"พวกนั้นคงจะส่งคนตามมาแล้ว" เหวินซางกระซิบเบา ๆ
"รู้ดี" ลู่หยางตอบสั้น ๆ
"แต่พวกมันจะไม่มีทางหาเราเจอ"
จิ้นเหอหยุดยืนอยู่หน้าประตูไม้บานหนึ่ง เขาใช้กริชขนาดเล็กกรีดลงบนบานประตูอย่างรวดเร็ว กรีดเป็นลวดลายบางอย่างที่มองเห็นได้ยาก ประตูนั้นค่อย ๆ เลื่อนเปิดออก เผยให้เห็นทางเดินอีกสายหนึ่งที่ทอดลงไปสู่ใต้ดิน
"ไปกันเถอะ" จิ้นเหอเอ่ยชวน "นี่เป็นทางที่ใช้สำหรับหนีภัยฉุกเฉินเท่านั้น"
ลู่หยางพยักหน้า ก่อนจะก้าวเข้าไปในทางเดินใต้ดินพร้อมกับเซียวอวี้และเหวินซาง จิ้นเหอเดินปิดท้ายและปิดประตูอย่างรวดเร็ว ทางเดินใต้ดินมืดมิดจนมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากเงาร่างของกันและกัน กลิ่นดินและกลิ่นเหม็นอับคลุ้งไปทั่ว แต่ทุกคนก็ยังคงเดินไปอย่างไม่ลังเล
"ขอบคุณเจ้ามาก" เซียวอวี้เอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ "แต่ท่านไม่น่าเสี่ยงเลย"
"เป็นมิตรก็ต้องช่วยกัน" ลู่หยางตอบ "แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดคุย"
พวกเขาเดินไปตามทางเดินใต้ดินอย่างเงียบ ๆ อีกหลายนาที ก่อนที่จะมาถึงทางแยก ลู่หยางหยุดยืนแล้วหันมามองเซียวอวี้
"เราจะแยกกันตรงนี้" เขาบอก "จากนี้ไป ข้ากับเหวินซางจะพาเจ้าไปส่งที่ปลอดภัย"
เซียวอวี้พยักหน้า เขารู้ดีว่าหากไปด้วยกันทั้งหมด การหลบหนีจะยิ่งยากขึ้นไปอีก ลู่หยางเหลือบมองจิ้นเหอแล้วพยักหน้าให้
"ระวังตัวด้วย" ลู่หยางบอก
จิ้นเหอยิ้มรับ "เช่นกัน"
เซียวอวี้ก้าวตามลู่หยางเข้าไปในทางเดินใต้ดินที่มืดมิด เขาอยากรู้เหลือเกินว่าเหตุใดพ่อค้าหนุ่มผู้นี้จึงยอมเสี่ยงอันตรายเพื่อช่วยชีวิตเขา
"ข้าจำได้ว่าเจ้าไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใด" เซียวอวี้เอ่ยขึ้นในที่สุด "แต่เจ้ากลับมาช่วยข้า"
ลู่หยางชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อย "ท่านเคยบอกข้าว่า ไม่มีสิ่งใดในใต้หล้าที่ไร้ที่มา" เขาตอบ "ข้ากำลังมองหาเบาะแสบางอย่าง และเบาะแสที่สำคัญที่สุดนั้นอยู่กับท่าน"
เซียวอวี้ขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ "เบาะแสอะไร?"
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครนำเจ้ามาขายที่ตลาดมืดแห่งนี้”
คำถามของลู่หยางทำให้เซียวอวี้หยุดชะงัก สายตาที่เคยระแวดระวังถูกแทนที่ด้วยความตกใจอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้า... เจ้ากำลังหมายถึงอะไร?"
