เสียง “แปดร้อยตำลึง!” ของชายหน้ากากหยกยังดังก้องสะท้อนอยู่ในโถงคลังกำยาน ราวกับฟ้าผ่าลงกลางอกผู้คน ทุกสายตาหันไปจับจ้อง แต่ชายคนนั้นกลับนั่งนิ่งเหมือนน้ำแข็ง ไม่แม้แต่จะเหลือบมองรอบด้าน
ลู่หยางขบกรามแน่น ร่างทั้งร่างเหมือนถูกพันธนาการด้วยความกดดัน แต่ในหัวใจกลับโหมไฟลุกโชน แปดร้อยตำลึง...เป็นเพียงจุดเริ่มต้น หากเขาได้แม่ทัพไปจริง เมืองหลวงจะเปลี่ยนสีในชั่วข้ามคืน
เสียงประมูลเริ่มเบาลง ผู้คนลังเลจะสู้ต่อ ราคาสูงเกินกว่าที่พ่อค้าทั่วไปจะรับได้ เหลือเพียงชนชั้นสูงและกลุ่มอำนาจที่ยังคงจ้องเขม็ง
จิ้นเหอเอ่ยเสียงต่ำ “เจ้าจะลงสนามหรือไม่”
ลู่หยางหลับตาชั่วครู่ สูดหายใจเข้าลึก เขารู้ดีว่าหากก้าวลงไปในเกมนี้ จะไม่เหลือที่ว่างให้ถอย แต่หากไม่ทำ...อนาคตอาจต้องจมอยู่ในหายนะ
เขาเปิดเปลือกตาอีกครั้ง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มทอประกายแน่วแน่ ข้าคือผู้ที่จะหยุดยั้งหายนะนี้
“เก้าร้อยตำลึง!” เสียงลู่หยางดังขึ้นหนักแน่น
ทันทีที่คำประกาศสิ้นสุด ทั้งห้องคลังก็แตกตื่น เงาหลายคู่หันขวับมามอง ลมหายใจในห้องชะงักงันราวกับเวลาได้หยุดลงในเสี้ยววินาที
เหวินซางหน้าเปลี่ยนสี รีบเอามือกดแขนเสื้อเขาเบา ๆ “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!” แต่ลู่หยางเพียงส่ายหัวช้า ๆ
ชายหน้ากากหยกเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเย็นเยียบหลังหน้ากากสบประสานกับสายตาของลู่หยาง สายตานั้นเต็มไปด้วยแรงกดดันแผ่ว ๆ เหมือนเสือที่มองเหยื่อ แต่ลู่หยางกลับไม่หลบเลี่ยง เขายืดอกแนบแน่น สบตาตรงอย่างไม่เกรงกลัว
เสียงผู้ดำเนินการประมูลดังขึ้นเร่งเร้า “เก้าร้อยตำลึง! มีใครให้มากกว่านี้หรือไม่!”
ห้องทั้งห้องเงียบลง ทุกคนจับตารอท่าทีของชายหน้ากากหยก
เพียงชั่วอึดใจ เสียงเย็นต่ำก็ดังขึ้น “...หนึ่งพันตำลึง”
คลื่นเสียงฮือฮาดังก้องราวกับพายุถาโถม ทุกคนแทบไม่เชื่อหูตนเอง ตัวเลขนี้มากกว่าค่าตัวแม่ทัพในสนามรบหลายเท่า!
