โดยที่วางสีหน้าราบเรียบ เมื่อจ้องใบหน้าเข้มเบนส่งไปหาน้องชายที่อารมณ์กำลังดีด้วยการหยิบกีต้าร์ตัวโปรด
ภูวพลแทบไม่รู้สักนิดว่าพี่ชายจ้องด้วยสีหน้าเข้ม เพราะเจ้าตัวกำลังฮัมเพลงคลอไปด้วยการใช้มือที่ไล้เกาขึ้นลง อย่างคนที่อารมณ์เปรมปรีดานักหนา
แต่คนที่กระฟัดกระเฟียดนักคือพี่ชายคนโตซึ่งรู้ดีที่สุดและยังคงสนใจกับเสียงเพลงและอารมณ์มันของตนเอง จนแทบไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองพี่ชายเพื่อตอบ ขณะที่จอมภูส่งคำถามเข้มขึ้นมา
“วันนี้แกออกไปไหนมาทั้งวัน นายพล”
ภูวพลนั้นความที่อารมณ์จดจ่อกับเสียงเพลง จึงไม่ได้เงี่ยหูฟังและสนใจพี่ชาย จนร่างสูงของพี่ชายเดินเข้ามาตะคอกใส่เสียงดัง
“นี่นายพล แกได้ยินฉันพูดหรือเปล่า วันนี้ทั้งวันแกไปไหนมา”
เห็นสีหน้าตึงขึงขังของพี่ชายทำให้ภูวพลนิ่งครุ่นคิด
เมื่อตาคมปลาบของพี่ชายพุ่งตรงมาพร้อมคำถาม
เขามีความรู้สึกว่าพี่ชายเข้ามาขัดจังหวะนัก แล้วทำไมต้องตีสีหน้ายักษ์ใส่รุนแรงเหมือนเขาทำความผิดอย่างนั้นเกิดข้อกังขาในใจของภูวพล
“ทำไมครับพี่ใหญ่สนใจด้วยหรือว่าผมจะไปไหนมาไหน”
เลยเกิดอยากกวนพี่ชายเมื่อเห็นเขาอารมณ์เครียดสีหน้าตึงก็อยากจะเย้าแหย่กลับไป หากหารู้ไม่ว่ายิ่งจุดไฟโทสะของอีกฝ่ายให้กระพือโหมหนักกว่าเดิม
“ไอ้นี่ ชักจะปากเก่งขึ้นแล้วสินะ ถึงกับย้อนใส่ฉันนี่ ขอถามแกดีๆนะเจ้าพล”
เขาตีสีหน้าเคร่งใส่น้องชายและพยายามจับผิด
“อ้าว ก็ผมไปหาเพื่อนมาครับ”
ด้วยความที่ไม่อยากจะให้มีเรื่องมากกว่านั้น บานปลายจึงก้มหน้ายอมรับและมีสีหน้าแบบเกรงอยู่มาก เนื่องจากเป็นพี่ชายและพี่ชายคนนี้ข่มเขาได้อยู่ตลอดเวลา อีกอย่างจอมภูในฐานะพี่ใหญ่เป็นคนที่ในครอบครัวยอมรับ
มีหน้าที่การงานมั่นคงรวมทั้งได้รับคำกล่าวชมเชยจากพ่อแม่แตกต่างไปจากภูวพลน้องชาย ที่มักถูกยกเปรียบเปรยให้เห็นความแตกต่าง มันเหมือนกับเป็นคำที่กดดัน
เพราะว่าเขาไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน มีแต่ครอบครัวเท่านั้นที่เป็นคนสร้างสมมา และเขาเป็นคนหนึ่งที่เหมือนกับคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดในตระกูลเศรษฐี
แต่คำพูดที่เหมือนกับถากถางก็ยังคงก้องอยู่ในใจ เป็นเรื่องที่
ภูวพลต้องเก็บความน้อยใจเอาไว้ ว่าสักวันหนึ่งเขาจะทำให้ได้เหนือกว่าพี่ชายคนโตนี้อีก
ไม่ต้องให้คนในครอบครัวต้องคอยปรามาส ว่าเขาไม่สามารถสู้พี่ชายคนนี้ได้
“เพื่อนแบบไหน เอ เพื่อนผู้หญิงหรือเพื่อนผู้ชาย”
