่ยนกับข้าหรือไม่” ทั้งสองพูดคุยเหมือนเรื่องนี้เป็นเรื่องท้าทายของตนเองแต่สำหรับลู่จื้อไม่ใช่“ท่านหมอเทวดา ท่านอาจารย์ หากมีอะไรที่ช่วยสามีของข้าได้ ก็ได้โปรดช่วยด้วยเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะยอมทำทุกอย่างเอง” ยังไม่ทันจะจบประโยคของหญิงสาวผู้เป็นสามีก็เอ่ยขึ้น “ไม่นะเสี่ยวจื้อ ไม่เป็นอะไร ไม่ต้องรักษาก็ได้”ดวงตาของผู้เฒ่าทั้งสองมองไปยังคนตรงหน้า “เจ้าจะแลกเปลี่ยนอะไรก็เอามา แต่ชีวิตของเขามิใช่เรื่องที่เจ้าจะมาทำเป็นเล่น พวกเราในเมืองนี้ทุกคนล้วนเป็นหนี้เขา” หมอเทวดาเห็นท่าว่าการเย้ากันระหว่างสหายจะเลยเถิดจนทำให้ภรรยาของคนป่วยคิดมาก จึงรีบตัดบทเสียงจิ๊ปากดังจากผู้เฒ่าที่ทุกคนเรียกว่าอาจารย์ “ข้ามีโสมที่ปลูกใกล้กับว่านตู๋ คนที่ให้ข้ามาบอกว่ามันจะมีสรรพคุ
บทที่26ลู่จื้อเช็ดเนื้อเช็ดตัวสามีของนาง ทั้ง ๆ ที่หมอเทวดาบอกว่าอาการเช่นนี้จะไม่มีอีกแล้ว แต่คงเพราะเหนื่อยจากการเดินทางสุดท้ายไข้ของชายหนุ่มก็ขึ้น ในการพักโรงเตี๊ยมที่สอง โชคยังดีที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ มีบ่อน้ำแร่ร้อนซึ่งทำให้สมุนไพรที่ใช้แช่อาบตัวนั้นได้ผลดีขึ้นกว่าเก่าอาการไข้จึงมีเพียงแค่ไม่กี่วันแล้วก็เดินทางต่อได้ ลู่จื้อไม่ได้พูดถึงความลำบากที่ต้องดูแลสามี มันไม่ได้ลำบากเลยสักนิด แต่มันหนักใจเสียมากกว่าที่เห็นเขาต้องเจ็บป่วยและทรมาน“พ้นเขาลูกนี้ไปก็จะถึงหมู่บ้านของอาเฉิงแล้ว” ลู่จื้อมองตามไปอย่างยิ้ม ๆ “สวยจังนะเจ้าคะ”“อื้อสวยพี่ก็เพิ่งรู้ว่าหมู่บ้านที่อาเฉิงอยู่งดงามถึงเพียงนี้ แต่เขาก็ต้องไปรบ” แม้ว่าจะเป็นหน้าที่แต่บางครั้ง ลู่จื้อก็อยากตัดพ้อสวรรค์บ้างเหมือนกันที่ต้องให้พี่หลิวเหว่ยของนางนั้นรับเคราะห์แต่เพียงผู้เดียวและสำหรับลู่จื้อแล้วชื่อเสียงที่หลิวเหว่ยได้มาจากการกระทำครั้งนี้นางก็ไม่สนใจเลยสักนิด ที่จริงเป็นหลิวเหว่ยคิดไปเองว่ามันสำคัญ แน่นอนมันสำคัญสำหรับคนอื่นไม่ใช่ในสายตาของนาง“ท่านพี่มาเช่นนี้ไม่ได้บอกก่อนเขาจะอยู่หรือไม่เจ้าคะ หมู่บ้านก็ดูเงียบ ๆ พิกล” หลิว
บทที่25“พี่มีเพื่อนบ้านอยู่นอกเมืองเห็นว่าเป็นเขาที่งดงามเจ้าอยากจะไปหรือไม่” ลู่จื้อไม่ปฏิเสธอีกคนอยู่แล้ว หญิงสาวมองคนรักที่แม้จะดูคล้ายกับคนปกติไม่ได้เป็นอะไรแต่เหงื่อที่ซึมอยู่น้อย ๆ ที่ขมับก็ทำให้รู้ว่าเจ้าตัวก็รู้สึกไม่สบายตัวอยู่บ้างเหมือนกันมือเรียวยกผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดเหงื่อนั่นออก “หากท่านพี่เจ็บปวดหรือเป็นอะไรก็ต้องบอกข้าทันทีนะเจ้าคะ ห้ามฝืนเด็ดขาด” แม้แต่เอ่ยคำเช่นนั้นออกไปแต่ก็ไม่แน่ใจว่าคนดื้อรั้นอย่างหลิวเหว่ยจะยอมเชื่อฟังนางไหมเพราะพี่หลิวเหว่ยที่นางรู้จักที่จริงก็ดื้ออยู่พอควร “ถ้าไม่บอกเจ้าแล้วพี่จะบอกใครกัน” ลู่จื้อหัวเราะคิกคัก “ไม่ต้องมาเย้าข้าเลย ก่อนหน้านี้ถ้าข้าไม่ดึงดันคงไม่มีทางรู้ ว่าแต่บนเขาที่ว่ามีอะไรบ้างหรือเจ้าคะ” หลิวเหว่ยส่ายหน้า “พี่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่เขามาเยือนแถวนั้นจึงอยากจะไปเยี่ยมเขาบ้าง เขาเป็นคนที่พี่ไว้ใจตอนที่ไปรบน่ะ”“จะต้องเป็นสหายที่ดีของท่านพี่แน่ ๆ แต่ว่าหนทางยังอีกยาว ท่านพี่เล่าเรื่องที่สนามรบให้ข้าฟังได้หรือไม่เจ้าคะ” หลิวเหว่ยมีสีหน้าแปลกใจ “ในบันทึกพวกนั้นเจ้ายังอ่านไม่เต็มที่อีกหรือ” ลู่จื้อทำหน้างอน “ก็นั่งรถม้าไปตั