การลอบเข้าไปใน ‘กู่หลู่’ ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด ภายในตรอกนั้นมีสายลับจากหลายฝ่ายกระจายอยู่ทั่ว แม้จะเป็นยามค่ำคืนที่เงียบสงัด แต่ทุกย่างก้าวก็มีสายตาหลายคู่จับจ้อง
ลู่หยางในคราบพ่อค้าวัยกลางคนสวมเสื้อผ้าสีทึม มองดูเหมือนคนที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน เขาก้าวเดินไปพร้อมกับเหวินซางที่เดินอยู่ข้างหลังในมาดของนายหน้าผู้เงียบขรึม กลิ่นสมุนไพรจากย่ามของเหวินซางช่วยให้พวกเขาดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
เมื่อมาถึงหน้าคลังกำยานเก่า จิ้นเหอที่รออยู่ก่อนแล้วในมุมมืดได้ส่งสัญญาณมือให้ ลู่หยางและเหวินซางพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนจะเดินผ่านประตูที่ดูเหมือนจะล็อกอยู่ แต่กลับมีช่องว่างที่เปิดไว้สำหรับผู้ที่รู้ทางเข้า
ภายในคลังกำยานเต็มไปด้วยเงาของผู้คน ทุกคนต่างสวมหน้ากากและเสื้อคลุมปิดบังตัวตนอย่างมิดชิด บรรยากาศเงียบสงัดจนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง ทั้งที่ผู้คนแน่นขนัด แต่กลับไม่มีใครส่งเสียงคุยกันเลย ลู่หยางมองสำรวจไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง เขาเห็นคนในชุดของขันทีและเหล่าขุนนางที่ปลอมตัวมา รวมถึงนักฆ่าและพ่อค้าบางส่วน ทุกคนล้วนแต่มีเจตนาซ่อนเร้น
เสียงเคาะโลหะสามครั้งดังก้อง กึง! กึง! กึง! ประตูอีกด้านค่อย ๆ เปิดออก เงาร่างสูงในชุดคลุมดำก้าวออกมา หน้ากากเหล็กรูปเหยี่ยวสะท้อนแสงไฟราง ๆ เขาไม่ต้องเอ่ยอะไร เพียงแค่กวาดตามอง บรรยากาศทั้งห้องก็เงียบลงทันที
“ค่ำคืนนี้” เสียงทุ้มต่ำดังลอดออกมา “กู่หลู่จะนำของล้ำค่าที่สุดมาให้ท่านทั้งหลายได้ประมูล ไม่ใช่ทองคำ ไม่ใช่สมบัติ แต่คือชีวิตคน ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินตรา แรงงาน หรือแม้แต่เครื่องมือในมือของผู้มีอำนาจ”
ผ้าม่านดำด้านหลังถูกดึงเปิด เผยให้เห็นผู้คนที่ถูกล่ามตรวนเรียงรายอยู่บนแท่นไม้เหมือนสินค้าไร้ค่า บางคนเป็นชายหนุ่มร่างกำยำเต็มไปด้วยบาดแผล บางคนเป็นหญิงสาวหน้าตาซีดเซียวแต่ยังคงแววตาดื้อรั้น
เสียงฮือฮาแผ่วต่ำดังขึ้นทั่วห้อง แววตาที่จับจ้องไม่ใช่แววเมตตา แต่คือแววของนักล่า
เหวินซางกระซิบใกล้หู “เจ้าสังเกตหรือไม่ คนที่ถูกล่ามตรวนบางคนมีท่าทางมิใช่ชาวบ้านธรรมดา ดูเหมือนเป็นนักปราชญ์หรือผู้คงแก่เรียน...นั่นหมายความว่า พวกมันมิได้เพียงค้าทาสแรงงาน แต่ยังลักพาตัวผู้รู้และคนมีฝีมือไปขายต่อ”
ลู่หยางกำหมัดใต้แขนเสื้อแน่น เขามองเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งที่ถูกผลักขึ้นแท่น นางสวมชุดผ้าไหมฉีกขาด แต่ท่วงท่ายังแฝงร่องรอยความสง่างาม หัวใจเขากระตุกวูบ ภาพอวิ๋นซูในความทรงจำซ้อนทับขึ้นมา เขาสูดลมหายใจลึกเพื่อสะกดความปั่นป่วน ก่อนหันไปพยักหน้าให้จิ้นเหอ
จิ้นเหอเอ่ยเสียงแผ่ว “ใจเย็น...ยังไม่ถึงรอบสำคัญ ผู้ที่พวกมันจะนำออกมาในภายหลัง...นั่นต่างหากที่เกี่ยวพันกับเบาะแสของเจ้า”
เสียงผู้ดำเนินการประมูลดังขึ้น “ทาสหญิงผู้นี้ เริ่มต้นที่สามสิบตำลึง!”
