Masuk“อานูบิส คา-เมเรต เนเฟรู-เรต”
(เทพแห่งความตาย จงผูกมัดวิญญาณนี้ด้วยบ่วงรักอันสาปแช่ง)
เนทาเรียกุมศีรษะทั้งสองมือเส้นเลือดนูนขึ้นตรงขมับ ร่างบางสั่นสะท้านจากดวงตาที่เคยอ่อนหวานปรากฏประกายทองวาววับ ราวกับเทพเจ้าที่หลับใหลตื่นขึ้นมาสวมวิญญาณเธอ
เงาดำรูปร่างคล้ายสตรีในชุดคลุมโบราณคืบคลานออกมาจากผืนผ้าโปร่งเสียงสตรีนั้นแหบพร่าราวพัดทะเลทราย
“หากเจ้ามอบรักแท้ให้ฟาโรห์… เลือดของผู้เป็นที่รักจักกลายเป็นบรรณาการ…”
หญิงสาวกรีดร้องทันทีที่ประโยคนั้นจบเส้นอักขระเรืองแสงสีดำแดงลอยปรากฏบนผิวเธอทีละเส้น ราวกับมีใครสลักจารึกโบราณลงบนร่างกาย
พระองค์เอื้อมมือคว้าแขนเธอ แต่เมื่อสัมผัส กลับเหมือนถูกแรงสายฟ้าดันกระเด็นออกไป
เสียงกระซิบดังพร้อมกันนับร้อย
“เมริต… เคต… เจดู…!”
(รัก… เลือด… ความตาย…)
ร่างบางทรุดคุกเข่า ร่างสั่นสะท้านเหมือนถูกบางสิ่งฉีกจากภายในน้ำตาสีเลือดไหลจากหางตา เธอแหงนหน้ามองเขา ดวงตาทองแปรเปลี่ยนเป็นแดงเข้ม
“ราเมเซส… ยิ่งข้ารักท่าน… คำสาปยิ่งแรง…
หากดวงใจเราตรงกัน ความตายจักบังเกิด!”
เสียงนั้นไม่ใช่เพียงเสียงของเธออีกต่อไป แต่เป็นเสียงซ้อนกันหลายชั้น ทั้งเสียงเด็ก หญิงชรา และนักบวชโบราณ ดังก้องสะท้อนในห้องหอ
ทันใดนั้น แสงเทียนทุกเล่มแตกกระจายเป็นประกายเลือด ห้องทั้งห้องถูกกลืนด้วยความมืดและเงาดำที่บิดเบี้ยว ประหนึ่งคำสาปโบราณได้ตื่นเต็มตัวแล้ว
เมื่อเงาดำสลายไปพร้อมเสียงภาษาสาปโบราณ เงียบงันเพียงชั่วขณะ หญิงสาวก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง สายตาใสแจ่มชัดเหมือนคนเพิ่งถูกดึงกลับจากขุมนรก
สิ่งแรกที่เธอเห็น… คือมือเล็กของตนเองเต็มไปด้วยเลือดอุ่นสดใหม่ เล็บงามเปื้อนเนื้อหนังคนที่เธอไม่รู้ว่าเป็นใครรอบกายมีทั้งทาสบ่าว ทหาร นอนนิ่งกระจัดกระจาย เลือดไหลนองจนผ้าปูเจ้าสาวสีงาช้างแปรเป็นแดงฉาน
เธอทรุดตัวลง หัวใจบีบรัดรุนแรง ริมฝีปากสั่นพึมพำ
“ข้า…ทำอะไรลงไป… เทพทั้งหลาย… ข้าได้ทำสิ่งใด…”
เสียงกระซิบโบราณแทรกขึ้นมาอีกครั้งแต่คราวนี้แผ่วเบาราวกระซิบในวิญญาณ
“หากดวงใจเจ้ากับเขาเป็นหนึ่งเดียว… ความตายจักบังเกิด…”
เนทาเรียเบิกตากว้าง หันไปมองราเมเซสที่ยังนอนกุมบาดแผล เลือดไหลไม่หยุด แต่แววตายังคงจับจ้องมาที่เธอ ไม่เคยหวาดกลัว ไม่เคยผลักไส
หยาดน้ำตารินลงบนแก้มเธอ “ไม่… ข้าจะไม่ยอมให้ท่านตายเพราะข้า… ต่อให้คำสาปบอกเช่นไร…”
เสียงวิญญาณกรีดร้องเบาลง เธอหอบแรงมือที่ถือกรีฑเริ่มสั่น
โลกกลับมาในสายตาเธอเธอเห็น…ร่างบ่าวไพร่กองอยู่รอบตัวเลือดนองพื้น ใบหน้าที่ตายไปโดยมือเธอเองและตรงกลาง ฟาโหห์ราเมเซสพระสวามีของเธอจมกองเลือด
“ข้า… ข้าทำอะไรลงไป…”
เสียงเธอแตกพร่า น้ำตาไหลพราก
“ราเมส… ข้าฆ่าพวกเขา… ข้า…”
หัวใจนางแตกสลายเสียงคำสาปกระซิบซ้อนในหูเย็น เหมือนน้ำแข็งแทงเข้าไขสันหลัง
“เจ้าเห็นแล้วใช่ไหม…
ไม่มีทางกลับ… จงจบมันเสีย… จงกลับมาหาเรา…”
เธอส่ายหน้าแรง ๆ มือปิดหู น้ำตาไหล
“ไม่! ข้าไม่ใช่ของเจ้า!”
