กลางหุบเขาเล็ก ๆ ในเขตตะวันตกเฉียงเหนือ มีหมู่บ้านห่างไกลความเจริญชื่อว่า หมู่บ้านชิงอวิ๋น
นั่นคือบ้านเกิดของ อวิ๋นซู เด็กหญิงที่สูญเสียบิดามารดาตั้งแต่อายุเพียงแปดขวบ พ่อแม่ตายเพราะโรคระบาด เหลือเพียงพี่สาว ซูเหยียน เป็นผู้ดูแล
ตั้งแต่เล็ก อวิ๋นซูต้องช่วยพี่สาวทอผ้า ทำอาหาร และหาสมุนไพรบนเขา นางเป็นเด็กเงียบ ๆ แต่จิตใจดีงาม นางเคยบอกพี่สาวเสมอว่าอยากเรียนหมอเพื่อช่วยคนในหมู่บ้าน
“ซูเอ๋อร์” ซูเหยียนเอ่ยเสียงนุ่ม “ข้ารู้เจ้าชอบขึ้นเขาเก็บสมุนไพร แต่ข้าขอ...อย่าไปไกลนักได้หรือไม่”
“ข้ารู้เจ้าค่ะพี่เหยียน” อวิ๋นซูยิ้มบาง “แต่ถ้าไม่ไปลึกหน่อย สมุนไพรที่ต้องใช้ก็หาไม่ได้”
ซูเหยียนถอนหายใจ “เจ้าช่วยหมอหลวงในหมู่บ้านจนคล่องแล้ว แต่ก็อย่าเสี่ยงอันตรายมากนัก เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่ห่วงเจ้าแค่ไหน”
อวิ๋นซูเงยหน้ามองพี่สาว ดวงตากลมใสทอประกายจริงจัง “ข้าจะระวังตัว ข้าสัญญา”
“เช่นนั้นก็ดี เจ้ารีบไปเถิดประเดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อน”
“เจ้าค่ะ ข้าไปแล้วนะเจ้าคะ พี่เหยียน” อวิ๋นซูบอกลาพลางโบกมือ ขณะมุ่งหน้าเข้าป่าลึก
แสงอาทิตย์รำไรยามเย็นส่องผ่านยอดไม้ลงมายังเส้นทางที่นางเดินผ่าน อวิ๋นซูเดินลัดเลาะไปตามทางเดินแคบ ๆ ที่ปกคลุมไปด้วยใบไม้แห้ง ก่อนจะถึงเนินเขาที่นางจำได้ว่ามีต้นโสมป่าซึ่งมีสรรพคุณสูงขึ้นอยู่ หากแต่ยังไม่ทันที่จะเข้าใกล้ ก็มีเสียงครวญครางของชายคนหนึ่งดังมาจากพุ่มไม้ใกล้ ๆ
อวิ๋นซูชะงักฝีเท้า นางเดินเข้าไปใกล้พุ่มไม้นั้นอย่างระมัดระวัง ก่อนจะพบชายหนุ่มคนหนึ่งนอนหมดสติอยู่บนพื้นดินที่ชื้นแฉะด้วยเลือด เลือดที่แดงฉานไหลไม่หยุดบ่งบอกว่าเขาบาดเจ็บสาหัสเพียงใด
หัวใจของอวิ๋นซูเต้นระรัวด้วยความตกใจ นางลังเลอยู่ชั่วครู่ว่าจะทิ้งเขาไว้หรือจะช่วยเหลือดี แต่จิตใจที่เปี่ยมด้วยความเมตตาก็ทำให้นางตัดสินใจได้ในที่สุด
"ท่าน... ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” นางเขย่าตัวชายหนุ่มเบา ๆ แต่เขาก็ยังไม่รู้สึกตัว
อวิ๋นซูรีบตรวจดูบาดแผลบนร่างกายของชายหนุ่ม นางมองเห็นบาดแผลฉกรรจ์บนแผ่นหลังของเขา ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุให้เขาหมดสติไป เลือดที่ไหลไม่หยุดทำให้นางต้องรีบปฐมพยาบาลในทันที
นางฉีกชายเสื้อของตัวเองออก ก่อนจะนำไปกดทับบนแผล เพื่อห้ามเลือดที่ไหลไม่หยุด แล้วใช้ผ้าอีกส่วนพันแผลไว้ชั่วคราว จากนั้นจึงใช้กำลังทั้งหมดที่มี พยุงร่างของชายหนุ่มที่ตัวใหญ่กว่านางเกือบเท่าตัวกลับไปยังกระท่อมกลางป่าของนางกับพี่สาว
“กลับมาเสียมืดค่ำเชียว แล้วนั่นเจ้าพาใครมาด้วยน่ะ”
ซูเหยียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกังวล เมื่อเห็นน้องสาวกำลังพยุงร่างสูงใหญ่ของชายคนหนึ่งเข้ามาในกระท่อม แสงไฟจากตะเกียงทำให้เห็นใบหน้าของเขาได้ไม่ชัดนัก แต่เพียงแค่เห็นเลือดที่เปรอะเปื้อนตามตัวของอวิ๋นซูก็ทำให้หัวใจของผู้เป็นพี่สาวแทบหยุดเต้น
