ลู่หยางมองเห็นประกายความสุขในดวงตาของอวิ๋นซูแล้วก็ยิ้มตาม ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนี้ เขาได้พบว่าหญิงสาวตรงหน้าไม่ใช่เพียงแค่ผู้ช่วยชีวิตของเขา แต่เป็นแสงสว่างที่เข้ามาเติมเต็มหัวใจที่แห้งแล้งให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
“ข้าไม่เคยนึกมาก่อนเลยนะเจ้าคะ ว่าในเมืองจะมีเทศกาลที่งดงามเช่นนี้ด้วย” อวิ๋นซูเอ่ยอย่างตื่นเต้น
“เจ้าไม่เคยเห็นหรือ”
“ข้าอยู่แต่ในป่า อย่างมากก็เคยเห็นแค่ดวงดาวในยามค่ำคืน แต่ตอนนี้ข้ารู้สึกราวกับว่ากำลังถูกโอบล้อมด้วยดวงดาวนับร้อยนับพัน”
ลู่หยางหยุดเดินและหันมาสบตากับอวิ๋นซู “ดาวพวกนั้นยังงามสู้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าข้าตอนนี้ไม่ได้ เพราะแสงในดวงตาของเจ้านั้นงดงามยิ่งกว่า"
คำพูดของเขาทำให้อวิ๋นซูเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ใบหน้าของนางแดงก่ำด้วยความเขินอาย ลู่หยางจึงรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อคลายความประหม่าของนาง เขาพาอวิ๋นซูเดินเข้าไปในตรอกเล็กๆ ที่ผู้คนไม่พลุกพล่านนัก ก่อนจะหยุดอยู่หน้าแผงขาย เครื่องประดับหยก ที่มีของวางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด
"เจ้าชอบชิ้นไหนหรือ" ลู่หยางเอ่ยถาม
ลู่หยางยิ้มบางๆ เขาไม่ได้ตอบอะไร แต่กลับหยิบบางสิ่งออกมาจากสาบเสื้อด้านใน
"นี่เป็นหยกที่ข้าสั่งให้ช่างทำขึ้นเพื่อเจ้าโดยเฉพาะ" เขาเอ่ย พลางยื่นหยกชิ้นนั้นให้แก่อวิ๋นซู
"เจ้าคู่ควรกับมัน" หยกสีขาวนวลถูกแกะสลักเป็นลายดอกเหมยอย่างปราณีต ประดับด้วยไข่มุกและพู่ระบายที่ทำจากเส้นไหมเนื้อดี
อวิ๋นซูรับหยกมาไว้ในมือด้วยความรู้สึกที่ตื้นตันใจ นางมองดูลวดลายดอกเหมยบนหยก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับลู่หยางอย่างมีความหมาย
ลู่หยางค่อยๆ โน้มตัวลงมาใกล้ ดวงตาของเขาจ้องมองนางอย่างลึกซึ้ง ใบหน้าของคนทั้งคู่ค่อยๆเคลื่อนเข้าหากันอย่างช้าๆ แต่ก่อนที่ริมฝีปากของทั้งสองจะสัมผัสกัน เสียงฝีเท้าขององครักษ์คนสนิทก็วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“เรียนท่านเจ้าเมือง ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านนำทัพออกปราบกบฏที่ชายแดนเดี๋ยวนี้ขอรับ”
หลังจากที่องครักษ์รายงาน ลู่หยางก็ผละออกจากอวิ๋นซูทันที สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมราวกับพายุที่กำลังจะโหมกระหน่ำ เขารับราชโองการมาอ่านอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพยักหน้าให้องครักษ์เป็นเชิงรับทราบ "สั่งการไปเตรียมไพร่พลให้พร้อม ข้าจะตามไปเดี๋ยวนี้"
องครักษ์คารวะแล้วรีบจากไป ทิ้งให้ลู่หยางยืนอยู่กับอวิ๋นซูเพียงลำพัง บรรยากาศเมื่อครู่ที่เคยอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งรัก พลันมลายหายไปสิ้น เหลือไว้เพียงความเงียบงันที่แสนอึดอัด
