Masukเขาก้มลงจูบริมฝีปากนางอีกครั้งแล้ว ดันเข้าไปอีกนิดเพียงครึ่งหนึ่งของความยาวลำเขาแน่นร้อนและฝังเข้าไปในโพรงนุ่มแคบที่กำลังขมิบรับเขาอย่างตื่นเต้นสั่นไหว
“ถึงเพียงครึ่ง… แต่เจ้าตอดรัดเหลือเกิน…”
“เจ้ารู้ไหม… ข้าแทบจะไม่ไหว…”
เขาหยุดตรงนั้นไม่ดันเข้าไปอีก แต่เธอก็แน่นเสียจนเขาต้องกัดฟัน ความร้อนของร่างเธอกำลังกลืนเขาทีละช้า ๆ อย่างมีชีวิต
เธอกระชับสะโพกแน่นเหมือนอยากได้มากกว่านั้น แต่มือเขากดเอวเธอไว้แผ่วเบาห้ามปรามอย่างรักใคร่
“พอแล้ว… แค่นี้ก่อน…”
“ข้าจะไม่เร่ง…เพราะข้าอยากให้เจ้าจำ ‘ครั้งแรก’ นี้ ว่ามันเริ่มด้วยความรัก ไม่ใช่เพียงตัณหา…”
เขานิ่งสะโพกแนบสะโพก หายใจร้อนรินกลีบของเธอตอดเขาเบา ๆ ทุกจังหวะหัวใจและทั้งคู่นอนกอดกันแน่น โดยที่เขายังอยู่ ในตัวเธอ...
คบเพลิงรอบห้องหอวูบไหวแรงขึ้นโดยไม่มีลมพัด กลิ่นกำยานหอมหวานกลายเป็นกลิ่นคาวโลหิตจาง ๆ คลออยู่ในอากาศ ใต้ร่างของหญิงสาวรอยอักษรไฮเออโรกลึกลับที่สลักไว้บนแท่นบรรทมทองเริ่มเรืองแสงเป็นเงาดำล้อมรอบจาง ๆ ทุกจังหวะหัวใจของเธอเต้นแรงเหมือนถูกใครตีกลองเรียกวิญญาณ
ราเมเซสยังคงโอบกอดราชินีของเขาไว้แน่น ท่อนร้อนของเขาอยู่ในโพรงนุ่มเพียงครึ่งเดียวเขาตั้งใจจะหยุดไว้ ให้เธอค่อย ๆ ปรับตัวอย่างเสน่หา..แต่เสียงแปลกประหลาดกลับดังขึ้นในหัวนาง
“กลับมา… กลับมาหาเรา…”
“ทาสแห่งวิหาร… เปิดร่างเจ้าให้วิญญาณบรรพกาล…”
หญิงสาวสะดุ้งแรง ดวงตาเบิกกว้างเห็นแสงคบเพลิงกลายเป็นเงาคนหลายร่างรอบเตียงเสียงหัวเราะแผ่ว ๆ ดังมาจากทุกทิศ ร่างเธอเกร็งสุดขีดโพรงภายใน ตอดรัดเขาแรงจนเขารู้สึกได้ถึงแรงดูดวิญญาณ
“เนธาเลีย! เจ้าฟังข้าอยู่หรือไม่!?”
เสียงราเมเซสดังขึ้นแต่เธอกลับได้ยินเป็นเสียงแปลกต่ำ ทุ้มก้องเหมือนมาจากก้นสุสานเธอกรีดร้องเสียงสูง น้ำตาไหลพรากมือเธอจิกหลังเขาจนเลือดซึม
“พวกเขามาแล้ว! พวกเขาอยู่รอบตัวเรา!”
“ออกไป! อย่าเข้ามาในตัวข้า! อ๊าาาาาาาาาา!!!”
ร่างเธอสั่นสะท้าน สะโพกกระตุกกล้ามเนื้อเกร็งจนแทบจะผลักเขาออก เขาเอื้อมมือขึ้นมาประคองหน้าเธอ แต่เธอกลับเห็นภาพเขาเป็นชายหลายหน้าโบราณ โหดร้าย ดวงตาเป็นหลุมลึก
“เจ้าไม่ใช่ราเมเซส! เจ้าคือปีศาจ!”
“ออกไปจากตัวข้าาาาาาา!!!”
เธอกรีดร้องหัวสั่นแรงน้ำลายปนเลือดกระเซ็นจากริมฝีปาก เสียงเธอก้องสะท้อนกับผนังห้อง เขากัดฟัน ดวงตาเต็มไปด้วยทั้งความกลัวและความรัก เขากระซิบชิดหูเธอทั้งที่เธอกำลังดิ้นคลุ้มคลั่ง
เขาดึงร่างเธอเข้ามาแน่นขึ้น มือใหญ่กดศีรษะเธอให้แนบอก แม้ร่างเธอจะดิ้นเหมือนสัตว์ที่ถูกล่า
“กลับมาหาข้า… เนธาเลีย… ยอดรัก…
ข้าคือราเมเซส… ข้าไม่ใช่ปีศาจ…”
น้ำตาของเขาหยดลงบนแก้มเธอเสียงกระซิบผสมกับเสียงหัวใจเขาที่เต้นดังในอก แสงเทียนที่เคยอาบผนังห้องหอด้วยความอบอุ่นกลับสั่นไหวราวใกล้จะดับ เสียงพิณที่บรรเลงคลอเมื่อครู่เงียบหาย เหลือเพียงเสียงหอบกระชั้นของนางในอ้อมกอดของฟาโรห์
“เนทาเรีย…” เขากระซิบปลอบ
แต่เพียงพริบตาเดียวความหวานก็ถูกฉีกออกเป็นเศษเสี้ยว
หญิงสาวสะดุ้งเฮือก ดวงตากลายเป็นขาวโพลน น้ำตาและเหงื่อไหลรินราวกับประกายแสงประหลาด เธอกรีดร้องเสียงแหลม ไม่ใช่เพียงความกลัวธรรมดา แต่เป็นเสียงที่ทำให้สติทุกคนแตกกระเจิง
มือที่เมื่อครู่ยังโอบคอเขา กลับคว้ากรีฑทองคำสำหรับพิธีขึ้นมา ดวงตาเต็มไปด้วยแวววิปลาส ก่อนที่เธอจะแทงลงอย่างไม่ลังเล
“เนทาเรีย!!”
ราเมเซสเบี่ยงตัวไม่ทัน ปลายกรีฑเฉือนสีข้าง เลือดแดงสดพุ่งออกเปื้อนอาภรณ์ขาว เขาทรุดลงกับเตียง มือยังเอื้อมประคองเธอไว้
“ข้าอยู่ตรงนี้… เจ้าเป็นอะไรไป…” เสียงเขาแผ่วแต่ยังอ่อนโยน
แต่เธอไม่ฟังอีกแล้ว เสียงกระซิบลึกลับในหัวดังขึ้นกลายเป็นเสียงกรีดร้องประสาน เส้นผมยาวสยายสะบัด เธอเห็นภาพหลอน ผนังห้องกลายเป็นสุสาน เงาผีสางรายล้อมทุกทิศทาง
เธอกรีดร้องพร้อมหัวเราะ มือกำกรีฑแน่น ก่อนจะพุ่งเข้าหากลุ่มบ่าวไพร่ที่วิ่งเข้ามาด้วยความตกใจ
“ฆ่าพวกมัน… เลือดต้องชำระด้วยเลือด…!”
เสียงคำสาปผสานในหัวเธอ
เสียงโลหะฉีกเนื้อดังสะท้อนก้อง เลือดสาดบนพื้นหินที่เคยเป็นแท่นวิวาห์ คบเพลิงดับไปทีละดวง ทหารร้องสั่งโกลาหล พยายามเข้าล้อมแต่เธอผลักออกเหมือนสัตว์ป่าบ้าคลั่ง
ราเมเซสฝืนร่างกายที่เต็มไปด้วยเลือด ตะโกนสุดเสียง
“เนทาเรีย! หยุดเถิด นี่ข้าเอง!”