“อย่าพึ่งถามข้าตอนนี้ รีบมาช่วยข้าพยุงเขาเข้าไปในบ้านก่อนเถิด”
ซูเหยียนรีบเข้ามาช่วยทันที ทั้งสองพี่น้องช่วยกันพยุงร่างของชายหนุ่มเข้าไปในกระท่อมและวางเขาลงบนเตียงฟางที่ทำขึ้นอย่างง่าย ๆ แสงไฟจากตะเกียงที่สว่างขึ้น ทำให้ใบหน้าที่หล่อเหลาแต่ซีดเซียวของเขาปรากฏชัดขึ้น ลู่หยางนอนหมดสติอยู่บนเตียงโดยมีบาดแผลเหวอะหวะบนแผ่นหลัง
“บาดแผลใหญ่ขนาดนี้เชียวหรือ” ซูเหยียนอุทานด้วยความตกใจ “เจ้าไปเอาสมุนไพรมาให้ข้าเถิด ซูเอ๋อร์”
อวิ๋นซูพยักหน้าอย่างรวดเร็ว นางรีบหยิบสมุนไพรในถุงยาที่เก็บมาได้เมื่อช่วงบ่ายออกมา แล้วนำมาตำอย่างรวดเร็ว ก่อนจะนำไปพอกลงบนบาดแผลของชายหนุ่มอย่างเบามือ
ซูเหยียนมองน้องสาวที่กำลังง่วนอยู่กับการรักษาชายแปลกหน้า ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความกังวล แม้ว่าอวิ๋นซูจะดูเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ แต่การรักษาคนบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
"พี่เหยียน... ท่านช่วยต้มยาให้เขาได้หรือไม่" อวิ๋นซูเงยหน้าขึ้นมาขอร้อง "เขาเสียเลือดมาก ข้าเกรงว่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิต"
ซูเหยียนรีบลุกขึ้นไปต้มยาให้ตามที่น้องสาวขอร้อง เมื่อยาต้มเสร็จ อวิ๋นซูก็ค่อย ๆ ป้อนยาให้ลู่หยางอย่างระมัดระวัง แม้เขาจะหมดสติแต่ก็ยังสามารถกลืนยาลงไปได้บ้าง
คืนนั้นทั้งคืน อวิ๋นซูไม่ได้หลับไม่ได้นอน นางคอยเช็ดตัวและเฝ้าดูอาการของเขาอย่างใกล้ชิด ซูเหยียนเองก็ไม่ได้หลับเช่นกัน นางนั่งเฝ้าน้องสาวอยู่ห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วง จนกระทั่งรุ่งเช้า ลู่หยางก็เริ่มได้สติ
ลู่หยางลืมตาขึ้นช้า ๆ ภาพแรกที่เห็นคือใบหน้าของเด็กสาวที่กำลังนอนหลับอยู่ข้าง ๆ เตียงของเขา เขามองดูนางอย่างพิจารณา ใบหน้าของนางดูอ่อนโยนและบริสุทธิ์ยิ่งนัก
อวิ๋นซูรู้สึกตัวตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงขยับตัวของเขา นางรีบยันกายลุกขึ้นด้วยความดีใจ
“ท่านฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ ท่านรู้สึกดีขึ้นหรือไม่”
ลู่หยางพยักหน้าเล็กน้อย “ข้าดีขึ้นมากแล้ว” เขาพยายามลุกขึ้นนั่ง แต่อาการบาดเจ็บก็ทำให้เขาต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด
“ท่านอย่าเพิ่งขยับตัวเลยเจ้าค่ะ” อวิ๋นซูรีบห้าม “แผลของท่านยังไม่หายดี”
“ข้าเป็นหนี้ชีวิตเจ้าแล้ว” ลู่หยางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าชื่ออะไร”
“ข้าชื่อ อวิ๋นซู เจ้าค่ะ ส่วนคนนี้คือพี่สาวของข้า ซูเหยียน” อวิ๋นซูหันไปทางซูเหยียนซึ่งเพิ่งเดินออกมาจากครัว
“ขอบคุณเจ้าทั้งสองมาก” ลู่หยางกล่าวด้วยความจริงใจ
