Se connecterทว่ายิ่งนางรั้นฝ่ายบุรุษก็เริ่มหวาดหวั่นถึงการพลัดพราก จึงจับนางแล้วลากเข้าห้องปิดประตูกดร่างบางไว้กับผนัง ริมฝีปากพลันประกบปิด ตัดทุกการขัดขืน แต่เปิดเปลือยทุกความรู้สึกในห้วงอณูใจ เปิดเผยสิ่งที่เคยฝังเอาไว้จนลึกสุดใจ
สาวน้อยชะงัก จากดิ้นรนจึงนิ่งขึง จากผลักไสกึ่งโอนอ่อนเริ่มตอบรับสัมผัสวาบหวามจากริมฝีปากสู่ปลายลิ้นหวานอย่างเต็มใจ
นี่มิใช่จุมพิตแรกระหว่างนางกับเขา เพียงแต่เป็นครั้งแรกที่เขาจุมพิตนาง ทุกคราล้วนเป็นนางที่ทำการอุกอาจอย่างเหิมเกริม เขาเพียงตอบรับนางอย่างเผลอไผลหนหนึ่งก็นับว่ามากเกินพอแล้ว
“เรื่องของเรา เจ้ารอข้า ได้หรือไม่?” บุรุษถามเสียงพร่าขณะริมฝีปากยังแนบชิดคลอเคลีย “ส่วนข้าก็จะรอเจ้าเช่นกัน...”
สาวน้อยหลับตาซึมซับสัมผัสหวามที่แสนอบอุ่นอ่อนโยน สำหรับนางเพียงได้เคียงข้างเขา จะฐานะใดล้วนไม่เกี่ยงทั้งนั้น
อุปสรรคทางรัก นางจะปล่อยให้เขานำพาขจัดขวากหนาม หวังเพียงมิต้องฝังไว้แค่ในใจก็พอ...
คืนวันผันผ่าน เขาแต่งงาน นางเฝ้ารอ...
กระทั่งวันของนางมาถึง
“ในที่สุด ข้ากับท่านจะได้รักกันแล้วใช่ไหม?”
“ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องหลบซ่อนมาโดยตลอด”
“ไม่โทษท่าน แค่วันนี้ได้รักท่าน ข้าไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น”
ชายหนุ่มโอบกอดนางไว้แนบอกอย่างซาบซึ้ง ทว่าก้นบึ้งของแววตากลับรู้สึกผิดอย่างท่วมท้น
ขณะที่สาวน้อยซึ่งบัดนี้เติบโตเพื่อเขามีทั้งรอยยิ้มและน้ำตา ยามแนบใบหน้ากับแผงอกอบอุ่นที่ถวิลหานางช่างสุขใจหาใดเทียม
และแล้วเราสองก็ได้แต่งงานกัน นางได้เป็นภรรยาของเขาอย่างถูกต้องเหมาะสม
รัก...ที่แค่ฝังใจ จึงถึงคราวเปิดเผยสู่ธารกำนัลอย่างสง่างาม
*****************
สามีภรรยารักใคร่ปรองดองนับเป็นเรื่องดี
สามีสุขุมสุภาพและสง่างาม ภรรยาเรียบร้อยนุ่มนวลและอ่อนหวาน ทั้งสองเหมาะสมกันยิ่งกว่ากิ่งทองใบหยกตามความเห็นชอบของเหล่าผู้อาวุโส ทุกคนคิดไม่ผิดที่เกี่ยวดองจับคู่ชายหญิง
แม้แต่งงานมานานเกือบสามปีความหวานชื่นก็ยังมิถดถอย หลินซูซินยังคงเป็นสตรีแสนดีมิบกพร่องต่อหน้าที่ภรรยา นางเดินตามการจับประคองอันอบอุ่นของเกาหมิงผู้เป็นสามีที่ยังคงสุภาพนุ่มนวลมาขึ้นรถม้า ทั้งสองแย้มยิ้มให้แก่กันอย่างรักใคร่อ่อนโยน
“ฝากเจ้าขออภัยท่านพ่อตาแม่ยายด้วยที่ข้ามิอาจปลีกตัวไปเยี่ยมบ้านเดิมพร้อมเจ้าได้”
เกาหมิงก้มมองภรรยาคนงาม แววตาที่เผยความรักใคร่เอ็นดูด้วยใจจริงอย่างไม่ปิดบังแฝงแววขอลุแก่โทษ แม้นางไม่โกรธก็ตาม
หลินซูซินคลี่ยิ้มส่ายหน้าเบาๆ นางเอ่ยเสียงเนิบหวานแช่มช้า “ช่วงนี้ท่านมีภารกิจรัดตัวยิ่งขึ้น ใครจะกล่าวโทษท่านกันเล่าเจ้าคะ”
เกาหมิงเอื้อมมือลูบแก้มเนียนลื่นของภรรยาอย่างถนอม “ครั้งนี้เจ้าจะค้างแรมสักกี่วันดี”
หลินซูซินเอียงคอคำนวณ “อืม...สักสี่ห้าวันได้หรือไม่เจ้าคะ? ไม่นานเกินไปใช่หรือไม่”
ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้ม เขาหรือเคยขัดใจ “ย่อมได้ แต่หากเจ้าต้องการกลับก่อนกำหนดก็ส่งคนมาแจ้งข้าด้วยแล้วกัน”
หญิงสาวได้ฟังนอกจากไม่นึกสงสัยในคำสั่งยังหัวเราะเบาๆ “แล้วหากข้าต้องการค้างแรมเพิ่มอีกหลายวันล่ะเจ้าคะ?”
