แสงโคมสีแดงของหอชิงเฟิงส่องวาบไปทั่วถนนใหญ่ในยามราตรี กลิ่นเหล้าหอมอบอวลปะปนไปกับเสียงพิณและเสียงหัวเราะของเหล่านักการค้าและขุนนางที่ผลัดกันเข้าออก
ลู่หยางกับเหวินซางต่างแต่งกายด้วยชุดสามัญชน เดินปะปนไปท่ามกลางฝูงชนโดยไม่ให้สะดุดตา สายตาคมกริบของลู่หยางกวาดมองไปรอบ ๆ ท่ามกลางแสงสลัว
“เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าคืนนี้เราจะพบตัวนางที่นี่”
“จากที่ข้าลอบสังเกต การแต่งกายของนางไม่เหมือนนางคณิกา หากแต่เหมือนสาวใช้ อีกทั้งนางยังสามารถผ่านประตูลับของหอชิงเฟิงได้ ข้าเกรงว่านางต้องมีอะไรเกี่ยวพันกับที่นี่เป็นแน่”
ลู่หยางหรี่ตาลงเล็กน้อย ราวกับจะจดจำทุกแสงเงาที่กระทบอยู่เบื้องหน้า
“หอชิงเฟิงไม่เคยให้คนธรรมดาเข้าออกประตูลับ หากนางเป็นเพียงสาวใช้... เหตุใดต้องใช้ทางนั้น?”
เหวินซางยกยิ้มมุมปาก “นั่นล่ะที่ข้าสงสัย นางผู้นี้อาจไม่ใช่ใครที่เราคิด”
เสียงหัวเราะแผ่วกังวานดังลอดออกมาจากหอคณิกา ประตูไม้ทาสีชาดค่อย ๆ แง้มเปิด มีหญิงในชุดแพรไหมเดินผ่านกลุ่มแขกเหรื่อไปอย่างอ่อนช้อย แต่สายตาลู่หยางจับจ้องไปที่ร่างเล็กในเงามืดด้านหลัง หญิงผู้นั้นแต่งกายเรียบง่าย สวมผ้าคลุมศีรษะปิดบังใบหน้า แต่แววตาที่ชำเลืองออกมาเพียงแวบเดียวกลับทำให้หัวใจเขาสะท้าน
“เป็นนาง” เหวินซางกระซิบ เสียงแน่นราวกลืนลงคอ
ลู่หยางเหลียวมองตาม “เจ้าแน่ใจหรือ?”
ก่อนคำตอบจะถูกเปล่งออก ร่างนั้นได้หายลับไปทางทางเดินเล็กที่ทอดเข้าสู่หลังหอคณิกา ลู่หยางไม่รอช้า ก้าวแทรกฝูงชนตามไป เสียงฝีเท้าเหวินซางตามมาติด ๆ
ทางเดินแคบทอดยาวไปสู่ความมืด เงาโคมแดงจากด้านหน้าแทบไม่ส่องถึง ลู่หยางกับเหวินซางย่ำเท้าอย่างระมัดระวัง เสียงฝีเท้าถูกกลบด้วยเสียงพิณและหัวเราะที่เลือนหายไปตามระยะทาง
ร่างหญิงลึกลับเลี้ยวหายไปตรงหัวมุม ลู่หยางเร่งฝีเท้าตามไปอย่างไม่รอช้า ทว่าเมื่อเลี้ยวตาม กลับพบเพียงกำแพงเปลือยเปล่าไร้วี่แววผู้คน เหลือไว้เพียงกลิ่นหอมอ่อนละมุนของดอกเหมยที่ยังลอยอวลอยู่ในอากาศ
“นางหายไปไหนกันแน่...” เหวินซางขมวดคิ้ว มองหาช่องทางอื่นด้วยความระแวดระวัง
ในห้วงเงียบงันนั้นเอง เสียงสนทนาแผ่วทุ้มของใครบางคนดังลอดออกมาจากความมืดเบื้องหน้า ทำให้สองสหายชะงักงันไปในทันที ลู่หยางเผลอเอื้อมมือแตะด้ามดาบที่เอวโดยสัญชาตญาณ
แสงริบหรี่จากตะเกียงซึ่งแขวนอยู่ห่างไกลค่อย ๆ เปิดเผยเงาร่างสูงใหญ่ในชุดขาดวิ่น ชายผู้นั้นยืนนิ่งไม่ไหวติง หากแต่ทุกลมหายใจที่เปล่งออกมากลับหนักหน่วงราวกับแรงกดจากอีกภพหนึ่ง