“แล้วท่านเป็นใครมาจากไหน เหตุใดถึงได้ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บเช่นนี้” ซูเหยียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงระแวง
“ข้าชื่อลู่หยาง เป็นเจ้าเมืองของแคว้นเป่ยหลาน” ลู่หยางตอบเสียงเรียบ สีหน้ายังคงราบเรียบ ทว่าดวงตากลับทอประกายคมกริบ ราวกับกำลังประเมินสถานการณ์
อวิ๋นซูกับซูเหยียนมองหน้ากันด้วยความตกใจอย่างยิ่ง สองพี่น้องไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าชายหนุ่มที่พวกนางช่วยเหลือจะเป็นถึงเจ้าเมืองผู้สูงศักดิ์
“ข้าน้อยคารวะท่านเจ้าเมืองเจ้าค่ะ” อวิ๋นซูกับซูเหยียนรีบคุกเข่าลงอย่างนอบน้อม
“พวกเจ้าไม่ต้องมากพิธี” ลู่หยางกล่าว “ลุกขึ้นเถิด พวกเจ้าเป็นผู้มีพระคุณของข้า ต่อไปนี้หากพวกเจ้าขาดเหลือสิ่งใดจงบอกข้า ข้าจะจัดหามาให้พวกเจ้า”
“ขอบคุณในความเมตตาเจ้าค่ะ”
หลังจากที่ลู่หยางฟื้นตัวแล้ว เขาก็เอ่ยปากชวนสองพี่น้องให้ไปอาศัยที่จวนในเมืองเพื่อดูแลแผลต่อ ซูเหยียนลังเลเพราะกลัวความวุ่นวายในเมือง แต่เมื่อเห็นแววตาแน่วแน่ของลู่หยางและคำขอร้องของอวิ๋นซูที่อยากไปเปิดหูเปิดตา นางก็ยอมตกลง
เมื่อมาถึงจวน อวิ๋นซูได้แสดงความสามารถทางการแพทย์ของตนอย่างเต็มที่ นางดูแลลู่หยางอย่างพิถีพิถันด้วยความรู้และจิตใจที่มุ่งมั่น ไม่เพียงแต่รักษาบาดแผลภายนอก แต่ยังปรุงยาบำรุงภายใน ทำให้ลู่หยางฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วกว่าที่คาดไว้มาก ระหว่างที่รักษาตัวอยู่นั้น ลู่หยางได้มีโอกาสพูดคุยกับอวิ๋นซูมากขึ้น เขาได้รู้ว่าภายใต้ความเงียบขรึมนั้นมีจิตใจที่เมตตาและงดงามเพียงใด ลู่หยางที่เคยมีแต่ความระแวงและเย็นชา ค่อยๆ ถูกความบริสุทธิ์ของอวิ๋นซูแทรกซึมเข้ามาในหัวใจ
ไม่นานนัก อวิ๋นซูก็ได้กลายเป็นที่ปรึกษาทางการแพทย์ประจำจวน นางใช้ความรู้สมุนไพรช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยของทหารและคนรับใช้ ทำให้ทุกคนต่างนับถือนาง
ยิ่งได้ใกล้ชิดกันมากเท่าไหร่ ความรู้สึกของลู่หยางก็ยิ่งเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เขาพบว่าตัวเองเฝ้ารอคอยที่จะได้เห็นรอยยิ้มของนาง และรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้นาง เช่นเดียวกับอวิ๋นซูที่หัวใจเริ่มหวั่นไหวกับความอ่อนโยนที่ซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าเย็นชาของเจ้าเมืองหนุ่ม
ในยามค่ำคืนที่ดาวพร่างพรายบนฟากฟ้า เทศกาลวันชีซี ณ แคว้นเป่ยหลาน ถูกเนรมิตให้งดงามราวกับภาพวาดจากพู่กันของจิตรกรชั้นครู ลู่หยางกับอวิ๋นซูเดินเคียงคู่กันไปตามถนนสายหลักที่ประดับประดาด้วย โคมไฟกระดาษหลากสีสัน ที่แขวนเรียงรายเป็นทิวแถว แสงเรืองรองจากโคมไฟส่องกระทบใบหน้าของทั้งสอง ทำให้รอยยิ้มที่อ่อนโยนของอวิ๋นซูดูงดงามจับตา