เกาหมิงหัวเราะเสียงทุ้ม “ย่อมได้อยู่แล้วน่ะสิ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพี่” หลินซูซินยิ้มอ่อนหวาน “ท่านรีบไปที่ว่าการอำเภอเถิด มีงานเร่งนี่นา อย่ามัวเสียเวลากับข้าเลย”
นางเปิดม่านโบกมืออำลา นิ่งมองภาพสามีผู้หล่อเหลา
ภายใต้แสงตะวันที่สาดส่องลงมาในยามทิวา ปรากฏความอ่อนโยนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขาไม่สร่างซา
นางยิ้มแล้วปิดผ้าม่านรถม้า
ล้อรถม้าหมุนบดถนน เคลื่อนตัวจนหายลับไปจากสายตา เกาหมิงยืนมองอยู่นานก่อนเดินกลับเข้าเรือนชั้นใน ไหนเลยจะมีงานเร่งรีบอันใดให้ไปสะสาง
เรือนสกุลหลิน
ทันทีที่บุตรสาวมาเยือน จูจื่อฉิงจับจูงมือบุตรสาวไปนั่งในศาลารับลม ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบตามวิสัย
“เหตุใดสองสามเดือนมานี้บุตรเขยเกาไม่มากับเจ้าเลยเล่า”
หลินซูซินตอบยิ้มๆ “ท่านพี่มีงานรัดตัวเจ้าค่ะ ช่วงนี้ได้ข่าวว่ามีงานให้ตรวจสอบขุนนางในที่ว่าการอำเภอเพิ่มขึ้น ตั้งแต่เขาได้เลื่อนตำแหน่งก็มิอาจปลีกตัวได้ง่ายเหมือนเมื่อก่อนเจ้าค่ะ”
จูจื่อฉิงมุ่นคิ้ว ไม่รู้เพราะเหตุใดนางรู้สึกแปลกๆ
แรกเริ่มที่เลือกเฟ้นเจ้าบ่าวให้บุตรสาว นางเห็นเกาหมิงหล่อเหลาสุภาพสะอาดตา ท่วงท่าสง่างาม รูปโฉมเข้าที ที่สำคัญ เขายังเป็นเพียงบัณฑิตสามัญ ฐานะธรรมดา เหมาะสมคู่ควรกับหลินซูซินทุกอย่าง นับว่าย่อมไร้ปัญหาหลังเรือนในอนาคต
หลินซูซินที่เป็นเพียงบุตรสาวของพ่อครัวแม่ครัวจวนอ๋อง ไหนเลยจะกล้าอาจเอื้อมบุรุษที่สูงส่งเกินคว้า
แต่แล้วเมื่อเกาหมิงสอบผ่านการสอบเข้ารับราชการได้เป็นถึงผู้บัญชาการควบคุมขุนนางฝ่ายบุ๋นทั้งเมืองผิงโจว ความนบนอบแต่ห่างเหินก็เหมือนจะเริ่มมีเข้ามาจนเป็นที่จับสังเกตได้
ดูทีว่าบุตรสาวคนดีของนางยามนี้ คงมิค่อยอยู่ในสายตาของสามีเท่าใดแล้วกระมัง
เขามีดวงหน้าหล่อเหลากับแววตาสุขุมลุ่มลึกเปี่ยมเสน่ห์เฉพาะบุรุษ แม้ในเวลาหลับยังแฝงความงดงามให้คนประทับใจ เพียงแต่ดวงหน้าราวรูปสลักของเขายามนี้ ถูกภาพจำในชาติที่แล้วกดทับความวิจิตรไปเสียสิ้นเสื้อตัวยาวสีขาวสะอาดตาเพียงทำให้เขาดูสง่าและภูมิฐานเช่นบุรุษคนหนึ่งเท่านั้นไหนเลยจะยังคงมีความน่าเคารพชวนนับถือเหลืออยู่อีกหลินซูซินหยุดความคิด “พี่เกาหมิง” นางแย้มยิ้มทักทายตามมารยาท“เจ้ามาคนเดียวกระมัง ให้ข้าพาเดินนะ จะได้ช่วยถือของ” เกาหมิงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้างามสง่าตลอดเวลานางเอียงหน้ากะพริบตาช้าๆ เพียรกักแววตากังขายามลอบพิจารณาอย่างมิให้เขาสงสัยภายใต้ความกระจ่างใสในรอยยิ้มอ่อนหวานหลินซูซินเพียรแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนและรักษาระยะห่างไว้พอดี มิได้แสดงความสนิทสนมมากเกินไปหรือห่างเหินจนดูไม่งาม“เป็นการรบกวนท่านหรือไม่?”“เจ้าอย่าได้เกรงใจ”หลังจากทักทายนางหลายประโยคสายตาของเขาก็บังเอิญเห็นจางจิ่วเม่ยยืนอยู่อีกฝั่ง จึงเอ่ยปากทักทายกันตามมารยาท“อ่า...นั่นน้องจิ่วเม่ยมิใช่หรือ?”แววตาสีหน้าอันอ่อนโยนนั้นคือเพิ่งบังเอิญเจอจริงๆจางจิ่วเม่ยเองก็แนบเนียนยิ่ง “ช่างเหมาะเจาะเสียจริง
หลังจากผ่านพ้นภาวะฝันร้ายเสมือนจริงอันยาวนานหลินซูซินก็ตื่นขึ้นมาอย่างตะลึงลาน นางอึ้งงันอยู่เป็นนานครั้นได้สติก็รีบลุกขึ้นล้างหน้าแต่งตัวออกจากห้องส่วนตัวในเรือนหลัก เดินลงบันไดตรงไปในเรือนของโรงครัวทันทีเมื่อมาถึงจึงเห็นมารดากำลังนั่งรับลมตรงหน้าเรือนเล็กและคัดเลือดยอดใบชา เป็นภาพอันเรียบง่ายที่ฉายความสุขสงบฉับพลันนั้นภาพหนึ่งพลันปรากฏในห้วงคะนึงของหลินซูซิน เป็นภาพยามที่มารดานั่งซบหน้าร้องไห้ในพิธีศพของนางทั้งบิดามารดาร้องไห้ปานขาดใจจนน้ำตาแทบกลายเป็นสายเลือด กระทั่งล้มป่วยนอนซม สภาพไม่ต่างจากตายทั้งเป็นพวกท่านไม่อาจยืนหยัดลุกขึ้นมาทำอาหารจัดขนมในแบบที่ตนรักเท่าชีวิตได้อีกเลยจวนสกุลหลินคล้ายตกอยู่ในขุมนรกทั้งที่ไร้ความผิด บิดามารดาที่ทำดีมาตลอดทั้งชีวิตกลับตกอยู่ในสภาพน่าอดสูหลินซูซินนิ่งขึง ปล่อยความคิดชั่วแล่นนั้นลามไปทั่วสรรพางค์กาย กระแทกไปทั้งหัวใจหญิงสาวไม่ทันคิดอันใดก็พลันวิ่งเข้าไปหามารดาทันทีหลินซูซินสวมกอดมารดาแน่นทั้งรักทั้งหวงแหนแสนห่วงใย นางเพิ่งผ่านฝันร้ายอันยาวนานมา ในฝัน บิดามารดาที่เพิ่งพบหน้าต้องจากกันไกลแสนไกลชั่วนิรันดร์อย่างไม่น่าให้อภั
แน่นอนว่างานเยี่ยงนี้เสี่ยวเหยาถนัดยิ่ง นางเหยียดยิ้ม “เจ้าค่ะนายน้อย”เงาร่างอ้อนแอ้นหายไป เงาร่างสูงเพรียวคนใหม่ก้าวเข้ามาเขาคือ อี้หาน เป็นชาวยุทธ์ที่ทำงานให้ราชสำนักมาช้านานจ้าวเฟิ่งฉีสั่งการโดยไม่หันมองอีกครา “รอเวลาที่เหมาะสม ค่อยจัดการค้นจวนยึดทรัพย์ลากคนเข้าคุกรับโทษทัณฑ์”“ขอรับนายน้อย...”