“เอ ทำไมพี่ใหญ่ซักละเอียดอย่างนั้น ผมบอกว่า เพื่อนก็เป็นเพื่อนซี”
เหมือนเขาหงุดหงิดไม่พอใจที่พี่ชายจะถามแบบเจาะลึก
จอมภูยิ้มหยันสีหน้าเครียด
“ก็ไม่เป็นไร ฉันเป็นพี่แก ก็ย่อมอยากรู้ทุกอย่างของน้องชาย”
“แต่นี่มันเรื่องส่วนตัวของผม”
เขาเผลอตัวเถียงพี่ชายออกไป
“นี่แกยังเถียงฉันอยู่อีกหรือ แสดงว่าแกต้องมีความลับที่พยายามจะปกปิดฉันอยู่”
หากแต่จอมภูยังจ้องสีหน้าเขม็งเอื้อมมือคว้ากีต้าร์ของน้องชายออกจากมือด้วยอารมณ์ถือดี อย่างโกรธจัดที่น้องชายไม่ฟังเขาเลยและเขาดึงเอากีต้าร์ตัวนั้นมาวางบนพื้นใกล้ตัว
เป็นการตัดความสนใจของน้องชายจากสิ่งอื่นเพื่อสนใจเขาตรงหน้าเพียงอย่างเดียว เพราะเขาต้องนั่งก้มหน้าเพื่อให้พี่ชายซัก หากเมื่อจอมภูรุกหนักเหมือนจะเล่นแรงกับน้องชาย
“ก็มี แต่นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของผม”
“ฉันขอถามแกตรงๆเป็นผู้หญิงหรือเพื่อนผู้ชาย หรือว่าแกจะมีแฟนแล้วแกแน่ใจแค่ไหนกับผู้หญิงที่แกเรียกว่าเป็นแฟนและแกนึกว่าฉันแล้วก็พ่อแม่จะยอมรับหรือยังไง”
ภูวพลหน้าหงิกหงอยเศร้าทันควัน
“ขอบอกว่าฉันไม่ยอมรับในฐานะฉันเป็นพี่ชายของแก แกต้องทำงานก่อน แล้วแกคิดว่าผู้หญิงคนนั้นดีแค่ไหน ถ้าไม่คิดจะจับแก”
“พี่ใหญ่อย่ามองคนอื่นในแง่ลบเลยน่า ผมรู้ดีว่าผมกำลังทำอะไร และผมกับเธอรักกัน และจะรักกันให้ได้ ถึงมีใครขวาง ผมก็ยอมที่จะออกไปอยู่ข้างนอก”
“นี่แกกำลังตาบอด เพราะผู้หญิงยังงั้นรึ ภูวพล”
“เรียกว่าความรักดีกว่า ผมกับเธอรักกัน และรักกันมาก”
“รักนะหรือ”พี่ชายยิ้มเยาะ
“แกพูดคำนี้ออกมาง่ายเกินไปแล้ว ถึงอย่างไรเรื่องนี้ แกต้องผ่านด่านหินอย่างมหาหินกับฉันและก็พ่อแม่มากที่สุด ให้ได้ก่อน ถ้าแกคิดแหกคอกทำอย่างนั้นแกก็ชนเลยซี ถ้าแกคิดจะมองไม่เห็นหัวใครในบ้านนี้ เพราะแกก็รู้ดีว่าคำตอบของพ่อแม่คืออะไร”
“แล้วผมจะอธิบายให้พ่อแม่เข้าใจเอง”
ภูวพลตอบเสียงหงุดหงิด
“งั้นฉันขอภาวนาให้พ่อแม่เห็นดีกับแกด้วย แต่แกก็รู้นี่ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าผู้หญิงที่ไม่เหมาะควร มีแต่ตัว แกคิดว่าพ่อกับแม่จะต้อนรับเข้าสู่วงศาคนาญาติหรือเปล่า หัดใช้สมองทบทวนดูบ้าง” เป็นเรื่องที่ภูวพลต้องอึ้ง เพราะอุปสรรคขวางทางรักยิ่งใหญ่
คุณภาสและนางภวานันท์คือคนที่ภูวพลเดินเข้าหาในช่วงสายของวันรุ่ง ขึ้นเนื่องจากคิดว่าทุกคนตื่นแล้ว พบว่าคุณภาสเองกำลังนั่งกินกาแฟพร้อมกับอ่านหนังสือพิมพ์ก่อนที่จะออกไปทำงา ส่วนมารดาก็วุ่นอยู่กับงานครัว
ถ้อยคำที่พี่ชายเอ่ย ทำให้ภูวพลจำต้องคิดมาก
