Masukเสียงพิณบรรเลงคลอเบาๆ จากเรือนดนตรีด้านนอกลมทะเลทรายยามราตรีพัดผ่านม่านผ้าลินินบางสีทอง สะบัดช้า ๆ คล้ายละอองแสงดาวไหลลงมาในห้องหอ
ห้องหอของราชวังถูกประดับด้วยผอบทองคำ น้ำมันหอมกลิ่นดอกบัว และเทียนร้อยเล่ม แสงนวลของมันสะท้อนผิวหินอ่อนสีครีมจนดูราวกับอยู่ในโลกของเทพเจ้า
กลางห้องบนเตียงกว้างปูผ้าลินินขาวปักดิ้นทอง เนทาเรียนั่งก้มหน้างามในชุดเจ้าสาวที่บางเบา ริมฝีปากเธอสั่นน้อย ๆ ด้วยทั้งความประหม่าและความสุข ดวงตาฉ่ำน้ำตาเมื่อคิดถึงภาพฟาโรห์ที่สาบานรักต่อหน้าประชาชนทั้งแผ่นดิน
ประตูบานใหญ่เปิดออก ราเมเซสเสด็จเข้ามา ทรงคลุมเพียงผ้าลินินสีขาว พระอังสาและแผ่นอกเปล่งประกายแกร่งอย่างนักรบ ดวงเนตรเข้มที่เคยมองด้วยความเย็นชา บัดนี้กลับอ่อนโยนเหมือนสายน้ำไนล์
“เนทาเรีย… นี่คือคืนของเรา”
เขาก้าวเข้ามานั่งตรงหน้า ยกพระหัตถ์แตะปลายคางเธอแผ่วเบาก่อนจะกดจูบลงบนหน้าผาก อุ่นจนเธอสะท้าน สองมือที่เคยเย็นจากทองคำและดาบศึก ลูบไล้ต้นคอและแผ่นหลังของเธออย่างคนรักมากกว่ากษัตริย์
เนทาเรียหลับตารู้สึกว่าทุกสัมผัสเป็นเพลิงอุ่นที่ละลายหัวใจ เธอค่อย ๆ ยื่นมือแตะอกเขา รับรู้จังหวะเต้นแรงของหัวใจผู้ครองสองแผ่นดิน
เสียงพิณแผ่วลง… เหลือเพียงเสียงลมหายใจสองคนในห้องหอราเมเซสเอื้อมปลดสายชุดบางของเธออย่างแผ่วช้า เผยผิวขาวเนียน ที่สะท้อนแสงเทียนราวกลีบบัว นางสั่นเบา ๆ แต่ไม่ถอย ดวงตาสบกัน สั่นระริก
“อย่ากลัว ข้าจะอ่อนโยน” เขากระซิบ
ริมฝีปากเขาแตะบนไหล่ไล่ลงมาถึงอกอ่อน มือใหญ่ลูบแผ่นหลังและเอวบางในจังหวะที่หัวใจเต้นแรงขึ้น ความอุ่นร้อนจากกายเขาแผ่ซ่านเข้ามา ทำให้เธอแทบละลาย
หญิงสาวหายใจแรง ยกมือจับแขนเขาแน่น เสียงครางเบา ๆ หลุดจากริมฝีปากอย่างห้ามไม่อยู่ ความหวานและความร้อนคละคลุ้งอยู่ในอากาศราวน้ำผึ้งและไฟ
ดวงตาของเขามองนางอย่างไม่มีอะไรซ่อนเร้น ไม่ใช่เพียงตัณหาแต่คือแรงอารมณ์ของคนที่รักจนแทบทำลาย
“เนธาเลีย…”
“ข้ารอมานานเหลือเกิน… เพื่อได้สัมผัสเจ้าด้วยความรัก ไม่ใช่เพียงพิธี ไม่ใช่เพียงอำนาจ…”
นางยิ้มบาง ๆ ปลายนิ้วนางสั่นแต่หัวใจเต้นแรง
“คืนนี้… ข้าเป็นของท่านแล้ว ราเมเซส” “ยอดรักของข้า…”
เขาช้อนมือใต้คางนางก้มลงจูบแรก… อ่อนโยนและเนิ่นนานจนเหมือนลมหายใจถูกถ่ายเทกันผ่านปลายลิ้นเขาเลียริมฝีปากนางก่อนจะกดจูบอีกครั้งลึกกว่าเดิมและนางก็จูบตอบ ใจเต้นระรัว มือโอบหลังเขาไว้แน่น
จ๊วบ... อืมมม... จ๊วบ...