แต่เสียงนั้นไม่หยุดมันหัวเราะเบา ๆ ลากเสียงยาว ภาพศพรอบตัวเธอค่อย ๆ กลายเป็นมือยื่นออกมาลากเธอลงขุมนรก
ราเมสพยายามลุกขึ้น ทหารสองคนพยุงเขาเขายื่นมือออกไปหาเธอแม้แขนจะสั่นจากการเสียเลือด
“เนธาเลีย… อย่าเชื่อมัน… อย่า ปล่อยข้า…”
นางมองเขา ชายผู้ยังเรียกนางว่า “ยอดรัก” ทั้งที่เธอทำให้เขาเลือดอาบหัวใจเธอแตกละเอียดจนไม่เหลือที่ว่างให้ความหวัง น้ำตาไหลรวมกับเลือดเปื้อนใบหน้า
“ข้า… ทำลายทุกอย่างแล้ว… ข้าไม่ควรอยู่…”
เสียงคำสาปดังขึ้นหนักกว่าเดิม
“ใช่… ฆ่าตัวเอง… จบพิธีนี้ซะ…”
เธอค่อย ๆ ลุกขึ้น มือกำกรีฑทองคำแน่น สายตาสุดท้ายหันไปสบตาฟาโรห์ผู้เป็นที่รักในดวงตาคู่นั้น เธอเห็นทั้งความห่วงหา ความเจ็บปวด และความรักที่มั่นคงไม่สั่นคลอน
เนทาเรียส่งรอยยิ้มเศร้า “หากรักข้าต้องพรากชีวิตท่าน… งั้นข้าขอเลือกสละเอง…”
เธอยกกรีฑขึ้นเหนือตนเองประกายเลือดสะท้อนแสงเทียน ที่ใกล้ดับ ก่อนจะกดลึกลงสู่หัวใจตนเองโดยไม่ลังเล เลือดแดงพุ่งออก เปื้อนชุดเจ้าสาวขาวสะอาด กลายเป็นภาพโศกนาฏกรรมที่ไม่ผู้ใดลืมได้
ราเมสเบิกตากว้าง เสียงคำรามปะทุจากลำคอ
“เนทา…เรีย!!!!”
นางเงยหน้ามองเขาเป็นครั้งสุดท้ายดวงตาเต็มไปด้วยทั้งรัก ทั้งแค้น ทั้งสิ้นหวังแล้วเธอก็ยกกรีฑทองขึ้นสูงปลายแหลมสั่นตรงอกตัวเอง
“ให้อภัยข้าด้วย… ราเมเซส… ยอดรัก…”
ก่อนใครจะทันได้ห้ามเธอแทงกรีฑลงไปในอกตนเองเลือด สีแดงสดพุ่งกระเซ็นเปื้อนพื้นหิน เสียงคำสาปหัวเราะก้องเต็มวิหาร ก่อนจะกลายเป็นเสียงกรีดร้องแหลมแล้วสลายไปในพริบตา
เธอล้มลงบนพื้น ดวงตาเบิกกว้างน้ำตาหยุดนิ่งในมือยังจับกรีฑที่เปื้อนเลือดของตัวเอง
เขาคลานเข้ามาประคองร่างเธอไว้แนบอก เลือดของเธอไหลผสมกับเลือดของเขา ร่างบางเย็นลงทุกลมหายใจ เสียงหัวเราะและเสียงร้องไห้ของเขาผสมปนกันจนกลายเป็นเสียงบ้าคลั่ง สะท้อนก้องไปทั่วห้องหอที่แปรเป็นสุสาน
“เจ้าคือชีวิตของข้า… ทำไมต้องพรากไปเช่นนี้!! ต่อให้เทพเจ้าทั้งปวง… ต่อให้วิญญาณนรกทุกตน… ข้าจะหาวิธีดึงเจ้ากลับมา… ต่อให้ต้องแลกทุกอย่างในโลกนี้…”
เสียงนั้นดังสะท้านจนคบเพลิงรอบห้องแตกดับ เหลือเพียงร่างฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่ในอ้อมแขนที่สูญสิ้นยอดรักไปตลอดกาล
ภาพทั้งหมดหยุดอยู่ตรงนั้นห้องหอที่เคยเป็นสถานที่แห่งรัก