มันลอยติดตามหัวสมองเขาจนถึงเช้าทีเดียว อย่างน้อยก็รู้ว่าคนที่ค้านในเรื่องความรักของเขามากที่สุดในเวลานี้ คือพี่ชายคนโตที่เขารักมากที่สุดเหมือนกัน
จอมภูเหมือนคนด้านชาต่อความรัก หากแต่พี่ชายใหญ่ก็ กลับทำเป็นไม่เข้าใจความรักของเขากับหล่อน
ฮึ เหตุผลที่รู้อยู่แก่ใจดีเพราะฐานะของมณีรัชดาต่ำต้อยกว่าเขา
เขาประคองมณีรัชดาเป็นความผูกพันลึกซึ้งยามอยู่ห่างไกลบ้าน มณีรัชดาคิดถึงพ่อแม่คิดถึงกรุงเทพ แต่แน่นอนละภาวะของหล่อนคือคนมีครรภ์อดฟุ้งซ่านไม่ได้และจอมภูพยายามทำดีกับหล่อนสารพัดทุกอย่าง ที่เขาแสนจะเอาใจ จนมณีรัชดายากที่จะปฏิเสธได้ หล่อนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้หากจอมภูถึงกับเสียสละทุกอย่าง บางทีทิฐิมันเหมือนกับน้ำกรดราดรดดวงใจตัวเองเหมือนกัน หล่อนครุ่นคิด แต่ถึงกระนั้น หล่อนก็ควรที่จะให้บทเรียนอันแสนจะเจ็บปวดให้เขาด้วยเหมือนกันจนกระทั่งมณีรัชดาคลอดบุตรที่โรงพยาบาลเป็นลูกสาวในอีกสามวันต่อมา ประเทศที่หล่อนอาศัยอยู่ณบัดนี้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว หนาวเหน็บจัดพร้อมด้วยหิมะโปรยปราย จอมภูพยายามใช้การกระทำของเขามากกว่าคำพูด ให้มันราดรดในดวงใจของหล่อนถึงความซื่อสัตย์และภักดีตลอดกาล เพื่อทดแทนสิ่งที่ผิดพลาด ณเสี้ยวหนึ่งของหัวใจหล่อนรับทราบแล้วว่า เขาเป็นคนที่ดีมากพอ แต่ในด้านเลวร้ายนั่นล่ะ ซาตานดีๆนี่เอง หล่อนจะไม่พยายามคิดในเมื่อความดีของเขาก็ราดรดลงไปในหัวใจของหล่อน ให้ความอบอุ่นดูแลลูกสาว ในฐานะของพ่อเกินที่มณีรัชดาจะท้วงหรือปราม เขาทำไปด้วยความสุจริตใจหล่อนรับรู้ตลอดเวลาที่มีเข
จนกระทั่งมณีรัชดาคลอดบุตรที่โรงพยาบาลเป็นลูกสาวในอีกสามวันต่อมา ประเทศที่หล่อนอาศัยอยู่ณบัดนี้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว หนาวเหน็บจัดพร้อมด้วยหิมะโปรยปราย จอมภูพยายามใช้การกระทำของเขามากกว่าคำพูด ให้มันราดรดในดวงใจของหล่อนถึงความซื่อสัตย์และภักดีตลอดกาล เพื่อทดแทนสิ่งที่ผิดพลาด ณเสี้ยวหนึ่งของหัวใจหล่อนรับทราบแล้วว่า เขาเป็นคนที่ดีมากพอ แต่ในด้านเลวร้ายนั่นล่ะ ซาตานดีๆนี่เอง หล่อนจะไม่พยายามคิด เมื่อเขาชี้แจงว่า “ผมมาจากเมืองไทยที่อยู่ทราบจากคุณรังสินัย” เมื่อเอ่ยอ้างถึงหลานชายของหล่อน ทำให้คุณนันทนิจรับทราบ “ผมมีปัญหาบางอย่างที่ต้องปรับใจกับณี” เขาเอ่ย ทำให้คุณนันทนิจเข้าใจทันที “มณีรัชดา” หล่อนอุทาน “ใช่ครับ ผมเป็นสามี เธอหนีจากผมมา” “หนีหรือคะ” “ผมขออนุญาตได้ไหม”เขาเอ่ยหลังจากที่ชี้แจง ไม่มีการบอกกล่าวมาล่วงหน้าเพื่อตรวจดูความผิดพลาด คุณนันทนิจขอตัวโทร.ทางไกลไปเมืองไทยเพื่อถามหลานชาย ได้รับคำตอบแบบเดียวกันคือ ยืนยันถึงความเป็นสามีของลูกจ้างสาว “ดิฉันไม่ทราบหรอกนะคะว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หลานชายต้องการพึ่งพา ให้พา