ลู่หยางกำมือแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นบนแขน เขารู้ว่าการดื้อสู้ต่อไปจะเปิดเผยฐานะและเป้าหมาย แต่หากยอมถอยตอนนี้ ชายหนุ่มผู้เป็นอดีตแม่ทัพจะถูกกลืนไปในเงามืด
“หนึ่งพันหนึ่งร้อยตำลึง!” เขาประกาศออกมาโดยไม่ลังเล เสียงนั้นดังหนักแน่นชัดเจนจนสะท้อนก้องไปทั่วห้อง
คนทั้งห้องตะลึงงัน หลายสายตาเริ่มจับจ้องเขาอย่างจริงจังแล้ว บางสายตามีความสงสัย บางสายตากลับแฝงร่องรอยเกรงกลัว
ชายหน้ากากหยกยังคงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยช้า ๆ “เจ้ากล้าดี... แต่ข้าจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หนึ่งพันสองร้อยตำลึง”
การดวลเชิงตัวเลขดำเนินไปเหมือนการประลองดาบ ทุกคำที่เอ่ยออกมาคือการฟาดฟันในเงามืด ลู่หยางรู้ว่าหากไม่วางกลยุทธ์ เขาจะถูกบดขยี้ด้วยอำนาจเงินตราที่เหนือกว่า
เขากัดฟัน เอ่ยเสียงดัง “หนึ่งพันสามร้อยตำลึง! และข้าขอเพิ่มเงื่อนไขข้าจะจ่ายเป็นเงินสดในทันที!”
เสียงอุทานดังระงม เงาของเหล่าพ่อค้าโงนเงนไปมาอย่างตกใจ เงินสดจำนวนมหาศาลเช่นนั้นไม่ใช่ว่าใครจะหยิบออกมาได้ง่าย ๆ
ผู้ดำเนินการถึงกับชะงักไปชั่วขณะ ก่อนหันมามองชายหน้ากากเหยี่ยวที่ยืนอยู่ด้านบนเพื่อขอคำตอบ ชายคนนั้นเพียงพยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงอนุญาต
ชายหน้ากากหยกยังคงเงียบงัน ราวกับชั่งใจระหว่างการสู้ต่อหรือการถอย ลู่หยางใช้จังหวะนั้นก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าวเต็มเท้า เสียงรองเท้าหนังทาบลงบนพื้นไม้ดังก้อง ตึก!
“หนึ่งพันสามร้อยตำลึง ข้าซื้อ!” เขาประกาศชัดถ้อยชัดคำ
ห้องทั้งห้องระเบิดออกด้วยเสียงฮือฮา ทุกสายตาจับจ้องลู่หยางในคราบพ่อค้าผู้เงียบขรึม แต่บัดนี้กลับเผยร่องรอยความองอาจดุดันออกมา
ชายหน้ากากหยกแค่นหัวเราะเบา ๆ เสียงนั้นเย็นยะเยือก “เจ้าช่างกล้า... ข้าจะจำเจ้าไว้”
เสียงเคาะโลหะดังขึ้นอีกครั้ง เป็นสัญญาณปิดประมูล “หนึ่งพันสามร้อยตำลึง! ขาย!”
ลู่หยางหายใจออกแรง ความกดดันที่ถาโถมในอกคลายลงเล็กน้อย แต่เขารู้ดีว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ความวุ่นวายหลังจากนี้ต่างหากที่จะเป็นบททดสอบที่แท้จริง
แม่ทัพหนุ่มถูกนำตัวลงจากแท่น เสียงโซ่ตรวนลากไปตามพื้นดังเอี๊ยด ๆ แต่ดวงตาของเขายังส่องประกายคมดุจมีดมองตรงมาที่ลู่หยาง ราวกับจะถามว่า เหตุใดเขาถึงยื่นมือช่วย
ลู่หยางเดินเข้าไปหาแม่ทัพหนุ่มที่ถูกคุมตัวอยู่ สองชายฉกรรจ์ที่ประกบอยู่ข้างๆ โน้มตัวลงกระซิบอะไรบางอย่างกับชายสวมหน้ากากเหยี่ยวที่ยืนอยู่บนแท่น ลู่หยางรู้ดีว่าพวกนั้นคงกำลังตรวจสอบประวัติของเขาอย่างลับ ๆ แต่เขากลับไม่สะทกสะท้าน ยังคงเดินตรงไปหาเป้าหมายอย่างมั่นคง