กลับกลายเป็นสุสานของคำสาปทิ้งให้เขาอยู่กับเลือด น้ำตา และคำสาบานที่ยังไม่สิ้นสุดเสียงของเขา... ทั้งนุ่ม ทั้งต่ำ ทั้งหยาบโลนเสียจนขาเธออ่อนวูบ และยังไม่ทันได้เอ่ยปฏิเสธอะไร เขาก็ก้าวเข้ามาเขาจับคางเธอไว้แน่นนิ่งแล้วจูบ ไม่ใช่จูบของคนแปลกหน้า แต่จูบของผู้ครอบครอง จูบของผู้ที่รู้ว่าริมฝีปากเธอชอบสัมผัสแบบไหน รุนแรงแค่ไหนถึงจะทำให้เธอครางเธอพยายามผลักเขาออก แต่ไม่มีแรงเลยแม้แต่นิด ในฝันนี้เขา เหนือกว่า เธอในทุกด้านทั้งกาย ทั้งใจทั้งความต้องการที่เหมือนเขาอ่านเธอออกหมดมือของเขาเลื่อนไปยังต้นคอ ไล่ลงมาตามแนวไหล่ ก่อนจะกระชากชุดนอนบางเบาออกเหมือนไม่มีค่าอะไร แค่ผ้าผืนนั้นร่วงลงพื้น เสียงก็ดังเหมือนโซ่ตรวนหลุดออกจากข้อมือเธอ แต่ไม่ใช่อิสระ ตรงกันข้ามมันคือการถูกจับตรึงไว้กับโชคชะตาอันเร่าร้อนที่หลีกไม่พ้น“ร่างกายของเจ้า... สร้างมาเพื่อให้ข้าสัมผัสเท่านั้น”เขากระซิบข้างหู ขณะที่ร่างของเขาเบียดแนบชิด มือของเขาไล้ไปตามเอวเธอ ทุกจุดที่นิ้วเขาผ่านไป เหมือนมีเปลวไฟแตะลงบนผิวเธอกัดริมฝีปากแน่น ฝืนไม่คราง แต่แล้วเขาก็ก้มลงดูดกลืนยอดอกที่เริ่มแข็งตั้ง"อ๊า—!"เสียงครางแรกหลุดออกมาโดยไม่รู้ตัว เขายิ้ม ยิ้มของผู้ชนะ ยิ้มข
กาลเวลาหมุนผ่านนับพันปีทรายแห่งทะเลทรายไหลรินกลบซากวิหารและสุสานทีละชั้นเสียงพิณแห่งงานวิวาห์วันนั้นเงียบดับ กลายเป็นเพียงเสียงลมพัดก้องในซอกหินรอยเลือดที่รดลงบนพื้นหินแห้งกรัง ถูกกลบด้วยฝุ่นทรายและเถ้าถ่านเหลือไว้เพียงเงาคำสาปที่ฝังลึกลงในแผ่นดินวิญญาณที่เคยโหยหาและกรีดร้องถูกกาลเวลาโอบปิด แต่ถ้อยคำโบราณยังคงก้องสะท้อนในชั้นหิน “เมื่อรักแท้บรรจบ ความตายจักบังเกิด”พันปีแล้วพันปีเล่า…อาณาจักรล่มสลาย จักรวรรดิใหม่ ผงาดขึ้นและดับไปแม่น้ำไนล์ยังคงไหลเรื่อยไม่รู้จักสิ้น ผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าเดินผ่านผืนทราย โดยไม่รู้เลยว่าใต้เท้าของพวกเขายังมีความลับ รอการปลุกให้ตื่นลมทะเลทรายพัดแรงกว่าปกติ ดั่งเสียงกระซิบของวิญญาณโบราณที่ถูกจองจำมาเนิ่นนาน ประกายดวงจิตหนึ่งค่อย ๆ ฉีกม่านกาลเวลา ล่องลอยผ่านสายลม…จากร่างหญิงสาวผู้ถูกสาปพันธนาการเมื่อพันปีที่แล้ว สู่อีกเรือนกายหนึ่งในยุคปัจจุบันแสงไฟสีขาวจากเพดานสนามบินไคโรสะท้อนกับพื้นกระเบื้องหินอ่อน ผู้คนขวักไขว่ เสียงประกาศเที่ยวบินดังเป็นระยะท่ามกลางความวุ่นวาย เสียงลากกระเป๋าเดินทาง รถเข็นสัมภาระ และผู้โดยสารหลายเชื้อชา