เสียงจูบดังในห้องเงียบมือเขาลูบผมของนาง แล้วเลื่อนลงไหล่ แล้วมาหยุดที่อกที่สั่นเบา ๆ ใต้ผ้าบาง
“เจ้าสั่น… เจ้ากลัวข้าหรือ?”
“ข้า… สั่นเพราะอยากให้ท่านแตะข้าเหลือเกิน…”
เขาหัวเราะนุ่มมือเขาเลื่อนผ่านผ้าบาง ถอดชิ้นสุดท้ายของอาภรณ์แห่งเจ้าหญิงออกจากร่างนุ่มนวลและเมื่อเนื้อนางเปลือยเปล่าต่อหน้าเขาเขาก็เปล่งเสียงในคอ คล้ายคำสวดแทบกระซิบ
“เจ้าคือบทกวีของข้า… ทุกส่วนของเจ้าคือถ้อยคำที่ข้าอยากเลียทุกรสหวาน” เขาก้มลง จูบไหล่นางเลื่อนลงจูบยอดอกข้างหนึ่ง ก่อนจะเปิดริมฝีปาก ดูดดึงอย่างแนบแน่น
“อ๊าาา… ราเมเซส…”
“ยอดรัก… ท่าน…”
เขาใช้ลิ้นวนรอบยอดอก ก่อนจะกัดเบา ๆ และดูดอีก
มือหนึ่งขยี้อกอีกข้าง ราวกับปรนเปรอให้นางสั่นสะท้านทั้งร่าง เขาไล้ลิ้นลงกลางลำตัว ผ่านหน้าท้องแบนราบ ลงไปที่เนินนุ่มกลางกลีบหอมที่เริ่มเปียกชื้นนางบิดตัวด้วยแรงเสียวที่ยังไม่เคยได้รู้มาก่อน“ข้าจะยังไม่ครอบครองเจ้า… แต่ข้าจะปรนเปรอเจ้าจนเจ้าขอร้องให้ข้าเข้าไปด้วยใจของเจ้าเอง…”
เขาแยกขานางออกเบา ๆ จูบดอกไม้กลางกายอย่างรักใคร่แล้ว ใช้ลิ้นร้อนแตะกลางกลีบเปียกแฉะ อย่างอ้อยอิ่ง เขาไม่รีบร้อน เขาเพียงละเลียดกลีบดอกนุ่มด้วยปลายลิ้น
“อ๊า… อ๊าาา… ข้า… ข้าจะขาดใจ…”
“ยอดรัก… เจ้า… ทำให้ข้าหวั่นไหวเกินไป…”
เขายิ้มบนต้นขานาง แลบลิ้นเลียขึ้นทีละเส้นกลีบวนบนเม็ดเสียวจนเสียงนางสั่น
จ๊วบ... แจะะ... จ๊วบบบ…
เขาดูดแรงสลับเบา เลียวนแล้ววนอีก แตะ… ขยี้… ลึกแต่ไม่สอดและนางตัวสั่นไปหมด สะโพกยกขึ้นรับลิ้นเขาเองโดยไม่รู้ตัว
“ข้า… ข้าจะ อ๊า อา เรซ… อือ…!!”