“เจ้าเป็นใคร?” แม่ทัพหนุ่มถามเสียงเรียบแต่แฝงความระแวง ดวงตาคมกริบจ้องมองลู่หยางอย่างสำรวจ ตั้งแต่หัวจรดเท้า
ลู่หยางไม่ได้ตอบคำถามนั้นในทันที เขายืนนิ่งอยู่หน้าแม่ทัพหนุ่ม ก้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อมองให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ในระยะประชิด ใบหน้าที่เปื้อนเลือดและฝุ่นของชายหนุ่มกลับไม่สามารถบดบังรัศมีของอดีตแม่ทัพผู้เกรียงไกรได้เลย ลู่หยางถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ต่างจากท่าทางของพ่อค้า
“ข้าคือคนที่เคยดื่มสุราใต้ดวงจันทร์กับท่าน ในคืนที่หิมะตกบนภูเขาเซียงซาน”
แม่ทัพเซียวอวี้เงยหน้ามองลู่หยางด้วยแววตาประหลาดใจระคนไม่เชื่อ "ลู่หยาง..." เขาเอ่ยชื่อนั้นแผ่วเบา ราวกับกำลังพิสูจน์ความจริงในฝัน
"เป็นข้าเอง" ลู่หยางรับคำด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้จิ้นเหอที่ยืนอยู่ไม่ไกล จิ้นเหอเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับซองหนังขนาดเล็ก เขายื่นซองนั้นให้กับลู่หยางอย่างเงียบ ๆ
ลู่หยางรับซองมา ก่อนจะโยนมันไปให้ผู้ดูแลการประมูล ผู้ดูแลการประมูลรับซองมาเปิดออก ดวงตาเบิกกว้างทันทีเมื่อเห็นเงินตราที่อัดแน่นอยู่ข้างใน เขารีบก้มหัวให้ลู่หยางอย่างนอบน้อม "เงินครบถ้วนขอรับ!"
เหวินซางเดินเข้ามาใกล้ลู่หยางมากขึ้น "ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนแล้ว" เขาเอ่ยเสียงต่ำ
"ยังไม่แน่" ลู่หยางตอบ "ในสถานที่แบบนี้ ไม่มีสิ่งใดเป็นไปตามแผนง่าย ๆ" เขาพูดพลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง เขารู้ดีว่าสายตาหลายคู่ยังคงจับจ้องมาที่พวกเขา โดยเฉพาะชายสวมหน้ากากหยกที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ในมุมห้อง
"จงปลดตรวนให้เขา" ลู่หยางสั่งเสียงเรียบ
ผู้ดูแลการประมูลรีบทำตามคำสั่ง เขาใช้กุญแจทองเหลืองดอกใหญ่ปลดตรวนที่พันธนาการแขนขาของแม่ทัพหนุ่มออกอย่างรวดเร็ว เสียงโลหะกระทบกันดังก้องกังวาน ก่อนที่เซียวอวี้จะกลับมาเป็นอิสระ
"ไปเถอะ" ลู่หยางหันมาบอกเซียวอวี้ "ตามข้ามา"
เซียวอวี้พยักหน้าเล็กน้อย เขาก้าวเดินตามลู่หยางไปอย่างเงียบ ๆ แม้จะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด แต่เขาก็เชื่อมั่นในตัวสหายเก่า
ลู่หยาง จิ้นเหอ และเหวินซาง เดินนำทางเซียวอวี้ออกจากห้องประมูล พวกเขาเดินลัดเลาะไปตามทางเดินลับที่ทอดยาวราวกับเขาวงกต ทุกย่างก้าวยังคงเต็มไปด้วยความระมัดระวัง แม้จะออกมาจากห้องที่เต็มไปด้วยผู้คนแล้ว แต่บรรยากาศโดยรอบกลับยิ่งกดดันมากขึ้น