“ลู่หยาง... เจ้าก็เห็นใช่หรือไม่” เหวินซางเอ่ยเสียงสั่น ดวงตาเบิกกว้างจนแทบไม่เชื่อสายตา
ลู่หยางเพ่งมองตรงหน้า หัวใจเต้นสะท้านจนแทบหลุดอก ใบหน้าที่ปรากฏพ้นเงามืดนั้น เขาจำได้ไม่ผิดแน่นอน
“จิ้นเหอ...” เสียงเขาแผ่วพร่า ขขณะเรียกชื่อออกมาอย่างยากลำบาก
เบื้องหน้าคือสหายร่วมรบ ผู้ที่ทั้งเขาและเหวินซางต่างเชื่อว่าถูกฝังอยู่ใต้ผืนทรายกลางสมรภูมิเมื่อหลายปีก่อน แม้ร่างกายผู้นั้นจะไม่องอาจดังวีรชนในวันวาน หากแต่ใบหน้ายังคงเป็นจิ้นเหอผู้เดียวกับที่เคยเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมรบมา
“เป็นไปไม่ได้... ไม่มีทาง...” ลู่หยางพึมพำ มือที่กำดาบแน่นกลับสั่นระริกไม่อาจห้ามได้ ภาพความทรงขำในวันวานหวนย้อนคืนราวกับสายน้ำไหล
จิ้นเหอ คือ วีรบุรุษผู้คนเคยขนานนามว่า หอกอสนี แห่งกองทัพตะวันตก บุรุษผู้ยืนหยัดอยู่แถวหน้าทุกศึก ด้วยหอกยาวที่เคลื่อนพลิ้วประดุจสายฟ้าฟาด ทุกย่างก้าวของเขาเปี่ยมด้วยกลิ่นอายแห่งความองอาจ และรอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้าก็เปรียบดั่งเพลิงที่โหมให้หัวใจสหายทั้งปวงเรืองโรจน์มิรู้โรย
ในยามนั้น เสียงกลองศึกดังประหนึ่งฟ้าคำรน ก้องสะท้อนทั่วผืนทะเลทรายอันเวิ้งว้าง เกลียวลมพัดหอบเม็ดทรายเชี่ยวกราก ฟาดซัดหน้าและดวงตาจนพร่าเลือน หากแต่ดวงเนตรของจิ้นเหอยังคงเปล่งประกายกร้าวกล้า ประดุจแสงดวงดาวที่ไม่หวั่นไหวแม้กลางพายุราตรี
ลู่หยางยังจำได้ชัดว่าตนยืนเคียงข้าง ร่างเหวินซางอยู่ไม่ไกล โล่ในมือของเขาโอบอุ้มหลังสหายทั้งสองไว้ดุจปราการมั่นคง
ศัตรูทะลักเข้ามาดุจคลื่นทะเลคลั่ง แต่หอกในมือของจิ้นเหอกลับโลดแล่นว่องไว แสงหอกสะท้อนตะวันบ่ายแปรเปลี่ยนเป็นประกายฟ้าแลบ แทงทะลุเกราะเหล็กและกรีดผ่านฝูงชนประหนึ่งสายลม มิพักแม้ครึ่งลมหายใจ ทุกย่างก้าวของเขาคือเสาหลักแห่งกองทัพ
ทว่าโชคชะตาโหดร้ายกว่าความกล้า
หลุมทรายกลศึกถูกขุดรอไว้เบื้องหน้า ผืนดินแตกแยกพังทลายต่อสายตา ลู่หยางยังคงจำได้แม่นยำ เสี้ยววินาทีที่ร่างจิ้นเหอถูกทรายกลืนหายไป พร้อมเสียงตะโกนที่ขาดหายกลางพายุทราย เสียงเพรียกหาสหายถูกกลบด้วยเสียงทรายถล่ม สุดท้ายเหลือเพียงโลหิตที่ผุดซึมขึ้นมาเหนือผืนดินโล้นราวดอกไม้แดงแปร่งชูช่อ
“ไม่ได้พบกันนานนะ...ท่านเจ้าเมืองลู่หยาง” จิ้นเหอเอ่ยทัก น้ำเสียงต่ำลึกจนทำให้บรรยากาศทั้งตรอกหนักอึ้ง
ลู่หยางขยับดาบในมือแน่นขึ้น หัวใจบีบคั้นกับภาพในอดีต “เป็นไปได้อย่างไร...เจ้าควรตายไปแล้วมิใช่หรือ”
จิ้นเหอหัวเราะแผ่ว ๆ แต่เสียงนั้นสะท้อนก้องราวกับไม่ได้ออกมาจากเพียงปากเดียว
“เรื่องมันยาว หากเจ้าอยากรู้ เช่นนั้นก็จงตามข้ามา”
เขาหันหลังช้า ๆ เดินลึกเข้าไปในตรอกที่คับแคบและมืดมิด ราวกับจะนำพาทั้งสองเข้าสู่เส้นทางที่ไม่อาจย้อนกลับได้
ลู่หยางกับเหวินซางสบตากันเพียงแวบเดียวเท่านั้น ก่อนที่ลู่หยางจะก้าวตามไปโดยไม่ลังเล เพราะไม่ว่าเงาร่างนั้นจะเป็นสหายเก่า หรือปีศาจที่สวมหน้ากากของสหาย เขาก็จำเป็นต้องเผชิญหน้าอยู่ดี
ลู่หยางและเหวินซางก้าวตามจิ้นเหอผ่านตรอกแคบ ๆ จนความมืดค่อย ๆ จางลง เสียงทรายที่เคยกระซิบอยู่รอบกายเริ่มหายไป ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นไม้เก่า ๆ และกลิ่นสมุนไพรแผ่ว ๆ จิ้นเหอเดินช้า ๆ เหมือนคนคุ้นเคยกับทุกก้าวของทาง เส้นทางคดเคี้ยวพาพวกเขาไปยังประตูไม้เก่าที่ซ่อนอยู่หลังต้นไผ่หนา
“บ้านพักของข้าเอง” จิ้นเหอเอ่ย น้ำเสียงเยือกเย็น แต่แฝงความอบอุ่นเล็กน้อย เขากดมือบนวงกบประตูเพียงเบา ๆ และประตูไม้ก็เปิดออกโดยไม่ส่งเสียงดัง
ด้านในบ้านพัก แสงจากโคมไฟเล็ก ๆ สลัว ๆ ทำให้เห็นภาพเก่าแก่ของโต๊ะไม้ขรุขระ ม้วนกระดาษและสมุดบันทึกวางเรียงรายอยู่ราวกับไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายมานานหลายปี กลิ่นไม้เก่าและสมุนไพรทำให้ลู่หยางรู้สึกเหมือนเวลาได้หยุดชะงักไป
“เจ้าคงได้รับจดหมายแล้วล่ะสิ”
“จดหมายฉบับนั้น หรือว่าเจ้าเป็นคนส่งมันมาอย่างนั้นหรือ” ลู่หยางเอ่ยถาม
“ใช่ ข้าแค่ทำตามความปรารถนาสุดท้ายของแม่นางอวิ๋นซูก็เท่านั้น”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดเจ้าถึงยังมีชีวิตอยู่แล้วอวิ๋นซูเล่า นางอยู่ที่ใด”
ลู่หยางเอ่ยถามอย่างร้อนรน ภายในใจหวังเพียงว่าสตรีอันเป็นที่รักของตนยังคงมีลมหายใจอยู่
“นางตายแล้ว ในคืนนั้นที่นางถูกประหาร ข้าพยายามจะเข้าไปช่วยหากแต่สายเกินไป”
ลู่หยางก้มหน้าลง มือสั่นเล็กน้อยเมื่อแตะโต๊ะไม้ เสียงทุ้มพร่าหลุดออกมาแทบไม่เป็นคำ
“อวิ๋นซู...นางตายแล้วจริงหรือ”
เหวินซางโน้มตัวไปข้างหน้า เค้นเสียงถามอย่างไม่ไว้ใจ “แล้วเจ้าล่ะ จิ้นเหอ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าไม่ได้ตายในสนามรบในครานั้นหรอกหรือ แล้วเหตุใดเจ้าถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้”
จิ้นเหอนิ่งไปครู่หนึ่ง แววตาฉายแสงหม่นคล้ายกำลังรื้อฟื้นความทรงจำที่ฝังลึก เขาเอื้อมมือไปแตะรอยแผลเป็นที่ลำคอ ก่อนเอ่ยเสียงต่ำและแผ่วช้า