เสียงเพลงจากเครื่องดนตรีโบราณ อย่างกู่เจิงและขลุ่ยไม้ไผ่ดังแว่วมาตามสายลม ผสมผสานกับเสียงหัวเราะและบทสนทนาของผู้คนที่เดินขวักไขว่ในตลาด บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสุขและความผ่อนคลาย
อวิ๋นซูมองไปรอบตัวด้วยความตื่นตาตื่นใจ นางไม่เคยเห็นภาพเช่นนี้มาก่อนในชีวิตที่ผ่านมาในหมู่บ้านอันห่างไกล แผงขายของกินส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ ทั้งซาลาเปานึ่งร้อนๆ ขนมน้ำตาลปั้นรูปสัตว์ต่างๆ และผลไม้เชื่อมที่เคลือบด้วยน้ำตาลใสวาววับ
แสงจันทร์ลูบไล้ผ่านม่านเมฆ ส่องประกายลงมาบนยอดจวนเจ้าเมืองลั่วหยาง เงาสะท้อนบนกระเบื้องมุงหลังคาเย็นเยียบเหมือนจิตใจที่ถูกแช่แข็งของบุรุษผู้ยืนอยู่เพียงลำพังลู่หยางกำจดหมายของอวิ๋นซูไว้ในมือแน่น ตัวอักษรที่เขียนด้วยลายมืออ่อนหวานนั้นเลือนรางราวกับจะละลายหายไปทุกครั้งที่เขาเพ่งมอง แต่ยิ่งเลือนรางเท่าไร ความทรงจำของเขากลับยิ่งชัดเจนขึ้นเท่านั้นเขาหลับตาลง ภาพรอยยิ้มอ่อนโยนของอวิ๋นซูย้อนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับเสียงที่คุ้นเคย“หากวันหนึ่งเจ้าต้องเลือก จงอย่าเลือกด้วยความแค้น แต่จงเลือกด้วยหัวใจของเจ้า”คำสั่งเสียนี้ กัดกินวิญญาณของลู่หยางมาจนถึงยามนี้...กล่องหยกสลักรูปปลาหลีฮื้ออยู่ในมืออีกข้าง มันดูเงียบงามสงบ แต่ภายในกลับซ่อนแผนที่ที่เป็นต้นเหตุแห่งการนองเลือดทั่วแว่นแคว้น เขารู้ดีว่าไม่ว่าผู้ใดครอบครองมัน จะต้องเผชิญกับไฟสงครามที่ไม่อาจหลีกหนี“หากข้าเก็บมันไว้ ข้าจะถูกตามล่าไม่สิ้นสุด... หากข้าส่งต่อ มันจะเป็นชนวนสงครามที่ไม่รู้จบ” ลู่หยางพึมพำเขาเหลือเพียงทางเดียวใช้มันเป็นเครื่องมือตัดสินเกมที่ทุกฝ่ายต่างสวมหน้ากากอยู่เขาเรียกทหารคนสนิทที่เหลืออยู่ไม่กี่นาย มอบหมายให้กระจายข่าว
ในขณะที่เขาเริ่มสงสัยในแผนการของตนเอง เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังขึ้นหน้าจวนของเขา และคนที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหลี่เซียน สหายที่เขาเคยไว้ใจมากที่สุดในชีวิตหลี่เซียนสวมชุดอาภรณ์สีเข้มที่ดูสูงศักดิ์กว่าแต่ก่อนมาก บนใบหน้าของเขายังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้มที่เคยเป็นมิตร แต่ในรอยยิ้มนั้นกลับซ่อนความเยาะเย้ยไว้อย่างเห็นได้ชัด“เจ้าไม่ได้มาหาข้าตั้งนานแล้วนะ สหายของข้า” ลู่หยางเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“ก็ข้ากลัวว่าหากข้ามาแล้วเจ้าจะคิดถึงอวิ๋นซูขึ้นมาน่ะสิ” หลี่เซียนตอบด้วยน้ำเสียงที่หยอกล้อ แต่กลับเสียดแทงลู่หยางราวกับคมมีด“แต่ในที่สุดข้าก็อดรนทนไม่ไหว ข้าอยากจะมาแสดงความยินดีกับเจ้าด้วยตัวเองที่หาความจริงเกี่ยวกับแผนที่นั้นได้แล้ว”“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ลู่หยางถามด้วยความประหลาดใจ“เจ้าก็รู้ว่าข้าหมายถึงอะไร” หลี่เซียนหัวเราะในลำคอ “แผนที่ที่อยู่ในกล่องไม้สลักลายโบราณน่ะ”ลู่หยางต้องใช้สมาธิอย่างหนักเพื่อที่จะไม่แสดงความตกใจออกมาให้เห็น เขาเก็บกล่องไม้ไว้ในห้องส่วนตัวตลอดเวลา และไม่เคยมีใครรู้เรื่องนี้มาก่อน ยกเว้นเขาและเหวินซางในตอนนั้นเองที่ลู่หยางรู้สึกถึงความผ