แสงจันทร์ลูบไล้ผ่านม่านเมฆ ส่องประกายลงมาบนยอดจวนเจ้าเมืองลั่วหยาง เงาสะท้อนบนกระเบื้องมุงหลังคาเย็นเยียบเหมือนจิตใจที่ถูกแช่แข็งของบุรุษผู้ยืนอยู่เพียงลำพังลู่หยางกำจดหมายของอวิ๋นซูไว้ในมือแน่น ตัวอักษรที่เขียนด้วยลายมืออ่อนหวานนั้นเลือนรางราวกับจะละลายหายไปทุกครั้งที่เขาเพ่งมอง แต่ยิ่งเลือนรางเท่าไร ความทรงจำของเขากลับยิ่งชัดเจนขึ้นเท่านั้นเขาหลับตาลง ภาพรอยยิ้มอ่อนโยนของอวิ๋นซูย้อนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับเสียงที่คุ้นเคย“หากวันหนึ่งเจ้าต้องเลือก จงอย่าเลือกด้วยความแค้น แต่จงเลือกด้วยหัวใจของเจ้า”คำสั่งเสียนี้ กัดกินวิญญาณของลู่หยางมาจนถึงยามนี้...กล่องหยกสลักรูปปลาหลีฮื้ออยู่ในมืออีกข้าง มันดูเงียบงามสงบ แต่ภายในกลับซ่อนแผนที่ที่เป็นต้นเหตุแห่งการนองเลือดทั่วแว่นแคว้น เขารู้ดีว่าไม่ว่าผู้ใดครอบครองมัน จะต้องเผชิญกับไฟสงครามที่ไม่อาจหลีกหนี“หากข้าเก็บมันไว้ ข้าจะถูกตามล่าไม่สิ้นสุด... หากข้าส่งต่อ มันจะเป็นชนวนสงครามที่ไม่รู้จบ” ลู่หยางพึมพำเขาเหลือเพียงทางเดียวใช้มันเป็นเครื่องมือตัดสินเกมที่ทุกฝ่ายต่างสวมหน้ากากอยู่เขาเรียกทหารคนสนิทที่เหลืออยู่ไม่กี่นาย มอบหมายให้กระจายข่าว
ในขณะที่เขาเริ่มสงสัยในแผนการของตนเอง เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังขึ้นหน้าจวนของเขา และคนที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหลี่เซียน สหายที่เขาเคยไว้ใจมากที่สุดในชีวิตหลี่เซียนสวมชุดอาภรณ์สีเข้มที่ดูสูงศักดิ์กว่าแต่ก่อนมาก บนใบหน้าของเขายังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้มที่เคยเป็นมิตร แต่ในรอยยิ้มนั้นกลับซ่อนความเยาะเย้ยไว้อย่างเห็นได้ชัด“เจ้าไม่ได้มาหาข้าตั้งนานแล้วนะ สหายของข้า” ลู่หยางเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“ก็ข้ากลัวว่าหากข้ามาแล้วเจ้าจะคิดถึงอวิ๋นซูขึ้นมาน่ะสิ” หลี่เซียนตอบด้วยน้ำเสียงที่หยอกล้อ แต่กลับเสียดแทงลู่หยางราวกับคมมีด“แต่ในที่สุดข้าก็อดรนทนไม่ไหว ข้าอยากจะมาแสดงความยินดีกับเจ้าด้วยตัวเองที่หาความจริงเกี่ยวกับแผนที่นั้นได้แล้ว”“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ลู่หยางถามด้วยความประหลาดใจ“เจ้าก็รู้ว่าข้าหมายถึงอะไร” หลี่เซียนหัวเราะในลำคอ “แผนที่ที่อยู่ในกล่องไม้สลักลายโบราณน่ะ”ลู่หยางต้องใช้สมาธิอย่างหนักเพื่อที่จะไม่แสดงความตกใจออกมาให้เห็น เขาเก็บกล่องไม้ไว้ในห้องส่วนตัวตลอดเวลา และไม่เคยมีใครรู้เรื่องนี้มาก่อน ยกเว้นเขาและเหวินซางในตอนนั้นเองที่ลู่หยางรู้สึกถึงความผ