เสียงประมูลประดังขึ้นอย่างดุเดือด บางคนโบกมือ บางคนส่งสัญญาณลับ ทุกจำนวนเงินที่ขยับขึ้นคือความสิ้นหวังที่ถูกซื้อขายราวกับสิ่งของ
ลู่หยางพยายามอย่างยิ่งที่จะระงับโทสะที่ลุกโชนเมื่อเห็นผู้คนถูกลดค่าลงเหลือเพียงสินค้าไร้ชีวิต แต่เขาจำต้องอดทนเพื่อภารกิจสำคัญที่รออยู่เบื้องหน้า
การประมูลดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เหยื่อรายแล้วรายเล่าถูกขายออกไปราวกับสัตว์เลี้ยง ขุนนางและขันทีต่างให้ความสนใจกับนักปราชญ์และหญิงสาวจากตระกูลสูง ขณะที่กลุ่มนักฆ่าและพ่อค้าเลือกซื้อชายฉกรรจ์สำหรับแรงงานหรือทหารรับจ้าง
ในที่สุด เมื่อการประมูลช่วงแรกจบลง ชายสวมหน้ากากเหยี่ยวยกมือส่งสัญญาณให้เงียบสงบ
“และนี่คือ ‘สินค้า’ ชิ้นสุดท้ายสำหรับค่ำคืนนี้”
ม่านดำด้านหลังถูกเลิกขึ้นอย่างเชื่องช้า เผยให้เห็นร่างหนึ่งที่ถูกพาออกมาโดยชายฉกรรจ์สองคน
ทันทีที่แสงตะเกียงสาดส่อง ผู้คนทั้งห้องก็ส่งเสียงอื้ออึงก้อง ร่างนั้นเป็นชายหนุ่มในชุดขาดรุ่งริ่ง แม้จะถูกล่ามตรวนไว้ทั้งแขนขา แต่ท่วงท่าการก้าวเดินยังคงสง่างามราวกับนักรบผู้ไม่ยอมก้มหัวให้โชคชะตา ใบหน้าคมคายแม้เปื้อนเลือดและฝุ่น แต่แววตากลับแหลมคมดังคมมีด
“ผู้นี้อดีตแม่ทัพแดนเหนือ ผู้มีฝีมือในการบัญชาการทัพและวางกลศึก หากท่านใดได้ไว้ ก็เท่ากับได้ทั้งอาวุธและกุญแจไขสู่ชัยชนะ! แม่ทัพเซียวอวี้” เสียงผู้ดำเนินการก้องกังวาน
เสียงประมูลระลอกแรกดังขึ้นทันที
“หนึ่งร้อยตำลึง!”
“ร้อยห้าสิบ!”
“สองร้อย!”