แสงจันทร์ลูบไล้ผ่านม่านเมฆ ส่องประกายลงมาบนยอดจวนเจ้าเมืองลั่วหยาง เงาสะท้อนบนกระเบื้องมุงหลังคาเย็นเยียบเหมือนจิตใจที่ถูกแช่แข็งของบุรุษผู้ยืนอยู่เพียงลำพังลู่หยางกำจดหมายของอวิ๋นซูไว้ในมือแน่น ตัวอักษรที่เขียนด้วยลายมืออ่อนหวานนั้นเลือนรางราวกับจะละลายหายไปทุกครั้งที่เขาเพ่งมอง แต่ยิ่งเลือนรางเท่าไร ความทรงจำของเขากลับยิ่งชัดเจนขึ้นเท่านั้นเขาหลับตาลง ภาพรอยยิ้มอ่อนโยนของอวิ๋นซูย้อนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับเสียงที่คุ้นเคย“หากวันหนึ่งเจ้าต้องเลือก จงอย่าเลือกด้วยความแค้น แต่จงเลือกด้วยหัวใจของเจ้า”คำสั่งเสียนี้ กัดกินวิญญาณของลู่หยางมาจนถึงยามนี้...กล่องหยกสลักรูปปลาหลีฮื้ออยู่ในมืออีกข้าง มันดูเงียบงามสงบ แต่ภายในกลับซ่อนแผนที่ที่เป็นต้นเหตุแห่งการนองเลือดทั่วแว่นแคว้น เขารู้ดีว่าไม่ว่าผู้ใดครอบครองมัน จะต้องเผชิญกับไฟสงครามที่ไม่อาจหลีกหนี“หากข้าเก็บมันไว้ ข้าจะถูกตามล่าไม่สิ้นสุด... หากข้าส่งต่อ มันจะเป็นชนวนสงครามที่ไม่รู้จบ” ลู่หยางพึมพำเขาเหลือเพียงทางเดียวใช้มันเป็นเครื่องมือตัดสินเกมที่ทุกฝ่ายต่างสวมหน้ากากอยู่เขาเรียกทหารคนสนิทที่เหลืออยู่ไม่กี่นาย มอบหมายให้กระจายข่าว
ในขณะที่เขาเริ่มสงสัยในแผนการของตนเอง เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังขึ้นหน้าจวนของเขา และคนที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหลี่เซียน สหายที่เขาเคยไว้ใจมากที่สุดในชีวิตหลี่เซียนสวมชุดอาภรณ์สีเข้มที่ดูสูงศักดิ์กว่าแต่ก่อนมาก บนใบหน้าของเขายังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้มที่เคยเป็นมิตร แต่ในรอยยิ้มนั้นกลับซ่อนความเยาะเย้ยไว้อย่างเห็นได้ชัด“เจ้าไม่ได้มาหาข้าตั้งนานแล้วนะ สหายของข้า” ลู่หยางเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“ก็ข้ากลัวว่าหากข้ามาแล้วเจ้าจะคิดถึงอวิ๋นซูขึ้นมาน่ะสิ” หลี่เซียนตอบด้วยน้ำเสียงที่หยอกล้อ แต่กลับเสียดแทงลู่หยางราวกับคมมีด“แต่ในที่สุดข้าก็อดรนทนไม่ไหว ข้าอยากจะมาแสดงความยินดีกับเจ้าด้วยตัวเองที่หาความจริงเกี่ยวกับแผนที่นั้นได้แล้ว”“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ลู่หยางถามด้วยความประหลาดใจ“เจ้าก็รู้ว่าข้าหมายถึงอะไร” หลี่เซียนหัวเราะในลำคอ “แผนที่ที่อยู่ในกล่องไม้สลักลายโบราณน่ะ”ลู่หยางต้องใช้สมาธิอย่างหนักเพื่อที่จะไม่แสดงความตกใจออกมาให้เห็น เขาเก็บกล่องไม้ไว้ในห้องส่วนตัวตลอดเวลา และไม่เคยมีใครรู้เรื่องนี้มาก่อน ยกเว้นเขาและเหวินซางในตอนนั้นเองที่ลู่หยางรู้สึกถึงความผ