ห้องของหลี่เซียนสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อยจนน่าประหลาดใจ ผิดวิสัยของคนทั่วไป เหวินซางไล่สายตาไปทั่วห้อง กระทั่งมาหยุดอยู่ที่ตู้ไม้ฉลุลายโบราณขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่มุมห้อง มันเป็นตู้ที่ดูธรรมดา แต่กลับมีกลไกซับซ้อนที่เหวินซางมองเห็นได้อย่างรวดเร็วเขาใช้ปลายดาบเคาะลงบนจุดที่ดูเหมือนจะเป็นสลักลับ สลักนั้นคลายออกและตู้ก็เปิดออก ภายในมีช่องลับซ่อนอยู่ และในนั้น... มีเพียง กล่องหยกสลักรูปปลาหลีฮื้อ วางอยู่โดดเดี่ยวหัวใจของเหวินซางกระตุกวูบ ความรู้สึกเลวร้ายถาโถมเข้ามาในอกทันที เขาหยิบกล่องหยกขึ้นมาสำรวจ มันเป็นกล่องหยกธรรมดา แต่ใต้ฝากล่องกลับมีกระดาษแผ่นหนึ่งซ่อนอยู่เขาคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกอย่างระมัดระวัง บนนั้นมีข้อความที่เขียนด้วยหมึกจางๆ ไม่กี่บรรทัด และเมื่อเขาอ่านจบ ร่างของเหวินซางก็แข็งทื่อราวกับถูกสาป ข้อความนั้นเป็นลายมือของอวิ๋นซู“ท่านพี่หลี่เซียน... ท่านเป็นคนที่ข้าไว้ใจที่สุด... ได้โปรดมอบแผนที่นี้คืนให้ข้าด้วยเถิด...”คำว่า “แผนที่นี้” ถูกขีดเส้นใต้ไว้หลายครั้งอย่างหนักหน่วง ราวกับต้องการเน้นย้ำถึงความสำคัญของมัน เหวินซางกำกระดาษแผ่นนั้นไว้ในมือแน่น เขาเข้าใจทุกอย่างในท
ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจเดินทางต่อไปยังแคว้นเป่ยหลานเพื่อหาพันธมิตรและเปิดเผยแผนการของเซี่ยหมิงต่อโลกภายนอก ในที่สุดอวิ๋นซูและหลี่เซียนก็มาถึงเมืองหลวงของแคว้นเป่ยหลาน พวกเขาเข้าไปขอเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้เป่ยหลานเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย“เราไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในของแคว้นอื่นได้” องค์ฮ่องเต้ตรัสอย่างเย็นชา“พวกเจ้ากลับไปเถิด”อวิ๋นซูสิ้นหวัง แต่หลี่เซียนกลับมองเห็นหนทางอื่น “ฝ่าบาท...มีบุรุษผู้หนึ่งนามว่าเซี่ยหมิง...เขาคือผู้ที่ทำให้ซงหนูเกิดสงครามกลางเมือง...และตอนนี้เขาก็กำลังสร้างปัญหาให้กับแคว้นเป่ยหลานด้วย”องค์ฮ่องเต้หันมามองหลี่เซียนด้วยความสนใจ “เจ้าว่าอย่างไรนะ? เซี่ยหมิงรึ?”“พ่ะย่ะค่ะ” หลี่เซียนตอบ“ข้าได้สืบรู้มาว่าเซี่ยหมิงคือคนสนิทของท่านแม่ทัพใหญ่ และเขากำลังวางแผนที่จะโค่นล้มราชบัลลังก์ของฝ่าบาทด้วยการใช้พลังของท่านแม่ทัพ”องค์ฮ่องเต้ทรงตกตะลึงกับคำพูดของหลี่เซียนและเริ่มตระหนักถึงภัยคุกคามที่ซ่อนอยู่ภายในราชสำนักของพระองค์เอง พระองค์จึงตัดสินใจให้หลี่เซียนและอวิ๋นซูอยู่ที่วังเพื่อรวบรวมหลักฐานเพื่อเปิดโปงเซี่ยหมิงอวิ๋นซูและหลี่เซียนใช้เว
