คุณรุจีรัตน์หยิบมือถือขึ้นมาพูดคุยด้วยน้ำเสียงสดใส หลังจากเดินนำกัญญานันไปยืนรออยู่ที่จุดหนึ่งของสนามบิน โดยที่คนเป็นลูกสาวถือกระเป๋าเดินทางกะทัดรัดทั้งสองใบ แม้ในตอนแรกคุณชายพงศกรจะบอกให้พาเด็กในบ้านมาด้วย ทว่าคุณรุจีรัตน์เห็นว่ามาแค่นี้สะดวกดีแล้วก็ไม่อยากเสียค่าตั๋วเครื่องบินเพิ่ม
ไม่ถึงสิบนาทีคุณรุจีรัตน์ก็ทักใครคนหนึ่ง ใบหน้ายิ้มแย้มสดใสทำให้กัญญานันที่ยืนมองนั่นนี่ไปเรื่อยๆ ต้องหันไปมองตาม
“เจ้า ไม่เจอกันนานเลย สบายดีไหมคะ”
กัญญานันเห็นผู้หญิงวัยใกล้เคียงกับผู้เป็นแม่ในชุดสวยที่ดูก็รู้ว่าราคาแพง แม้จะเป็นเสื้อคลุมผ้าไทยกับกางเกงผ้าสบายๆ ก็ตาม มีผู้ชายเดินตามหลังมาสองคน แต่หญิงสาวไม่ได้สนใจมองเนื่องจากคุณรุจีรัตน์หันมาจับมือเธอให้ก้าวเข้าไปใกล้ท่าน
“รุจี ไม่น่าเชื่อ กี่ปีกี่ปีก็ยังสวยไม่เปลี่ยนเลยนะเธอ”
“แหม เจ้าก็เหมือนกันค่ะ”
ทั้งสองสาววัยห้าสิบกว่าจับมือยิ้มให้กันอย่างยินดี เพราะครั้งล่าสุดก็คือวันแต่งงานของเจ้าปัทมาดาราที่เชิญเพื่อนสมัยเรียนในคอนแวนต์ด้วยกันมาร่วมงาน แล้วคุณรุจีรัตน์ก็แนะนำกัญญานัน
“นี่กัญญานัน น้องก้อยลูกสาวคนเล็กของรุจีค่ะเจ้า น้องก้อยไหว้เจ้าปัทมาดาราซะลูก เจ้าเป็นเพื่อนเก่าของแม่”
หญิงสาวใบหน้าสวยหวานน่ารักน่าใคร่ข้างกายคุณรุจีรัตน์ยกมือไหว้อย่างอ่อนช้อย แม้ผมยาวสลวยที่ถูกถักรวบลวกๆ จะรุ่ยร่ายบ้างหากก็ไม่อาจบดบังความงดงามได้
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีจ้ะหนู ตายจริง ลูกสาวคนเล็กของเธอเหรอรุจี สวยน่ารักน่าชังจริง”
เจ้าปัทมาดาราเอ่ยชมด้วยความเอ็นดู ทั้งยังยื่นมือไปจับมือเรียวบางที่สวยราวลำเทียนกุมไว้เบาๆ รู้สึกถูกชะตาตั้งแต่แรกสบตาคู่สวย
ในขณะที่สามสาวต่างก็ยิ้มให้กันอยู่นั้น ชายหนุ่มร่างสูงกำยำที่มีแว่นดำสนิทบดบังดวงตาคู่คมสีน้ำตาลเข้มกลับนิ่งงัน เขาแทบหยุดหายใจเมื่อเห็นหญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ตสีครีมผ้าพลิ้วเบาสบายกับกางเกงยีนส์สีดำพอดีตัว ไม่คิดว่าจะได้พบกันอีก
ชายหนุ่มรู้สึกถึงบรรยากาศอบอวลอ่อนหวานลอยอยู่รอบตัวเมื่ออีกฝ่ายยิ้มหวานกับเจ้าแม่ของเขา ใบหน้าเธอยามมีเครื่องหน้าแต้มบางเบาสวยกว่าตอนแต่งหน้าและอยู่ในชุดนางรำ เปรมินทร์จำหญิงสาวได้ทันที ราวกับใบหน้าปราศจากเครื่องสำอางของเธออยู่ในความทรงจำส่วนลึกของเขาอยู่แล้วตลอดเวลา ไม่ต้องอยู่ในชุดฟ้อนโบราณเขาก็รู้ว่าเธอคือนางรำที่เขาฝันถึงเสมอ
“ตามินทร์”
“ครับ”
เป็นครั้งแรกที่เปรมินทร์รู้สึกใจเต้นแรงกับคำเรียกของผู้เป็นแม่ ขอบใจสติของตัวเองที่ไม่ได้หลุดลอยไปจนเจ้าแม่เขาต้องเรียกหลายครั้งให้ได้อับอาย
“นี่คุณรุจีรัตน์ ภรรยาของคุณชายพงศกร อรรถพันธ์พงศ์ เพื่อนเก่าแม่ กับลูกสาวคนเล็ก หนูก้อย ใช่ไหมจ๊ะลูก”
ท้ายประโยคเจ้าปัทมาดาราหันไปถามกับคนอายุน้อยกว่าเสียงหวาน ซึ่งหญิงสาวก็รับคำ
“ค่ะ”
เปรมินทร์ถอดแว่นออกอย่างมีมารยาท ก่อนจะยกมือไหว้หญิงผู้เป็นเพื่อนแม่
“สวัสดีครับ”
“ตามินทร์ลูกชายฉันจ้ะรุจี”
เจ้าปัทมาดาราสำทับอีกครั้ง
“สวัสดีค่ะ”
คุณรุจีรัตน์ตอบรับยิ้มตาพราวเมื่อเห็นหน้าชายหนุ่มชัดเจน
ในขณะนั้นกัญญานันเองก็ยกมือไหว้ชายหนุ่มเช่นกันเพราะมั่นใจว่าเขาคงอายุมากกว่า
เปรมินทร์รับไหว้ใบหน้านิ่งขรึมไม่แสดงอารมณ์ใดๆ จงใจจ้องตากลมโตคู่หวานตรงๆ ราวกับต้องการอ่านความคิดของอีกฝ่าย หากก็ไม่เห็นแววใดนอกจากประกายสวยงามจนเขาแทบตาพร่า ทำเอาต้องก่นด่าตัวเองในใจที่มัวหลงวนอยู่ในดวงตาคู่ดำกลมโตแทน เขาละสายตาจากหญิงสาวได้เพราะคำพูดของคุณรุจีรัตน์