เขายังไม่หยุด ยังเลียต่อจนเธอเสร็จซ้ำอีกครั้ง น้ำใสทะลัก กลีบเปียก มือจิกผ้าปูลมหายใจขาดห้วง ร่างเกร็ง เขาคลานขึ้นมา ปากยังเปื้อนน้ำรักของเธอ ริมฝีปากเขาแนบกับหน้าผากนางเบา ๆ
“ข้าอยากเห็นเจ้าปลดปล่อยจากปากข้าอีกสักครั้งก่อนเจ้าจะยอมให้ข้า…เพราะเจ้าคือยอดรัก ไม่ใช่เพียงหญิงที่จะถูกครอบครอง”
“เจ้าคือราชินีที่ข้าจะบูชาทั้งหัวใจ และปลายลิ้นของข้า…”
เสียงลมหายใจเธอขาดห้วงร่างบอบบางของคนตัวเล็กสั่นระริกบนแท่นบรรทมทองต้นขาเกร็งรัดแน่น หน้าอกกระเพื่อมแรงตามจังหวะหัวใจที่เหมือนจะระเบิดออกจากอก
เธอเพิ่งปลดปล่อยไปไม่ใช่ครั้งเดียว แต่มากกว่านั้น…จากปากเขาจากนิ้วของเขาจากการเล้าโลมที่อ่อนโยนราวกับถูกบูชาแต่ก็ร้อนแรงเกินกว่าร่างใดจะทานทน
เขา… ยังไม่ได้ครอบครองเธอเลยแม้แต่นิด แต่เขาทำให้เธอสั่น กรีดร้อง และปล่อยน้ำรักออกมาจนแทบหมดตัว
ริมฝีปากของเขายังชุ่มไปด้วยน้ำหวานจากกลีบดอกไม้ของเธอ
และในขณะที่ร่างเธอกำลังคลายเกร็งจากความสุขซ้อนซ้ำ เขาก็ค่อย ๆ ถอนนิ้วออกจากโพรงฉ่ำที่ยังคงตอดขมิบเบา ๆ อยู่ปลายนิ้วเขาเปียกชุ่มเงาวาวด้วยน้ำใสที่ไหลออกมาจากกายของเธอเอง“ดูสิ…” เขากระซิบ
“เจ้าสวยแม้กระทั่งตรงนี้ หวานเสียจนข้าหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น”
เขายกนิ้วนั้นขึ้น… มองมันราวกับเป็นของล้ำค่าก่อนจะค่อย ๆ แลบลิ้นออกมา… แล้ว เลียปลายนิ้วของเขาอย่างช้า ๆ
แจะะ... จ๊วบบบ...
เสียงนั้นน่าขายหน้าแต่นางกลับไม่อาย ร่างเธอร้อนวูบน้ำตาคลอเบ้าเพราะเขาทำเหมือนร่างกายของเธอคือของศักดิ์สิทธิ์ คือสิ่งที่เขา "รัก" จริง ๆ
เขาดูดนิ้วแรงขึ้น ดูดแบบเดียวกับที่เขาเคยดูดยอดอกเธอ แววตาเขาไม่ละจากใบหน้าเธอเลยแม้แต่นิด
“ข้าชอบรสชาติของเจ้า… มันหวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งจากแม่น้ำไนล์”
“และข้าจะทำให้เจ้าปล่อยรสนี้… บนลิ้นข้า… ทุกคืน”เสียงลมหายใจในห้องบรรทมดังสลับกันระหว่างสองร่างแผ่นหลังของเนธาเลียชื้นเหงื่อ สะโพกยังสั่นระริก ปลายนิ้วของเธอเกาะต้นแขนเขาไว้แน่นเหมือนจะหลุดลอยหากปล่อย
นางเสร็จแล้ว... ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากลิ้นเขาจากความรักที่ทั้งหวานลึกทั้งร้อนแรงราวเปลวเพลิงใต้ทราย แต่นี่คือคำคืนของการบรรจบเป็นหนึ่งเดียว
เมื่อเธอพริ้มตาหลับ หายใจสะท้าน และกระซิบเสียงแผ่ว
“เข้ามา… เมสยอดรัก… ข้าพร้อมแล้ว…”
ฟาโหห์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ค่อย ๆ จับปลายท่อนร้อนของตน…ซึ่งบัดนี้แข็งจัด ร้อนฉ่า และเต้นตุบ ๆ อย่างโหยหาเขานำมันแนบกับดอกไม้ที่บานสะพรั่งและฉ่ำเยิ้มของราชินีผู้เป็นยอดรัก