เธอหันกลับมา เส้นผมและชุดเจ้าสาวเปื้อนเลือดเต็มไปหมด ดวงตาสีทองวาวราวเปลวเพลิงแห่งคำสาป แววตาไม่หลงเหลือความรู้จักอีกต่อไป
บ่าวไพร่ล้มระเนระนาด เสียงกรีดร้องกับเสียงร้องไห้ปะปนในห้องหอที่กลายเป็นนรกสด
เสียงกรีดร้องยังสะท้อนตามผนังวิหารบูชาที่กลายเป็นห้องหอ
เนธาเลียยืนตัวสั่น กรีฑทองคำในมือเปื้อนเลือดรอบกายคือศพของ บ่าวทาสและทหารรักษาวังที่เข้ามาห้ามแสงคบเพลิงดับวูบทีละดวง เหลือเพียงเงาโกรธเกรี้ยวของคำสาปที่ก่อตัวเหมือนหมอกดำหมุนวนฟาโหห์ราเมเซส… นั่งคุกเข่า เลือดไหลจากสีข้างเป็นทาง แต่เขายังโอบกอดราชินีผู้บ้าคลั่งของเขาไว้มือใหญ่ที่สั่นกดท้ายทอยของนางลงกับอกเขาเองแม้เธอจะดิ้นสะบัด แม้เธอจะพยายามจะทำร้ายเขาอีก
“เนธาเลีย… ฟังข้า… ข้าอยู่ตรงนี้…”
“ข้า… รักเจ้า… ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น…”
เสียงเขาทุ้มและหอบแต่มันเป็นเหมือนเชือกเส้นสุดท้ายที่ผูกเธอไว้กับสู่โลกแห่งความจริง
เสียงฝีเท้าทหารดังขึ้น กลุ่มองครักษ์ที่เหลือพุ่งเข้ามาล้อม
สองคนรีบประคองฟาโหห์จากด้านหลัง อีกสองคนพยายามจะยื้อกรีฑออกจากมือพระนาง แต่ทันทีที่พวกเขาแตะต้องนาง เงาคำสาปก็พุ่งจากพื้นขึ้นเป็นเส้น ๆ พันขาทุกคน ทหารร้องลั่น บางคนล้มลงขาดใจตายโดยไม่มีบาดแผลคำสาปนี้ไม่ใช่แค่ความบ้าคลั่งธรรมดามันเป็น “โทษ” ของความรักเต็มหัวใจทั้งสองฝ่าย วิญญาณร้ายจากขุมนรกที่ถูกผูกไว้กับบัลลังก์นี้
รอเวลาที่เจ้าของเลือดและใจทั้งคู่ยอมรักกันอย่างหมดหัวใจ และเมื่อถึงเวลา… มันก็โผล่ขึ้นมาราเมเซสพยายามพูดซ้ำ ๆ เสียงเขาอ่อนแรง แต่ยังคงแน่วแน่
“เจ้าไม่ใช่ปีศาจ… เจ้าเป็นเนธาเลียของข้า…
ยอดรักของข้า…จงกลับมาหาข้า…”
เพียงเสี้ยวอึดใจหลังจากเสียงกรีดร้องแรกของนาง เงาดำหนาทึบเลื้อยไต่ขึ้นตามผนัง เสาโอเบลิสค์จำลองที่ประดับห้องหอปรากฏรอยแตกละเอียด แสงเทียนพลันบิดเบี้ยวเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นบีบขยี้
ลมเย็นปานสุสานโบราณพัดวูบเสียงกระซิบภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจดังสะท้อนรอบห้อง