สกุลเกาที่สงบสุขราบรื่นเพราะลืมเลือนสตรีผู้หนึ่งไปสิ้นค่อยๆ เกิดพายุร้ายโหมกระพือภายในเรือน เปลวเพลิงแห่งชีวิตค่อยๆ แผ่ลามไปทั่วทั้งจวนภายในเวลาเพียงไม่นานเรียกว่ากรรมตามทันได้อย่างรวดเร็วไม่ต้องรอถึงชาติหน้าเดิมทีเกาหมิงที่รักหลินซูซินจากใจจริงแต่กลับนอกใจ ล้วนเป็นเพราะจางจิ่วเม่ยน่ารักซุกซน เป็นสตรีสดใสแปลกใหม่แบบที่ตนไม่ค่อยได้สัมผัสความร่าเริงของสาวน้อยซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสตรีเรียบร้อยอ่อนหวานอยู่ในกรอบจารีตที่เจออยู่ทุกวันเช่นหลินซูซิน ย่อมทำให้บุรุษโลเลผู้หนึ่งหวั่นไหวสั่นคลอนครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อเกาหมิงได้เจอเสี่ยวเหยา หญิงสาวที่เอาศาสตร์สตรีอันล้ำเลิศทุกแขนงมาไว้กับตัวดุจธรรมชาติสรรสร้างความสะสวยไม่ต้องพูดถึง ความหยาดเยิ้มยิ่งไม่ต้องกล่าวอ้างสตรีสะคราญโฉม
ส่วนคนที่ยังอยู่จะอย่างไรก็ไม่อาจเปิดเผยสัมพันธ์ลับให้เสื่อมเสียต่อวงศ์ตระกูลสกุลบ้านเดิม นางจึงยกขบวนสินสอดเดินทางไปสู่ขอจางจิ่วเม่ยอย่างชอบธรรมทันที ด้วยเหตุผลที่ว่า หลังเรือนมิอาจว่างเปล่า แต่จนใจที่บุตรชายเป็นม่ายภรรยาตาย สกุลเกาจะหาสะใภ้จากที่ใดได้ คงต้องร้องขอให้สกุลจางเห็นใจแล้วในวันที่ขบวนสู่ขอเดินทางมาถึง ในเรือนของจางจิ่วเม่ย เกาหมิงยืนอยู่ตรงหน้านางนิ่งๆ ขณะที่สาวน้อยผินดวงหน้าผุดผาดคลี่ยิ้มสดใสแฝงความงดงามหยาดเยิ้มถามเสียงอ่อนหวานว่า “ในที่สุด ข้ากับท่านจะได้รักกันแล้วใช่ไหม?”เกาหมิงพยักหน้า คลี่ยิ้มบาง เขาเอ่ยเสียงอ่อน “ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องหลบซ่อนมาโดยตลอด”“ไม่โทษท่าน แค่วันนี้ได้รักท่าน ข้าไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น”ชายหนุ่มโอบกอดนางไว้แนบอกอย่างซาบซึ้ง ทว่าก้นบึ้งของแววตากลับรู้สึกผิดอย่างท่วมท้นต่อสตรีอีกคนขณะที่สาวน้อยซึ่งบัดนี้เติบโตเพื่อเขามีทั้งรอยยิ้มและน้ำตา ยามแนบใบหน้ากับแผงอกอบอุ่นที่ถวิลหานางช่างสุขใจหาใดเทียมและแล้วเราสองก็ได้แต่งงานกัน นางได้เป็นภรรยาของเขาอย่างถูกต้องเหมาะสมรัก...ที่แค่ฝังใจ จึงถึงคราวเปิดเผยสู่ธารกำนัลอย่างสง่างามพ