เสียงตอบรับกระหน่ำราวกับไฟลามทุ่ง บางคนเริ่มยกมือพร้อมท่าทางกดดันจนคนรอบข้างหันมามอง
ลู่หยางขมวดคิ้ว เขารู้จักชายหนุ่มนั้นดี แม้จะไม่ได้สนิทชิดเชื้อ แต่ชื่อเสียงของเขาในสนามรบเคยทำให้ศัตรูสะท้าน หากปล่อยให้ตกอยู่ในมือพวกขุนนางสกุลใหญ่หรือขันที ย่อมหมายถึงหายนะในอนาคต
เหวินซางเอียงหน้าเข้ามากระซิบ “เจ้าเห็นหรือไม่ คนพวกนั้นมิได้มองแค่ทาส แต่กำลังมองอาวุธที่จะพลิกเกมการเมือง”
ลู่หยางกำมือแน่น ความลังเลกัดกินในอก หากเขาก้าวลงสนามประมูล ทุกสายตาจะหันมาที่พวกเขา แผนพรางตาอาจแตกพังในพริบตา แต่ถ้าเขาไม่ทำอะไรเลย ก็เท่ากับปล่อยหายนะให้เกิดขึ้นแน่
จิ้นเหอยกมือแตะบ่าเขาเบา ๆ น้ำเสียงเรียบสงบ “อย่าใจร้อน...เฝ้าดูเสียก่อน ว่าใครจะยกมือในรอบต่อไป ผู้ที่มีอำนาจมักโผล่ออกมาตอนท้าย”
สิ้นคำ เสียงประมูลก็ก้าวกระโดดขึ้นอีกขั้น
“สามร้อยตำลึง!”
“สี่ร้อย!”
“ห้าร้อย!”
ห้องทั้งห้องคล้ายระเบิดออกด้วยความตื่นเต้น เงามืดของเหล่าผู้ประมูลเผยร่องรอยฐานะ กำไลทองที่โผล่จากแขนเสื้อ กริชประดับพลอยที่สะท้อนแสงไฟ หรือแม้กระทั่งเสียงขันทีที่ดังลอดออกมาโดยเผลอ ทุกเบาะแสคือปริศนาที่ลู่หยางต้องจดจำ
เหวินซางขยับริมฝีปากแผ่วเบา “ดูตรงมุมซ้าย...นั่นใช่คนของสกุลหยวนหรือไม่”
ลู่หยางเหลือบตามอง เขาเห็นชายในชุดคลุมไหมดำที่ปักลายเมฆสีเงิน ลวดลายเช่นนั้นใช่จะพบได้ทั่วไป คนผู้นี้หากไม่ใช่สกุลหยวนโดยตรง ก็คือเครือข่ายใกล้ชิดแน่นอน
เสียงประมูลยังคงสูงขึ้นเรื่อย ๆ
“หกร้อย!”
“เจ็ดร้อยตำลึง!”
ผู้คนเริ่มฮือฮา แม้แต่บรรดาพ่อค้าเลือดเย็นยังเม้มปากอย่างตื่นตะลึง ตัวเลขที่ถูกเอ่ยถึงไม่ใช่เพียงเงินทอง แต่คือการลงทุนทางการเมือง การช่วงชิงพลังอำนาจที่อาจเปลี่ยนสมดุลแผ่นดิน
ลู่หยางหายใจถี่ขึ้น ความกดดันหนักอึ้งทับลงบนบ่า เขามองแม่ทัพหนุ่มที่ยังคงยืดอกตรงอย่างสง่างาม แม้ถูกล่ามตรวน ใบหน้าที่เปื้อนเลือดนั้นกลับแฝงร่องรอยท้าทายต่อชะตากรรม ราวกับเขายังไม่ยอมแพ้
“แปดร้อยตำลึง!” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากแถวหลังสุด
ทั้งห้องเงียบกริบ ทุกสายตาหันขวับไปยังต้นเสียง ชายผู้ยกมือประมูลสวมหน้ากากหยกสีขาว แสงตะเกียงสะท้อนวาววับ เขานั่งนิ่งราวกับภูผา สง่างามเยือกเย็นจนแม้แต่ผู้คนรอบข้างยังไม่กล้าเอ่ยวาจา
จิ้นเหอหรี่ตาแผ่วเบา “นั่น...คือใครกัน”
ลู่หยางไม่ตอบ เขาจับจ้องชายหน้ากากหยกด้วยแววตาหนักแน่น ในใจพลันผุดคำถามหากชายผู้นี้ได้แม่ทัพไป จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