ห้องของหลี่เซียนสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อยจนน่าประหลาดใจ ผิดวิสัยของคนทั่วไป เหวินซางไล่สายตาไปทั่วห้อง กระทั่งมาหยุดอยู่ที่ตู้ไม้ฉลุลายโบราณขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่มุมห้อง มันเป็นตู้ที่ดูธรรมดา แต่กลับมีกลไกซับซ้อนที่เหวินซางมองเห็นได้อย่างรวดเร็วเขาใช้ปลายดาบเคาะลงบนจุดที่ดูเหมือนจะเป็นสลักลับ สลักนั้นคลายออกและตู้ก็เปิดออก ภายในมีช่องลับซ่อนอยู่ และในนั้น... มีเพียง กล่องหยกสลักรูปปลาหลีฮื้อ วางอยู่โดดเดี่ยวหัวใจของเหวินซางกระตุกวูบ ความรู้สึกเลวร้ายถาโถมเข้ามาในอกทันที เขาหยิบกล่องหยกขึ้นมาสำรวจ มันเป็นกล่องหยกธรรมดา แต่ใต้ฝากล่องกลับมีกระดาษแผ่นหนึ่งซ่อนอยู่เขาคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกอย่างระมัดระวัง บนนั้นมีข้อความที่เขียนด้วยหมึกจางๆ ไม่กี่บรรทัด และเมื่อเขาอ่านจบ ร่างของเหวินซางก็แข็งทื่อราวกับถูกสาป ข้อความนั้นเป็นลายมือของอวิ๋นซู“ท่านพี่หลี่เซียน... ท่านเป็นคนที่ข้าไว้ใจที่สุด... ได้โปรดมอบแผนที่นี้คืนให้ข้าด้วยเถิด...”คำว่า “แผนที่นี้” ถูกขีดเส้นใต้ไว้หลายครั้งอย่างหนักหน่วง ราวกับต้องการเน้นย้ำถึงความสำคัญของมัน เหวินซางกำกระดาษแผ่นนั้นไว้ในมือแน่น เขาเข้าใจทุกอย่างในท
ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจเดินทางต่อไปยังแคว้นเป่ยหลานเพื่อหาพันธมิตรและเปิดเผยแผนการของเซี่ยหมิงต่อโลกภายนอก ในที่สุดอวิ๋นซูและหลี่เซียนก็มาถึงเมืองหลวงของแคว้นเป่ยหลาน พวกเขาเข้าไปขอเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้เป่ยหลานเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย“เราไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในของแคว้นอื่นได้” องค์ฮ่องเต้ตรัสอย่างเย็นชา“พวกเจ้ากลับไปเถิด”อวิ๋นซูสิ้นหวัง แต่หลี่เซียนกลับมองเห็นหนทางอื่น “ฝ่าบาท...มีบุรุษผู้หนึ่งนามว่าเซี่ยหมิง...เขาคือผู้ที่ทำให้ซงหนูเกิดสงครามกลางเมือง...และตอนนี้เขาก็กำลังสร้างปัญหาให้กับแคว้นเป่ยหลานด้วย”องค์ฮ่องเต้หันมามองหลี่เซียนด้วยความสนใจ “เจ้าว่าอย่างไรนะ? เซี่ยหมิงรึ?”“พ่ะย่ะค่ะ” หลี่เซียนตอบ“ข้าได้สืบรู้มาว่าเซี่ยหมิงคือคนสนิทของท่านแม่ทัพใหญ่ และเขากำลังวางแผนที่จะโค่นล้มราชบัลลังก์ของฝ่าบาทด้วยการใช้พลังของท่านแม่ทัพ”องค์ฮ่องเต้ทรงตกตะลึงกับคำพูดของหลี่เซียนและเริ่มตระหนักถึงภัยคุกคามที่ซ่อนอยู่ภายในราชสำนักของพระองค์เอง พระองค์จึงตัดสินใจให้หลี่เซียนและอวิ๋นซูอยู่ที่วังเพื่อรวบรวมหลักฐานเพื่อเปิดโปงเซี่ยหมิงอวิ๋นซูและหลี่เซียนใช้เว
