Se connecterจูจื่อฉิงตบหลังมือบุตรสาวเบาๆ “ซินเอ๋อร์ เจ้ามิได้แต่งงานกับบุรุษเปี่ยมอำนาจมากบารมีสูงด้วยฐานะที่การมีสามภรรยาสี่อนุเป็นเรื่องปกตินะ แต่งกับชายธรรมดาสามัญ เจ้าต้องจับตาสามีให้ดี อย่าปล่อยให้เขาหลายใจไปรับอนุมาเด็ดขาด มิเช่นนั้นครอบครัวอาจจะลำบากเรื่องการเงินในภายหน้าเอาได้”
หลินซูซินเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายต่อบุพการีเสมอ แต่งงานก็เชื่อฟังสามีอย่างยิ่ง นางจึงพยักหน้าแย้มยิ้มมิเจือจาง
“เจ้าค่ะท่านแม่”
จังหวะนั้น หลินอีเซิงพลันยื่นใบหน้าคมเข้มเคลือบน้ำมันมาจากในครัว
“พวกเจ้าแม่ลูก ลองมาชิมอาหารที่ข้าเพิ่งคิดค้นใหม่เร็ว ดูว่ารสชาติดีเข้าทีแล้วหรือไม่?”
“ซินเอ๋อร์ไปเถิด พ่อเจ้าเรียกแล้ว”
“เจ้าค่ะท่านแม่”
ทุกครั้งที่พ่อครัวมือฉมังอย่างบิดาคิดสูตรอาหารชนิดใหม่ นักชิมกิตติมศักดิ์อย่างภรรยาและบุตรสาวพร้อมลองลิ้มเต็มที่
ทว่ามิคาด หลินซูซินที่เดิมทีลิ้นรับรสดีเยี่ยมวันนี้กลับกลืนสิ่งใดไม่ลงสักครึ่งคำ
เพียงกลิ่นอาหารแตะจมูกนางก็ต้องเบือนหน้าหนีทันที
อาการคลื่นเหียนจนอาเจียนลมออกมากะทันหันเช่นนี้ ทำคนเป็นบิดามารดาตกใจนัก
หลังจากชะงักไปชั่วครู่จูจื่อฉิงพลันได้สติ นางให้คนไปตามท่านหมอมาอย่างเร็ว ส่วนตัวเองจับประคองบุตรสาวไปนอนพักในเรือนเล็กที่ใกล้ที่สุด
หลินอีเซิงได้แต่ตื่นตระหนกนั่งไม่ติดเก้าอี้แล้ว
รอไม่นานท่านหมอก็มาเยือน เมื่อท่านหมอจับชีพจรเสร็จ ข่าวดีในรอบสามปีพลันปรากฏ
หลินซูซินตั้งครรภ์อ่อนๆ ได้เดือนกว่า
บิดามารดาแสนจะยินดีปรีดายิ่งนัก เช่นนี้ย่อมดีไม่น้อย สามีย่อมรักใคร่ผูกพันลึกซึ้งต่อภรรยาเพิ่มขึ้นอย่างไร้สิ่งใดมาฉุดรั้ง
จูจื่อฉิงยิ่งมั่นใจว่าครรภ์นี้จะทำให้บุตรเขยไม่มีทางห่วงงานจนละเลยบุตรสาวของตนอีก นางจึงวางใจลงได้เสียที
หลินซูซินรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ปราศจากอาการแพ้ท้องอีกจึงขอกลับจวนสกุลเกาทันที นางอยากกลับไปแจ้งข่าวดีแก่สามีเต็มที่
“เจ้าไม่ส่งคนไปบอกบุตรเขยก่อนหรือว่าจะกลับแล้ว”
จูจื่อฉิงถามอย่างเป็นห่วง แต่หลินซูซินส่ายหน้ายิ้มอ่อน
“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะท่านแม่ ข้ามีข่าวดีไปบอกเขานี่นา ย่อมไร้สิ่งใดให้ตำหนิได้เจ้าค่ะ”
บิดามารดาจึงพยักหน้า “เช่นนั้นก็ได้”
ทว่าด้วยความเป็นห่วงก็ยังพากันหานวมมาปูพื้นรองนั่งในรถม้าให้บุตรสาวอยู่ดี
ครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าหลินซูซินจะได้กลับจวนสามี
จวนสกุลเกา