หลายปีก่อน แคว้นซงหนูตั้งอยู่ทางเหนือประสบกับความระส่ำระสายไม่ต่างจากใบไม้ร่วงหล่นท่ามกลางลมหนาวที่พัดพาความเหี่ยวเฉามาถึง ราชสำนักที่เคยเป็นศูนย์รวมอำนาจและเอกภาพแตกออกเป็นสองเสี่ยงอย่างมิอาจประสานได้ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนองค์หญิงใหญ่ซูเหยียนผู้เปี่ยมด้วยความทะเยอทะยานและเหี้ยมหาญ ดุจเดียวกับพญาอินทรีผู้พร้อมจะจิกกระชากทุกอย่างที่ขวางทางสู่บัลลังก์ อีกฝ่ายยืนข้างองค์หญิงรองอวิ๋นซูผู้อ่อนโยนและรักความสงบราวกับหยาดน้ำค้างยามเช้าที่โหยหาเพียงความสงบสุขของผืนป่าความขัดแย้งที่เคยเป็นเพียงรอยร้าวเล็ก ๆ ในที่สุดก็ปะทุขึ้นกลายเป็นสงครามกลางเมือง เลือดและไฟแผดเผาเมืองหลวงจนสิ้นซากซูเหยียนเลือกที่จะเผชิญหน้ากับความโกลาหลด้วยพลังและความเด็ดขาด นางใช้กลยุทธ์อันซับซ้อนและกำลังพลอันเกรียงไกร เพื่อรักษาอำนาจของตนไว้ดุจเดียวกับพยัคฆ์ที่ปกป้องดินแดนของมัน ทุกย่างก้าวของนางคือการแสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดและความเฉียบคมในการเป็นผู้นำในทางกลับกัน อวิ๋นซูไม่อาจทนเห็นราษฎรต้องตกอยู่ในห้วงเพลิงสงคราม นางแอบลอบพาเหล่าข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และเอกสารลับสำคัญบางส่วนออกจากเมืองไปในยามวิกาลท่ามกลางความมืดมิดการหลบ
ในที่สุดการเดินทางอันแสนยาวนานก็สิ้นสุดลง เบื้องหน้าคือประตูไม้ขนาดใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่ของวัดไท่ฝู ลู่หยางกับเหวินซางยืนอยู่เบื้องล่างของบันไดหินที่ทอดยาวขึ้นไปสู่ยอดเขา หมอกยามเช้าปกคลุมรอบบริเวณ ทำให้บรรยากาศดูยิ่งใหญ่และลึกลับกว่าที่คิด“ดูเหมือนว่าความลับจะไม่ยอมเปิดเผยตัวตนง่าย ๆ นะ” เหวินซางเอ่ยขึ้น สายตาจับจ้องไปที่ประตูไม้ที่ปิดสนิทลู่หยางไม่ตอบ เพียงแต่ก้าวเท้าขึ้นบันไดอย่างไม่ลังเล เขารู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่แผ่ออกมาจากวัดแห่งนี้ มันไม่ใช่พลังงานที่ชั่วร้าย แต่เป็นความรู้สึกสงบที่ซ่อนเร้นความยิ่งใหญ่เอาไว้เมื่อมาถึงลานกว้างหน้าประตู เสียงระฆังก็ดังกังวานขึ้นเป็นจังหวะเนิบช้าและหนักแน่น ประตูไม้เปิดออกเองโดยไร้ผู้คน ปรากฏร่างของพระรูปหนึ่งยืนรออยู่ภายใน ลมพัดผ่านมาเบา ๆ คลอไปกับกลิ่นกำยานจาง ๆพระรูปนั้นมีอายุมากแล้ว ใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลาแต่แววตากลับสดใสและเต็มไปด้วยปัญญา ท่านยิ้มให้ลู่หยางอย่างคุ้นเคย ราวกับรู้ว่าเขาจะมาถึง“ในที่สุดเจ้าก็มาถึง ผู้ที่ตามหาความจริงแห่งสายน้ำจิ้นเหอ” พระรูปนั้นกล่าวทักทาย เสียงของท่านสงบแต่ก้องกังวานในความรู้สึกลู่หยาง