หลายปีก่อน แคว้นซงหนูตั้งอยู่ทางเหนือประสบกับความระส่ำระสายไม่ต่างจากใบไม้ร่วงหล่นท่ามกลางลมหนาวที่พัดพาความเหี่ยวเฉามาถึง ราชสำนักที่เคยเป็นศูนย์รวมอำนาจและเอกภาพแตกออกเป็นสองเสี่ยงอย่างมิอาจประสานได้ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนองค์หญิงใหญ่ซูเหยียนผู้เปี่ยมด้วยความทะเยอทะยานและเหี้ยมหาญ ดุจเดียวกับพญาอินทรีผู้พร้อมจะจิกกระชากทุกอย่างที่ขวางทางสู่บัลลังก์ อีกฝ่ายยืนข้างองค์หญิงรองอวิ๋นซูผู้อ่อนโยนและรักความสงบราวกับหยาดน้ำค้างยามเช้าที่โหยหาเพียงความสงบสุขของผืนป่าความขัดแย้งที่เคยเป็นเพียงรอยร้าวเล็ก ๆ ในที่สุดก็ปะทุขึ้นกลายเป็นสงครามกลางเมือง เลือดและไฟแผดเผาเมืองหลวงจนสิ้นซากซูเหยียนเลือกที่จะเผชิญหน้ากับความโกลาหลด้วยพลังและความเด็ดขาด นางใช้กลยุทธ์อันซับซ้อนและกำลังพลอันเกรียงไกร เพื่อรักษาอำนาจของตนไว้ดุจเดียวกับพยัคฆ์ที่ปกป้องดินแดนของมัน ทุกย่างก้าวของนางคือการแสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดและความเฉียบคมในการเป็นผู้นำในทางกลับกัน อวิ๋นซูไม่อาจทนเห็นราษฎรต้องตกอยู่ในห้วงเพลิงสงคราม นางแอบลอบพาเหล่าข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และเอกสารลับสำคัญบางส่วนออกจากเมืองไปในยามวิกาลท่ามกลางความมืดมิดการหลบ
ในที่สุดการเดินทางอันแสนยาวนานก็สิ้นสุดลง เบื้องหน้าคือประตูไม้ขนาดใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่ของวัดไท่ฝู ลู่หยางกับเหวินซางยืนอยู่เบื้องล่างของบันไดหินที่ทอดยาวขึ้นไปสู่ยอดเขา หมอกยามเช้าปกคลุมรอบบริเวณ ทำให้บรรยากาศดูยิ่งใหญ่และลึกลับกว่าที่คิด“ดูเหมือนว่าความลับจะไม่ยอมเปิดเผยตัวตนง่าย ๆ นะ” เหวินซางเอ่ยขึ้น สายตาจับจ้องไปที่ประตูไม้ที่ปิดสนิทลู่หยางไม่ตอบ เพียงแต่ก้าวเท้าขึ้นบันไดอย่างไม่ลังเล เขารู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่แผ่ออกมาจากวัดแห่งนี้ มันไม่ใช่พลังงานที่ชั่วร้าย แต่เป็นความรู้สึกสงบที่ซ่อนเร้นความยิ่งใหญ่เอาไว้เมื่อมาถึงลานกว้างหน้าประตู เสียงระฆังก็ดังกังวานขึ้นเป็นจังหวะเนิบช้าและหนักแน่น ประตูไม้เปิดออกเองโดยไร้ผู้คน ปรากฏร่างของพระรูปหนึ่งยืนรออยู่ภายใน ลมพัดผ่านมาเบา ๆ คลอไปกับกลิ่นกำยานจาง ๆพระรูปนั้นมีอายุมากแล้ว ใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลาแต่แววตากลับสดใสและเต็มไปด้วยปัญญา ท่านยิ้มให้ลู่หยางอย่างคุ้นเคย ราวกับรู้ว่าเขาจะมาถึง“ในที่สุดเจ้าก็มาถึง ผู้ที่ตามหาความจริงแห่งสายน้ำจิ้นเหอ” พระรูปนั้นกล่าวทักทาย เสียงของท่านสงบแต่ก้องกังวานในความรู้สึกลู่หยาง