อวิ๋นซูมองลู่หยางด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวล นางรู้ดีว่าการออกศึกครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องธรรมดา
“ข้าต้องไปแล้ว เจ้าจงรักษาตัวให้ดี”
”ท่านต้องไปจริงๆหรือเจ้าคะ”
“ราชโองการของฝ่าบาท มิอาจขัดได้ หยกชิ้นข้าขอให้เจ้าเก็บเอาไว้ รอข้ากลับมา ข้าจะแต่งงานกับเจ้า ให้เจ้าเป็นฮูหยินเจ้าเมือง รอข้านะ”
“เจ้าค่ะ ข้าจะรอท่าน”
ลู่หยางยกมือขึ้น ลูบแก้มอวิ๋นซูเบา ๆ ราวกับกำลังฝากความอบอุ่นครั้งสุดท้ายไว้ที่นาง ก่อนจะหันหลังออกไปด้วยก้าวเดินที่หนักแน่นและเด็ดเดี่ยว ทิ้งให้อวิ๋นซูยืนแน่นิ่งอยู่กลางแสงโคมไฟที่ส่องสว่างราวกับจะปลอบประโลมใจนาง
หลายเดือนผันผ่านไป เสียงศึกยังคงดังก้องสะเทือนปฐพี ท้องฟ้าเหนือชายแดนถูกย้อมด้วยควันไฟและกลิ่นเลือด ทุกย่างก้าวของลู่หยางล้วนแบกทั้งเกียรติศักดิ์และชีวิตผู้คนนับหมื่นไว้บนบ่า
ทว่าในส่วนลึกที่สุดของหัวใจ เขายังคงโหยหาภาพรอยยิ้มอันอบอุ่นของสตรีเพียงผู้เดียวในใจเขา
คืนหนึ่ง ยามแสงจันทร์ต้องม่านกระโจมรบ องครักษ์คนสนิทคุกเข่าลงเบื้องหน้า เสียงเอ่ยรายงานสั่นสะท้านราวกับต้องตัดหัวใจตนเองออกมา
“เรียนท่านเจ้าเมือง สายของเรารายงานมาว่า พบสายลับของกบฏแฝงตัวอยู่ในเมือง เมื่อสืบสวนจึงทราบว่า เป็นแม่นางอวิ๋นซู”
“เหลวไหล อวิ๋นซูจิตใจดี นางไม่มีทางเป็นสายลับของกบฏ”
องครักษ์ก้มศีรษะต่ำลง เสียงยิ่งหนัก
“ข้าเองก็ไม่เชื่อ หากแต่พบสายของเราพบหลักฐานพวกนี้ในห้องของแม่นางอวิ๋นซู”
ลู่หยางยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางความเงียบงัน ราวกับคำรายงานเมื่อครู่ได้กระชากวิญญาณเขาออกไปครึ่งหนึ่ง ดวงตาคมเข้มที่เคยเด็ดเดี่ยวบัดนี้สั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่มีทาง...ต้องมีคนใส่ร้ายนางแน่ สั่งการลงไปให้นำตัวแม่นางอวิ๋นซูไปขัง รอข้ากลับไปไตร่สวน”
“ขอรับ”
ภายในจวนของเจ้าเมือง ประตูเรือนของอวิ๋นซูถูกกระแทกเปิดออกอย่างรุนแรง ทหารในชุดเกราะครบมือกรูกันเข้ามาในเรือนราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก อวิ๋นซูที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ริมหน้าต่างสะดุ้งสุดตัว เงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจและสับสน
“มีเรื่องอันใดหรือ เหตุใดพวกท่านถึงบุกเข้ามาในเรือนของข้าในยามวิกาลเช่นนี้”
“จับตัวแม่นางอวิ๋นซูเดี๋ยวนี้!”
ทหารกรูกันเข้ามาล็อกแขนทั้งสองข้างของอวิ๋นซู นางดิ้นรนสุดกำลังแต่ก็ไม่อาจต้านแรงของชายฉกรรจ์ได้ น้ำเสียงสั่นพร่าดังขึ้นท่ามกลางความโกลาหล
“เหตุใดพวกท่านจึงจับข้า! ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด!”