“เอ...คุณมินทร์ เปรมินทร์ ที่เป็นเพื่อนกับตากลางตอนเรียนที่อเมริกาหรือเปล่าคะ ตากลาง กิตติกรน่ะค่ะ ดิฉันคุ้นๆ ว่าตากลางเคยพูดถึงเพื่อนทางเหนืออยู่เหมือนกัน”
“อ๋อ ครับ ผมพอจะทราบอยู่บ้างว่านายกลางนามสกุลอรรถพันธ์พงศ์ ตอนแรกที่ได้ยินเจ้าแม่บอกผมก็สะกิดใจอยู่เหมือนกัน ได้พบคุณน้า...เอ่อ คุณรุจีรัตน์แม่ของนายกลางโดยบังเอิญแบบนี้ผมยินดีมากครับ แล้วผมก็ต้องขอโทษคุณรุจีรัตน์ด้วยนะครับที่ไม่มีโอกาสได้ไปกราบเลยสักครั้ง”
เปรมินทร์ตอบคำถามอย่างสุภาพ รู้มารยาทในวงสังคมเป็นอย่างดี
“อุ๊ย...เรียกแม่หรือน้าก็ได้ค่ะ แล้วก็เรื่องกราบไหว้อะไรก็ไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ คุณมินทร์จำเพื่อนสมัยเรียนเมืองนอกอย่างตากลางได้น้าก็ดีใจมากแล้ว”
คุณรุจีรัตน์เอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวาน ส่วนกัญญานันมองชายหนุ่มอย่างสนใจกว่าตอนแรกเพราะเขาเป็นเพื่อนของพี่ชาย เขาเป็นชายหนุ่มที่สมบูรณ์แบบสุดๆ เท่าที่เคยพบเจอ เธอคิดแค่นั้นไม่ได้ใส่ใจอะไรอีก ขณะที่เจ้าปัทมาดาราตาโต
“จริงเหรอตามินทร์”
“ครับเจ้าแม่”
“ดีจัง คนกันเองทั้งนั้นเลย...ยืนคุยกันเมื่อยแล้ว ไปที่รถดีกว่า แล้วเราจะได้คุยกันเรื่องที่รุจีบอกว่าอยากปรึกษาด้วย”
“ค่ะเจ้า”
คุณรุจีรัตน์เดินตามแรงจูงของเจ้าปัทมาดารา ในขณะที่กัญญานันหันกลับไปที่กระเป๋าทั้งสองใบ ทว่าพอมือเรียวสวยจับที่กระเป๋าของตนเอง มือหนาใหญ่ของใครคนหนึ่งก็ตามลงมาทาบทับ ความอบอุ่นที่สัมผัสไม่ทันตั้งตัวทำให้ร่างสวยสะดุ้งรีบปล่อยมือ เมื่อหันมองก็เห็นลูกชายของเจ้าปัทมาดารายืนอยู่ใกล้กับตนเองจึงผละออกเล็กน้อยด้วยใบหน้ามึนงง
“ให้เขาถือเถอะ”
ปากบางสวยสีเรื่อของชายหนุ่มขยับพร้อมเสียงทุ้มดังขึ้น แล้วมือหนาก็จับกระเป๋าสองใบส่งไปให้คนขับรถทางด้านหลัง ก่อนผายมือให้หญิงสาวเดินตามผู้ใหญ่ไป
กัญญานันยิ้มบางให้ชายหนุ่มพร้อมกับพึมพำขอบคุณ แล้วเดินผ่านเขาไปตามคำเชิญ ทิ้งเอาไว้เพียงกลิ่นหอมอ่อนเย้ายวนใจให้คนตัวสูงชะงัก เพราะบังเอิญสูดกลิ่นกายสาวเข้าจนเต็มปอดแล้วรู้สึกร้อนวูบในเบื้องลึกอย่างไม่รู้ตัว แถมความนุ่มนิ่มจากมือสวยก็ติดตรึงอยู่กับมือเขาจนต้องกำแน่น เมื่อทำใจสลัดอารมณ์วูบวาบกะทันหันของตัวเองได้ชายหนุ่มก็เห็นคนขับรถหนุ่มของไร่ยิ้มตาเป็นประกายราวกับรู้ทัน เปรมินทร์จึงทำตาดุใส่ อีกฝ่ายก็เลยรีบหิ้วกระเป๋าเดินไปโดยเร็ว ส่วนเขาก็ได้แต่ส่ายหน้าให้กับอาการแปลกๆ ของตัวเองก่อนจะก้าวตามคนอื่นๆ
=====
ร่างบางรีบเร่งขึ้นรถตู้ เพราะก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมงกัญญานันได้รับโทรศัพท์จากเจ้าปัทมาดาราขอร้องให้เธอช่วยไปรำแทนนางรำคนหนึ่งที่บังเอิญมีเรื่องตบตีกับนางรำด้วยกัน โดยที่คนหาเรื่องก่อนถูกสั่งให้กลับบ้านไป ซึ่งกัญญานันก็เต็มใจช่วย อีกอย่างเธอกับมาธาวีก็คุยเรื่องตกแต่งเรียบร้อยแล้ว เธอจึงให้กุญแจกับมาธาวีไว้แล้วออกมาก่อน เพราะอีกฝ่ายบอกว่าเย็นๆ จะไปเจอเพื่อนสมัยเรียนมัธยมที่เรียนออกแบบตกแต่งภายในกัญญานันนั่งมาไม่นานรถตู้ก็จอดอีกครั้ง ประตูเปิดออกอย่างอัตโนมัติแล้วร่างสูงเพรียวกำยำที่หญิงสาวไม่คิดว่าจะได้เจอก็ก้าวขึ้นมา เขาสบตากับเธอด้วยแววตานิ่งสนิท แล้วก็ขยับมานั่งลงที่เบาะแรกของด้านหลังข้างเธอ ทำเอากัญญานันขยับชิดกระจกอย่างลืมตัว กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของเขาฟุ้งอยู่ใกล้ตัว เสื้อสูทที่ชายหนุ่มใส่อยู่ถูกถอดออกจนแขนกำยำสัมผัสกับต้นแขนเธอเล็กน้อย กัญญานันพยายามนั่งนิ่งๆ กำลังคิดคำทักทายชายหนุ่มตามมารยาทรถก็เคลื่อนตัวออก เมื่อตั้งใจจะเอ่ยปากเสียงโทรศัพท์อีกฝ่ายก็ดังขึ้น“ครับพ่อ”เขารับสาย แล้วก็เงียบไป ก่อนจะรับคำอีกครั้ง“ครับ ไม่เสียแรงที่ผมอุตส่าห์กลับไปแต่งตัวออกมาพบมิสเตอร์กับมิสซิสกลอรี