ห้องของหลี่เซียนสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อยจนน่าประหลาดใจ ผิดวิสัยของคนทั่วไป เหวินซางไล่สายตาไปทั่วห้อง กระทั่งมาหยุดอยู่ที่ตู้ไม้ฉลุลายโบราณขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่มุมห้อง มันเป็นตู้ที่ดูธรรมดา แต่กลับมีกลไกซับซ้อนที่เหวินซางมองเห็นได้อย่างรวดเร็วเขาใช้ปลายดาบเคาะลงบนจุดที่ดูเหมือนจะเป็นสลักลับ สลักนั้นคลายออกและตู้ก็เปิดออก ภายในมีช่องลับซ่อนอยู่ และในนั้น... มีเพียง กล่องหยกสลักรูปปลาหลีฮื้อ วางอยู่โดดเดี่ยวหัวใจของเหวินซางกระตุกวูบ ความรู้สึกเลวร้ายถาโถมเข้ามาในอกทันที เขาหยิบกล่องหยกขึ้นมาสำรวจ มันเป็นกล่องหยกธรรมดา แต่ใต้ฝากล่องกลับมีกระดาษแผ่นหนึ่งซ่อนอยู่เขาคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกอย่างระมัดระวัง บนนั้นมีข้อความที่เขียนด้วยหมึกจางๆ ไม่กี่บรรทัด และเมื่อเขาอ่านจบ ร่างของเหวินซางก็แข็งทื่อราวกับถูกสาป ข้อความนั้นเป็นลายมือของอวิ๋นซู“ท่านพี่หลี่เซียน... ท่านเป็นคนที่ข้าไว้ใจที่สุด... ได้โปรดมอบแผนที่นี้คืนให้ข้าด้วยเถิด...”คำว่า “แผนที่นี้” ถูกขีดเส้นใต้ไว้หลายครั้งอย่างหนักหน่วง ราวกับต้องการเน้นย้ำถึงความสำคัญของมัน เหวินซางกำกระดาษแผ่นนั้นไว้ในมือแน่น เขาเข้าใจทุกอย่างในท
ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจเดินทางต่อไปยังแคว้นเป่ยหลานเพื่อหาพันธมิตรและเปิดเผยแผนการของเซี่ยหมิงต่อโลกภายนอก ในที่สุดอวิ๋นซูและหลี่เซียนก็มาถึงเมืองหลวงของแคว้นเป่ยหลาน พวกเขาเข้าไปขอเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้เป่ยหลานเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย“เราไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในของแคว้นอื่นได้” องค์ฮ่องเต้ตรัสอย่างเย็นชา“พวกเจ้ากลับไปเถิด”อวิ๋นซูสิ้นหวัง แต่หลี่เซียนกลับมองเห็นหนทางอื่น “ฝ่าบาท...มีบุรุษผู้หนึ่งนามว่าเซี่ยหมิง...เขาคือผู้ที่ทำให้ซงหนูเกิดสงครามกลางเมือง...และตอนนี้เขาก็กำลังสร้างปัญหาให้กับแคว้นเป่ยหลานด้วย”องค์ฮ่องเต้หันมามองหลี่เซียนด้วยความสนใจ “เจ้าว่าอย่างไรนะ? เซี่ยหมิงรึ?”“พ่ะย่ะค่ะ” หลี่เซียนตอบ“ข้าได้สืบรู้มาว่าเซี่ยหมิงคือคนสนิทของท่านแม่ทัพใหญ่ และเขากำลังวางแผนที่จะโค่นล้มราชบัลลังก์ของฝ่าบาทด้วยการใช้พลังของท่านแม่ทัพ”องค์ฮ่องเต้ทรงตกตะลึงกับคำพูดของหลี่เซียนและเริ่มตระหนักถึงภัยคุกคามที่ซ่อนอยู่ภายในราชสำนักของพระองค์เอง พระองค์จึงตัดสินใจให้หลี่เซียนและอวิ๋นซูอยู่ที่วังเพื่อรวบรวมหลักฐานเพื่อเปิดโปงเซี่ยหมิงอวิ๋นซูและหลี่เซียนใช้เว