หัวหน้าทหารก้าวออกมาข้างหน้า ใบหน้าทึบทึมไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ เขาชูจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นตรงหน้านาง กระดาษเก่าแก่วางทับด้วยผังแผนที่ละเอียดลออ
“นี่คือหลักฐานที่พบในเรือนของท่าน เป็นจดหมายที่แนบแผนที่ตั้งแคว้น แสดงตำแหน่งค่ายทหาร เส้นทางลำเลียงเสบียง และเมืองสำคัญ หากสิ่งนี้รั่วไหลไปยังพวกกบฏ ผลลัพธ์จะไม่ต่างจากหายนะ”
อวิ๋นซูเบิกตากว้าง เลือดในกายพลันเย็นเยียบ นางส่ายหัวสุดแรง น้ำเสียงสั่นสะท้าน
“ไม่จริง! ข้าไม่เคยเห็นแผนที่เช่นนี้ ของพวกนั้นมิใช่ของข้า!”
แต่เสียงร้องของนางกลับไร้ซึ่งผู้ฟัง ทหารเหล่านั้นไม่ไยดีต่อคำอธิบาย รีบลากนางออกจากเรือนท่ามกลางความวุ่นวาย ข้าวของกระจัดกระจายไปทั่วพื้น
เมื่อประตูคุกเหล็กหนักหน่วงปิดลงหลังร่างบอบบางของนาง ความเงียบมืดทึบเข้าครอบคลุม อวิ๋นซูทรุดตัวลงกับพื้นเย็นเฉียบ น้ำตาเอ่อคลอไม่อาจกลั้นได้อีก
ภายในคุกมืดทึบ แสงตะเกียงน้ำมันส่องวูบไหวไปตามแรงลมที่ลอดเข้ามาจากช่องหน้าต่างเล็ก ๆ เสียงฝีเท้าของใครบางคนดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งร่างของขุนนางชราผู้หนึ่งปรากฏขึ้นหน้าซี่กรงเหล็ก
เขายกตะเกียงขึ้นสูง เผยให้เห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความเคร่งขรึม น้ำเสียงเย็นชาดังก้องอยู่ในห้องคุมขัง
“แม่นางอวิ๋นซู...เจ้าเตรียมตัวไว้เถิด วันพรุ่งนี้ยามเฉิน เจ้าจะถูกนำขึ้นลานประหาร คำสั่งนี้...เป็นคำสั่งตรงจากท่านเจ้าเมืองลู่หยางเอง”
อวิ๋นซูสะดุ้งเฮือก หัวใจเหมือนถูกกดทับ นางยกมือขึ้นกำหยกดอกเหมยแน่น พลางส่ายหัวไม่ยอมเชื่อ
“ไม่จริง...ท่านลู่หยางไม่มีวันทำเช่นนั้น เขาสัญญากับข้าว่าจะกลับมาแต่งงาน เขามอบหยกนี้ให้ข้าแล้วพูดด้วยตาของเขาเอง ว่าให้ข้ารอ... เขาไม่มีวันตัดสินข้าเช่นนี้!”
ขุนนางชรามองนางด้วยสายตาเวทนา แต่ก็ยังคงพูดเสียงเรียบ
“ความผิดฐานครอบครองแผนที่ตั้งแคว้นเป็นโทษใหญ่ ไม่มีผู้ใดลบล้างได้ ต่อให้ท่านเจ้าเมืองรักเจ้าสักเพียงใด แต่เพื่อแผ่นดิน เขาก็ต้องยอมสละเจ้า”
อวิ๋นซูหัวเราะทั้งน้ำตา เสียงหัวเราะนั้นแผ่วเบาแต่สั่นสะท้าน
“ไม่...ท่านลู่หยางอาจถูกบังคับให้ลงชื่อในคำสั่ง แต่ข้ารู้ เขาไม่มีวันทรยศต่อหัวใจของเรา”
นางยกหยกขึ้นแนบอก ดวงตาแดงก่ำแต่ยังคงมุ่งมั่น
“ตราบใดที่หยกนี้ยังอยู่ในมือข้า มันย่อมเป็นพยานว่าความจริงต้องถูกเปิดเผยสักวันหนึ่ง”
ขุนนางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาวแล้วหันหลังกลับออกไป ทิ้งให้อวิ๋นซูนั่งคุกเข่าอยู่ในความมืด มือน้อยยังคงกอดหยกแนบอกเหมือนสิ่งสุดท้ายที่เชื่อมโยงหัวใจนางกับลู่หยาง