แสงจันทร์ลูบไล้ผ่านม่านเมฆ ส่องประกายลงมาบนยอดจวนเจ้าเมืองลั่วหยาง เงาสะท้อนบนกระเบื้องมุงหลังคาเย็นเยียบเหมือนจิตใจที่ถูกแช่แข็งของบุรุษผู้ยืนอยู่เพียงลำพังลู่หยางกำจดหมายของอวิ๋นซูไว้ในมือแน่น ตัวอักษรที่เขียนด้วยลายมืออ่อนหวานนั้นเลือนรางราวกับจะละลายหายไปทุกครั้งที่เขาเพ่งมอง แต่ยิ่งเลือนรางเท่าไร ความทรงจำของเขากลับยิ่งชัดเจนขึ้นเท่านั้นเขาหลับตาลง ภาพรอยยิ้มอ่อนโยนของอวิ๋นซูย้อนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับเสียงที่คุ้นเคย“หากวันหนึ่งเจ้าต้องเลือก จงอย่าเลือกด้วยความแค้น แต่จงเลือกด้วยหัวใจของเจ้า”คำสั่งเสียนี้ กัดกินวิญญาณของลู่หยางมาจนถึงยามนี้...กล่องหยกสลักรูปปลาหลีฮื้ออยู่ในมืออีกข้าง มันดูเงียบงามสงบ แต่ภายในกลับซ่อนแผนที่ที่เป็นต้นเหตุแห่งการนองเลือดทั่วแว่นแคว้น เขารู้ดีว่าไม่ว่าผู้ใดครอบครองมัน จะต้องเผชิญกับไฟสงครามที่ไม่อาจหลีกหนี“หากข้าเก็บมันไว้ ข้าจะถูกตามล่าไม่สิ้นสุด... หากข้าส่งต่อ มันจะเป็นชนวนสงครามที่ไม่รู้จบ” ลู่หยางพึมพำเขาเหลือเพียงทางเดียวใช้มันเป็นเครื่องมือตัดสินเกมที่ทุกฝ่ายต่างสวมหน้ากากอยู่เขาเรียกทหารคนสนิทที่เหลืออยู่ไม่กี่นาย มอบหมายให้กระจายข่าว
ในขณะที่เขาเริ่มสงสัยในแผนการของตนเอง เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังขึ้นหน้าจวนของเขา และคนที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหลี่เซียน สหายที่เขาเคยไว้ใจมากที่สุดในชีวิตหลี่เซียนสวมชุดอาภรณ์สีเข้มที่ดูสูงศักดิ์กว่าแต่ก่อนมาก บนใบหน้าของเขายังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้มที่เคยเป็นมิตร แต่ในรอยยิ้มนั้นกลับซ่อนความเยาะเย้ยไว้อย่างเห็นได้ชัด“เจ้าไม่ได้มาหาข้าตั้งนานแล้วนะ สหายของข้า” ลู่หยางเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“ก็ข้ากลัวว่าหากข้ามาแล้วเจ้าจะคิดถึงอวิ๋นซูขึ้นมาน่ะสิ” หลี่เซียนตอบด้วยน้ำเสียงที่หยอกล้อ แต่กลับเสียดแทงลู่หยางราวกับคมมีด“แต่ในที่สุดข้าก็อดรนทนไม่ไหว ข้าอยากจะมาแสดงความยินดีกับเจ้าด้วยตัวเองที่หาความจริงเกี่ยวกับแผนที่นั้นได้แล้ว”“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ลู่หยางถามด้วยความประหลาดใจ“เจ้าก็รู้ว่าข้าหมายถึงอะไร” หลี่เซียนหัวเราะในลำคอ “แผนที่ที่อยู่ในกล่องไม้สลักลายโบราณน่ะ”ลู่หยางต้องใช้สมาธิอย่างหนักเพื่อที่จะไม่แสดงความตกใจออกมาให้เห็น เขาเก็บกล่องไม้ไว้ในห้องส่วนตัวตลอดเวลา และไม่เคยมีใครรู้เรื่องนี้มาก่อน ยกเว้นเขาและเหวินซางในตอนนั้นเองที่ลู่หยางรู้สึกถึงความผ