ร่างบางรีบเร่งขึ้นรถตู้ เพราะก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมงกัญญานันได้รับโทรศัพท์จากเจ้าปัทมาดาราขอร้องให้เธอช่วยไปรำแทนนางรำคนหนึ่งที่บังเอิญมีเรื่องตบตีกับนางรำด้วยกัน โดยที่คนหาเรื่องก่อนถูกสั่งให้กลับบ้านไป ซึ่งกัญญานันก็เต็มใจช่วย อีกอย่างเธอกับมาธาวีก็คุยเรื่องตกแต่งเรียบร้อยแล้ว เธอจึงให้กุญแจกับมาธาวีไว้แล้วออกมาก่อน เพราะอีกฝ่ายบอกว่าเย็นๆ จะไปเจอเพื่อนสมัยเรียนมัธยมที่เรียนออกแบบตกแต่งภายในกัญญานันนั่งมาไม่นานรถตู้ก็จอดอีกครั้ง ประตูเปิดออกอย่างอัตโนมัติแล้วร่างสูงเพรียวกำยำที่หญิงสาวไม่คิดว่าจะได้เจอก็ก้าวขึ้นมา เขาสบตากับเธอด้วยแววตานิ่งสนิท แล้วก็ขยับมานั่งลงที่เบาะแรกของด้านหลังข้างเธอ ทำเอากัญญานันขยับชิดกระจกอย่างลืมตัว กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของเขาฟุ้งอยู่ใกล้ตัว เสื้อสูทที่ชายหนุ่มใส่อยู่ถูกถอดออกจนแขนกำยำสัมผัสกับต้นแขนเธอเล็กน้อย กัญญานันพยายามนั่งนิ่งๆ กำลังคิดคำทักทายชายหนุ่มตามมารยาทรถก็เคลื่อนตัวออก เมื่อตั้งใจจะเอ่ยปากเสียงโทรศัพท์อีกฝ่ายก็ดังขึ้น“ครับพ่อ”เขารับสาย แล้วก็เงียบไป ก่อนจะรับคำอีกครั้ง“ครับ ไม่เสียแรงที่ผมอุตส่าห์กลับไปแต่งตัวออกมาพบมิสเตอร์กับมิสซิสกลอรี
เจ้าปัทมาดารานั่งหน้านิ่งมาตลอดระหว่างการเดินทางกลับมาไร่ภูศรีจัน แม้ว่าจะพูดคุยกับกัญญานันอย่างชื่นชมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่กับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนท่านกลับไม่เอ่ยคำใด แทบจะไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำ ทำเอาเปรมินทร์ร้อนๆ หนาวๆ สันหลัง“หนูก้อยหิวไหมจ๊ะ ทานอะไรก่อนนอนดีไหม น้าเห็นหนูทานที่งานนิดเดียวเอง”“ไม่เป็นไรค่ะเจ้าน้า ช่วงเย็นก้อยทานน้อยน่ะค่ะ”หญิงสาวบอกอย่างเกรงใจ“มิน่าหนูก้อยถึงได้อ้อนแอ้นขนาดนี้ แต่น้าว่าทานนมอุ่นๆ หน่อยก็ดีนะ อากาศที่นี่เย็นมาก จะได้นอนหลับสบายไงจ๊ะ แต่ที่จริงหนูก้อยทานเยอะอีกนิดก็ได้นะลูก อย่างหนูไม่อ้วนหรอก น้าไม่อยากให้อดอาหารเหมือนสาวๆ สมัยนี้เลยสุขภาพจะแย่เอา”“ขอบคุณค่ะเจ้าน้า”กัญญานันยิ้มรับคำตักเตือนพร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณ ไม่แย้งว่าจริงๆ เธอทานข้าวน้อย แต่ชอบกินขนมจุกจิกมากกว่าต่างหาก“กลับมากันแล้วเหรอครับเจ้า”คุณเฮนรี่เดินออกมาแล้วโอบไหล่ภรรยาเพราะอากาศช่วงสามทุ่มเย็นจัดมาก วันนี้เขาเลิกงานเย็นและต้องตรวจสอบบัญชีรายเดือนกับฝ่ายบัญชี ไม่สามารถไปงานได้ นึกห่วงไม่อยากให้เจ้าปัทมาดาราต้องเดินทางตอนดึกคนเดียว พอลูกชายก็อาสาไปแทนเขาจึงสบายใจ“หนูก้อยกลับเ