ชายหนุ่มไม่เอ่ยปากทักทายแขกเหรื่อหรือญาติสนิทคนใด เพียงคุกเข่าสงบนิ่ง จับจองความเงียบงันอยู่คนเดียวจางจิ่วเม่ยที่มีดวงตาแดงก่ำสีหน้าเสียใจลึกล้ำเดินเข้ามา คุกเข่าลงนั่งเคียงข้างกับเขา วันนี้นางมาในฐานะญาติฝั่งมารดาของเกาหมิง ส่วนอีกฐานะ มีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้นที่รู้ ผู้อื่นหาได้เคลือบแคลงหรือสงสัยแม้แต่น้อยไม่“พี่หมิง” เสียงของนางแหบพร่าปนสะอื้น เมื่อครู่หญิงสาวร่ำไห้มาพักใหญ่ก่อนเดินเข้ามา “ท่านคุกเข่าอยู่ตรงนี้มาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้วนะเจ้าคะ หากทำเช่นนี้ต่อไปจะเสียสุขภาพเอาได้”เกาหมิงเอียงหน้ามองสตรีข้างกาย “เม่ยเอ๋อร์ นางตั้งครรภ์ ข้ารอมาตั้งสามปีในที่สุดภรรยาก็ตั้งครรภ์ แล้วเหตุใดนางต้องตาย”จางจิ่วเม่ยได้ฟังพลันมีสีหน้าดำคล้ำ แววตาทะมึนลง นางเองก็ตั้งครรภ์ได้ ขอเพียงได้แต่งกับเขาอย่างถูกต้องเสียทีนางพอแล้ว ความทุกข์ตรมที่ต้องข่มกลั้นซี่งได้รับนานนับปีจากการแอบรักฝังใจกับบุรุษที่มีสตรีอื่นข้างกาย พอที!ในขณะที่จางจิ่วเม่ยคิดการณ์อันชั่วช้าเช่นนั้น เกาหมิงกลับยิ่งรู้สึกย่ำแย่ไปทั้งใจ ยิ่งมองจางจิ่วเม่ย เกาหมิงก็ยิ่งรู้สึกผิดทบทวี เดิมทีเขาปฏิเสธจางจิ่วเม่ยแล้ว ทว
ด้วยฐานะมิได้ร่ำรวยมั่งคั่ง บ่าวไพร่ในเรือนจึงค่อนข้างน้อย หน้าประตูจวนมีเพียงยามเฝ้าหนึ่งคน ตลอดทางเดินเข้าเรือนชั้นใน หลินซูซินจึงไม่พบบ่าวไพร่เดินขวักไขว่สักคนหญิงสาวเดินมาเรื่อยๆ อย่างระมัดระวังจนถึงเรือนหลัก คิดในใจว่าพักให้หายเหนื่อยสักหน่อย ค่อยทำอาหารรสเลิศรอสามีกลับมาจากทำงาน แล้วบอกข่าวดีให้เขารับรู้ท่ามกลางอาหารโอชาทว่าเหมือนฟ้าผ่าแสกหน้า เมื่อหลินซูซินเปิดประตูเข้าห้อง เดินเข้ามาเพียงหนึ่งก้าว ภาพที่เห็นทำให้นางแทบล้มทั้งยืน สามีของนางกำลังกอดกระหวัดรัดรึงอยู่กับสตรีผู้หนึ่งบนเตียงนอน กลิ่นอายวสันต์อันกรุ่นร้อนแผ่ซ่านกำจายไปทั่วห้องนอนของเราภายใต้ผ้าโปร่งพลิ้วไหว เสื้อผ้าชายหญิงกระจัดกระจาย ผ้าห่มยับย้วย ไม่บอกก็รู้ว่าพวกเขาเคี่ยวกรำอย่างร้อนแรงปานใด“กรี๊ด...”ไม่ใช่เสียงกรีดร้องของหลินซูซิน แต่เป็นของหญิงแพศยาในอ้อมกอดสามีนาง“ซูซิน” เกาหมิงมองหลินซูซินอย่างตื่นตกใจด้วยมิคาดว่าภรรยาจะกลับมากะทันหันหลินซูซินยืนชะงักค้างนิ่งงัน นางพูดไม่ออกสักคำขณะมองชายโฉดหญิงชั่วเร่งรีบลุกขึ้นจากเตียงมาสวมเสื้อผ้าอย่างทุลักทุเลแล้วเดินมาทางนางอย่างขอลุแก่โทษสีหน้าท่าทางของพวก