"ข้าหมายถึง 'การค้าทาส'" ลู่หยางตอบเสียงต่ำ "ในความมืดมิดของตลาดแห่งนี้ ไม่ได้มีแค่การค้าสมบัติล้ำค่า แต่ยังรวมถึงการซื้อขายผู้คนด้วย"
เซียวอวี้เงียบไป เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเขาเองจะถูกนำมาขายในฐานะทาส "ข้าไม่รู้... ข้าตื่นขึ้นมาก็อยู่ในห้องขังแล้ว"
"แต่เจ้าต้องจำได้ว่าใครเป็นคนจับกุมเจ้า" ลู่หยางยังคงจี้จุดต่อ "ผู้ที่จับกุมเจ้าไม่ได้นำตัวเจ้าไปประหารตามคำสั่ง แต่กลับนำเจ้ามาขายในที่แห่งนี้ นั่นหมายความว่าพวกเขามีแผนการบางอย่างที่ต้องการให้เจ้ายังมีชีวิตอยู่"
เซียวอวี้พยายามนึกย้อนถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น "ข้าจำได้เพียง... ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากสีทอง"
ลู่หยางขมวดคิ้ว "หน้ากากสีทอง"
"ใช่..." เซียวอวี้ตอบ "ข้าเคยเห็นหน้ากากนั้นมาก่อน... ในงานเลี้ยงวันประสูติของไทเฮา"
“เจ้าจะบอกว่าเรื่องนี้พัวพันกับราชสำนักงั้นหรือ”
“ข้าเองก็ยังไม่รู้แน่ชัด หากแต่ถ้าให้ข้าเดา เกรงว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังถ้าไม่ใช่ขุนนางก็อาจจะเป็นเชื้อพระวงศ์”
การคาดเดาของเซียวอวี้ทำให้ลู่หยางนิ่งไปครู่หนึ่ง สีหน้าของพ่อค้าหนุ่มฉายแววครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวพันกับใคร มันก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยแม้แต่น้อย
"ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าว่า..." ลู่หยางเอ่ยเสียงเบา "เรายิ่งต้องเร่งมือ"
พวกเขายังคงเดินหน้าต่อไปในความมืดมิดของทางเดินใต้ดิน บรรยากาศเงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้าของพวกเขาสองคนที่ดังก้องกังวาน ทุกก้าวเดินเต็มไปด้วยความระมัดระวังและความตึงเครียด
ในที่สุด ทางเดินก็สิ้นสุดลงด้วยบันไดหินที่ทอดสูงขึ้นไป ลู่หยางใช้มือสัมผัสผนังหินเบา ๆ ก่อนจะกดลงไปที่จุดหนึ่งอย่างชำนาญ พลังบางอย่างหมุนวนรอบผนัง ก่อนที่ผนังหินที่ดูแข็งแกร่งจะแยกออกจากกัน เผยให้เห็นทางออกที่ปกคลุมด้วยเถาวัลย์และใบไม้หนาทึบ
"เราจะออกไปตรงนี้" ลู่หยางบอก ขณะที่ก้าวเท้าออกไปสู่โลกภายนอก
เซียวอวี้ก้าวตามออกไป แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาทำให้เขาต้องหรี่ตาปรับสายตาเล็กน้อย พวกเขาอยู่ในสวนลับแห่งหนึ่งที่รายล้อมไปด้วยพุ่มไม้และต้นไม้ใหญ่ มองเห็นกำแพงเมืองที่สูงใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ไกล ๆ ลู่หยางพยักหน้าให้เหวินซางที่รออยู่ก่อนแล้ว เหวินซางเดินนำไปยังจุดที่ม้าสองตัวถูกเตรียมเอาไว้ ม้าสีดำสนิทตัวหนึ่งและม้าสีขาวอีกตัวหนึ่ง
"ข้ากับเหวินซางจะไปอีกทางหนึ่ง" ลู่หยางกล่าว พลางส่งบังเหียนม้าสีดำให้กับเซียวอวี้ "เจ้าควบม้าตัวนี้ไป อย่าได้หันกลับมา"
เซียวอวี้รับบังเหียนมาไว้ในมือ "แล้วเจ้าล่ะ"
"ข้ายังมีธุระที่ต้องสะสาง" ลู่หยางตอบอย่างมีเลศนัย "ถ้าเจ้าต้องการจะค้นหาความจริง จงมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ จะมีผู้คอยช่วยเหลือเจ้าอยู่ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งนอกเมือง"