ห้องของหลี่เซียนสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อยจนน่าประหลาดใจ ผิดวิสัยของคนทั่วไป เหวินซางไล่สายตาไปทั่วห้อง กระทั่งมาหยุดอยู่ที่ตู้ไม้ฉลุลายโบราณขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่มุมห้อง มันเป็นตู้ที่ดูธรรมดา แต่กลับมีกลไกซับซ้อนที่เหวินซางมองเห็นได้อย่างรวดเร็วเขาใช้ปลายดาบเคาะลงบนจุดที่ดูเหมือนจะเป็นสลักลับ สลักนั้นคลายออกและตู้ก็เปิดออก ภายในมีช่องลับซ่อนอยู่ และในนั้น... มีเพียง กล่องหยกสลักรูปปลาหลีฮื้อ วางอยู่โดดเดี่ยวหัวใจของเหวินซางกระตุกวูบ ความรู้สึกเลวร้ายถาโถมเข้ามาในอกทันที เขาหยิบกล่องหยกขึ้นมาสำรวจ มันเป็นกล่องหยกธรรมดา แต่ใต้ฝากล่องกลับมีกระดาษแผ่นหนึ่งซ่อนอยู่เขาคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกอย่างระมัดระวัง บนนั้นมีข้อความที่เขียนด้วยหมึกจางๆ ไม่กี่บรรทัด และเมื่อเขาอ่านจบ ร่างของเหวินซางก็แข็งทื่อราวกับถูกสาป ข้อความนั้นเป็นลายมือของอวิ๋นซู“ท่านพี่หลี่เซียน... ท่านเป็นคนที่ข้าไว้ใจที่สุด... ได้โปรดมอบแผนที่นี้คืนให้ข้าด้วยเถิด...”คำว่า “แผนที่นี้” ถูกขีดเส้นใต้ไว้หลายครั้งอย่างหนักหน่วง ราวกับต้องการเน้นย้ำถึงความสำคัญของมัน เหวินซางกำกระดาษแผ่นนั้นไว้ในมือแน่น เขาเข้าใจทุกอย่างในท
ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจเดินทางต่อไปยังแคว้นเป่ยหลานเพื่อหาพันธมิตรและเปิดเผยแผนการของเซี่ยหมิงต่อโลกภายนอก ในที่สุดอวิ๋นซูและหลี่เซียนก็มาถึงเมืองหลวงของแคว้นเป่ยหลาน พวกเขาเข้าไปขอเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้เป่ยหลานเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย“เราไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในของแคว้นอื่นได้” องค์ฮ่องเต้ตรัสอย่างเย็นชา“พวกเจ้ากลับไปเถิด”อวิ๋นซูสิ้นหวัง แต่หลี่เซียนกลับมองเห็นหนทางอื่น “ฝ่าบาท...มีบุรุษผู้หนึ่งนามว่าเซี่ยหมิง...เขาคือผู้ที่ทำให้ซงหนูเกิดสงครามกลางเมือง...และตอนนี้เขาก็กำลังสร้างปัญหาให้กับแคว้นเป่ยหลานด้วย”องค์ฮ่องเต้หันมามองหลี่เซียนด้วยความสนใจ “เจ้าว่าอย่างไรนะ? เซี่ยหมิงรึ?”“พ่ะย่ะค่ะ” หลี่เซียนตอบ“ข้าได้สืบรู้มาว่าเซี่ยหมิงคือคนสนิทของท่านแม่ทัพใหญ่ และเขากำลังวางแผนที่จะโค่นล้มราชบัลลังก์ของฝ่าบาทด้วยการใช้พลังของท่านแม่ทัพ”องค์ฮ่องเต้ทรงตกตะลึงกับคำพูดของหลี่เซียนและเริ่มตระหนักถึงภัยคุกคามที่ซ่อนอยู่ภายในราชสำนักของพระองค์เอง พระองค์จึงตัดสินใจให้หลี่เซียนและอวิ๋นซูอยู่ที่วังเพื่อรวบรวมหลักฐานเพื่อเปิดโปงเซี่ยหมิงอวิ๋นซูและหลี่เซียนใช้เว