“เขาให้แม่มาไกล่เกลี่ยหรือไงคะ”มณีรัชดาเอ่ยโดยไม่ยอมเอ่ยชื่อเขา นางรัชนีถอนใจ กับลูกสาวที่เริ่มจะทิฐิขึ้นมา“นี่แม่นะนี่แม่ของแก จะดีจะชั่วยังไงก็ยอมรับว่าแกเป็นลูก” มณีรัชดากำลังทำใจอย่างหนัก การที่มารดามาที่นี่เหมือนท่านบุกเข้ามาหาหล่อนที่คอนโดไม่เคยมีใครทราบมาก่อน และเขาคนเดียวเท่านั้นที่พามา มันเป็นเรื่อง ที่ตัดสินใจลำบากทั้งเรื่องส่วนตัวเหตุผลอีกทั้งความรัก รวมทั้งความเจ็บแค้นที่ผสมผสานกันและความผิดของเขาเกิดขึ้นมานาน และสะสมสั่งเอาไว้พอกพูนจนมันเต็มไปด้วยอัตราของความแค้นที่เหมือนไฟเผาผลาญจู่ๆหล่อน จะมาอภัยให้เขาง่ายๆในสิ่งที่เขาทำกับหล่อนอย่างเจ็บปวด “แม่ไปถามผู้ชายคนที่เขาบอกที่อยู่ของหนูสิคะว่าเขาทำอะไรลงไปบ้าง” มณีรัชดากลับตอบไปอย่างนั้นทำให้รัชนีเงียบ และเริ่มเข้าใจถึงสภาพจิตใจของบุตรสาว “ถึงอย่างไรแม่ก็ไม่อยากให้แก หนีแม่ไปอีก อย่าไปเลยนะลูก เมืองนงเมืองนอก แม่ห่วง ไปดูหมอเขาทักไว้ว่า ลูกไม่ควรเดินทางออกไปต่างประเทศ อย่าขึ้นเครื่องบิน” มณีรัชดาตกใจอย่างมากที่สุดกับคำกล่าวของมารดาไม่เคยทราบด้วยว่า ท่านจะเอาดวงของหล่อนไปให้ห
ความจริงที่ว่าคือเขารักมณีรัชดาอย่างมาก ต้องการครองคู่ อยู่กับหล่อนตลอดไปในเส้นทางอนาคต ทำให้จอมภูต้องยิ้มออกมาเมื่อเห็นสีหน้าของมารดาคลายลงจากคำพูดที่น้องชายเอ่ยออกมาพร้อมแฟนสาวช่วยสนับสนุนในรักครั้งนี้ของเขา อีกทั้งช่วยแก้ต่าง ให้กับมณีรัชดา ภรรยาของเขาให้พ้นผิดด้วย เพราะภรรยาของเขานั้น หล่อนไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนกำลังกล่าวหาสักนิด หล่อนสะอาดและบริสุทธิ์เสมอ อย่างที่เขาเองก็นึกไม่ถึงเช่นกัน ในอดีตเขาเคยร่ำร้อง ที่จะเดียดฉันท์ โกรธอาฆาตแค้นหล่อนที่กลายเป็นนางแม่มดเจ้าเสน่ห์เพื่อหลอกล่อให้น้องชายของเขามาตกหลุมรักเพราะหวังในความสุขสบาย เพราะภูวพลมีฐานะร่ำรวยเป็นทายาท ของนักธุรกิจชื่อดังของเมืองไทย นี่คือความโง่เขลาอย่างมากที่สุดที่เขาได้ทำมา จนจอมภูอยากเขกหัวของตัวเอง ย้อนหลังกลับไปสองร้อยกว่าครั้งถึงจะสาสม กับความผิด และความโง่ของเขาด้วยซ้ำ เวลาเนิ่นนานที่เขามีอคติต่อหล่อน กลายเป็นคนที่โง่บรมโง่ เหลือเกิน ยอมรับว่าเขาหูตามืดมัวเพราะรักและห่วงน้องชาย คนเดียวที่กลัวจะตกเป็นเหยื่อและเป็นคำสั่งของมารดา ที่ท่านต้องการจะกีดกันทั้