เสียงของเขา... ทั้งนุ่ม ทั้งต่ำ ทั้งหยาบโลนเสียจนขาเธออ่อนวูบ และยังไม่ทันได้เอ่ยปฏิเสธอะไร เขาก็ก้าวเข้ามาเขาจับคางเธอไว้แน่นนิ่งแล้วจูบ ไม่ใช่จูบของคนแปลกหน้า แต่จูบของผู้ครอบครอง จูบของผู้ที่รู้ว่าริมฝีปากเธอชอบสัมผัสแบบไหน รุนแรงแค่ไหนถึงจะทำให้เธอครางเธอพยายามผลักเขาออก แต่ไม่มีแรงเลยแม้แต่นิด ในฝันนี้เขา เหนือกว่า เธอในทุกด้านทั้งกาย ทั้งใจทั้งความต้องการที่เหมือนเขาอ่านเธอออกหมดมือของเขาเลื่อนไปยังต้นคอ ไล่ลงมาตามแนวไหล่ ก่อนจะกระชากชุดนอนบางเบาออกเหมือนไม่มีค่าอะไร แค่ผ้าผืนนั้นร่วงลงพื้น เสียงก็ดังเหมือนโซ่ตรวนหลุดออกจากข้อมือเธอ แต่ไม่ใช่อิสระ ตรงกันข้ามมันคือการถูกจับตรึงไว้กับโชคชะตาอันเร่าร้อนที่หลีกไม่พ้น“ร่างกายของเจ้า... สร้างมาเพื่อให้ข้าสัมผัสเท่านั้น”เขากระซิบข้างหู ขณะที่ร่างของเขาเบียดแนบชิด มือของเขาไล้ไปตามเอวเธอ ทุกจุดที่นิ้วเขาผ่านไป เหมือนมีเปลวไฟแตะลงบนผิวเธอกัดริมฝีปากแน่น ฝืนไม่คราง แต่แล้วเขาก็ก้มลงดูดกลืนยอดอกที่เริ่มแข็งตั้ง"อ๊า—!"เสียงครางแรกหลุดออกมาโดยไม่รู้ตัว เขายิ้ม ยิ้มของผู้ชนะ ยิ้มข
กาลเวลาหมุนผ่านนับพันปีทรายแห่งทะเลทรายไหลรินกลบซากวิหารและสุสานทีละชั้นเสียงพิณแห่งงานวิวาห์วันนั้นเงียบดับ กลายเป็นเพียงเสียงลมพัดก้องในซอกหินรอยเลือดที่รดลงบนพื้นหินแห้งกรัง ถูกกลบด้วยฝุ่นทรายและเถ้าถ่านเหลือไว้เพียงเงาคำสาปที่ฝังลึกลงในแผ่นดินวิญญาณที่เคยโหยหาและกรีดร้องถูกกาลเวลาโอบปิด แต่ถ้อยคำโบราณยังคงก้องสะท้อนในชั้นหิน “เมื่อรักแท้บรรจบ ความตายจักบังเกิด”พันปีแล้วพันปีเล่า…อาณาจักรล่มสลาย จักรวรรดิใหม่ ผงาดขึ้นและดับไปแม่น้ำไนล์ยังคงไหลเรื่อยไม่รู้จักสิ้น ผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าเดินผ่านผืนทราย โดยไม่รู้เลยว่าใต้เท้าของพวกเขายังมีความลับ รอการปลุกให้ตื่นลมทะเลทรายพัดแรงกว่าปกติ ดั่งเสียงกระซิบของวิญญาณโบราณที่ถูกจองจำมาเนิ่นนาน ประกายดวงจิตหนึ่งค่อย ๆ ฉีกม่านกาลเวลา ล่องลอยผ่านสายลม…จากร่างหญิงสาวผู้ถูกสาปพันธนาการเมื่อพันปีที่แล้ว สู่อีกเรือนกายหนึ่งในยุคปัจจุบันแสงไฟสีขาวจากเพดานสนามบินไคโรสะท้อนกับพื้นกระเบื้องหินอ่อน ผู้คนขวักไขว่ เสียงประกาศเที่ยวบินดังเป็นระยะท่ามกลางความวุ่นวาย เสียงลากกระเป๋าเดินทาง รถเข็นสัมภาระ และผู้โดยสารหลายเชื้อชา