มือเขาสั่นเล็กน้อยเพราะนี่ไม่ใช่เพียงการร่วมรัก แต่คือการ “ครอบครอง” หัวใจ วิญญาณ และร่างนาง… อย่างแท้จริง
เขาก้มลง จูบหน้าผากนางแผ่วเบา ก่อนจะกระซิบชิดหูนางด้วยเสียงที่แทบไม่ต่างจากคำสาบาน
“ข้าจะไม่รีบ...ข้าจะเข้าไปทีละนิด…ให้เจ้ารู้ว่า... ไม่มีใครลึกถึงหัวใจเจ้าได้ นอกจากข้า…”
เขาขยับเอวกดสะโพกช้า ๆ ปลายหัวบาน ค่อย ๆ แหวกกลีบนุ่มเข้าไป… กลีบของเธอ ดูดรัดมันไว้แน่น เสียงแฉะเบา ๆ ดังขึ้นทันที
เธอเกร็งนิ้วจิกแขนเขา ดวงตาเบิกเล็กน้อย แต่ไม่มีความกลัว มีเพียงเสียงหอบและดวงหน้าที่แดงจัด
“อ๊าาา… ยอดรัก…”
เสียงของเขา... ทั้งนุ่ม ทั้งต่ำ ทั้งหยาบโลนเสียจนขาเธออ่อนวูบ และยังไม่ทันได้เอ่ยปฏิเสธอะไร เขาก็ก้าวเข้ามาเขาจับคางเธอไว้แน่นนิ่งแล้วจูบ ไม่ใช่จูบของคนแปลกหน้า แต่จูบของผู้ครอบครอง จูบของผู้ที่รู้ว่าริมฝีปากเธอชอบสัมผัสแบบไหน รุนแรงแค่ไหนถึงจะทำให้เธอครางเธอพยายามผลักเขาออก แต่ไม่มีแรงเลยแม้แต่นิด ในฝันนี้เขา เหนือกว่า เธอในทุกด้านทั้งกาย ทั้งใจทั้งความต้องการที่เหมือนเขาอ่านเธอออกหมดมือของเขาเลื่อนไปยังต้นคอ ไล่ลงมาตามแนวไหล่ ก่อนจะกระชากชุดนอนบางเบาออกเหมือนไม่มีค่าอะไร แค่ผ้าผืนนั้นร่วงลงพื้น เสียงก็ดังเหมือนโซ่ตรวนหลุดออกจากข้อมือเธอ แต่ไม่ใช่อิสระ ตรงกันข้ามมันคือการถูกจับตรึงไว้กับโชคชะตาอันเร่าร้อนที่หลีกไม่พ้น“ร่างกายของเจ้า... สร้างมาเพื่อให้ข้าสัมผัสเท่านั้น”เขากระซิบข้างหู ขณะที่ร่างของเขาเบียดแนบชิด มือของเขาไล้ไปตามเอวเธอ ทุกจุดที่นิ้วเขาผ่านไป เหมือนมีเปลวไฟแตะลงบนผิวเธอกัดริมฝีปากแน่น ฝืนไม่คราง แต่แล้วเขาก็ก้มลงดูดกลืนยอดอกที่เริ่มแข็งตั้ง"อ๊า—!"เสียงครางแรกหลุดออกมาโดยไม่รู้ตัว เขายิ้ม ยิ้มของผู้ชนะ ยิ้มข
กาลเวลาหมุนผ่านนับพันปีทรายแห่งทะเลทรายไหลรินกลบซากวิหารและสุสานทีละชั้นเสียงพิณแห่งงานวิวาห์วันนั้นเงียบดับ กลายเป็นเพียงเสียงลมพัดก้องในซอกหินรอยเลือดที่รดลงบนพื้นหินแห้งกรัง ถูกกลบด้วยฝุ่นทรายและเถ้าถ่านเหลือไว้เพียงเงาคำสาปที่ฝังลึกลงในแผ่นดินวิญญาณที่เคยโหยหาและกรีดร้องถูกกาลเวลาโอบปิด แต่ถ้อยคำโบราณยังคงก้องสะท้อนในชั้นหิน “เมื่อรักแท้บรรจบ ความตายจักบังเกิด”พันปีแล้วพันปีเล่า…อาณาจักรล่มสลาย จักรวรรดิใหม่ ผงาดขึ้นและดับไปแม่น้ำไนล์ยังคงไหลเรื่อยไม่รู้จักสิ้น ผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าเดินผ่านผืนทราย โดยไม่รู้เลยว่าใต้เท้าของพวกเขายังมีความลับ รอการปลุกให้ตื่นลมทะเลทรายพัดแรงกว่าปกติ ดั่งเสียงกระซิบของวิญญาณโบราณที่ถูกจองจำมาเนิ่นนาน ประกายดวงจิตหนึ่งค่อย ๆ ฉีกม่านกาลเวลา ล่องลอยผ่านสายลม…จากร่างหญิงสาวผู้ถูกสาปพันธนาการเมื่อพันปีที่แล้ว สู่อีกเรือนกายหนึ่งในยุคปัจจุบันแสงไฟสีขาวจากเพดานสนามบินไคโรสะท้อนกับพื้นกระเบื้องหินอ่อน ผู้คนขวักไขว่ เสียงประกาศเที่ยวบินดังเป็นระยะท่ามกลางความวุ่นวาย เสียงลากกระเป๋าเดินทาง รถเข็นสัมภาระ และผู้โดยสารหลายเชื้อชา
ในความมืดมิดที่ปกคลุมห้องบูชาลับใต้ดิน แสงอักษรสีเขียวหม่นยังคงเรืองรองจากอักขระบนผนังลามไล้ลงพื้นหินราวงูเปลือยพิษ ผิวของเจ้าหญิงฮาเชียร่าเต็มไปด้วยอักษรดำที่ไหลย้อนขึ้นจากเลือด มันซึมเข้าในรูขุมขน แทรกซึมเข้าในเส้นเลือดแดงทุกเส้นเหมือนหมึกของข้อตกลงที่ไม่มีวันลบ สะท้อนใบหน้าบ้าคลั่งของเจ้าหญิง และนักพรตเฒ่าสองคน เสียงหัวเราะของนางค่อยๆ เบาลง จนเหลือเพียงเสียงหอบหายใจแผ่วเบา ทว่าคำสาปที่ถูกปลุกให้ตื่นเต็มที่แล้วนั้น มิใช่สิ่งที่ได้มาฟรีๆ มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอพรหมจรรย์ของผู้ร้องขอ ซึ่งเป็นเลือดบริสุทธิ์ที่ต้องถูกพรากไปเพื่อบูชาเทพีแห่งความมืดนักพรตเฒ่าคนแรก ผู้ที่มีผิวซีดเหมือนขี้เถ้าและตาลึกดำสนิท ก้มลงกระซิบใกล้หูของนางด้วยเสียงแหบพร่าเหมือนเสียงจากขุมนรก“คำสาปสมปรารถนาแล้ว... แต่เจ้าก็ต้องจ่ายราคา ร่างกายของเจ้าจะเป็นภาชนะของเทพีอามนี เคฟี เรธทู จิตวิญญาณของเจ้าจะถูกผ่าครึ่งเพื่อเลี้ยงปีศาจในสุสานโบราณ”นักพรตเฒ่าอีกคน ผู้ที่ผิวเหี่ยวย่นและมือสั่นเทา ยิ้มแสยะอย่างชั่วร้าย ขณะที่เขาเอื้อมมือจับชายชุดคลุมดำปักทองของนาง แล้วดึงมันออกอย่างหยาบกระด้
ณ ห้องบูชาลับใต้ดิน กลิ่นกำยานผสมกลิ่นไหม้ของสมุนไพรเน่าเหม็นคลุ้งไปทั่ว ผนังหินสลักอักขระโบราณเรืองแสงสีดำปนเทาและกลิ่นคาวเลือด แสงไฟจากคบเพลิงส่องให้เห็นเงาดำของรูปเทพีอันบิดเบี้ยวเจ้าหญิงฮาเชียร่าในชุดคลุมดำปักทอง ยืนสง่างามราวหญิงสาวจากขุมนรก ในเงามืดริมฝีปากแดงจัดกำลังขยับท่องคาถาเสียงต่ำข้างหน้าแท่นหินดำวางตุ๊กตามัมมี่สองตัว ขดพันด้วยผ้าลินินเก่าเปื้อนคราบเลือดสดใหม่นักพรตเฒ่าผิวเหี่ยวย่น ยืนอยู่ด้านหลัง โบกธูปที่ปล่อยควันหนาทึบเสียงเขาแหบพร่าดังก้อง“อามนีนูบีซุส… โอบาคา นีตาทู…ซีตีเทคานิคเซียรู”โอ้ มารดาแห่งความตาย… คำแห่งความมืด…จงสาปแช่งนางผู้ชิงรักไปเจ้าหญิงฮาเชียร่าหัวเราะเบา ๆ ดวงตาคมวาวด้วยเปลวริษยาเธอยกมีดสั้นด้ามทอง ปลายมีดแกะสลักลายอังค์กลับแสงไฟสะท้อนวาววับ“เมื่อข้าไม่ได้… เจ้าก็ไม่มีวันได้!”เธอปักมีดลงไปกลางอกตุ๊กตามัมมี่เพศหญิงอย่างแรง เสียงแผดร้องของเนทาเรียดังสะท้อนขึ้นทันทีราวข้ามมิติ เลือดสดหยดออกมาจากผ้าลินินเหมือนตุ๊กตานั้