“ทำไม?ผมถามคุณไม่ตอบล่ะว่าไปอยู่ที่ไหนและผมไม่ยอมให้คุณไปอยู่ที่ไหนอีกแล้วนะต้องอยู่กับผมตลอดไปจะต้องช่วยเลี้ยงลูกของเรา ให้เจริญเติบโตเป็นคนดี” “ฉันไปพักอยู่กับเพื่อนรุ่นที่ ที่เขาใจดีมากค่ะ เขาเป็นพี่ชายที่ฉันเคารพรักและมีบุญคุณเสมอมา” “แล้วเขาเป็นใครล่ะ” “เขาชื่อ คุณรังสินัยค่ะ” “คราวหลัง ถ้าผมได้เจอเขาแล้วนั้นผมจะขอบคุณเขาอย่างมากที่ช่วยดูแล เมียผมกับลูกผมให้ปลอดภัย” คราวนี้มณีรัชดาหันมามองเขาสายตาของหล่อนเงยขึ้น “คุณไม่ตะขิดตะขวงหรือยังไงคะที่ฉันไปอยู่อย่างนั้น” “คงไม่หรอก ผมรู้ว่า ผมนั้นทำผิดอะไร” จอมภูตอบเสียงนุ่มอย่างรู้ดีว่า เขาทำผิดอะไร “แล้ว ขอให้ผมได้ไถ่โทษความผิดครั้งนี้ด้วยการขอคุณแต่งงานได้ไหม ผมจะไม่รีรอเลยนะณีและต้องการให้เรื่องนี้เร็วที่สุด” มณีรัชดาถึงกับอึ้งที่เขาพูดเช่นนี้ยิ้มอย่างอายและเขิน “เอ้อ ค่ะ” “ผมดีใจที่คุณเข้าใจผมและเข้าใจความรู้สึกของเรา คงไม่โกรธใช่ไหม กับเรื่องที่ผ่านมา เอ้อที่ผมล่วงเกินคุณ ใครล่ะจะอดใจได้ ก็คุณสวยขนาดนั้น” จอมภูกระซิบพร่ำที่ริมกกหูของ
จอมภูจึงขับรถมุ่งตรงไปที่บ้านเช่าของเธอที่เคยอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับบิดามารดา และเขาเคยมาแล้วหนหนึ่งแต่ว่าไม่พบกับมณีรัชดาซึ่งบิดาและมารดาของเธอก็ไม่สามารถให้คำตอบเขาได้เช่นกัน เขามั่นใจว่ามณีรัชดาต้องอยู่ เพราะว่าเขารู้สึกไม่สบายใจเลยที่ทำแบบนี้กับหล่อน แม้แต่คาดคิดก็ตามและมณีรัชดาก็เช่นกัน เขาคิดว่าหล่อนคงจะเป็นเหมือนเขา ที่เป็นอย่างนี้เพราะเขาแน่ใจอย่างนั้นว่าเขารักหล่อนมาก มันไม่ใช่เรื่องที่หลอกลวง หรืออยากจะแก้แค้นหล่อน ความรักที่บริสุทธิ์นั้น ยากที่จะบอกได้ ซึ่งขับรถมุ่งตรงมาที่บางแค ก็ด้วยความหวัง ขณะเดียวกันนั้นมณีรัชดาลงจากรถแท็กซี่แล้วเดินเข้าไปในบ้าน ทำให้นางรัชนีกับนายมิ่งผู้เป็นบิดาต่างมองด้วยความตกใจและดีใจเช่นกันเมื่อได้มองเห็นชัดเจนว่า ลูกสาวตั้งท้อง จึงเป็นคำตอบที่ทราบดีว่าที่ลูกสาวหายไปจากบ้านเป็นเพราะสาเหตุนี้ นางรัชนีปรามผู้เป็นสามีและทั้งคู่ปรึกษากันว่าจะไม่ซักถามมณีรัชดาที่เพิ่งมาถึง เพราะกลัวว่าลูกสาวจะเตลิดไปไกลอีกนางรัชนีกับไพจิตรจึงพยายามพูดดีๆ “กลับมาแล้วเหรอเข้าไปพักผ่อนข้างในก่อนเถอะลูก มีอ