แสงจันทร์ลูบไล้ผ่านม่านเมฆ ส่องประกายลงมาบนยอดจวนเจ้าเมืองลั่วหยาง เงาสะท้อนบนกระเบื้องมุงหลังคาเย็นเยียบเหมือนจิตใจที่ถูกแช่แข็งของบุรุษผู้ยืนอยู่เพียงลำพังลู่หยางกำจดหมายของอวิ๋นซูไว้ในมือแน่น ตัวอักษรที่เขียนด้วยลายมืออ่อนหวานนั้นเลือนรางราวกับจะละลายหายไปทุกครั้งที่เขาเพ่งมอง แต่ยิ่งเลือนรางเท่าไร ความทรงจำของเขากลับยิ่งชัดเจนขึ้นเท่านั้นเขาหลับตาลง ภาพรอยยิ้มอ่อนโยนของอวิ๋นซูย้อนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับเสียงที่คุ้นเคย“หากวันหนึ่งเจ้าต้องเลือก จงอย่าเลือกด้วยความแค้น แต่จงเลือกด้วยหัวใจของเจ้า”คำสั่งเสียนี้ กัดกินวิญญาณของลู่หยางมาจนถึงยามนี้...กล่องหยกสลักรูปปลาหลีฮื้ออยู่ในมืออีกข้าง มันดูเงียบงามสงบ แต่ภายในกลับซ่อนแผนที่ที่เป็นต้นเหตุแห่งการนองเลือดทั่วแว่นแคว้น เขารู้ดีว่าไม่ว่าผู้ใดครอบครองมัน จะต้องเผชิญกับไฟสงครามที่ไม่อาจหลีกหนี“หากข้าเก็บมันไว้ ข้าจะถูกตามล่าไม่สิ้นสุด... หากข้าส่งต่อ มันจะเป็นชนวนสงครามที่ไม่รู้จบ” ลู่หยางพึมพำเขาเหลือเพียงทางเดียวใช้มันเป็นเครื่องมือตัดสินเกมที่ทุกฝ่ายต่างสวมหน้ากากอยู่เขาเรียกทหารคนสนิทที่เหลืออยู่ไม่กี่นาย มอบหมายให้กระจายข่าว
ในขณะที่เขาเริ่มสงสัยในแผนการของตนเอง เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังขึ้นหน้าจวนของเขา และคนที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหลี่เซียน สหายที่เขาเคยไว้ใจมากที่สุดในชีวิตหลี่เซียนสวมชุดอาภรณ์สีเข้มที่ดูสูงศักดิ์กว่าแต่ก่อนมาก บนใบหน้าของเขายังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้มที่เคยเป็นมิตร แต่ในรอยยิ้มนั้นกลับซ่อนความเยาะเย้ยไว้อย่างเห็นได้ชัด“เจ้าไม่ได้มาหาข้าตั้งนานแล้วนะ สหายของข้า” ลู่หยางเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“ก็ข้ากลัวว่าหากข้ามาแล้วเจ้าจะคิดถึงอวิ๋นซูขึ้นมาน่ะสิ” หลี่เซียนตอบด้วยน้ำเสียงที่หยอกล้อ แต่กลับเสียดแทงลู่หยางราวกับคมมีด“แต่ในที่สุดข้าก็อดรนทนไม่ไหว ข้าอยากจะมาแสดงความยินดีกับเจ้าด้วยตัวเองที่หาความจริงเกี่ยวกับแผนที่นั้นได้แล้ว”“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ลู่หยางถามด้วยความประหลาดใจ“เจ้าก็รู้ว่าข้าหมายถึงอะไร” หลี่เซียนหัวเราะในลำคอ “แผนที่ที่อยู่ในกล่องไม้สลักลายโบราณน่ะ”ลู่หยางต้องใช้สมาธิอย่างหนักเพื่อที่จะไม่แสดงความตกใจออกมาให้เห็น เขาเก็บกล่องไม้ไว้ในห้องส่วนตัวตลอดเวลา และไม่เคยมีใครรู้เรื่องนี้มาก่อน ยกเว้นเขาและเหวินซางในตอนนั้นเองที่ลู่หยางรู้สึกถึงความผ