เสียงเตียงโยกคลอนสอดรับกับเสียงเสียดสีของสองกายที่กำลังสอดประสานกลายเป็นหนึ่ง ยิ่งฟังยิ่งกระตุ้นอารมณ์กำหนัดให้ปะทุถึงขีดสุด
แก่นกายบุรุษที่กำลังชำแรกแทรกผ่านความนุ่มลึกอิสตรี ทำเอาพวกเขาเสียวซ่านจนแทบลืมตัวตน ลืมสิ้นถึงเหตุผลพึงมี
เขาแข็งขึงเติมเต็มในขณะที่นางอ่อนนุ่มแต่ร้อนผ่าวคล้ายแหว่งเว้าอย่างต้องการเขาไม่จบสิ้น
เขาเหยียดขยาย ในขณะที่นางตอดรัดตลอดลำกายแกร่ง เขาขยับหนักหน่วงลึกล้ำแนบชิด ในขณะที่นางส่ายรับได้ทุกจังหวะการสอดใส่ให้ลึกซึ้งแนบสนิทมากยิ่งขึ้น
ประหนึ่งร่างกายของทั้งคู่เกิดมาเพื่อเติมเต็มซึ่งกันและกัน
“อ๊ะ! อื้อ! ทะ ท่านพี่หมิง” เสียงแว่วหวานของนางครางอย่างสะกดกลั้นให้เบาหวิวที่สุดตามจังหวะที่ถูกกระแทกกระทั้น “อืม อื้อ” เสียงนั้นรับกับเสียงเนื้อกระทบเนื้อเป็นจังหวะเดียวกัน
“อา...น้องเม่ย” บุรุษคำรามเสียงแหบห้าวอย่างสะกดกลั้นมิให้ดังเกินไปเช่นกัน เขานึกไม่ถึงว่าร่างกายของแม่นางน้อยจะให้ความรู้สึกดีถึงเพียงนี้
โดยเฉพาะแรงรัดรึงที่กำลังตอดตุบๆ ทำเอาเขาที่ไม่เคยขาดเรื่องบนเตียงกับภรรยาปรารถนาทะลักทลายปลดปล่อยทำนบให้สายธารสวาทซ่านเซ็นใส่ความแนบแน่นของนางเต็มที
เรือนร่างอรชรอันอ่อนเยาว์เย้ายวนที่งดงามผุดผาดนี้ทำเขาแทบคลั่งทุกคราที่มีโอกาสอันน้อยนิดได้ใกล้ชิดกัน
กายแกร่งแข็งขึงและร้อนผ่าวราวแท่งเหล็กที่กำลังขยับเข้าขยับออกเสียดสีจนเนินสาวร้อนฉ่า ไม่ใช่แค่เขาที่กำลังเสียดเสียว แต่นางใต้ร่างก็ซาบซ่านรัญจวนอย่างที่สุดเช่นกัน
แท่งเนื้อยามขยับตอกอัดลงมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำชายหญิงมิได้รู้สึกต่างกัน ยิ่งเขาขยับความคับแน่นของนางก็ยิ่งบีบรัดจนต้องครางระงมเบาๆ ให้กับความสุขสมที่มีมากมายราวลมพายุคลุ้มคลั่งที่พัดพาความกระสันจนก่อเกิดคลื่นใหญ่มหึมา
ความกำหนัดที่กำลังพลุ่งพล่านทำให้เขาและนางแทบบ้า เหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่กำลังผุดพรายพราวระยับเต็มใบหน้าไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยอ่อนกำลัง แต่กลับกลายเป็นแรงกระตุ้นส่งให้พวกเขาเข้าหากันอย่างรุนแรงมากขึ้น แนบแน่นขึ้น
ภายในห้องหับลับตาคน อารมณ์กระสันยิ่งรุมเร้ารุนแรง ทว่าเสียงเตียงโยกโยนผสานเสียงครางครวญกลับเบาแสนเบาอย่างระมัดระวังยิ่งยวด ทำให้เสียงไม่เล็ดลอดออกนอกเรือนแม้แต่น้อย
คนนอกเรือนล้วนไม่ได้ยินเสียงใด เหมือนที่พวกเขาเองก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆ ที่กำลังใกล้เข้ามาจากทางนอกเรือนเช่นกัน