หลายปีก่อน แคว้นซงหนูตั้งอยู่ทางเหนือประสบกับความระส่ำระสายไม่ต่างจากใบไม้ร่วงหล่นท่ามกลางลมหนาวที่พัดพาความเหี่ยวเฉามาถึง ราชสำนักที่เคยเป็นศูนย์รวมอำนาจและเอกภาพแตกออกเป็นสองเสี่ยงอย่างมิอาจประสานได้ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนองค์หญิงใหญ่ซูเหยียนผู้เปี่ยมด้วยความทะเยอทะยานและเหี้ยมหาญ ดุจเดียวกับพญาอินทรีผู้พร้อมจะจิกกระชากทุกอย่างที่ขวางทางสู่บัลลังก์ อีกฝ่ายยืนข้างองค์หญิงรองอวิ๋นซูผู้อ่อนโยนและรักความสงบราวกับหยาดน้ำค้างยามเช้าที่โหยหาเพียงความสงบสุขของผืนป่าความขัดแย้งที่เคยเป็นเพียงรอยร้าวเล็ก ๆ ในที่สุดก็ปะทุขึ้นกลายเป็นสงครามกลางเมือง เลือดและไฟแผดเผาเมืองหลวงจนสิ้นซากซูเหยียนเลือกที่จะเผชิญหน้ากับความโกลาหลด้วยพลังและความเด็ดขาด นางใช้กลยุทธ์อันซับซ้อนและกำลังพลอันเกรียงไกร เพื่อรักษาอำนาจของตนไว้ดุจเดียวกับพยัคฆ์ที่ปกป้องดินแดนของมัน ทุกย่างก้าวของนางคือการแสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดและความเฉียบคมในการเป็นผู้นำในทางกลับกัน อวิ๋นซูไม่อาจทนเห็นราษฎรต้องตกอยู่ในห้วงเพลิงสงคราม นางแอบลอบพาเหล่าข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และเอกสารลับสำคัญบางส่วนออกจากเมืองไปในยามวิกาลท่ามกลางความมืดมิดการหลบ
ในที่สุดการเดินทางอันแสนยาวนานก็สิ้นสุดลง เบื้องหน้าคือประตูไม้ขนาดใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่ของวัดไท่ฝู ลู่หยางกับเหวินซางยืนอยู่เบื้องล่างของบันไดหินที่ทอดยาวขึ้นไปสู่ยอดเขา หมอกยามเช้าปกคลุมรอบบริเวณ ทำให้บรรยากาศดูยิ่งใหญ่และลึกลับกว่าที่คิด“ดูเหมือนว่าความลับจะไม่ยอมเปิดเผยตัวตนง่าย ๆ นะ” เหวินซางเอ่ยขึ้น สายตาจับจ้องไปที่ประตูไม้ที่ปิดสนิทลู่หยางไม่ตอบ เพียงแต่ก้าวเท้าขึ้นบันไดอย่างไม่ลังเล เขารู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่แผ่ออกมาจากวัดแห่งนี้ มันไม่ใช่พลังงานที่ชั่วร้าย แต่เป็นความรู้สึกสงบที่ซ่อนเร้นความยิ่งใหญ่เอาไว้เมื่อมาถึงลานกว้างหน้าประตู เสียงระฆังก็ดังกังวานขึ้นเป็นจังหวะเนิบช้าและหนักแน่น ประตูไม้เปิดออกเองโดยไร้ผู้คน ปรากฏร่างของพระรูปหนึ่งยืนรออยู่ภายใน ลมพัดผ่านมาเบา ๆ คลอไปกับกลิ่นกำยานจาง ๆพระรูปนั้นมีอายุมากแล้ว ใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลาแต่แววตากลับสดใสและเต็มไปด้วยปัญญา ท่านยิ้มให้ลู่หยางอย่างคุ้นเคย ราวกับรู้ว่าเขาจะมาถึง“ในที่สุดเจ้าก็มาถึง ผู้ที่ตามหาความจริงแห่งสายน้ำจิ้นเหอ” พระรูปนั้นกล่าวทักทาย เสียงของท่านสงบแต่ก้องกังวานในความรู้สึกลู่หยาง