ชายหนุ่มร่างสูงกำยำเดินกลับมายังบ้านหลังใหญ่พร้อมกับดอกไม้ในมือ นึกแปลกใจการกระทำของตัวเองที่ทำเรื่องไม่เหมาะไม่ควร จนกัญญานันเอ่ยขอตัวไปอย่างรีบร้อน ไม่ยอมให้เขาตามไปส่งถึงเรือน ทุกอย่างเกิดขึ้นเองโดยไม่ทันได้รู้ตัว ยิ่งได้เห็นหน้าสวยหวานน่ารัก กับเรือนร่างอรชรเดินไปเดินมาไม่ห่าง เขายิ่งมึน อารมณ์อ่อนไหวประหลาด ทำอะไรลงไปแต่ละครั้งอย่างลืมตัวเปรมินทร์ถอนหายใจ ขณะเดินผ่านหน้าห้องของผู้เป็นแม่กับพ่อเสียงหนึ่งก็หยุดเขาเอาไว้“มาคุยกับแม่ทางนี้หน่อยตามินทร์”เมื่อเห็นมารดายืนกอดอกอยู่หน้าประตูในชุดนอนคลุมทับด้วยชุดคลุมหนาอุ่นเปรมินทร์ก็เหมือนจะรู้ว่าต้องเจอกับอะไร เพราะใบหน้าเจ้าแม่ของเขาเอาเรื่องชัดเจนเจ้าปัทมาดาราเดินผ่านลูกชายไปยังจุดนั่งพักผ่อน ซึ่งทำเหมือนห้องนั่งเล่นกลางโถงชั้นสองแล้วนั่งลง ส่วนชายหนุ่มแอบเอาดอกไม้ใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตไม่ให้ท่านสังเกตเห็นก่อนจะเดินตามมานั่งแปะข้างๆ แล้วกอดร่างอิ่มของผู้เป็นแม่อย่างเอาใจ“รู้แล้วใช่ไหมว่าแม่จะพูดเรื่องอะไร อย่ามาอ้อนซะให้ยากเลย”“ผมไม่เกี่ยวนะครับ นิสาเขาจู่โจมผมเอง”ชายหนุ่มบอกปัดก่อนจะแนบหน้ากับอกนุ่มอวบของมารดา ไม่สบตาเพราะไม่อย
ช่วงเช้าของไร่ภูศรีจันอากาศเย็นจัดและมีหมอกหนาทว่าเปรมินทร์เคยชิน จนสามารถอาบน้ำสระผมได้สบาย ร่างสูงเพรียวแกร่งก้าวลงบันไดเร็วๆ พร้อมฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตมีแจ๊กเกตไม่หนามากนักคลุม ผมที่ยังชื้นหน่อยๆ ถูกเสยขึ้นสบายๆ ไม่ได้จัดอย่างมีพิธีรีตอง แต่เมื่อลงมาด้านล่างกำลังจะเลี้ยวไปในส่วนห้องอาหารชายหนุ่มก็ชะงัก หันมองกระเป๋าเดินทางใบย่อมที่สาวใช้ยกมาวางหน้าประตูบ้าน กับสูทของตนที่ถือติดมือเข้ามา“อะไรน่ะ”“สูทคุณมินทร์เจ้า ข้าเจ้าจะเอาไปซักเจ้า”สาวใช้อายุน้อยหยุดนิ่งก้มหน้าลงพร้อมกับตอบโดยมือกุมเสื้อสูทแน่น“รู้แล้วว่าเสื้อฉัน แต่ทำไมมาอยู่ที่เธอ แล้วนั่นอะไร ข้างนอกนั่น ใครจะไปไหน”ชายหนุ่มเสียงห้วนจัด เสื้อของเขาเขารู้ดี และเข้าใจว่าจะได้คืนจากมือคนที่คลุมติดไปด้วยเมื่อคืน ไม่ใช่จากสาวใช้ แถมกระเป๋าเดินทางใบเล็กที่วางอยู่ด้านนอกเขาก็จำได้ด้วยว่ามันเป็นของใคร นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน“เอ่อ...”ยังไม่ทันที่สาวใช้จะได้ตอบคำถาม ร่างของคนสามคนก็ปรากฏตัวออกมาจากทางด้านห้องอาหาร เปรมินทร์หันขวับไปมอง เขาเหลือบมองร่างบางอรชรก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนจะเหล่ไปทางผู้เป็นแม่ ซึ่งท่
เป็นอีกครั้งในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมาที่กัญญานันถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงเมื่อเห็นรถตู้ของไร่ภูศรีจันแล่นเข้ามาจอดด้านหน้าตึก แม้จะกระอักกระอ่วนใจทุกครั้งที่จำต้องพบหน้ากัน กัญญานันก็เลือกวางเฉยทำให้ระหว่างทั้งคู่ยังอึมครึมอยู่ ทว่าหญิงสาวก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าที่โรงเรียนของเธอกับเพื่อนก้าวหน้ารวดเร็วจนเกือบจะเสร็จเรียบร้อยในอีกไม่กี่วันนี้ ก็เพราะได้รับความช่วยเหลือจากเปรมินทร์ ชายหนุ่มช่วยดูแบบ ออกความคิดเห็นปรับแก้ในจุดที่บกพร่อง เลือกเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่ง ทั้งยังเป็นธุระติดต่อเพื่อให้ได้ของที่มีคุณภาพดี สวยงาม ราคาย่อมเยา เพราะกัญญานันกับมาธาวีไม่สันทัดทั้งคู่“ดูทำหน้าเข้าสิ ถ้าเราเป็นพี่มินทร์แล้วเห็นหน้าเธอแบบนี้ทุกครั้งที่เจอนะ เราถอยไปนานแล้ว”มาธาวีที่กำลังช่วยกัญญานันจัดพื้นที่ต้อนรับด้านล่างกระทุ้งศอกใส่เพื่อนที่ทำหน้าเหมือนไม่อยากเจอคนจากไร่ภูศรีจันกัญญานันไม่เถียงเพื่อน เพราะเธออธิบายจนเหนื่อยแล้วแต่มาธาวีก็เลือกที่จะเชื่อสัญชาตญาณของตัวเองว่าเปรมินทร์กำลังตามจีบเธอ เหตุผลที่กัญญานันพยายามปฏิเสธเพราะเธอเคยเห็นเขากับวันนิสามาก่อน อีกทั้งยังได้รู้จากเพื่อนด้วยว่าเจ้าปัทมาด