เขามีดวงหน้าหล่อเหลากับแววตาสุขุมลุ่มลึกเปี่ยมเสน่ห์เฉพาะบุรุษ แม้ในเวลาหลับยังแฝงความงดงามให้คนประทับใจ เพียงแต่ดวงหน้าราวรูปสลักของเขายามนี้ ถูกภาพจำในชาติที่แล้วกดทับความวิจิตรไปเสียสิ้นเสื้อตัวยาวสีขาวสะอาดตาเพียงทำให้เขาดูสง่าและภูมิฐานเช่นบุรุษคนหนึ่งเท่านั้นไหนเลยจะยังคงมีความน่าเคารพชวนนับถือเหลืออยู่อีกหลินซูซินหยุดความคิด “พี่เกาหมิง” นางแย้มยิ้มทักทายตามมารยาท“เจ้ามาคนเดียวกระมัง ให้ข้าพาเดินนะ จะได้ช่วยถือของ” เกาหมิงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้างามสง่าตลอดเวลานางเอียงหน้ากะพริบตาช้าๆ เพียรกักแววตากังขายามลอบพิจารณาอย่างมิให้เขาสงสัยภายใต้ความกระจ่างใสในรอยยิ้มอ่อนหวานหลินซูซินเพียรแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนและรักษาระยะห่างไว้พอดี มิได้แสดงความสนิทสนมมากเกินไปหรือห่างเหินจนดูไม่งาม“เป็นการรบกวนท่านหรือไม่?”“เจ้าอย่าได้เกรงใจ”หลังจากทักทายนางหลายประโยคสายตาของเขาก็บังเอิญเห็นจางจิ่วเม่ยยืนอยู่อีกฝั่ง จึงเอ่ยปากทักทายกันตามมารยาท“อ่า...นั่นน้องจิ่วเม่ยมิใช่หรือ?”แววตาสีหน้าอันอ่อนโยนนั้นคือเพิ่งบังเอิญเจอจริงๆจางจิ่วเม่ยเองก็แนบเนียนยิ่ง “ช่างเหมาะเจาะเสียจริง
หลังจากผ่านพ้นภาวะฝันร้ายเสมือนจริงอันยาวนานหลินซูซินก็ตื่นขึ้นมาอย่างตะลึงลาน นางอึ้งงันอยู่เป็นนานครั้นได้สติก็รีบลุกขึ้นล้างหน้าแต่งตัวออกจากห้องส่วนตัวในเรือนหลัก เดินลงบันไดตรงไปในเรือนของโรงครัวทันทีเมื่อมาถึงจึงเห็นมารดากำลังนั่งรับลมตรงหน้าเรือนเล็กและคัดเลือดยอดใบชา เป็นภาพอันเรียบง่ายที่ฉายความสุขสงบฉับพลันนั้นภาพหนึ่งพลันปรากฏในห้วงคะนึงของหลินซูซิน เป็นภาพยามที่มารดานั่งซบหน้าร้องไห้ในพิธีศพของนางทั้งบิดามารดาร้องไห้ปานขาดใจจนน้ำตาแทบกลายเป็นสายเลือด กระทั่งล้มป่วยนอนซม สภาพไม่ต่างจากตายทั้งเป็นพวกท่านไม่อาจยืนหยัดลุกขึ้นมาทำอาหารจัดขนมในแบบที่ตนรักเท่าชีวิตได้อีกเลยจวนสกุลหลินคล้ายตกอยู่ในขุมนรกทั้งที่ไร้ความผิด บิดามารดาที่ทำดีมาตลอดทั้งชีวิตกลับตกอยู่ในสภาพน่าอดสูหลินซูซินนิ่งขึง ปล่อยความคิดชั่วแล่นนั้นลามไปทั่วสรรพางค์กาย กระแทกไปทั้งหัวใจหญิงสาวไม่ทันคิดอันใดก็พลันวิ่งเข้าไปหามารดาทันทีหลินซูซินสวมกอดมารดาแน่นทั้งรักทั้งหวงแหนแสนห่วงใย นางเพิ่งผ่านฝันร้ายอันยาวนานมา ในฝัน บิดามารดาที่เพิ่งพบหน้าต้องจากกันไกลแสนไกลชั่วนิรันดร์อย่างไม่น่าให้อภั