หลายปีก่อน แคว้นซงหนูตั้งอยู่ทางเหนือประสบกับความระส่ำระสายไม่ต่างจากใบไม้ร่วงหล่นท่ามกลางลมหนาวที่พัดพาความเหี่ยวเฉามาถึง ราชสำนักที่เคยเป็นศูนย์รวมอำนาจและเอกภาพแตกออกเป็นสองเสี่ยงอย่างมิอาจประสานได้ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนองค์หญิงใหญ่ซูเหยียนผู้เปี่ยมด้วยความทะเยอทะยานและเหี้ยมหาญ ดุจเดียวกับพญาอินทรีผู้พร้อมจะจิกกระชากทุกอย่างที่ขวางทางสู่บัลลังก์ อีกฝ่ายยืนข้างองค์หญิงรองอวิ๋นซูผู้อ่อนโยนและรักความสงบราวกับหยาดน้ำค้างยามเช้าที่โหยหาเพียงความสงบสุขของผืนป่าความขัดแย้งที่เคยเป็นเพียงรอยร้าวเล็ก ๆ ในที่สุดก็ปะทุขึ้นกลายเป็นสงครามกลางเมือง เลือดและไฟแผดเผาเมืองหลวงจนสิ้นซากซูเหยียนเลือกที่จะเผชิญหน้ากับความโกลาหลด้วยพลังและความเด็ดขาด นางใช้กลยุทธ์อันซับซ้อนและกำลังพลอันเกรียงไกร เพื่อรักษาอำนาจของตนไว้ดุจเดียวกับพยัคฆ์ที่ปกป้องดินแดนของมัน ทุกย่างก้าวของนางคือการแสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดและความเฉียบคมในการเป็นผู้นำในทางกลับกัน อวิ๋นซูไม่อาจทนเห็นราษฎรต้องตกอยู่ในห้วงเพลิงสงคราม นางแอบลอบพาเหล่าข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และเอกสารลับสำคัญบางส่วนออกจากเมืองไปในยามวิกาลท่ามกลางความมืดมิดการหลบ
ในที่สุดการเดินทางอันแสนยาวนานก็สิ้นสุดลง เบื้องหน้าคือประตูไม้ขนาดใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่ของวัดไท่ฝู ลู่หยางกับเหวินซางยืนอยู่เบื้องล่างของบันไดหินที่ทอดยาวขึ้นไปสู่ยอดเขา หมอกยามเช้าปกคลุมรอบบริเวณ ทำให้บรรยากาศดูยิ่งใหญ่และลึกลับกว่าที่คิด“ดูเหมือนว่าความลับจะไม่ยอมเปิดเผยตัวตนง่าย ๆ นะ” เหวินซางเอ่ยขึ้น สายตาจับจ้องไปที่ประตูไม้ที่ปิดสนิทลู่หยางไม่ตอบ เพียงแต่ก้าวเท้าขึ้นบันไดอย่างไม่ลังเล เขารู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่แผ่ออกมาจากวัดแห่งนี้ มันไม่ใช่พลังงานที่ชั่วร้าย แต่เป็นความรู้สึกสงบที่ซ่อนเร้นความยิ่งใหญ่เอาไว้เมื่อมาถึงลานกว้างหน้าประตู เสียงระฆังก็ดังกังวานขึ้นเป็นจังหวะเนิบช้าและหนักแน่น ประตูไม้เปิดออกเองโดยไร้ผู้คน ปรากฏร่างของพระรูปหนึ่งยืนรออยู่ภายใน ลมพัดผ่านมาเบา ๆ คลอไปกับกลิ่นกำยานจาง ๆพระรูปนั้นมีอายุมากแล้ว ใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลาแต่แววตากลับสดใสและเต็มไปด้วยปัญญา ท่านยิ้มให้ลู่หยางอย่างคุ้นเคย ราวกับรู้ว่าเขาจะมาถึง“ในที่สุดเจ้าก็มาถึง ผู้ที่ตามหาความจริงแห่งสายน้ำจิ้นเหอ” พระรูปนั้นกล่าวทักทาย เสียงของท่านสงบแต่ก้องกังวานในความรู้สึกลู่หยาง