วันนี้เป็นวันที่กัญญานันไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลยในชีวิต แม้จะเคยฝันไว้ว่าอยากใส่ชุดเจ้าสาวในแบบไหน แต่ไม่เคยคิดว่าเจ้าบ่าวของตนจะเป็นใคร หน้าตาแบบไหน และยิ่งเป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมทั้งรูปร่างหน้าตา สมบัติพัสถาน ทั้งยังฉลาดเฉลียว มีความสามารถโดดเด่นหลายอย่างดังเช่นที่เขาเคยแสดงให้เธอได้เห็นในช่วงเวลาไม่ถึงสองเดือนที่ได้รู้จักกันอย่างเปรมินทร์ เธอยิ่งไม่เคยนึกฝัน แม้รู้สึกได้ว่าชายหนุ่มพยายามเข้ามามีส่วนร่วมในวงจรชีวิตของเธอก็ตาม กระทั่งทุกสิ่งล่วงเลยมาจนถึงวันนี้ วันที่เธอต้องมาเป็นเจ้าสาวของเขาเวลานี้เธอกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางผู้ใหญ่ของทางฝ่ายเธอและเปรมินทร์ มือของเธออยู่ในมือหนาแข็งแรงของอีกฝ่ายขณะที่เขากำลังสวมแวนให้เธออย่างแผ่วเบา เนื้อแหวนที่เย็นเฉียบทำให้กัญญานันรู้สึกหนักอึ้ง หญิงสาวเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยดวงตาพร่ามัว ยกมือไหว้เขาอย่างอ่อนช้อยในขณะที่เขาเองก็รับไหว้เธอตอบ กัญญานันจำต้องข่มน้ำตาที่เอ่อคลอเอาไว้ แม้ใครหลายคนอาจจะมองว่าเจ้าสาวกำลังตื้นตันกับวันวิวาห์แสนหวานก็ตามใช่ว่ากัญญานันจะรังเกียจเปรมินทร์จนถึงขั้นไม่อาจใช้ชีวิตร่วมกับชายหนุ่มได้ แต่เธอถูกบีบบังคับจนไม่เหลือทางให้เ
“ทำหน้าแบบนั้น อยากพูดอะไร อยู่กับผมคุณไม่ต้องสงบปากสงบคำนักก็ได้ คุณไม่ได้อยู่กับผู้ใหญ่สักหน่อย แล้วผมก็ไม่ใช่พวกบ้าอำนาจที่เมียต้องฟังผัวอย่างเดียว ไม่มีสิทธิ์เอ่ยปาก”หญิงสาวหน้าแดงเรื่อขึ้นเพราะคำพูดโต้งๆ ของอีกฝ่ายแล้วก็ก้มลงหลบตาเขาเช่นเคยก่อนจะพึมพำเสียงเบา“ไม่มีอะไร...”ยังไม่ทันได้เอ่ยจบประโยคก็รู้สึกถึงร่างสูงกำยำที่โน้มลงมาหา กัญญานันเอนกายไปด้านหลังเอียงหน้าหลบเต็มที่ พอจะดันมือกับเตียงเพื่อถอยก็ปรากฏว่าไปเจอเข้ากับมือหนาทั้งสองข้างที่วางข้างกายเธอสองด้านเหมือนกักกันกลายๆ ทำให้เธอไม่อาจขยับไปไหนได้ ขณะที่ใบหน้าคมหล่อเหลาเคลื่อนมาชิดหน้าเธอทั้งยังเอียงทำมุมจนสามารถมองตากันได้อย่างชัดเจน ด้วยความตกใจกลัวการคุกคามอย่างกะทันหันของชายหนุ่มกัญญานันจึงผงะ หลับตาปี๋ สองมือตั้งใจจะผลักอกแกร่งแต่กลับกลายเป็นถูกรั้งเข้าไปกอดไว้“เดี๋ยวก็ล้มลงไปหรอก”เขายังดุเบาๆ“คุณมินทร์”“หืม”แม้จะขานรับหญิงสาวไปแต่ตอนนี้เปรมินทร์กำลังให้ความสนใจกับมือนุ่มนิ่มที่แตะบนแผงอกเขากับใบหน้าหวานด้านข้าง ที่วันนี้ผมยาวสลวยของกัญญานันถูกรวบขึ้นมวยสูงเผยแก้มผ่องใส ดวงหน้างดงามแจ่มกระจ่างตา ความสวยลออตาก่
“ไม่รู้สิคะ รู้แต่ว่าเธอไม่เคยโกรธหรือเกลียดคุณ ไม่เคยมองคุณในแง่ร้าย แต่เธอเจ็บปวดที่รู้ว่าคุณทำให้เธอเสียใจ”นิ่งไปชั่วอึดใจก่อนที่เปรมินทร์จะค่อยๆ คลี่ยิ้มที่มุมปากแล้วบอก“นางฟ้าคนนั้นรักผมเข้าให้แล้วล่ะ”กัญญานันก้มหน้างุดลงอย่างขัดเขิน เมื่อเห็นแววตาคู่คมวาววับราวกับล้อเลียน ทั้งที่ยังอยู่ในอารมณ์โศกเศร้าแท้ๆ แต่ก็เข้าใจว่าเปรมินทร์คงอยากให้เธอสบายใจขึ้น“เฮ้อ...ทำหน้าแบบนี้เดี๋ยวผมก็ห้ามใจไม่ไหวอีกนะ”อีกฝ่ายถอนหายใจออกมา แล้วก็จูบประทับหนักหน่วงเนิ่นนานบนกลีบปากสวยจนเธออ่อนระทวยอีกครั้ง ทว่าหญิงสาวยังไม่ลืมว่าชายหนุ่มพามาดูอะไร เมื่อปรือตาขึ้นมาพร้อมกับที่ใบหน้าคมคายผละออกไป เธอก็เงยหน้าขึ้นไปด้านบน แสงบางอย่างที่ร่วงลงอยู่ท่วมกลางท้องฟ้ามืดมิดดึงความสนใจของเธอให้หันมอง ร่างบอบบางถลันออกไปชะเง้อคอมองนอกเต็นท์“ฝนดาวตก”ดาวหลายดวงทยอยตกจากท้องฟ้าที่มุมหนึ่ง ทำให้กัญญานันตาวาว พูดโดยไม่หันกลับไปมองคนที่ขยับมานั่งกอดซ้อนหลังเธอ“นี่ใช่ไหมคะที่คุณพาก้อยมาดู”“อืม”เปรมินทร์ตอบรับด้วยอารมณ์เซ็งๆ“แต่ผมชักอยากรักคุณมากกว่าดูฝนดาวตกนี่แล้ว”ชายหนุ่มบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนจะวางคางของตนบ
ทั้งสองเซ่นไหว้ตรงจุดที่เกิดอุบัติเหตุของเจ้าปัทมาดากับคุณเฮนรี่ ก่อนจะย้อนกลับขึ้นมา เดินลึกเข้าไปด้านในยังจุดที่เกิดเรื่อง และกัญญานันก็วางฟ้ามุ่ยสีขาวไว้ตรงพื้นที่ที่เปรมินทร์บอกว่าฝังมอมแมมเอาไว้ จากนั้นชายหนุ่มก็ขอไปตรวจเอกสารที่ออฟฟิศกับดูงานที่ไร่โดยพากัญญานันออกไปในไร่กับตนเองด้วย แม้ว่าตอนแรกเขาจะห้ามเพราะกลัวเธอจะเจ็บขามากขึ้น แต่หญิงสาวบอกว่าเธอยังไม่เคยเห็นไร่ภูศรีจันอย่างแท้จริงเลยสักครั้ง ชายหนุ่มจึงต้องพาหัวหน้าฝ่ายบัญชีกับเลขาไปด้วยเพื่อให้ดูแลและเป็นเพื่อนเธอ รวมทั้งคอยอธิบายเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ตอนที่เขาตรวจงานในไร่ ทั้งคู่อยู่ที่ไร่กระทั่งเย็นจึงกลับขึ้นภู“ทำไมคุณถึงให้ลุงมั่นกางเต็นท์ให้เราล่ะคะ”กัญญานันพูดเสียงสั่นด้วยความหนาวหลังจากถูกคะยั้นคะยอให้ออกมายังจุดชมวิวด้านนอก เมื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวจะเข้านอน“ผมอยากให้คุณดูอะไรบางอย่างด้วยกันหน่อยน่ะ”ชายหนุ่มบอกแล้วรูดซิปเต็นท์ให้หญิงสาวเข้าไปด้านในก่อน แม้ด้านนอกจะมีกองไฟที่ให้คนขับรถคนใหม่จุดไว้แต่ก็ไม่ช่วยไล่ความหนาวเหน็บได้ ดีหน่อยที่พอไล่ยุ่งได้บ้าง“ดูข้างในไม่ได้เหรอคะ”“เราต้องดูบนท้องฟ้า”เมื่อท
“ผมรักก้อย”เสียงทุ้มพึมพำซ้ำแนบขมับชื้นเหงื่อของเธอ ตามมาด้วยรอยจูบหนักๆ“ที่สำคัญ...ผมรักหัวใจของคุณ หัวใจที่ดีงามเหมาะสมอย่างที่เจ้าแม่ผมเคยพูดเอาไว้ ท่านเคยบอกว่าผมจะรักคุณ แล้วผมก็รักจริงๆ แถมยังหลงด้วย หลงมากกก”พร้อมคำพูดเปรมินทร์ก็อุ้มร่างอรชรมานอนทับบนร่างแกร่ง ผิวเนื้อนุ่ม อกอวบอิ่ม ร่างสาวบดเบียดลงมาหาชายหนุ่มอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ กัญญานันเหมือนถูกดูดพลังงานไปจนหมด ไม่หลงเหลือแรงขัดขืนเขาด้วยซ้ำ“หลง แต่ชอบทำร้าย ชอบแกล้งเนี่ยนะคะ”มือบางตีอกกว้างเบาๆ เนื้อตัวเธอรู้สึกถึงมัดกล้ามเต็มแน่นช่วงหน้าท้องแกร่งและทั่วทั้งตัวของคนใต้ร่างเลยทีเดียว ใบหน้าหวานจึงออกอาการเขินอายเมื่อเห็นตาคมจ้องมาด้วยแววชอบอกชอบใจ“นี่เขาเรียกทำรักต่างหาก”เปรมินทร์ไม่บอกเปล่า แถมมือหนายังกดสะโพกเธอเข้าหาตัวเองซ้ำอีกจนกัญญานันต้องห้ามเสียงสั่น“อื้อ...ไม่เอาแล้วนะคะ”“เถอะน่า อีกครั้งหนึ่ง”“พอเถอะค่ะ ก้อยเหนื่อย”กัญญานันส่งสายตาขอร้องเต็มที่ เธอเพลียอยากนอนจะแย่อยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายกลับมันเขี้ยวอยากฟัดคนตัวเล็กมากกว่าจะอยากหยุด เพราะไม่ว่าหญิงสาวจะมองแบบไหนเปรมินทร์ก็รู้สึกเหมือนเธอกำลังเชิญชวนเขาทุกท
คนถูกฉุดรั้งชะงักด้วยความงุนงงกับอารมณ์ร้อนแรงของตน และคำพูดกำกวมของอีกฝ่าย ร่างอรชรหอบหายใจระรัว เพิ่งรู้ว่าเธอเหนื่อยหนักขนาดนี้ ทว่าก่อนจะถามอะไรชายหนุ่มก็พลิกกายให้เธอลงไปนอนใต้ร่างขณะมือก็ปลดเสื้อนอนเธอออกไปพร้อมกัน ไม่ลืมที่จะดึงปิ่นออกจากผมสลวยจนสยายแผ่บนที่นอนอย่างน่าหลงใหล“ผมอยากบอกรักคุณก่อน”“คะ?”