ห้องของหลี่เซียนสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อยจนน่าประหลาดใจ ผิดวิสัยของคนทั่วไป เหวินซางไล่สายตาไปทั่วห้อง กระทั่งมาหยุดอยู่ที่ตู้ไม้ฉลุลายโบราณขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่มุมห้อง มันเป็นตู้ที่ดูธรรมดา แต่กลับมีกลไกซับซ้อนที่เหวินซางมองเห็นได้อย่างรวดเร็วเขาใช้ปลายดาบเคาะลงบนจุดที่ดูเหมือนจะเป็นสลักลับ สลักนั้นคลายออกและตู้ก็เปิดออก ภายในมีช่องลับซ่อนอยู่ และในนั้น... มีเพียง กล่องหยกสลักรูปปลาหลีฮื้อ วางอยู่โดดเดี่ยวหัวใจของเหวินซางกระตุกวูบ ความรู้สึกเลวร้ายถาโถมเข้ามาในอกทันที เขาหยิบกล่องหยกขึ้นมาสำรวจ มันเป็นกล่องหยกธรรมดา แต่ใต้ฝากล่องกลับมีกระดาษแผ่นหนึ่งซ่อนอยู่เขาคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกอย่างระมัดระวัง บนนั้นมีข้อความที่เขียนด้วยหมึกจางๆ ไม่กี่บรรทัด และเมื่อเขาอ่านจบ ร่างของเหวินซางก็แข็งทื่อราวกับถูกสาป ข้อความนั้นเป็นลายมือของอวิ๋นซู“ท่านพี่หลี่เซียน... ท่านเป็นคนที่ข้าไว้ใจที่สุด... ได้โปรดมอบแผนที่นี้คืนให้ข้าด้วยเถิด...”คำว่า “แผนที่นี้” ถูกขีดเส้นใต้ไว้หลายครั้งอย่างหนักหน่วง ราวกับต้องการเน้นย้ำถึงความสำคัญของมัน เหวินซางกำกระดาษแผ่นนั้นไว้ในมือแน่น เขาเข้าใจทุกอย่างในท
ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจเดินทางต่อไปยังแคว้นเป่ยหลานเพื่อหาพันธมิตรและเปิดเผยแผนการของเซี่ยหมิงต่อโลกภายนอก ในที่สุดอวิ๋นซูและหลี่เซียนก็มาถึงเมืองหลวงของแคว้นเป่ยหลาน พวกเขาเข้าไปขอเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้เป่ยหลานเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย“เราไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในของแคว้นอื่นได้” องค์ฮ่องเต้ตรัสอย่างเย็นชา“พวกเจ้ากลับไปเถิด”อวิ๋นซูสิ้นหวัง แต่หลี่เซียนกลับมองเห็นหนทางอื่น “ฝ่าบาท...มีบุรุษผู้หนึ่งนามว่าเซี่ยหมิง...เขาคือผู้ที่ทำให้ซงหนูเกิดสงครามกลางเมือง...และตอนนี้เขาก็กำลังสร้างปัญหาให้กับแคว้นเป่ยหลานด้วย”องค์ฮ่องเต้หันมามองหลี่เซียนด้วยความสนใจ “เจ้าว่าอย่างไรนะ? เซี่ยหมิงรึ?”“พ่ะย่ะค่ะ” หลี่เซียนตอบ“ข้าได้สืบรู้มาว่าเซี่ยหมิงคือคนสนิทของท่านแม่ทัพใหญ่ และเขากำลังวางแผนที่จะโค่นล้มราชบัลลังก์ของฝ่าบาทด้วยการใช้พลังของท่านแม่ทัพ”องค์ฮ่องเต้ทรงตกตะลึงกับคำพูดของหลี่เซียนและเริ่มตระหนักถึงภัยคุกคามที่ซ่อนอยู่ภายในราชสำนักของพระองค์เอง พระองค์จึงตัดสินใจให้หลี่เซียนและอวิ๋นซูอยู่ที่วังเพื่อรวบรวมหลักฐานเพื่อเปิดโปงเซี่ยหมิงอวิ๋นซูและหลี่เซียนใช้เว