เซียวอวี้รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของสหายเก่า เขาพยักหน้าด้วยความเข้าใจ ก่อนจะขึ้นควบม้า ลู่หยางยกมือขึ้นตบบ่าของเขาเบา ๆ
"ขอให้โชคดี" ลู่หยางเอ่ย
เซียวอวี้ควบม้าออกไปในความมืดมิดของยามค่ำคืน หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความหวังและความมุ่งมั่นที่จะไขปริศนาที่กำลังเกิดขึ้น เบื้องหลังการถูกจับกุมและการถูกนำมาขายเป็นทาสของเขา มีอะไรบางอย่างที่น่ากลัวกว่าที่เขาคิด และไม่ว่ามันจะเป็นอะไร เขาจะต้องหาคำตอบให้ได้
หลังจากที่เซียวอวี้จากไป ลู่หยางหันไปทางเหวินซาง เหวินซางยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก
"เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่ให้ข้าไปกับเขา" เหวินซางถาม
"ไม่ต้อง" ลู่หยางตอบเสียงเรียบ "คนที่จะช่วยเขาได้ก็คือตัวของเขาเอง"
"แล้วแผนของเราล่ะ"
ลู่หยางมองไปยังเส้นทางที่เซียวอวี้ควบม้าจากไป
"เราจะยังคงอยู่ที่นี่" เขาตอบ "จนกว่า 'ผู้เล่น' คนสำคัญจะปรากฏตัว"
เหวินซางพยักหน้าอย่างเข้าใจ พวกเขาทั้งสองไม่ได้เป็นเพียงแค่พ่อค้าหนุ่มและองครักษ์ แต่ยังเป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าใครในยามราตรีนี้ และเกมนี้เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น
"เจ้าต้องการให้ข้าส่งข่าวไปบอกจิ้นเหอหรือไม่" เหวินซางเอ่ยถาม
ลู่หยางส่ายหน้า "ยังไม่ใช่ตอนนี้ รอให้พวกมันเริ่มเคลื่อนไหวก่อน"
พริบตาต่อมา ทั้งลู่หยางและเหวินซางก็หายไปในเงามืดอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้เพียงความเงียบสงบของสวนลับที่ปกคลุมไปด้วยความมืดมิด
แสงจันทร์ลูบไล้ผ่านม่านเมฆ ส่องประกายลงมาบนยอดจวนเจ้าเมืองลั่วหยาง เงาสะท้อนบนกระเบื้องมุงหลังคาเย็นเยียบเหมือนจิตใจที่ถูกแช่แข็งของบุรุษผู้ยืนอยู่เพียงลำพังลู่หยางกำจดหมายของอวิ๋นซูไว้ในมือแน่น ตัวอักษรที่เขียนด้วยลายมืออ่อนหวานนั้นเลือนรางราวกับจะละลายหายไปทุกครั้งที่เขาเพ่งมอง แต่ยิ่งเลือนรางเท่าไร ความทรงจำของเขากลับยิ่งชัดเจนขึ้นเท่านั้นเขาหลับตาลง ภาพรอยยิ้มอ่อนโยนของอวิ๋นซูย้อนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับเสียงที่คุ้นเคย“หากวันหนึ่งเจ้าต้องเลือก จงอย่าเลือกด้วยความแค้น แต่จงเลือกด้วยหัวใจของเจ้า”คำสั่งเสียนี้ กัดกินวิญญาณของลู่หยางมาจนถึงยามนี้...กล่องหยกสลักรูปปลาหลีฮื้ออยู่ในมืออีกข้าง มันดูเงียบงามสงบ แต่ภายในกลับซ่อนแผนที่ที่เป็นต้นเหตุแห่งการนองเลือดทั่วแว่นแคว้น เขารู้ดีว่าไม่ว่าผู้ใดครอบครองมัน จะต้องเผชิญกับไฟสงครามที่ไม่อาจหลีกหนี“หากข้าเก็บมันไว้ ข้าจะถูกตามล่าไม่สิ้นสุด... หากข้าส่งต่อ มันจะเป็นชนวนสงครามที่ไม่รู้จบ” ลู่หยางพึมพำเขาเหลือเพียงทางเดียวใช้มันเป็นเครื่องมือตัดสินเกมที่ทุกฝ่ายต่างสวมหน้ากากอยู่เขาเรียกทหารคนสนิทที่เหลืออยู่ไม่กี่นาย มอบหมายให้กระจายข่าว