ในความมืดมิดที่ปกคลุมห้องบูชาลับใต้ดิน แสงอักษรสีเขียวหม่นยังคงเรืองรองจากอักขระบนผนังลามไล้ลงพื้นหินราวงูเปลือยพิษ ผิวของเจ้าหญิงฮาเชียร่าเต็มไปด้วยอักษรดำที่ไหลย้อนขึ้นจากเลือด มันซึมเข้าในรูขุมขน แทรกซึมเข้าในเส้นเลือดแดงทุกเส้นเหมือนหมึกของข้อตกลงที่ไม่มีวันลบ สะท้อนใบหน้าบ้าคลั่งของเจ้าหญิง และนักพรตเฒ่าสองคน เสียงหัวเราะของนางค่อยๆ เบาลง จนเหลือเพียงเสียงหอบหายใจแผ่วเบา ทว่าคำสาปที่ถูกปลุกให้ตื่นเต็มที่แล้วนั้น มิใช่สิ่งที่ได้มาฟรีๆ มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอพรหมจรรย์ของผู้ร้องขอ ซึ่งเป็นเลือดบริสุทธิ์ที่ต้องถูกพรากไปเพื่อบูชาเทพีแห่งความมืดนักพรตเฒ่าคนแรก ผู้ที่มีผิวซีดเหมือนขี้เถ้าและตาลึกดำสนิท ก้มลงกระซิบใกล้หูของนางด้วยเสียงแหบพร่าเหมือนเสียงจากขุมนรก“คำสาปสมปรารถนาแล้ว... แต่เจ้าก็ต้องจ่ายราคา ร่างกายของเจ้าจะเป็นภาชนะของเทพีอามนี เคฟี เรธทู จิตวิญญาณของเจ้าจะถูกผ่าครึ่งเพื่อเลี้ยงปีศาจในสุสานโบราณ”นักพรตเฒ่าอีกคน ผู้ที่ผิวเหี่ยวย่นและมือสั่นเทา ยิ้มแสยะอย่างชั่วร้าย ขณะที่เขาเอื้อมมือจับชายชุดคลุมดำปักทองของนาง แล้วดึงมันออกอย่างหยาบกระด้
ณ ห้องบูชาลับใต้ดิน กลิ่นกำยานผสมกลิ่นไหม้ของสมุนไพรเน่าเหม็นคลุ้งไปทั่ว ผนังหินสลักอักขระโบราณเรืองแสงสีดำปนเทาและกลิ่นคาวเลือด แสงไฟจากคบเพลิงส่องให้เห็นเงาดำของรูปเทพีอันบิดเบี้ยวเจ้าหญิงฮาเชียร่าในชุดคลุมดำปักทอง ยืนสง่างามราวหญิงสาวจากขุมนรก ในเงามืดริมฝีปากแดงจัดกำลังขยับท่องคาถาเสียงต่ำข้างหน้าแท่นหินดำวางตุ๊กตามัมมี่สองตัว ขดพันด้วยผ้าลินินเก่าเปื้อนคราบเลือดสดใหม่นักพรตเฒ่าผิวเหี่ยวย่น ยืนอยู่ด้านหลัง โบกธูปที่ปล่อยควันหนาทึบเสียงเขาแหบพร่าดังก้อง“อามนีนูบีซุส… โอบาคา นีตาทู…ซีตีเทคานิคเซียรู”โอ้ มารดาแห่งความตาย… คำแห่งความมืด…จงสาปแช่งนางผู้ชิงรักไปเจ้าหญิงฮาเชียร่าหัวเราะเบา ๆ ดวงตาคมวาวด้วยเปลวริษยาเธอยกมีดสั้นด้ามทอง ปลายมีดแกะสลักลายอังค์กลับแสงไฟสะท้อนวาววับ“เมื่อข้าไม่ได้… เจ้าก็ไม่มีวันได้!”เธอปักมีดลงไปกลางอกตุ๊กตามัมมี่เพศหญิงอย่างแรง เสียงแผดร้องของเนทาเรียดังสะท้อนขึ้นทันทีราวข้ามมิติ เลือดสดหยดออกมาจากผ้าลินินเหมือนตุ๊กตานั้