หลายปีก่อน แคว้นซงหนูตั้งอยู่ทางเหนือประสบกับความระส่ำระสายไม่ต่างจากใบไม้ร่วงหล่นท่ามกลางลมหนาวที่พัดพาความเหี่ยวเฉามาถึง ราชสำนักที่เคยเป็นศูนย์รวมอำนาจและเอกภาพแตกออกเป็นสองเสี่ยงอย่างมิอาจประสานได้ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนองค์หญิงใหญ่ซูเหยียนผู้เปี่ยมด้วยความทะเยอทะยานและเหี้ยมหาญ ดุจเดียวกับพญาอินทรีผู้พร้อมจะจิกกระชากทุกอย่างที่ขวางทางสู่บัลลังก์ อีกฝ่ายยืนข้างองค์หญิงรองอวิ๋นซูผู้อ่อนโยนและรักความสงบราวกับหยาดน้ำค้างยามเช้าที่โหยหาเพียงความสงบสุขของผืนป่าความขัดแย้งที่เคยเป็นเพียงรอยร้าวเล็ก ๆ ในที่สุดก็ปะทุขึ้นกลายเป็นสงครามกลางเมือง เลือดและไฟแผดเผาเมืองหลวงจนสิ้นซากซูเหยียนเลือกที่จะเผชิญหน้ากับความโกลาหลด้วยพลังและความเด็ดขาด นางใช้กลยุทธ์อันซับซ้อนและกำลังพลอันเกรียงไกร เพื่อรักษาอำนาจของตนไว้ดุจเดียวกับพยัคฆ์ที่ปกป้องดินแดนของมัน ทุกย่างก้าวของนางคือการแสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดและความเฉียบคมในการเป็นผู้นำในทางกลับกัน อวิ๋นซูไม่อาจทนเห็นราษฎรต้องตกอยู่ในห้วงเพลิงสงคราม นางแอบลอบพาเหล่าข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และเอกสารลับสำคัญบางส่วนออกจากเมืองไปในยามวิกาลท่ามกลางความมืดมิดการหลบ
ในที่สุดการเดินทางอันแสนยาวนานก็สิ้นสุดลง เบื้องหน้าคือประตูไม้ขนาดใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่ของวัดไท่ฝู ลู่หยางกับเหวินซางยืนอยู่เบื้องล่างของบันไดหินที่ทอดยาวขึ้นไปสู่ยอดเขา หมอกยามเช้าปกคลุมรอบบริเวณ ทำให้บรรยากาศดูยิ่งใหญ่และลึกลับกว่าที่คิด“ดูเหมือนว่าความลับจะไม่ยอมเปิดเผยตัวตนง่าย ๆ นะ” เหวินซางเอ่ยขึ้น สายตาจับจ้องไปที่ประตูไม้ที่ปิดสนิทลู่หยางไม่ตอบ เพียงแต่ก้าวเท้าขึ้นบันไดอย่างไม่ลังเล เขารู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่แผ่ออกมาจากวัดแห่งนี้ มันไม่ใช่พลังงานที่ชั่วร้าย แต่เป็นความรู้สึกสงบที่ซ่อนเร้นความยิ่งใหญ่เอาไว้เมื่อมาถึงลานกว้างหน้าประตู เสียงระฆังก็ดังกังวานขึ้นเป็นจังหวะเนิบช้าและหนักแน่น ประตูไม้เปิดออกเองโดยไร้ผู้คน ปรากฏร่างของพระรูปหนึ่งยืนรออยู่ภายใน ลมพัดผ่านมาเบา ๆ คลอไปกับกลิ่นกำยานจาง ๆพระรูปนั้นมีอายุมากแล้ว ใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลาแต่แววตากลับสดใสและเต็มไปด้วยปัญญา ท่านยิ้มให้ลู่หยางอย่างคุ้นเคย ราวกับรู้ว่าเขาจะมาถึง“ในที่สุดเจ้าก็มาถึง ผู้ที่ตามหาความจริงแห่งสายน้ำจิ้นเหอ” พระรูปนั้นกล่าวทักทาย เสียงของท่านสงบแต่ก้องกังวานในความรู้สึกลู่หยาง