ในขณะที่เขาเริ่มสงสัยในแผนการของตนเอง เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังขึ้นหน้าจวนของเขา และคนที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหลี่เซียน สหายที่เขาเคยไว้ใจมากที่สุดในชีวิตหลี่เซียนสวมชุดอาภรณ์สีเข้มที่ดูสูงศักดิ์กว่าแต่ก่อนมาก บนใบหน้าของเขายังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้มที่เคยเป็นมิตร แต่ในรอยยิ้มนั้นกลับซ่อนความเยาะเย้ยไว้อย่างเห็นได้ชัด“เจ้าไม่ได้มาหาข้าตั้งนานแล้วนะ สหายของข้า” ลู่หยางเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“ก็ข้ากลัวว่าหากข้ามาแล้วเจ้าจะคิดถึงอวิ๋นซูขึ้นมาน่ะสิ” หลี่เซียนตอบด้วยน้ำเสียงที่หยอกล้อ แต่กลับเสียดแทงลู่หยางราวกับคมมีด“แต่ในที่สุดข้าก็อดรนทนไม่ไหว ข้าอยากจะมาแสดงความยินดีกับเจ้าด้วยตัวเองที่หาความจริงเกี่ยวกับแผนที่นั้นได้แล้ว”“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ลู่หยางถามด้วยความประหลาดใจ“เจ้าก็รู้ว่าข้าหมายถึงอะไร” หลี่เซียนหัวเราะในลำคอ “แผนที่ที่อยู่ในกล่องไม้สลักลายโบราณน่ะ”ลู่หยางต้องใช้สมาธิอย่างหนักเพื่อที่จะไม่แสดงความตกใจออกมาให้เห็น เขาเก็บกล่องไม้ไว้ในห้องส่วนตัวตลอดเวลา และไม่เคยมีใครรู้เรื่องนี้มาก่อน ยกเว้นเขาและเหวินซางในตอนนั้นเองที่ลู่หยางรู้สึกถึงความผ
ห้องของหลี่เซียนสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อยจนน่าประหลาดใจ ผิดวิสัยของคนทั่วไป เหวินซางไล่สายตาไปทั่วห้อง กระทั่งมาหยุดอยู่ที่ตู้ไม้ฉลุลายโบราณขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่มุมห้อง มันเป็นตู้ที่ดูธรรมดา แต่กลับมีกลไกซับซ้อนที่เหวินซางมองเห็นได้อย่างรวดเร็วเขาใช้ปลายดาบเคาะลงบนจุดที่ดูเหมือนจะเป็นสลักลับ สลักนั้นคลายออกและตู้ก็เปิดออก ภายในมีช่องลับซ่อนอยู่ และในนั้น... มีเพียง กล่องหยกสลักรูปปลาหลีฮื้อ วางอยู่โดดเดี่ยวหัวใจของเหวินซางกระตุกวูบ ความรู้สึกเลวร้ายถาโถมเข้ามาในอกทันที เขาหยิบกล่องหยกขึ้นมาสำรวจ มันเป็นกล่องหยกธรรมดา แต่ใต้ฝากล่องกลับมีกระดาษแผ่นหนึ่งซ่อนอยู่เขาคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกอย่างระมัดระวัง บนนั้นมีข้อความที่เขียนด้วยหมึกจางๆ ไม่กี่บรรทัด และเมื่อเขาอ่านจบ ร่างของเหวินซางก็แข็งทื่อราวกับถูกสาป ข้อความนั้นเป็นลายมือของอวิ๋นซู“ท่านพี่หลี่เซียน... ท่านเป็นคนที่ข้าไว้ใจที่สุด... ได้โปรดมอบแผนที่นี้คืนให้ข้าด้วยเถิด...”คำว่า “แผนที่นี้” ถูกขีดเส้นใต้ไว้หลายครั้งอย่างหนักหน่วง ราวกับต้องการเน้นย้ำถึงความสำคัญของมัน เหวินซางกำกระดาษแผ่นนั้นไว้ในมือแน่น เขาเข้าใจทุกอย่างในท
ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจเดินทางต่อไปยังแคว้นเป่ยหลานเพื่อหาพันธมิตรและเปิดเผยแผนการของเซี่ยหมิงต่อโลกภายนอก ในที่สุดอวิ๋นซูและหลี่เซียนก็มาถึงเมืองหลวงของแคว้นเป่ยหลาน พวกเขาเข้าไปขอเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้เป่ยหลานเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย“เราไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในของแคว้นอื่นได้” องค์ฮ่องเต้ตรัสอย่างเย็นชา“พวกเจ้ากลับไปเถิด”อวิ๋นซูสิ้นหวัง แต่หลี่เซียนกลับมองเห็นหนทางอื่น “ฝ่าบาท...มีบุรุษผู้หนึ่งนามว่าเซี่ยหมิง...เขาคือผู้ที่ทำให้ซงหนูเกิดสงครามกลางเมือง...