“อานูบิส คา-เมเรต เนเฟรู-เรต”(เทพแห่งความตาย จงผูกมัดวิญญาณนี้ด้วยบ่วงรักอันสาปแช่ง)เนทาเรียกุมศีรษะทั้งสองมือเส้นเลือดนูนขึ้นตรงขมับ ร่างบางสั่นสะท้านจากดวงตาที่เคยอ่อนหวานปรากฏประกายทองวาววับ ราวกับเทพเจ้าที่หลับใหลตื่นขึ้นมาสวมวิญญาณเธอเงาดำรูปร่างคล้ายสตรีในชุดคลุมโบราณคืบคลานออกมาจากผืนผ้าโปร่งเสียงสตรีนั้นแหบพร่าราวพัดทะเลทราย“หากเจ้ามอบรักแท้ให้ฟาโรห์… เลือดของผู้เป็นที่รักจักกลายเป็นบรรณาการ…”หญิงสาวกรีดร้องทันทีที่ประโยคนั้นจบเส้นอักขระเรืองแสงสีดำแดงลอยปรากฏบนผิวเธอทีละเส้น ราวกับมีใครสลักจารึกโบราณลงบนร่างกายพระองค์เอื้อมมือคว้าแขนเธอ แต่เมื่อสัมผัส กลับเหมือนถูกแรงสายฟ้าดันกระเด็นออกไปเสียงกระซิบดังพร้อมกันนับร้อย“เมริต… เคต… เจดู…!”(รัก… เลือด… ความตาย…)ร่างบางทรุดคุกเข่า ร่างสั่นสะท้านเหมือนถูกบางสิ่งฉีกจากภายในน้ำตาสีเลือดไหลจากหางตา เธอแหงนหน้ามองเขา ดวงตาทองแปรเปลี่ยนเป็นแดงเข้ม“ราเมเซส… ยิ่งข้ารักท่าน… คำสาปยิ่งแรง…หากดวงใจเราตรงกัน ความตายจักบังเกิด!”เสียงนั้นไม
เขาก้มลงจูบริมฝีปากนางอีกครั้งแล้ว ดันเข้าไปอีกนิดเพียงครึ่งหนึ่งของความยาวลำเขาแน่นร้อนและฝังเข้าไปในโพรงนุ่มแคบที่กำลังขมิบรับเขาอย่างตื่นเต้นสั่นไหว“ถึงเพียงครึ่ง… แต่เจ้าตอดรัดเหลือเกิน…”“เจ้ารู้ไหม… ข้าแทบจะไม่ไหว…”เขาหยุดตรงนั้นไม่ดันเข้าไปอีก แต่เธอก็แน่นเสียจนเขาต้องกัดฟัน ความร้อนของร่างเธอกำลังกลืนเขาทีละช้า ๆ อย่างมีชีวิตเธอกระชับสะโพกแน่นเหมือนอยากได้มากกว่านั้น แต่มือเขากดเอวเธอไว้แผ่วเบาห้ามปรามอย่างรักใคร่“พอแล้ว… แค่นี้ก่อน…”“ข้าจะไม่เร่ง…เพราะข้าอยากให้เจ้าจำ ‘ครั้งแรก’ นี้ ว่ามันเริ่มด้วยความรัก ไม่ใช่เพียงตัณหา…”เขานิ่งสะโพกแนบสะโพก หายใจร้อนรินกลีบของเธอตอดเขาเบา ๆ ทุกจังหวะหัวใจและทั้งคู่นอนกอดกันแน่น โดยที่เขายังอยู่ ในตัวเธอ...คบเพลิงรอบห้องหอวูบไหวแรงขึ้นโดยไม่มีลมพัด กลิ่นกำยานหอมหวานกลายเป็นกลิ่นคาวโลหิตจาง ๆ คลออยู่ในอากาศ ใต้ร่างของหญิงสาวรอยอักษรไฮเออโรกลึกลับที่สลักไว้บนแท่นบรรทมทองเริ่มเรืองแสงเป็นเงาดำล้อมรอบจาง ๆ ทุกจังหวะหัวใจของเธอเต้นแรงเหมือนถูกใครตีกลองเรียกวิญญาณราเมเซสยังคงโอบกอดราชินีของเขาไว้แน่น ท่อนร้อนของเขาอยู่ในโพรงนุ่มเพียงครึ่ง