“อานูบิส คา-เมเรต เนเฟรู-เรต”(เทพแห่งความตาย จงผูกมัดวิญญาณนี้ด้วยบ่วงรักอันสาปแช่ง)เนทาเรียกุมศีรษะทั้งสองมือเส้นเลือดนูนขึ้นตรงขมับ ร่างบางสั่นสะท้านจากดวงตาที่เคยอ่อนหวานปรากฏประกายทองวาววับ ราวกับเทพเจ้าที่หลับใหลตื่นขึ้นมาสวมวิญญาณเธอเงาดำรูปร่างคล้ายสตรีในชุดคลุมโบราณคืบคลานออกมาจากผืนผ้าโปร่งเสียงสตรีนั้นแหบพร่าราวพัดทะเลทราย“หากเจ้ามอบรักแท้ให้ฟาโรห์… เลือดของผู้เป็นที่รักจักกลายเป็นบรรณาการ…”หญิงสาวกรีดร้องทันทีที่ประโยคนั้นจบเส้นอักขระเรืองแสงสีดำแดงลอยปรากฏบนผิวเธอทีละเส้น ราวกับมีใครสลักจารึกโบราณลงบนร่างกายพระองค์เอื้อมมือคว้าแขนเธอ แต่เมื่อสัมผัส กลับเหมือนถูกแรงสายฟ้าดันกระเด็นออกไปเสียงกระซิบดังพร้อมกันนับร้อย“เมริต… เคต… เจดู…!”(รัก… เลือด… ความตาย…)ร่างบางทรุดคุกเข่า ร่างสั่นสะท้านเหมือนถูกบางสิ่งฉีกจากภายในน้ำตาสีเลือดไหลจากหางตา เธอแหงนหน้ามองเขา ดวงตาทองแปรเปลี่ยนเป็นแดงเข้ม“ราเมเซส… ยิ่งข้ารักท่าน… คำสาปยิ่งแรง…หากดวงใจเราตรงกัน ความตายจักบังเกิด!”เสียงนั้นไม
เขาก้มลงจูบริมฝีปากนางอีกครั้งแล้ว ดันเข้าไปอีกนิดเพียงครึ่งหนึ่งของความยาวลำเขาแน่นร้อนและฝังเข้าไปในโพรงนุ่มแคบที่กำลังขมิบรับเขาอย่างตื่นเต้นสั่นไหว“ถึงเพียงครึ่ง… แต่เจ้าตอดรัดเหลือเกิน…”“เจ้ารู้ไหม… ข้าแทบจะไม่ไหว…”เขาหยุดตรงนั้นไม่ดันเข้าไปอีก แต่เธอก็แน่นเสียจนเขาต้องกัดฟัน ความร้อนของร่างเธอกำลังกลืนเขาทีละช้า ๆ อย่างมีชีวิตเธอกระชับสะโพกแน่นเหมือนอยากได้มากกว่านั้น แต่มือเขากดเอวเธอไว้แผ่วเบาห้ามปรามอย่างรักใคร่“พอแล้ว… แค่นี้ก่อน…”“ข้าจะไม่เร่ง…เพราะข้าอยากให้เจ้าจำ ‘ครั้งแรก’ นี้ ว่ามันเริ่มด้วยความรัก ไม่ใช่เพียงตัณหา…”เขานิ่งสะโพกแนบสะโพก หายใจร้อนรินกลีบของเธอตอดเขาเบา ๆ ทุกจังหวะหัวใจและทั้งคู่นอนกอดกันแน่น โดยที่เขายังอยู่ ในตัวเธอ...คบเพลิงรอบห้องหอวูบไหวแรงขึ้นโดยไม่มีลมพัด กลิ่นกำยานหอมหวานกลายเป็นกลิ่นคาวโลหิตจาง ๆ คลออยู่ในอากาศ ใต้ร่างของหญิงสาวรอยอักษรไฮเออโรกลึกลับที่สลักไว้บนแท่นบรรทมทองเริ่มเรืองแสงเป็นเงาดำล้อมรอบจาง ๆ ทุกจังหวะหัวใจของเธอเต้นแรงเหมือนถูกใครตีกลองเรียกวิญญาณราเมเซสยังคงโอบกอดราชินีของเขาไว้แน่น ท่อนร้อนของเขาอยู่ในโพรงนุ่มเพียงครึ่ง