และตอนนี้เขาก็กำลังสร้างปัญหาให้กับแคว้นเป่ยหลานด้วย”องค์ฮ่องเต้หันมามองหลี่เซียนด้วยความสนใจ “เจ้าว่าอย่างไรนะ? เซี่ยหมิงรึ?”“พ่ะย่ะค่ะ” หลี่เซียนตอบ“ข้าได้สืบรู้มาว่าเซี่ยหมิงคือคนสนิทของท่านแม่ทัพใหญ่ และเขากำลังวางแผนที่จะโค่นล้มราชบัลลังก์ของฝ่าบาทด้วยการใช้พลังของท่านแม่ทัพ”องค์ฮ่องเต้ทรงตกตะลึงกับคำพูดของหลี่เซียนและเริ่มตระหนักถึงภัยคุกคามที่ซ่อนอยู่ภายในราชสำนักของพระองค์เอง พระองค์จึงตัดสินใจให้หลี่เซียนและอวิ๋นซูอยู่ที่วังเพื่อรวบรวมหลักฐานเพื่อเปิดโปงเซี่ยหมิงอวิ๋นซูและหลี่เซียนใช้เว
หลายปีก่อน แคว้นซงหนูตั้งอยู่ทางเหนือประสบกับความระส่ำระสายไม่ต่างจากใบไม้ร่วงหล่นท่ามกลางลมหนาวที่พัดพาความเหี่ยวเฉามาถึง ราชสำนักที่เคยเป็นศูนย์รวมอำนาจและเอกภาพแตกออกเป็นสองเสี่ยงอย่างมิอาจประสานได้ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนองค์หญิงใหญ่ซูเหยียนผู้เปี่ยมด้วยความทะเยอทะยานและเหี้ยมหาญ ดุจเดียวกับพญาอินทรีผู้พร้อมจะจิกกระชากทุกอย่างที่ขวางทางสู่บัลลังก์ อีกฝ่ายยืนข้างองค์หญิงรองอวิ๋นซูผู้อ่อนโยนและรักความสงบราวกับหยาดน้ำค้างยามเช้าที่โหยหาเพียงความสงบสุขของผืนป่าความขัดแย้งที่เคยเป็นเพียงรอยร้าวเล็ก ๆ ในที่สุดก็ปะทุขึ้นกลายเป็นสงครามกลางเมือง เลือดและไฟแผดเผาเมืองหลวงจนสิ้นซากซูเหยียนเลือกที่จะเผชิญหน้ากับความโกลาหลด้วยพลังและความเด็ดขาด นางใช้กลยุทธ์อันซับซ้อนและกำลังพลอันเกรียงไกร เพื่อรักษาอำนาจของตนไว้ดุจเดียวกับพยัคฆ์ที่ปกป้องดินแดนของมัน ทุกย่างก้าวของนางคือการแสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดและความเฉียบคมในการเป็นผู้นำในทางกลับกัน อวิ๋นซูไม่อาจทนเห็นราษฎรต้องตกอยู่ในห้วงเพลิงสงคราม นางแอบลอบพาเหล่าข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และเอกสารลับสำคัญบางส่วนออกจากเมืองไปในยามวิกาลท่ามกลางความมืดมิดการหลบ
ในที่สุดการเดินทางอันแสนยาวนานก็สิ้นสุดลง เบื้องหน้าคือประตูไม้ขนาดใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่ของวัดไท่ฝู ลู่หยางกับเหวินซางยืนอยู่เบื้องล่างของบันไดหินที่ทอดยาวขึ้นไปสู่ยอดเขา หมอกยามเช้าปกคลุมรอบบริเวณ ทำให้บรรยากาศดูยิ่งใหญ่และลึกลับกว่าที่คิด“ดูเหมือนว่าความลับจะไม่ยอมเปิดเผยตัวตนง่าย ๆ นะ” เหวินซางเอ่ยขึ้น สายตาจับจ้องไปที่ประตูไม้ที่ปิดสนิทลู่หยางไม่ตอบ เพียงแต่ก้าวเท้าขึ้นบันไดอย่างไม่ลังเล เขารู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่แผ่ออกมาจากวัดแห่งนี้ มันไม่ใช่พลังงานที่ชั่วร้าย แต่เป็นความรู้สึกสงบที่ซ่อนเร้นความยิ่งใหญ่เอาไว้เมื่อมาถึงลานกว้างหน้าประตู เสียงระฆังก็ดังกังวานขึ้นเป็นจังหวะเนิบช้าและหนักแน่น ประตูไม้เปิดออกเองโดยไร้ผู้คน ปรากฏร่างของพระรูปหนึ่งยืนรออยู่ภายใน ลมพัดผ่านมาเบา ๆ คลอไปกับกลิ่นกำยานจาง ๆพระรูปนั้นมีอายุมากแล้ว ใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลาแต่แววตากลับสดใสและเต็มไปด้วยปัญญา ท่านยิ้มให้ลู่หยางอย่างคุ้นเคย ราวกับรู้ว่าเขาจะมาถึง“ในที่สุดเจ้าก็มาถึง ผู้ที่ตามหาความจริงแห่งสายน้ำจิ้นเหอ” พระรูปนั้นกล่าวทักทาย เสียงของท่านสงบแต่ก้องกังวานในความรู้สึกลู่หยาง