ในความมืดมิดที่ปกคลุมห้องบูชาลับใต้ดิน แสงอักษรสีเขียวหม่นยังคงเรืองรองจากอักขระบนผนังลามไล้ลงพื้นหินราวงูเปลือยพิษ ผิวของเจ้าหญิงฮาเชียร่าเต็มไปด้วยอักษรดำที่ไหลย้อนขึ้นจากเลือด มันซึมเข้าในรูขุมขน แทรกซึมเข้าในเส้นเลือดแดงทุกเส้นเหมือนหมึกของข้อตกลงที่ไม่มีวันลบ สะท้อนใบหน้าบ้าคลั่งของเจ้าหญิง และนักพรตเฒ่าสองคน เสียงหัวเราะของนางค่อยๆ เบาลง จนเหลือเพียงเสียงหอบหายใจแผ่วเบา ทว่าคำสาปที่ถูกปลุกให้ตื่นเต็มที่แล้วนั้น มิใช่สิ่งที่ได้มาฟรีๆ มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอพรหมจรรย์ของผู้ร้องขอ ซึ่งเป็นเลือดบริสุทธิ์ที่ต้องถูกพรากไปเพื่อบูชาเทพีแห่งความมืดนักพรตเฒ่าคนแรก ผู้ที่มีผิวซีดเหมือนขี้เถ้าและตาลึกดำสนิท ก้มลงกระซิบใกล้หูของนางด้วยเสียงแหบพร่าเหมือนเสียงจากขุมนรก“คำสาปสมปรารถนาแล้ว... แต่เจ้าก็ต้องจ่ายราคา ร่างกายของเจ้าจะเป็นภาชนะของเทพีอามนี เคฟี เรธทู จิตวิญญาณของเจ้าจะถูกผ่าครึ่งเพื่อเลี้ยงปีศาจในสุสานโบราณ”นักพรตเฒ่าอีกคน ผู้ที่ผิวเหี่ยวย่นและมือสั่นเทา ยิ้มแสยะอย่างชั่วร้าย ขณะที่เขาเอื้อมมือจับชายชุดคลุมดำปักทองของนาง แล้วดึงมันออกอย่างหยาบกระด้
ณ ห้องบูชาลับใต้ดิน กลิ่นกำยานผสมกลิ่นไหม้ของสมุนไพรเน่าเหม็นคลุ้งไปทั่ว ผนังหินสลักอักขระโบราณเรืองแสงสีดำปนเทาและกลิ่นคาวเลือด แสงไฟจากคบเพลิงส่องให้เห็นเงาดำของรูปเทพีอันบิดเบี้ยวเจ้าหญิงฮาเชียร่าในชุดคลุมดำปักทอง ยืนสง่างามราวหญิงสาวจากขุมนรก ในเงามืดริมฝีปากแดงจัดกำลังขยับท่องคาถาเสียงต่ำข้างหน้าแท่นหินดำวางตุ๊กตามัมมี่สองตัว ขดพันด้วยผ้าลินินเก่าเปื้อนคราบเลือดสดใหม่นักพรตเฒ่าผิวเหี่ยวย่น ยืนอยู่ด้านหลัง โบกธูปที่ปล่อยควันหนาทึบเสียงเขาแหบพร่าดังก้อง“อามนีนูบีซุส… โอบาคา นีตาทู…ซีตีเทคานิคเซียรู”โอ้ มารดาแห่งความตาย… คำแห่งความมืด…จงสาปแช่งนางผู้ชิงรักไปเจ้าหญิงฮาเชียร่าหัวเราะเบา ๆ ดวงตาคมวาวด้วยเปลวริษยาเธอยกมีดสั้นด้ามทอง ปลายมีดแกะสลักลายอังค์กลับแสงไฟสะท้อนวาววับ“เมื่อข้าไม่ได้… เจ้าก็ไม่มีวันได้!”เธอปักมีดลงไปกลางอกตุ๊กตามัมมี่เพศหญิงอย่างแรง เสียงแผดร้องของเนทาเรียดังสะท้อนขึ้นทันทีราวข้ามมิติ เลือดสดหยดออกมาจากผ้าลินินเหมือนตุ๊กตานั้