ดวงหน้าหวานเหลอหลาด้วยความแปลกใจกับคำรักที่ออกมาจากปากเขาแสนง่าย หากแรงพิศวาสที่โหมอยู่ยังไม่ถูกปลดปล่อย สมองเธอจึงทำงานช้า ความสนใจอยู่ที่มัดกล้ามแน่นตึงบนเรือนกายกำยำที่ค่อยๆ อวดต่อสายตา เพิ่งเป็นครั้งแรกที่เธอกล้ามองเขาตรงๆ ไม่แปลกใจเลยว่าเพราะอะไรผู้หญิงต่างก็หลงใหลได้ปลื้มสามีตนเองขณะเดียวกันร่างสูงที่ผละไปถอดเสื้อผ้าของตนก็จับจ้องผิวขาวนวลผ่องที่เผยพร้อมเรือนกายงามสล้างไม่วาง ตาคมคู่ดุกวาดมองขึ้นลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างครึ้มใจที่ตนเองได้เป็นเจ้าของความงามลออตาตรงหน้า ความภาคภูมิใจปะปนความรักหลงอัดแน่นอยู่ในอก เพราะได้ครอบครองทั้งเรือนร่างสวยกับหัวใจที่ดีงามของกัญญานัน“ผมรักทุกอย่างที่เป็นคุณ ทั้งดวงตา แก้ม ริมฝีปาก...”หลังจากทั้งร่างเปล่าเปลือยใบหน้าคมก็เลื่อนลงกระซิบพร้อม
กัญญานันไปส่งครอบครัวพร้อมกับเปรมินทร์และพี่ชายที่เชียงใหม่ แม้เธอจะบอกให้อีกฝ่ายพักผ่อนหลังจากทำแผลแล้ว แต่สุดท้ายเปรมินทร์ก็ยังเกาะติดภรรยาของตนไม่ยอมห่าง ส่วนทางด้านเพ็ญลงไปพักกับพ่อแม่ของตนในไร่ชั่วคราว กำลังอยู่ในช่วงคิดและพักใจ บนภูจึงมีสองสาวน้อยและคนขับรถซึ่งค่อนข้างมีอายุหน่อยของไร่กับภรรยาขึ้นมาอยู่แทน หากเพ็ญกลับมาก็ไม่มีปัญหาอะไร นอกจากมีแม่บ้านดูแลเพิ่มขึ้น เปรมินทร์ยินดีรับคนขับรถที่แต่งงานแล้วและมีอายุหน่อยมากกว่าคนโสด“ทานยาหรือยัง ข้อเท้าคุณเจ็บมากขึ้นอีกหรือเปล่า”เปรมินทร์ถามเมื่ออาบน้ำออกมาเห็นคนตัวเล็กกำลังนวดข้อเท้าอยู่“ทานแล้วค่ะ แค่เจ็บนิดหน่อย ไม่เท่าตอนที่เกิดเรื่องหรอกค่ะ”หมอในไร่ตรวจข้อเท้าให้หญิงสาวเพิ่มเติมหลังทำแผลให้ชายหนุ่ม แม้จะบอกว่าไม่ได้กระทบกระเทือนมากนัก“ผมนวดให้นะ”ร่างสูงใหญ่ขยับไปนั่งที่เตียงอย่างรวดเร็วพร้อมกับเข้าไปใกล้คนตัวหอม แต่กัญญานันกลับส่ายหน้า“ได้ยังไงคะ มือคุณมีแผลอยู่”“ผมใช้มือซ้ายนวดให้”อีกฝ่ายยังพยายามจนเธอระอา แต่ก็ยังไม่ยอมอยู่ดี“ฉันนวดเองได้ค่ะ ว่าแต่คุณน่ะ ให้แผลโดนน้ำหรือเปล่าคะ มาให้ก้อยดูหน่อย”“คุณพูดว่าก้อยกับผมก็
“คุณพ่อกับคุณแม่จะกลับกรุงเทพฯ แล้วน่ะ แต่อยากขึ้นมาบนภู แล้วก็มาหาเราก่อนกลับด้วย”กิตติกรเป็นฝ่ายบอกเมื่อพบหน้าน้องสาว หญิงสาวเชิญทุกคนไปยังโต๊ะอาหาร ขณะที่เปรมินทร์เองก็มาถึงพอดี เขากำลังจะก้าวเข้าห้องอาหารขณะได้ยินประโยคคำพูดของคุณรุจีรัตน์“แม่กับคุณชายอยากมาไหว้เจ้ากับคุณเฮนรี่ ตรงที่ที่เกิดอุบัติเหตุด้วยน่ะ เห็นว่าเราเกิดเรื่องใกล้ๆ แถวนั้น คงเพราะเจ้าช่วยคุ้มครองเราถึงรอดมาได้ แม่อยากขอบคุณเจ้า”เปรมินทร์หน้าตึงขึ้น แต่ก็พยายามทำใจให้เย็นเข้าไว้ พยายามทำตัวให้เป็นคนมีเหตุผล ยกมือสวัสดีผู้ใหญ่ทั้งสอง และไม่วายปรายตามองลัลนาเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปโอบไหล่บางของภรรยา หอมแก้มนวลแล้วยิ้มให้เมื่อเธอหันมาทำตาดุใส่ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ“งั้นเดี๋ยวก้อยจัดเครื่องเซ่นไหว้ให้นะคะ”“ไม่เป็นไรลูก แม่เตรียมทุกอย่างแล้วก็แวะไหว้เรียบร้อยแล้วจ้ะ”“อย่างนั้นเหรอคะ”กัญญานันหน้าจ๋อยไป เปรมินทร์จึงหันไปโอบไหล่พร้อมบอกเบาๆ“ถ้าคุณอยากขอบคุณเจ้าแม่ เดี๋ยวผมพาไปใหม่ก็ได้”“ใช่จ้ะลูก เดี๋ยวหนูไปอีกครั้งกับคุณมินทร์ก็ได้ แม่กับคุณชายแล้วก็น้องนางจะกลับกันวันนี้ ไฟลต์เที่ยงน่ะจ้ะ แม่เลยรีบจัดการทุกอย่างให