แน่นอนว่างานเยี่ยงนี้เสี่ยวเหยาถนัดยิ่ง นางเหยียดยิ้ม “เจ้าค่ะนายน้อย”เงาร่างอ้อนแอ้นหายไป เงาร่างสูงเพรียวคนใหม่ก้าวเข้ามาเขาคือ อี้หาน เป็นชาวยุทธ์ที่ทำงานให้ราชสำนักมาช้านานจ้าวเฟิ่งฉีสั่งการโดยไม่หันมองอีกครา “รอเวลาที่เหมาะสม ค่อยจัดการค้นจวนยึดทรัพย์ลากคนเข้าคุกรับโทษทัณฑ์”“ขอรับนายน้อย...”สกุลเกาที่สงบสุขราบรื่นเพราะลืมเลือนสตรีผู้หนึ่งไปสิ้นค่อยๆ เกิดพายุร้ายโหมกระพือภายในเรือน เปลวเพลิงแห่งชีวิตค่อยๆ แผ่ลามไปทั่วทั้งจวนภายในเวลาเพียงไม่นานเรียกว่ากรรมตามทันได้อย่างรวดเร็วไม่ต้องรอถึงชาติหน้าเดิมทีเกาหมิงที่รักหลินซูซินจากใจจริงแต่กลับนอกใจ ล้วนเป็นเพราะจางจิ่วเม่ยน่ารักซุกซน เป็นสตรีสดใสแปลกใหม่แบบที่ตนไม่ค่อยได้สัมผัสความร่าเริงของสาวน้อยซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสตรีเรียบร้อยอ่อนหวานอยู่ในกรอบจารีตที่เจออยู่ทุกวันเช่นหลินซูซิน ย่อมทำให้บุรุษโลเลผู้หนึ่งหวั่นไหวสั่นคลอนครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อเกาหมิงได้เจอเสี่ยวเหยา หญิงสาวที่เอาศาสตร์สตรีอันล้ำเลิศทุกแขนงมาไว้กับตัวดุจธรรมชาติสรรสร้างความสะสวยไม่ต้องพูดถึง ความหยาดเยิ้มยิ่งไม่ต้องกล่าวอ้างสตรีสะคราญโฉม
ส่วนคนที่ยังอยู่จะอย่างไรก็ไม่อาจเปิดเผยสัมพันธ์ลับให้เสื่อมเสียต่อวงศ์ตระกูลสกุลบ้านเดิม นางจึงยกขบวนสินสอดเดินทางไปสู่ขอจางจิ่วเม่ยอย่างชอบธรรมทันที ด้วยเหตุผลที่ว่า หลังเรือนมิอาจว่างเปล่า แต่จนใจที่บุตรชายเป็นม่ายภรรยาตาย สกุลเกาจะหาสะใภ้จากที่ใดได้ คงต้องร้องขอให้สกุลจางเห็นใจแล้วในวันที่ขบวนสู่ขอเดินทางมาถึง ในเรือนของจางจิ่วเม่ย เกาหมิงยืนอยู่ตรงหน้านางนิ่งๆ ขณะที่สาวน้อยผินดวงหน้าผุดผาดคลี่ยิ้มสดใสแฝงความงดงามหยาดเยิ้มถามเสียงอ่อนหวานว่า “ในที่สุด ข้ากับท่านจะได้รักกันแล้วใช่ไหม?”เกาหมิงพยักหน้า คลี่ยิ้มบาง เขาเอ่ยเสียงอ่อน “ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องหลบซ่อนมาโดยตลอด”“ไม่โทษท่าน แค่วันนี้ได้รักท่าน ข้าไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น”ชายหนุ่มโอบกอดนางไว้แนบอกอย่างซาบซึ้ง ทว่าก้นบึ้งของแววตากลับรู้สึกผิดอย่างท่วมท้นต่อสตรีอีกคนขณะที่สาวน้อยซึ่งบัดนี้เติบโตเพื่อเขามีทั้งรอยยิ้มและน้ำตา ยามแนบใบหน้ากับแผงอกอบอุ่นที่ถวิลหานางช่างสุขใจหาใดเทียมและแล้วเราสองก็ได้แต่งงานกัน นางได้เป็นภรรยาของเขาอย่างถูกต้องเหมาะสมรัก...ที่แค่ฝังใจ จึงถึงคราวเปิดเผยสู่ธารกำนัลอย่างสง่างามพ