“อานูบิส คา-เมเรต เนเฟรู-เรต”(เทพแห่งความตาย จงผูกมัดวิญญาณนี้ด้วยบ่วงรักอันสาปแช่ง)เนทาเรียกุมศีรษะทั้งสองมือเส้นเลือดนูนขึ้นตรงขมับ ร่างบางสั่นสะท้านจากดวงตาที่เคยอ่อนหวานปรากฏประกายทองวาววับ ราวกับเทพเจ้าที่หลับใหลตื่นขึ้นมาสวมวิญญาณเธอเงาดำรูปร่างคล้ายสตรีในชุดคลุมโบราณคืบคลานออกมาจากผืนผ้าโปร่งเสียงสตรีนั้นแหบพร่าราวพัดทะเลทราย“หากเจ้ามอบรักแท้ให้ฟาโรห์… เลือดของผู้เป็นที่รักจักกลายเป็นบรรณาการ…”หญิงสาวกรีดร้องทันทีที่ประโยคนั้นจบเส้นอักขระเรืองแสงสีดำแดงลอยปรากฏบนผิวเธอทีละเส้น ราวกับมีใครสลักจารึกโบราณลงบนร่างกายพระองค์เอื้อมมือคว้าแขนเธอ แต่เมื่อสัมผัส กลับเหมือนถูกแรงสายฟ้าดันกระเด็นออกไปเสียงกระซิบดังพร้อมกันนับร้อย“เมริต… เคต… เจดู…!”(รัก… เลือด… ความตาย…)ร่างบางทรุดคุกเข่า ร่างสั่นสะท้านเหมือนถูกบางสิ่งฉีกจากภายในน้ำตาสีเลือดไหลจากหางตา เธอแหงนหน้ามองเขา ดวงตาทองแปรเปลี่ยนเป็นแดงเข้ม“ราเมเซส… ยิ่งข้ารักท่าน… คำสาปยิ่งแรง…หากดวงใจเราตรงกัน ความตายจักบังเกิด!”เสียงนั้นไม
เขาก้มลงจูบริมฝีปากนางอีกครั้งแล้ว ดันเข้าไปอีกนิดเพียงครึ่งหนึ่งของความยาวลำเขาแน่นร้อนและฝังเข้าไปในโพรงนุ่มแคบที่กำลังขมิบรับเขาอย่างตื่นเต้นสั่นไหว“ถึงเพียงครึ่ง… แต่เจ้าตอดรัดเหลือเกิน…”“เจ้ารู้ไหม… ข้าแทบจะไม่ไหว…”เขาหยุดตรงนั้นไม่ดันเข้าไปอีก แต่เธอก็แน่นเสียจนเขาต้องกัดฟัน ความร้อนของร่างเธอกำลังกลืนเขาทีละช้า ๆ อย่างมีชีวิตเธอกระชับสะโพกแน่นเหมือนอยากได้มากกว่านั้น แต่มือเขากดเอวเธอไว้แผ่วเบาห้ามปรามอย่างรักใคร่“พอแล้ว… แค่นี้ก่อน…”“ข้าจะไม่เร่ง…เพราะข้าอยากให้เจ้าจำ ‘ครั้งแรก’ นี้ ว่ามันเริ่มด้วยความรัก ไม่ใช่เพียงตัณหา…”เขานิ่งสะโพกแนบสะโพก หายใจร้อนรินกลีบของเธอตอดเขาเบา ๆ ทุกจังหวะหัวใจและทั้งคู่นอนกอดกันแน่น โดยที่เขายังอยู่ ในตัวเธอ...คบเพลิงรอบห้องหอวูบไหวแรงขึ้นโดยไม่มีลมพัด กลิ่นกำยานหอมหวานกลายเป็นกลิ่นคาวโลหิตจาง ๆ คลออยู่ในอากาศ ใต้ร่างของหญิงสาวรอยอักษรไฮเออโรกลึกลับที่สลักไว้บนแท่นบรรทมทองเริ่มเรืองแสงเป็นเงาดำล้อมรอบจาง ๆ ทุกจังหวะหัวใจของเธอเต้นแรงเหมือนถูกใครตีกลองเรียกวิญญาณราเมเซสยังคงโอบกอดราชินีของเขาไว้แน่น ท่อนร้อนของเขาอยู่ในโพรงนุ่มเพียงครึ่ง