“ฉันไม่ต้องการให้คุณมาช่วย มาดูแล ปล่อยนะ ฉันไม่กลับ ฉันจะเป็นยังไงก็ช่าง ปล่อยฉันให้ตายเหมือนที่ปล่อยมอมแมมไปเลย”หนทางของคนที่จนมุมคือหันไปทุบตีต่อว่าอีกฝ่าย ขณะที่เขาพาเธอลงไปด้านล่างด้วยความรวดเร็ว น้ำเสียงสั่นเครือกับตากลมโตวาววับที่แดงเรื่อทำให้เปรมินทร์จับได้ว่าภรรยาโกรธตัวเองด้วยเรื่องอะไร เขาปรายตาไปทางเพื่อนสนิทที่นั่งรออยู่ตรงส่วนรับแขก“นายขับรถนะ”เปรมินทร์บอกกิตติกรแล้วพาร่างบอบบางเดินออกไปทันที ไม่สนใจเพื่อนสาวของเธอสองคนที่ได้ยินเสียงโวยวายแล้ววิ่งตามลงมา“ก้อย”สองสาวเรียกพร้อมกันแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้กิตติกรมองสองสาวแล้วยักไหล่ ก่อนจะวิ่งตามเพื่อนออกไปร่างสูงใหญ่พากัญญานันมาถึงรถ กดรีโมตก่อนจะก้าวเข้าไปนั่งด้านหลังทั้งที่ยังอุ้มร่างบอบบางอยู่ วางเธอบนตักแกร่ง โอบเอาไว้ไม่ยอมปล่อย“ก้อยงอนผมเรื่องนี้?”เขาก้มลงถาม แล้วเมื่อเห็นเพื่อนขึ้นไปนั่งหน้าพวงมาลัยก็โยนกุญแจรถให้“ฉันไม่ได้งอน”กัญญานันเถียงกลับขณะหันไปสบตาพี่ชายอย่างร้องขอ“ขึ้นภู”เปรมินทร์บอกเพื่อนสั้นๆ ทำให้หญิงสาวในอ้อมกอดหันมามองเขาอย่างไม่พอใจ พร้อมผลักเขาพัลวัน เท้าก็ขยับดิ้นจนข้างที่เจ็บไปโดนที่นั่
เด็กๆ ทยอยกันกลับบ้านโดยมีผู้ปกครองมารับหลังจากหมดชั่วโมงสุดท้ายของช่วงบ่ายซึ่งสอนหลังเลิกเรียน สองหนุ่มลงจากรถแล้วเดินลิ่วสวนทางเข้าไป ด้านหน้าถัดจากประตูมีเคานเตอร์ต้อนรับอยู่ พนักงานกำลังยืนส่งผู้ปกครองกับเด็กๆ เมื่อเห็นสองหนุ่มก็ทำหน้างุนงง แต่เปรมินทร์ชิงพูดขึ้นก่อน“ก้อยมาที่นี่ใช่ไหม อยู่ไหน”“เอ่อ...”สาวพนักงานอึกอัก ทำให้เปรมินทร์ยิ่งหงุดหงิด รู้ว่าเธอไม่รู้จักเขา เพราะหลังจากวันทำบุญเขาก็ไม่ได้มาที่นี่อีก“ผมเป็นพี่สาวน้องก้อย กัญญานันน่ะ แล้วนี่สามีเขา น้องก้อยอยู่ที่นี่ใช่ไหมครับ”กิตติกรที่ใจเย็นกว่าอธิบาย ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ เธอเพิ่งเคยได้พบคุณกัญญานันหุ้นส่วนอีกคนของที่นี่วันนี้เอง และไม่เคยเจอสามีหรือพี่น้องเจ้านายมาก่อน“ใช่ค่ะ”“แล้วอยู่ไหน”เปรมินทร์ย้ำเสียงดุ“คุณสองกับคุณปรางลงมาส่งเด็กๆ เพิ่งขึ้นไปเมื่อสักครู่น่ะค่ะ คุณกัญญาไม่ได้ลงมาด้วย ฉันคิดว่าอาจจะกำลังพักผ่อนอยู่ชั้นสาม เพราะขาเธอยังเจ็บอยู่”แม้ว่าพนักงานสาวจะพูดจนจบประโยคทว่าเปรมินทร์ไม่ได้รอฟัง เขาพุ่งตัวเข้าไปด้านในตั้งแต่ได้ยินว่าชั้นสามแล้ว กิตติกรเอ่ยขอบคุณ ยิ้มให้อีกฝ่ายขำๆ แล้วก้าวตามไป สองห
“หึ...เสียหาย คุณเสียอะไรยังไง ช่วยแจงมาให้ฟังหน่อยสิ”คนถูกสวนหน้าชา เธอคิดว่าเปรมินทร์จะไม่กล้าพูด แต่เขากลับมาท้าเธอให้พูดแทน“ผมไม่อยากพูดถึงให้มันเสียปาก เพราะยังไงคุณก็เป็นพี่สาวเมียผม อยากจะใส่ไคล้ยังไงก็เชิญ แต่ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า...”ในห้องยังคงมีแต่ความเงียบครอบคลุม เปรมินทร์หันไปยื่นข้อเสนอกับคุณชายพงศกรด้วยท่าทางที่แสนมั่นใจว่าตนเองอยู่เหนือกว่า“ถ้าคิดจะให้ผมเลิกกับก้อย ผมจะถอนหุ้นออกจากร้านที่ไอ้กลางจะมาเปิดสาขาที่เชียงใหม่ แล้วก็ยกเลิกสัญญาคู่ค้า ต้องจ่ายค่าเสียหายเท่าไรก็ได้ ผมยอม แต่ไปลองคิดดูดีๆ นะครับ ว่าผลกระทบที่ตามมาของใครจะมากกว่ากัน การขาดทุนระยะยาวที่พวกคุณพยายามแก้ปัญหาอยู่จะเป็นยังไง”ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืน จ้องมองใบหน้าของลัลนาชั่วแวบก่อนจะเมินไปทางอื่น“เอาล่ะ วันนี้ผมว่าเชิญทุกคนไปพักที่โรงแรมดีกว่าครับ เพราะดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจคนไข้สักเท่าไร กลาง...นายพาคุณน้าทั้งสองคุณกับน้องนายกลับไปก่อนเถอะ ฉันจัดการเรื่องห้องพักให้เรียบร้อยแล้ว”เมื่อเอ่ยเชิญอย่างเสียมารยาทแล้วเขาก็เดินเข้าไปในห้องพักของผู้ป่วย ทิ้งให้คุณชายพงศกรถอนหายใจออกมาอย่างหนัก ลัลนากัดฟันแน่