ชายหนุ่มไม่เอ่ยปากทักทายแขกเหรื่อหรือญาติสนิทคนใด เพียงคุกเข่าสงบนิ่ง จับจองความเงียบงันอยู่คนเดียวจางจิ่วเม่ยที่มีดวงตาแดงก่ำสีหน้าเสียใจลึกล้ำเดินเข้ามา คุกเข่าลงนั่งเคียงข้างกับเขา วันนี้นางมาในฐานะญาติฝั่งมารดาของเกาหมิง ส่วนอีกฐานะ มีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้นที่รู้ ผู้อื่นหาได้เคลือบแคลงหรือสงสัยแม้แต่น้อยไม่“พี่หมิง” เสียงของนางแหบพร่าปนสะอื้น เมื่อครู่หญิงสาวร่ำไห้มาพักใหญ่ก่อนเดินเข้ามา “ท่านคุกเข่าอยู่ตรงนี้มาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้วนะเจ้าคะ หากทำเช่นนี้ต่อไปจะเสียสุขภาพเอาได้”เกาหมิงเอียงหน้ามองสตรีข้างกาย “เม่ยเอ๋อร์ นางตั้งครรภ์ ข้ารอมาตั้งสามปีในที่สุดภรรยาก็ตั้งครรภ์ แล้วเหตุใดนางต้องตาย”จางจิ่วเม่ยได้ฟังพลันมีสีหน้าดำคล้ำ แววตาทะมึนลง นางเองก็ตั้งครรภ์ได้ ขอเพียงได้แต่งกับเขาอย่างถูกต้องเสียทีนางพอแล้ว ความทุกข์ตรมที่ต้องข่มกลั้นซี่งได้รับนานนับปีจากการแอบรักฝังใจกับบุรุษที่มีสตรีอื่นข้างกาย พอที!ในขณะที่จางจิ่วเม่ยคิดการณ์อันชั่วช้าเช่นนั้น เกาหมิงกลับยิ่งรู้สึกย่ำแย่ไปทั้งใจ ยิ่งมองจางจิ่วเม่ย เกาหมิงก็ยิ่งรู้สึกผิดทบทวี เดิมทีเขาปฏิเสธจางจิ่วเม่ยแล้ว ทว
ด้วยฐานะมิได้ร่ำรวยมั่งคั่ง บ่าวไพร่ในเรือนจึงค่อนข้างน้อย หน้าประตูจวนมีเพียงยามเฝ้าหนึ่งคน ตลอดทางเดินเข้าเรือนชั้นใน หลินซูซินจึงไม่พบบ่าวไพร่เดินขวักไขว่สักคนหญิงสาวเดินมาเรื่อยๆ อย่างระมัดระวังจนถึงเรือนหลัก คิดในใจว่าพักให้หายเหนื่อยสักหน่อย ค่อยทำอาหารรสเลิศรอสามีกลับมาจากทำงาน แล้วบอกข่าวดีให้เขารับรู้ท่ามกลางอาหารโอชาทว่าเหมือนฟ้าผ่าแสกหน้า เมื่อหลินซูซินเปิดประตูเข้าห้อง เดินเข้ามาเพียงหนึ่งก้าว ภาพที่เห็นทำให้นางแทบล้มทั้งยืน สามีของนางกำลังกอดกระหวัดรัดรึงอยู่กับสตรีผู้หนึ่งบนเตียงนอน กลิ่นอายวสันต์อันกรุ่นร้อนแผ่ซ่านกำจายไปทั่วห้องนอนของเราภายใต้ผ้าโปร่งพลิ้วไหว เสื้อผ้าชายหญิงกระจัดกระจาย ผ้าห่มยับย้วย ไม่บอกก็รู้ว่าพวกเขาเคี่ยวกรำอย่างร้อนแรงปานใด“กรี๊ด...”ไม่ใช่เสียงกรีดร้องของหลินซูซิน แต่เป็นของหญิงแพศยาในอ้อมกอดสามีนาง“ซูซิน” เกาหมิงมองหลินซูซินอย่างตื่นตกใจด้วยมิคาดว่าภรรยาจะกลับมากะทันหันหลินซูซินยืนชะงักค้างนิ่งงัน นางพูดไม่ออกสักคำขณะมองชายโฉดหญิงชั่วเร่งรีบลุกขึ้นจากเตียงมาสวมเสื้อผ้าอย่างทุลักทุเลแล้วเดินมาทางนางอย่างขอลุแก่โทษสีหน้าท่าทางของพวก


![จะไม่ทนกับบทบาทนางร้าย [รีไรท์ตอนจบ]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)




